ผู้มาเยือนคือสตรีในอาภรณ์และผ้าคลุมสีขาว นางดูมีอายุ แต่ชุดของนางบ่งบอกได้ถึงความไม่ธรรมดาและดูสูงส่งราวกับเทพธิดาตรงข้ามกับการแต่งกายของลั่วชิงยวนในขณะนี้อย่างสิ้นเชิงทันใดนั้นเสียงของลิ่นฝูเสวี่ยก็ดังขึ้น “ลี่เซียง!”ลั่วชิงยวนสะดุ้งเล็กน้อย และหลังจากพินิจมองอย่างถ้วนถี่ นางก็เห็นว่าสตรีผู้นี้คือลี่เซียงซึ่งเป็นนายหญิงคนปัจจุบันของหอเจาเซียง เป็นท่านอาฉินจริง ๆ ด้วยทุกคนในที่นี้ถูกท่านอาฉินดึงดูดและแอบซุบซิบกันอย่างไม่รู้ว่านางเป็นผู้ใดมาจากไหนจนกระทั่งร่างที่คุ้นเคยของหลีเถาติดตามนางไปแม่เล้าเฉินสะดุ้งและก้าวไปข้างหน้าทันที “วันนี้ คนจากหอเจาเซียงอย่างเจ้าคิดจักมาก่อปัญหางั้นรึ?”“พวกเจ้าขับไล่แม่นางฝูเสวี่ยผู้นี้มาด้วยตัวเอง ยามนี้เจ้ามายังหอฝูเสวี่ยของข้าเพื่อก่อปัญหา มิคิดว่าผิดจรรยาบรรณไปหน่อยหรือ?”แม่เล้าเฉินหัวเราะเยาะและดูประหลาดใดใบหน้าของท่านอาฉินยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาที่เฉียบคมของนางจ้องมองไปที่อาภรณ์สีแดงเพลิงบนเวทีโดยตรง ก่อนจะเอ่ยย่างเย็นชา “หอฝูเสวี่ยของพวกเจ้านี่มันอะไรกัน? กล้าขโมยชื่ออาจารย์ของข้าไปใช้ วันนี้ข้าย่อมต้องมาเปิดโปงพวกเจ้าอยู่แล้ว!”
คำพูดอันชอบธรรมของท่านอาฉินทำให้หลายคนวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องนี้ในเวลานี้ ลั่วชิงยวนก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เสียงที่ชัดเจนดังขึ้น ทำให้บริเวณโดยรอบเงียบลงทันที“ข้าชื่อฝูเสวี่ย แต่ข้ามิได้บอกว่าชื่อของข้าคือลิ่นฝูเสวี่ย ในฐานะผู้เป็นนายของหอเจาเซียง ท่านมาร่ายรำเทพเหมันต์ที่หอฝูเสวี่ยของข้า มิทราบว่าจุดประสงค์ของท่านคือสิ่งใดกัน?”“อีกอย่าง ข้าได้ยินมาว่าทุกคนในหอสมุทรมรกตประสบอุบัติเหตุในปีนั้น และไม่มีผู้ใดรอดแม้แต่คนเดียว จู่ ๆ ศิษย์ของลิ่นฝูเสวี่ยก็ปรากฏตัวขึ้น ข้าสงสัยยิ่งนักว่าท่านรอดมาได้เช่นไร?”“เหตุใดจึงเร้นกายไปเสียหลายปีเช่นนี้เล่า?”ลั่วชิงยวนถามคาดคั้น ทำให้ใบหน้าของท่านอาฉินซีดลงท่านอาฉินโต้กลับอย่างเย็นชา “ในปีนั้นหอสมุทรมรกตประสบเรื่องราวเช่นที่เจ้าว่าจริง ข้าโชคดีที่สามารถเอาชีวิตรอดมาได้เพียงผู้เดียว มันเป็นความเจ็บปวดที่สุดในชีวิตสำหรับข้า ข้าจึงเลือกปลีกวิเวกเร้นกายจากสังคม แปลกมากหรือไร?”“ข้าต้องอธิบายเรื่องนี้ให้เจ้าฟังด้วยรึ?”มุมปากของลั่วชิงยวนยกขึ้นด้วยความสนใจ “โอ้? เพราะความเจ็บปวด ท่านจึงหายตัวไปและกลายเป็นนายหญิงหอเจาเซียงเช่นนั้นรึ?”“ทุกคน
เป็นไปได้อย่างไร?!ใต้หล้านี้ นอกจากลิ่นฝูเสวี่ยแล้วจะยังมีผู้ใดที่สามารถแสดงรำเทพที่สมบูรณ์ได้อีกหรือ?!แม้แต่ตัวนางเองก็ได้เรียนรู้ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น!เป็นลิ่นฝูเสวี่ยที่กลับมาจากความตายหรืออย่างไร? เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!การแสดงจบลงแล้วภายในโถงกว้างเงียบราวกับสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นได้เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่จะมีเสียงปรบมือดังกึกก้องดังขึ้นตามมา“งดงามยิ่ง! นี่สิ รำเทพเหมันต์ของจริง!”แม้แต่ฟู่จิ่งหลีก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนอย่างมีความสุขไม่น้อย ก่อนเอ่ยอย่างฝีปากกล้า “แม่นางฝูเสวี่ยเก่งกาจสมคำร่ำลือจริง ๆ! ข้ายังชมการร่ายรำไม่จุใจเลย ข้าจักขอถามแม่นางฝูเสวี่ยว่าจะสามารถร่ายรำอีกสองสามครั้งได้หรือไม่?”“วันนี้ ข้าจะดูแลเรื่องเครื่องดื่มและของว่างทั้งหมดในหอฝูเสวี่ยเอง!”ท่าทางใจป้ำเช่นนี้ทำให้เกิดเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นเร้าใจในหอฝูเสวี่ยแม่เล้าเฉินมีความสุขมาก “เพคะ หม่อมฉันขอบพระทัยองค์ชายเจ็ดแล้ว!”ฟู่จิ่งหานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในขณะที่เขานั่งอยู่บนที่นั่งของเขา กวักมือเรียกเครื่องเคียงและสุราดี ๆ “องค์ชายเจ็ดผู้นี้เอื้อเฟื้อนัก หากข้าม
ลิ่นฝูเสวี่ยกลับเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “หากวันหนึ่งข้าจากท่านไป ข้าจักไปบอกแม่ในภพชาติใหม่ของท่านว่ามิเสียแรงที่นางคลอดบุตรีอย่างท่านมา!”ได้ยินดังนี้ แววตาของลั่วชิงยวนมืดครึ้มลง “ยายเฒ่าเจ้าเล่ห์!”ลิ่นฝูเสวี่ยเล่าเรื่องท่านแม่ให้นางฟังทุกครั้ง แต่กลับมิเคยพูดจุดสำคัญสักครั้งลั่วชิงยวนรู้ว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะทำเรื่องในใจสำเร็จ ไม่มีทางบอกข่าวใดกับนางแน่แต่นางเองก็ไม่บังคับ เพราะการที่ลิ่นฝูเสวี่ยขึ้นแสดงก็สามารถนำมาซึ่งรายรับด้านการเงินผู้ใดจะคิดว่าเงินมากไปกันวันนี้ฟู่จิ่งหลีเหมาหอ เมื่อได้ยินข่าวนี้ ชาวบ้านต่างมาที่หอฝูเสวี่ยคนในหอฝูเสวี่ยยิ่งอยู่ยิ่งมากเสียงพิณไพเราะดังขึ้น กลีบดอกไม้ค่อย ๆ ร่วงโรย อาภรณ์สีแดงลอยขึ้นจากนั้นสยายลงพื้นดึงดูดสายตาของผู้คนในทันทีภายในหอเงียบลงทันใด เชยชมการร่ายรำงดงามนี้กันอย่างสงบฟู่จิ่งหานมองอย่างหลงใหล และดื่มด่ำกับการเต้นรำกระทั่งฟู่เฉินหวนยังถูกร่างนั้นดึงดูด ละสายตาออกมิได้แม้แต่นิดโดยเฉพาะสายตาของนาง บางครั้งก็ยั่วยวน บางครั้งก็เฉียบคม ราวกับมีสองคนในหนึ่งร่างลึกลับเสียจนทำผู้คนอยากเปิดหน้ากากนางออก เพื่อชมโฉมจริงลั่วชิงยวนร
วินาทีนั้นสีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปเช่นกันเขาจับข้อมือของนางไว้อย่างแรง และใช้แขนโอบเอวของนางไว้ลั้วชิงยวนรู้สึกเพียงขาของนางลอยขึ้น และเหยียบลงพื้นอย่างมั่นคงนางชะงัก เงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าจู่ ๆ หัวใจนางก็เต้นถี่ระรัวขึ้นฟู่เฉินหวนเองก็มองตาของนาง วินาทีนั้นเขาขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกคุ้นเคย คุ้นเคยมากเกินไปลั่วชิงยวนรีบสลัดมือของเขาออก “ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชาย”ฟู่เฉินหวนได้สติ มุมปากของเขากระตุกเป็นรอยยิ้ม “แม่นางฝูเสวี่ยไยต้องเกรงใจ เราก็มิได้เจอกันครั้งแรกเสียหน่อย”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยตอบ ฟู่เฉินหวนเข้าใกล้นาง ต้องมีสาเหตุแน่ ๆ นางคิดไม่ออก ไฉนมิว่านางจะทำสิ่งใด ต่างต้องเกี่ยวโยงกับฟู่เฉินหวน“แม่นางฝูเสวี่ยกำลัง…”สายตาของฟู่เฉินหวนตกลงบนมีดสั้นในมือนางลั่วชิงยวนหันหน้ามองบุรุษอีกด้านด้วยสายตาดุดัน “ไสหัวออกไป!”บุรุษเผยยิ้ม “เข้าใจผิด ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด อย่าจริงจังเสียเลยแม่นางฝูเสวี่ย”ลั่วชิงยวนยังมิทันเอ่ยปากร่างที่อยู่ข้างกายกลับเดินขึ้นหน้าก้าวยาว จากนั้นเขาจับคอเสื้อของบุรุษผู้นั้นและเตะออกนอกห้องในทันทีตามด้วยเสียงตู้ม บุ
ซิ่งอวี่ปิดประตูห้อง หวีผมให้นางลั่วชิงยวนจึงเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักใต้เท้าหลิวหรือไม่?”ซิ่งอวี่เอ่ยตอบ “เขาเป็นโรคจิตชื่อดังของหอนางโลมเลยเจ้าค่ะ แม่นางที่เขาเคยได้เขามิเอาเป็นรอบที่สอง เพื่อสนองความอยากรู้ก็เท่านั้น”“ฮูหยินตระกูลเขาเข้มงวดมาก เขาจึงปรากฏในหอนางโลมมิบ่อยนัก ส่วนมากจะแอบติดต่อให้แม่เล้าส่งนางโลมไปให้ที่จวนเขา”“อีกอย่างเขาเรื่องมากนักหนา ที่ขอไปมีแต่หน้าตาชั้นยอด”ลั่วชิงยวนได้ยินจึงเอ่ยถามอีก “เขาเป็นข้าหลวงใดหรือ”ซิ่งอวี่ไตร่ตรองและเอ่ยตอบ “เหมือนจะทำงานในกรมพระคลัง ตำแหน่งมิสูง แต่เหมือนเบื้องหลังเขาจักมิธรรมดา”“ข้าหลวงหลายท่านที่ตำแหน่งสูงกว่าเขายังเคารพเขาเลย”ลั่วชิงยวนพยักหน้าอย่างไตร่ตรอง“จริงด้วย ฟู่จิ่งหลียังอยู่ไหม?”“อยู่เจ้าค่ะ องค์ชายเจ็ดช่างใจป้ำนัก แค่เงินตกรางวัลก็ให้มาหลายร้อยตำลึงแล้ว”“หากเขามาบ่อยกว่านี้ล่ะก็ หอฝูเสวี่ยเราคงรุ่งโรจน์ขึ้นทุกวันเป็นแน่!”ซิ่งอวี่ดีใจเป็นที่สุด จนแทบอยากจะบูชาเทพแห่งโชคลาภท่านนี้ไว้ในกำมือเมื่อลั่วชิงยวนเปลี่ยนชุดเสร็จนางก็จากไปทางเรือนหลัง และอ้อมมาทางด้านหน้าอีกครั้ง เพื่อใช้ตัวตนของฉู่ลั่วเข้าหอฝูเส
ฟู่จิ่งหลียกจอกเหล้าขึ้น คำนับฟู่เฉินหวนลั่วชิงยวนหันหน้าไปหาฟู่เฉินหวน ดูการตอบสนองของเขาหลังจากรู้เรื่องนี้ฟู่เฉินหวนตะลึงไปครู่หนึ่งจริง ๆ แต่เขาก็ยังยกจอกดื่มกับฟู่จิ่งหลีด้วยสีหน้าเฉยเมย“มิเป็นไร เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว”ในใจลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุดอย่างที่คิดฟู่เฉินหวนมิสนใจว่าภาพนั้นมันจริงหรือปลอม เขาเพียงแค่อยากใช้สิ่งนี้ข่มขู่มิให้นางไปช่วยลั่วไห่ผิงทั้งหมดนี้เป็นเพียงวิธีของเขาท่านอ๋องสำเร็จราชการแห่งแคว้นเทียนเชวีย นางสู้มิไหวจริง ๆ “แม่นางฝูเสวี่ยเล่า?” ฟู่เฉินหวนเงยหน้ามองดูทีหนึ่งฟู่จิ่งหลีและฟู่จิ่งหานเองก็มองตามเช่นกันฟู่จิ่งหลียกจอกเหล้าขึ้นพร้อมเอ่ยพูดช้า ๆ “นางคงจะไปแล้ว ร่ายรำมาทั้งวันคงเหนื่อยล้าน่าดู”ฟู่จิ่งหานยิ้มแซว “ไหนว่าเสด็จพี่สามมิสนใจเสน่ห์หญิงไง? เหตุใดจึงหลงแม่นางฝูเสวี่ยเสียแล้ว?”“ข้าบอกแล้วว่าเสด็จพี่น่ะสนใจ เสด็จพี่ยังมิยอมรับอีก!”ฟู่จิ่งหานอยากให้ฟู่เฉินหวนสนใจเสียเหลือเกิน เช่นนี้เสด็จพี่สามจักได้ออกวังเป็นเพื่อนเขาบ่อย ๆ ได้ยินถึงตรงนี้ ฟู่จิ่งหลียักคิ้วพร้อมเอ่ยถาม “หรือว่าเสด็จพี่สามสนใจจริงน่ะ? ข้าช่วยเสด็จพี
นางปรุงยามาทา บรรเทาอาการคันไปได้เล็กน้อยจู่ ๆ ได้ยินเสียงเคาะประตูจากนอกเรือน ลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อย นางรีบใส่เสื้อให้เรียบร้อยเมื่อจือเฉาไปเปิดประตูเรือนนางเอ่ยขึ้นอย่างตะลึง “ท่านอ๋อง!”ลั่วชิงยวนได้ยินเสียงนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัวนางนั่งหันหลังให้ทางประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นนั้นส่งมาพร้อมกับกลิ่นเหล้าเจือจาง“บาดแผลของเจ้าหายดีหรือยัง?” เบื้องหลังมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นลั่วชิงยวนรู้สึกถึงความห่วงใยจากในน้ำเสียงของเขา“ขอบคุณท่านที่ยังอุตส่าห์จดจำบาดแผลหม่อมฉัน หากท่านอ๋องมิหาเรื่อง บาดแผลของหม่อมฉันย่อมฟื้นฟู” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนมิพอใจฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วรู้ทั้งรู้ว่านางมักพูดจาเหน็บแนม แต่เขาเองก็มิรู้ว่าเหตุไฉนต้องมาหานาง!คิดถึงครั้งนี้ที่เขาเป็นฝ่ายเข้าใจนางผิดจริง ๆ หนำซ้ำยังข่มขู่ให้นางรักษาลั่วไห่ผิงอีก ในใจนางย่อมรู้กริ้วโกรธเป็นธรรมดา จึงมิได้ถือสากับนางเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “วันพรุ่งข้าให้หมอกู้มาจับชีพจรให้เจ้า”ทันทีที่สิ้นเสียง ลั่วชิงยวนหันไปพูดกับเขาด้วยคำพูดคมคาย “ท่านอ๋องเห็นว่าหม่อมฉันตายช้าไปงั้นหรือ?”ประโยคนี้ทำฟู่เฉินหวนเกิดโทสะ
เฉินชีตกตะลึง หลังจากครุ่นคิดสักพักจึงพยักหน้า “ได้!”ลั่วชิงยวนมองเขาด้วยแววตาลึกล้ำ “จริงหรือ? เจ้าตัดใจได้หรือ?”เฉินชีนั่งลงรินชาใส่ถ้วย แล้วยื่นให้นาง “มีเพียงอาเหลาเท่านั้นที่ทำให้ข้าตัดใจมิได้”“รอให้ร่างกายของเจ้าดีขึ้น ข้าค่อยไปฆ่าลั่วฉิงได้หรือไม่?”“บนเขานี้ไม่มีใครดูแลเจ้า ข้ามิวางใจ”ลั่วชิงยวนก้มหน้า นัยน์ตาฉายแววเย็นชาขณะกล่าวเสียงแผ่วเบา “กลัวข้าหนีหรือ”“เจ้าสบายใจได้ ในเมื่อข้าเต็มใจไปกับเจ้าแล้วก็จะมิกลับไปอีก”เมื่อก้าวออกจากซีหลิง นางก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ กับแคว้นเทียนเชวียอีกต่อไปนางตายครั้งแล้วครั้งเล่า ควรจะตัดใจได้แล้วเวลาที่เหลือ นางจะทำสิ่งที่อาจารย์ยังทำมิเสร็จให้สำเร็จ“เช่นนั้นรอข้าไปหาสมุนไพรมาให้เจ้าก่อน”ตอนนี้เฉินชีอ่อนโยนราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนแต่ลั่วชิงยวนก็หาได้แปลกใจไม่เอาแน่เอานอนมิได้ นิสัยเปลี่ยนแปลงง่าย นี่คือที่มาของฉายาเฉินชีจอมบ้าคลั่งลั่วชิงยวนหลับตาลง อยากจะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า มิอยากตื่นขึ้นมาอีกเลยเฉินชีออกจากห้อง ปิดประตูแล้วเดินออกไปหลังจากรีบไปเก็บสมุนไพรแล้วเขาก็วิ่งขึ้นเขาด้วยความเหนื่อยหอบ เมื่อผลักปร
“เฉินชี ข้าจะกลับไปกับเจ้า ถอยทัพเดี๋ยวนี้” ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาเฉินชีรีบยกมือขึ้นกองทัพแคว้นหลีหยุดรุกคืบเฉินชียื่นมือไปหานาง “เจ้าจะกลับไปกับข้าจริง ๆ ใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนมิหันกลับมามอง แต่ยื่นมือออกไปอย่างเด็ดเดี่ยวเฉินชียกยิ้มอย่างผู้มีชัย แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นขณะดึงลั่วชิงยวนขึ้นหลังม้าด้วยกัน แล้วควบม้าหันหลังกลับไปอย่างองอาจส่วนกองทัพแคว้นหลีก็ถอยทัพทันทีเซียวชูเห็นดังนั้นก็พึมพำ “แคว้นหลีถอยทัพแล้ว เป็นพระชายาที่หยุดสงครามครั้งนี้...”ฟู่เฉินหวนกำมือแน่น เห็นร่างที่พร่ามัวค่อย ๆ หายไป เขาร้อนใจจนอยากจะลุกขึ้น แต่เลือดกลับไหลทะลักออกมาสุดท้ายทุกอย่างก็มืดลง“ท่านอ๋อง!”......เฉินชีมีความสุขมาก เขาควบม้าอย่างรวดเร็วข้างหูของลั่วชิงยวนมีเพียงเสียงลมและเสียงพูดด้วยความตื่นเต้นของเฉินชี “อาเหลา นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าเต็มใจขี่ม้ากับข้า”ลั่วชิงยวนกล่าวด้วยแววตาเย็นชา “ช้าลงหน่อย ข้าปวดหู”เฉินชีก็ชะลอความเร็วลงลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนมาที่นี่ นางกินโอสถจตุรธาตุ ดูเหมือนว่าจะได้ผลกับเฉินชีจริง ๆ“ข้ายังมิอยากกลับแคว้นหลี ข้าต้องร
เสียงกลองศึกดังขึ้นกองทัพแคว้นหลีบุกมาถึงชายแดนอีกครั้งและครั้งนี้ ฟู่เฉินหวนนำทัพออกรบด้วยตัวเองเฉินชีควบม้าอยู่หน้ากองทัพแคว้นหลีเมื่อเห็นฟู่เฉินหวน เขาก็ยกยิ้มเย็นชา “ในที่สุดเจ้าก็มิเป็นเต่าหัวหดแล้ว! ช่างหาได้ยากนัก!”ฟู่เฉินหวนมองเขาด้วยแววตาเย็นชา “นางอยู่ที่ไหน?”เฉินชีหรี่ตาลง ยกยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย “ฆ่าตายไปแล้ว”แววตาของฟู่เฉินหวนเต็มไปด้วยจิตสังหาร“เป็นอย่างไร? จะสู้กับข้าจนตายไปข้างหนึ่งหรือไม่?” ดวงตาของเฉินชีลุกโชน อยากจะลงมือเต็มทีแล้วฟู่เฉินหวนชักกระบี่กระโจนเข้าใส่ในชั่วขณะนั้น เซียวชูก็ใจกระตุกวูบเฉินชียกยิ้มอย่างผู้มีชัย รีบชักกระบี่กระโดดขึ้น วันนี้เขาจะฆ่าฟู่เฉินหวนด้วยมือของเขาเอง!กระบี่ยาวในมือของทั้งสองฟาดฟันกันจนเกิดเสียงดังสนั่นจิตสังหารแผ่ซ่านไปทั่วขณะต่อสู้ ฟู่เฉินหวนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เฉินชี เจ้าคิดว่าใครจะเป็นผู้ชนะ”“ไร้สาระ แน่นอนว่าต้องเป็นข้า! เฉินชีคนนี้มิเคยพ่ายแพ้!” เฉินชีหัวเราะอย่างเย็นชา แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโอหังฟู่เฉินหวนใช้พลังทั้งหมดต้านทานการโจมตีของเฉินชี พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ต่อหน้ากองทัพ หาก
คนที่เขาต้องการฆ่าคือฟู่เฉินหวน!......ในห้องใต้ดินแห่งหนึ่งมีแผนที่แขวนอยู่บนผนัง บนโต๊ะมีแบบจำลองขนาดใหญ่ ที่นี่คือสถานที่สำหรับวางกลยุทธ์ฟู่เฉินหวนที่ใบหน้าซีดเซียวกำลังดื่มชา “แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก...”เซียวชูรีบลูบหลังให้ท่านอ๋อง “ท่านอ๋อง ร่างกายของท่านแย่ลงเรื่อย ๆ อยู่ที่ห้องใต้ดินมิได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ ข้างล่างนี้หนาวเย็นเกินไป”หลังจากที่ฟู่เฉินหวนหยุดไอก็โบกมือ “หากออกไปจะถูกเฉินชีหาเจอ”“เขาเป็นชาวแคว้นหลี มีวิธีมากมายในการตามหาข้า”“มีเพียงที่นี่เท่านั้นที่อยู่ได้ พลังหยินปกปิดพลังหยางจึงหามิพบ”เซียวชูกล่าวอย่างจนใจ “มีเพียงท่านอ๋องเท่านั้นที่คิดวิธีนี้ออก”ที่นี่คือห้องใต้ดินของสัปเหร่อในสุสานเดิมทีห้องใต้ดินนี้ใช้สำหรับเก็บอาหารของสัปเหร่อ ตอนนี้ด้านบนเต็มไปด้วยหลุมศพในห้องใต้ดินนั้นหนาวเย็นมาก อาภรณ์หนาแค่ไหนก็มิสามารถต้านทานความหนาวเย็นได้หนึ่งถึงสองเดือนมานี้ ท่านอ๋องอาศัยอยู่ที่นี่ เพราะต้องหลบหนีการตามล่าของเฉินชีคอยวางแผนในซีหลิงอย่างลับ ๆ และควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดจนถึงตอนนี้ยังมิเคยแพ้ มิเพียงแต่มิให้กองทัพแคว้นหลีบุกเข้าซีหลิงได้เท่านั้น แต่ยั
“จะได้มิต้องกังวล”ลั่วอวิ๋นสี่ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกใจหายดวงตาใต้หน้ากากของนางแดงก่ำ อยากจะพูดบางอย่างออกมาแต่ก็พูดมิออกนางจึงลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบเชียบเมื่ออยู่คนเดียวแล้วก็พิงกำแพงร้องไห้ออกมาเหตุใดญาติพี่น้องของนางจึงต้องจากไปทีละคนลั่วชิงยวนเอนหลังพิงเตียงพลางครุ่นคิด นางรู้ว่าคำพูดนั้นโหดร้าย ทว่าเจ็บแต่จบดีกว่าเจ็บเรื้อรังบางทีในภายภาคหน้านางอาจจะหาวิธีรักษาชีวิตได้ ถึงตอนนั้นค่อยบอกข่าวนี้กับพวกนาง อาจจะเป็นเรื่องน่ายินดีก็เป็นได้หลังจากกินยาแล้วลั่วชิงยวนก็พักผ่อนครึ่งวัน จากนั้นจึงออกเดินทางไปซีหลิงต้องเดินทางอย่างช้า ๆ ร่างกายของลั่วชิงยวนมิสามารถทนต่อการเดินทางไกลได้อีกแล้วจึงต้องหยุดพักบ่อยครั้งในคืนที่แสงจันทร์กระจ่าง ลั่วชิงยวนจะใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ซึ่งพลังที่ดูดซับมาจะทำให้ความเหนื่อยล้าหายไปใช้เวลาประมาณครึ่งเดือนจึงถึงซีหลิงส่วนเฉินชีนั้นเดินทางไปกลับหนึ่งรอบแล้วในวันที่เดินทางถึงซีหลิง ลั่วชิงยวนพักอยู่ที่โรงเตี๊ยม ส่วนฉู่จิ้งรีบไปหาซ่งเชียนฉู่เขาจึงแยกทางกับพวกนางลั่วชิงยวนคิดว่าควรจะให้ลั่วอวิ๋นสี่กลับไปได้แล้ว จึงให้จือเฉ
บัดนี้การต่อสู้ระหว่างทั้งสองกองทัพหยุดลงแล้ว แต่ยังคงอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียดต่อไปถึงแม้ว่าเฉินชีอยากจะฆ่าฟู่เฉินหวน แต่ก็มิยอมให้คนของตัวเองตายอย่างสูญเปล่าหากพูดถึงกลยุทธ์ แม้แต่เฉินชียังต้องยอมรับว่าฟู่เฉินหวนเก่งกาจมาก ถือเป็นศัตรูที่แข็งแกร่งการจะฆ่าเขานั้นมิใช่เรื่องง่ายดังนั้นจึงหยุดรบก่อนแล้วค่อยหาโอกาสหลายวันมานี้ เขาปลอมตัวเข้าไปในซีหลิงเพื่อสืบข่าวและสังเกตการณ์การป้องกันของซีหลิงแต่การป้องกันของซีหลิงนั้นแปลกประหลาด เพราะมิเห็นเลยว่าคนอยู่ที่ไหน มิรู้ว่าที่ใดมีกำลังพลมาก ที่ใดมีกำลังพลน้อยแม้แต่ร่องรอยของฟู่เฉินหวนก็ยังมิแน่นอนเขาคิดว่าตัวเองสามารถเข้าไปในซีหลิงได้โดยไม่มีใครรู้ บนใต้หล้านี้มีน้อยคนนักที่จะมีวรยุทธ์สูงส่งเทียบเท่าเขาแต่กลับหามิพบแม้กระทั่งที่ซ่อนของฟู่เฉินหวนมีค่ายประจำการอยู่มิน้อย แต่เฉินชีก็ดูออกว่าทั้งหมดล้วนเป็นภาพลวงตาที่ใช้หลอกล่อเขาวันนี้เฉินชียังคงเดินไปมาในซีหลิงเพื่อสำรวจไปรอบ ๆ และทันใดนั้นก็ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งเมื่อเห็นเนื้อความในจดหมาย สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปก่อนจะรีบควบม้าออกไปทันที......อากาศกลับมาหนาวเย็น ล
“ท่านแม่... ท่านอย่าทิ้งข้าไปอีกเลย ท่านไปที่ใด ข้าก็จะไปที่นั่น!”เมื่อจือเฉาได้ยินดังนั้นก็ตกใจฉู่จิ้งเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ“เจ้ามีลูกชายโตถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”เสียงนี้ฟังดูแล้วน่าจะอายุมากกว่าลั่วชิงยวนเสียอีกลั่วชิงยวนกล่าวอย่างจนใจ “ก็... อยู่ ๆ ก็มี...”หลังจากกล่าวจบ นางก็มองไปที่ลั่วอวิ๋นสี่ “ตอนนี้วรยุทธ์ของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? มิต้องการเขาแล้วใช่หรือไม่?”ลั่วอวิ๋นสี่พยักหน้า “แข็งแกร่งขึ้นมากแล้ว น่าจะปกป้องพี่หญิงได้แล้ว”“ส่วนเตี่ยฉุย ให้เขาตามเจ้าไปเถิด”ลั่วชิงยวนตอบรับ “ได้ เมื่อไปถึงซีหลิงแล้วข้าจะหาวิธีพาเขาออกมา”......ลั่วฉิงถูกขังอยู่ในวงเวท พยายามดิ้นรนออกไป แต่ก็ออกไปมิได้วงเวทนี้ขังนางไว้อย่างแน่นหนาเมื่อเห็นเลือดถูกดูดออกไปจากร่าง ลั่วฉิงก็รู้สึกหวาดกลัวอย่างมากนางจะตายที่นี่มิได้!นางรอแล้วรอเล่า ในที่สุดเมื่อฟ้าเริ่มสางก็มีคนเดินผ่านมาลั่วฉิงราวกับพบเจอผู้ช่วยชีวิต นางนอนคว่ำอยู่บนพื้น แล้วยื่นมือออกไป “ช่วยข้าด้วย...”ชายที่แบกจอบตกใจ รีบนั่งยอง ๆ และกล่าวถาม “แม่นาง เจ้าเป็นอะไร? จะไปหาหมอหรือไม่?”ลั่วฉิงเห็นเขาเข้ามาในเ
ร่างนั้นขวางหน้าลั่วฉิงไว้แล้วเข้าโรมรันต่อสู้กับลั่วฉิงหลังจากปะทะกันหลายกระบวนท่า ถึงแม้จะเสียเปรียบเล็กน้อย แต่ก็สามารถขวางลั่วฉิงไว้ได้ลั่วชิงยวนถือเข็มทิศตามหาตำแหน่งของฉู่จิ้งเมื่อเห็นการต่อสู้ที่ดุเดือดก็ตกใจเล็กน้อย แล้วรีบวิ่งเข้าไปปลดวงเวทปล่อยตัวฉู่จิ้งออกมาเมื่อลั่วฉิงเห็นลั่วชิงยวนมาก็พลันตกตะลึง และถูกฝ่ามือตบจนกระเด็นไปหลายเมตรนางเงยหน้าขึ้นด้วยความตกใจ “ลั่วชิงยวน เจ้านี่เอง!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “วงเวทของเจ้ายังอ่อนหัดนัก”“ข้าจะมอบให้เจ้าอีกหนึ่ง”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลง หยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมา“นองเลือดแปดทิศ!”ทันใดนั้น วงเวทสีทองที่ใหญ่โตมโหฬารพลันผุดขึ้นแผ่ขยายไปบนท้องฟ้าปกคลุมลั่วฉิงไว้ลั่วฉิงอยากจะหนี แต่หนีมิพ้นนางกางมือออก เห็นเหมือนเส้นไหมสีแดงลอยขึ้นมาจากฝ่ามือถูกวงเวทดูดเข้าไปจากนั้นนางก็ตระหนักได้ด้วยความตกใจว่า นี่คือเลือดของนาง!ลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ภายในเจ็ดวัน เจ้าจะกลายเป็นศพแห้ง”“เดิมทีข้าเห็นแก่มิตรภาพแห่งสำนัก จึงจะไว้ชีวิตเจ้า แต่เจ้ากลับรบกวนข้ามิเลิก กัดมิยอมปล่อย”“เจ้าต้องการเข็มทิศอาณัติสวรรค
แต่ลั่วชิงยวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า ในดวงตามีเพียงความเย็นชามือกำกริชแน่น“ไม่มีใครอยากเป็นนักโทษของผู้อื่น หม่อมฉันก็เช่นกัน”“มาถึงขั้นนี้ ท่านกับหม่อมฉันก็เป็นศัตรูกันแล้ว”“อย่ามาใช้น้ำเสียงเหยียดหยามมาสั่งหม่อมฉันอีก”“หม่อมฉัน ลั่วชิงยวน มิเกี่ยวข้องอะไรกับท่านอีกต่อไป!”กล่าวจบ ลั่วชิงยวนก็คว้าปอยผมมาตัดขาดทันใดแล้วปล่อยให้ปลิวไปในอากาศ“หม่อมฉันตัดด้ายที่ผูกพันท่านกับหม่อมฉันด้วยมือของหม่อมฉันเอง นับจากนี้เราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันเท่านั้น”“หากท่านยังมารบกวนอีก หม่อมฉันจะฆ่าท่านโดยมิลังเล”ใต้ความมืดมิดยามรัตติกาล แววตาของลั่วชิงยวนช่างเย็นชาเหลือเกินแววตาที่มิคุ้นเคยราวกับมองคนแปลกหน้า ในดวงตาไม่มีความรักใคร่หลงเหลืออยู่อีกแล้วการตัดครั้งนี้ถือว่าตัดความอาลัยทั้งหมดของนางแล้วนับจากนี้ นางจะมิหันหลังกลับไปอีก!ลั่วชิงยวนก้าวเท้าเดินจะจากไปแต่ฟู่เฉินหวนกลับพุ่งเข้ามา คว้าไหล่ของนาง หมายจะบีบคอเพื่อควบคุมนางพลังที่รุนแรงทำให้นางรู้สึกกดดัน พยายามหลบหลีกอย่างสุดกำลังร่างกายของนางตอนนี้มิอาจสู้กับฟู่เฉินหวนได้เลย ลั่วชิงยวนจึงได้แต่ใช้กลอุบายถอยหลั