เป็นไปได้อย่างไร?!ใต้หล้านี้ นอกจากลิ่นฝูเสวี่ยแล้วจะยังมีผู้ใดที่สามารถแสดงรำเทพที่สมบูรณ์ได้อีกหรือ?!แม้แต่ตัวนางเองก็ได้เรียนรู้ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น!เป็นลิ่นฝูเสวี่ยที่กลับมาจากความตายหรืออย่างไร? เป็นไปไม่ได้! มันเป็นไปไม่ได้!การแสดงจบลงแล้วภายในโถงกว้างเงียบราวกับสามารถได้ยินเสียงเข็มหล่นได้เกิดความเงียบขึ้นครู่หนึ่งก่อนที่จะมีเสียงปรบมือดังกึกก้องดังขึ้นตามมา“งดงามยิ่ง! นี่สิ รำเทพเหมันต์ของจริง!”แม้แต่ฟู่จิ่งหลีก็ลุกขึ้นจากที่นั่งของตนอย่างมีความสุขไม่น้อย ก่อนเอ่ยอย่างฝีปากกล้า “แม่นางฝูเสวี่ยเก่งกาจสมคำร่ำลือจริง ๆ! ข้ายังชมการร่ายรำไม่จุใจเลย ข้าจักขอถามแม่นางฝูเสวี่ยว่าจะสามารถร่ายรำอีกสองสามครั้งได้หรือไม่?”“วันนี้ ข้าจะดูแลเรื่องเครื่องดื่มและของว่างทั้งหมดในหอฝูเสวี่ยเอง!”ท่าทางใจป้ำเช่นนี้ทำให้เกิดเสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นเร้าใจในหอฝูเสวี่ยแม่เล้าเฉินมีความสุขมาก “เพคะ หม่อมฉันขอบพระทัยองค์ชายเจ็ดแล้ว!”ฟู่จิ่งหานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะในขณะที่เขานั่งอยู่บนที่นั่งของเขา กวักมือเรียกเครื่องเคียงและสุราดี ๆ “องค์ชายเจ็ดผู้นี้เอื้อเฟื้อนัก หากข้าม
ลิ่นฝูเสวี่ยกลับเอ่ยอย่างซาบซึ้ง “หากวันหนึ่งข้าจากท่านไป ข้าจักไปบอกแม่ในภพชาติใหม่ของท่านว่ามิเสียแรงที่นางคลอดบุตรีอย่างท่านมา!”ได้ยินดังนี้ แววตาของลั่วชิงยวนมืดครึ้มลง “ยายเฒ่าเจ้าเล่ห์!”ลิ่นฝูเสวี่ยเล่าเรื่องท่านแม่ให้นางฟังทุกครั้ง แต่กลับมิเคยพูดจุดสำคัญสักครั้งลั่วชิงยวนรู้ว่าก่อนที่อีกฝ่ายจะทำเรื่องในใจสำเร็จ ไม่มีทางบอกข่าวใดกับนางแน่แต่นางเองก็ไม่บังคับ เพราะการที่ลิ่นฝูเสวี่ยขึ้นแสดงก็สามารถนำมาซึ่งรายรับด้านการเงินผู้ใดจะคิดว่าเงินมากไปกันวันนี้ฟู่จิ่งหลีเหมาหอ เมื่อได้ยินข่าวนี้ ชาวบ้านต่างมาที่หอฝูเสวี่ยคนในหอฝูเสวี่ยยิ่งอยู่ยิ่งมากเสียงพิณไพเราะดังขึ้น กลีบดอกไม้ค่อย ๆ ร่วงโรย อาภรณ์สีแดงลอยขึ้นจากนั้นสยายลงพื้นดึงดูดสายตาของผู้คนในทันทีภายในหอเงียบลงทันใด เชยชมการร่ายรำงดงามนี้กันอย่างสงบฟู่จิ่งหานมองอย่างหลงใหล และดื่มด่ำกับการเต้นรำกระทั่งฟู่เฉินหวนยังถูกร่างนั้นดึงดูด ละสายตาออกมิได้แม้แต่นิดโดยเฉพาะสายตาของนาง บางครั้งก็ยั่วยวน บางครั้งก็เฉียบคม ราวกับมีสองคนในหนึ่งร่างลึกลับเสียจนทำผู้คนอยากเปิดหน้ากากนางออก เพื่อชมโฉมจริงลั่วชิงยวนร
วินาทีนั้นสีหน้าของฟู่เฉินหวนก็เปลี่ยนไปเช่นกันเขาจับข้อมือของนางไว้อย่างแรง และใช้แขนโอบเอวของนางไว้ลั้วชิงยวนรู้สึกเพียงขาของนางลอยขึ้น และเหยียบลงพื้นอย่างมั่นคงนางชะงัก เงยหน้ามองบุรุษตรงหน้าจู่ ๆ หัวใจนางก็เต้นถี่ระรัวขึ้นฟู่เฉินหวนเองก็มองตาของนาง วินาทีนั้นเขาขมวดคิ้วขึ้นอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกคุ้นเคย คุ้นเคยมากเกินไปลั่วชิงยวนรีบสลัดมือของเขาออก “ขอบคุณเจ้าค่ะคุณชาย”ฟู่เฉินหวนได้สติ มุมปากของเขากระตุกเป็นรอยยิ้ม “แม่นางฝูเสวี่ยไยต้องเกรงใจ เราก็มิได้เจอกันครั้งแรกเสียหน่อย”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยตอบ ฟู่เฉินหวนเข้าใกล้นาง ต้องมีสาเหตุแน่ ๆ นางคิดไม่ออก ไฉนมิว่านางจะทำสิ่งใด ต่างต้องเกี่ยวโยงกับฟู่เฉินหวน“แม่นางฝูเสวี่ยกำลัง…”สายตาของฟู่เฉินหวนตกลงบนมีดสั้นในมือนางลั่วชิงยวนหันหน้ามองบุรุษอีกด้านด้วยสายตาดุดัน “ไสหัวออกไป!”บุรุษเผยยิ้ม “เข้าใจผิด ทั้งหมดนี้เป็นเพียงการเข้าใจผิด อย่าจริงจังเสียเลยแม่นางฝูเสวี่ย”ลั่วชิงยวนยังมิทันเอ่ยปากร่างที่อยู่ข้างกายกลับเดินขึ้นหน้าก้าวยาว จากนั้นเขาจับคอเสื้อของบุรุษผู้นั้นและเตะออกนอกห้องในทันทีตามด้วยเสียงตู้ม บุ
ซิ่งอวี่ปิดประตูห้อง หวีผมให้นางลั่วชิงยวนจึงเอ่ยถาม “เจ้ารู้จักใต้เท้าหลิวหรือไม่?”ซิ่งอวี่เอ่ยตอบ “เขาเป็นโรคจิตชื่อดังของหอนางโลมเลยเจ้าค่ะ แม่นางที่เขาเคยได้เขามิเอาเป็นรอบที่สอง เพื่อสนองความอยากรู้ก็เท่านั้น”“ฮูหยินตระกูลเขาเข้มงวดมาก เขาจึงปรากฏในหอนางโลมมิบ่อยนัก ส่วนมากจะแอบติดต่อให้แม่เล้าส่งนางโลมไปให้ที่จวนเขา”“อีกอย่างเขาเรื่องมากนักหนา ที่ขอไปมีแต่หน้าตาชั้นยอด”ลั่วชิงยวนได้ยินจึงเอ่ยถามอีก “เขาเป็นข้าหลวงใดหรือ”ซิ่งอวี่ไตร่ตรองและเอ่ยตอบ “เหมือนจะทำงานในกรมพระคลัง ตำแหน่งมิสูง แต่เหมือนเบื้องหลังเขาจักมิธรรมดา”“ข้าหลวงหลายท่านที่ตำแหน่งสูงกว่าเขายังเคารพเขาเลย”ลั่วชิงยวนพยักหน้าอย่างไตร่ตรอง“จริงด้วย ฟู่จิ่งหลียังอยู่ไหม?”“อยู่เจ้าค่ะ องค์ชายเจ็ดช่างใจป้ำนัก แค่เงินตกรางวัลก็ให้มาหลายร้อยตำลึงแล้ว”“หากเขามาบ่อยกว่านี้ล่ะก็ หอฝูเสวี่ยเราคงรุ่งโรจน์ขึ้นทุกวันเป็นแน่!”ซิ่งอวี่ดีใจเป็นที่สุด จนแทบอยากจะบูชาเทพแห่งโชคลาภท่านนี้ไว้ในกำมือเมื่อลั่วชิงยวนเปลี่ยนชุดเสร็จนางก็จากไปทางเรือนหลัง และอ้อมมาทางด้านหน้าอีกครั้ง เพื่อใช้ตัวตนของฉู่ลั่วเข้าหอฝูเส
ฟู่จิ่งหลียกจอกเหล้าขึ้น คำนับฟู่เฉินหวนลั่วชิงยวนหันหน้าไปหาฟู่เฉินหวน ดูการตอบสนองของเขาหลังจากรู้เรื่องนี้ฟู่เฉินหวนตะลึงไปครู่หนึ่งจริง ๆ แต่เขาก็ยังยกจอกดื่มกับฟู่จิ่งหลีด้วยสีหน้าเฉยเมย“มิเป็นไร เรื่องนี้มันผ่านไปแล้ว”ในใจลั่วชิงยวนรู้สึกอึดอัดเป็นที่สุดอย่างที่คิดฟู่เฉินหวนมิสนใจว่าภาพนั้นมันจริงหรือปลอม เขาเพียงแค่อยากใช้สิ่งนี้ข่มขู่มิให้นางไปช่วยลั่วไห่ผิงทั้งหมดนี้เป็นเพียงวิธีของเขาท่านอ๋องสำเร็จราชการแห่งแคว้นเทียนเชวีย นางสู้มิไหวจริง ๆ “แม่นางฝูเสวี่ยเล่า?” ฟู่เฉินหวนเงยหน้ามองดูทีหนึ่งฟู่จิ่งหลีและฟู่จิ่งหานเองก็มองตามเช่นกันฟู่จิ่งหลียกจอกเหล้าขึ้นพร้อมเอ่ยพูดช้า ๆ “นางคงจะไปแล้ว ร่ายรำมาทั้งวันคงเหนื่อยล้าน่าดู”ฟู่จิ่งหานยิ้มแซว “ไหนว่าเสด็จพี่สามมิสนใจเสน่ห์หญิงไง? เหตุใดจึงหลงแม่นางฝูเสวี่ยเสียแล้ว?”“ข้าบอกแล้วว่าเสด็จพี่น่ะสนใจ เสด็จพี่ยังมิยอมรับอีก!”ฟู่จิ่งหานอยากให้ฟู่เฉินหวนสนใจเสียเหลือเกิน เช่นนี้เสด็จพี่สามจักได้ออกวังเป็นเพื่อนเขาบ่อย ๆ ได้ยินถึงตรงนี้ ฟู่จิ่งหลียักคิ้วพร้อมเอ่ยถาม “หรือว่าเสด็จพี่สามสนใจจริงน่ะ? ข้าช่วยเสด็จพี
นางปรุงยามาทา บรรเทาอาการคันไปได้เล็กน้อยจู่ ๆ ได้ยินเสียงเคาะประตูจากนอกเรือน ลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อย นางรีบใส่เสื้อให้เรียบร้อยเมื่อจือเฉาไปเปิดประตูเรือนนางเอ่ยขึ้นอย่างตะลึง “ท่านอ๋อง!”ลั่วชิงยวนได้ยินเสียงนี้ ก็ขมวดคิ้วขึ้นโดยไม่รู้ตัวนางนั่งหันหลังให้ทางประตู ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักแน่นนั้นส่งมาพร้อมกับกลิ่นเหล้าเจือจาง“บาดแผลของเจ้าหายดีหรือยัง?” เบื้องหลังมีเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นลั่วชิงยวนรู้สึกถึงความห่วงใยจากในน้ำเสียงของเขา“ขอบคุณท่านที่ยังอุตส่าห์จดจำบาดแผลหม่อมฉัน หากท่านอ๋องมิหาเรื่อง บาดแผลของหม่อมฉันย่อมฟื้นฟู” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนมิพอใจฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วรู้ทั้งรู้ว่านางมักพูดจาเหน็บแนม แต่เขาเองก็มิรู้ว่าเหตุไฉนต้องมาหานาง!คิดถึงครั้งนี้ที่เขาเป็นฝ่ายเข้าใจนางผิดจริง ๆ หนำซ้ำยังข่มขู่ให้นางรักษาลั่วไห่ผิงอีก ในใจนางย่อมรู้กริ้วโกรธเป็นธรรมดา จึงมิได้ถือสากับนางเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสงบ “วันพรุ่งข้าให้หมอกู้มาจับชีพจรให้เจ้า”ทันทีที่สิ้นเสียง ลั่วชิงยวนหันไปพูดกับเขาด้วยคำพูดคมคาย “ท่านอ๋องเห็นว่าหม่อมฉันตายช้าไปงั้นหรือ?”ประโยคนี้ทำฟู่เฉินหวนเกิดโทสะ
“สิ่งนี้คือกระไร?”ซ่งเชียนฉู่ให้บ่าวยกเข้ามาในเรือน “ระวังหน่อย อย่าชนล่ะ”นางไปลองเทียบกับประตู พบว่าใส่ไม่เข้า นางจึงเอ่ยสั่ง “ถอดประตูทิ้งเสีย”ลั่วชิงยวนตะลึง “นี่เจ้า…”ซ่งเชียนฉู่ตบปลอบที่บ่านาง ให้นางมิต้องรีบร้อนจากนั้น พวกเขาก็ถอดประตูทิ้งจริง ๆ พวกเขายกถังไม้ยักษ์นั้นเข้าไปในห้อง และหาคนมาติดประตูกลับเช่นเดิมในห้องของลั่วชิงยวนจึงมีถังไม้ยักษ์เข้ามาเพิ่ม“เอาไว้ทำกระไรกัน? อาบหรือ? ต้องใช้ใหญ่เช่นนี้เชียว?” เมื่อบ่าวจากไปหมด ลั่วชิงยวนจึงเอ่ยถามอย่างสงสัยซ่งเชียนฉู่ให้จือเฉาไปเฝ้าไว้ที่หน้าห้อง นางค่อยควงลั่วชิงยวนพร้อมกล่าว “ให้ท่านแช่ยาสมุนไพร”“อากาศร้อนเช่นนี้ อย่างไรท่านก็ต้องผอม มิสามารถใส่หนาเช่นนี้ไปได้ตลอด หากอากาศร้อนอบอ้าวจะทำเช่นไร?”“ท่านอ๋องเชิญข้าให้มารักษาโรคให้ท่านพอดี ข้าจึงใช้โอกาสนี้ ให้ท่านค่อย ๆ ผอมลง”“อีกอย่างท่านวางใจเถอะ สมุนไพรที่ข้าใช้ให้ท่านต้องเป็นยาสมุนไพรที่ดีที่สุดแน่ ดีต่อร่างกายของท่าน”“แต่ว่า สมุนไพรของเจ้าพอหรือ?”อาบยาสมุนไพรอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือน สมุนไพรคงมิพอสำหรับการสิ้นเปลืองเช่นนี้“มิต้องห่วง ข้าส่งจดห
ลั่วชิงยวนเดินไปดูที่ริมทางเดิน พบว่าใต้เวทีกลมนั้นเต็มไปด้วยหีบไม้ซึ่งจัดวางกันไว้อย่างเป็นระเบียบฟู่จิ่งหลีไขว้ขาพิงเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน เห็นนางที่ทิศไกล เขาจึงยักคิ้วและยิ้มเอ่ย “ในที่สุดก็รอจนแม่นางฝูเสวี่ยมาเสียที”“เหล่านี้ เป็นของกำนัลที่ข้าเตรียมไว้ให้กับแม่นาง มิรู้ว่าแม่นางชอบหรือไม่”เพิ่งสิ้นเสียง กล่องหีบก็ถูกเปิดออกอย่างพร้อมเพรียงแสงทองแสบตาประกายจ้าแวววับเสียจนผู้คนต่างพากันหลับตาทองหมดเลย!รอบด้านกระหน่ำไปด้วยเสียงตะลึง พวกเขาต่างตกใจเป็นอย่างยิ่งเสียงของฟู่จิ่งหลีดังขึ้น “นี่คือเครื่องประดับทองหมื่นชิ้นที่ข้าหล่อหลอมเพื่อแม่นางฝูเสวี่ย”“มิทราบว่าแม่นางฝูเสวี่ยชอบสิ่งใด แต่มิว่าใบไม้บุปผาหรือนกปลาหงส์มังกร ข้าต่างหลอมไว้หมดแล้ว เชื่อว่าในเครื่องประดับหมื่นชิ้น ต้องมีสักชิ้นถูกใจแม่นาง”ในใจลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงเป็นอย่างมากเครื่องประดับทองหมื่นชิ้น!ใจป้ำสุด ๆ!หากพูดให้น่าฟังก็คือใจกว้างแต่พูดให้มิน่าฟังก็คือลูกล้างผลาญนางสงสัยมากจริง ๆ สรุปว่าตาของฟู่จิ่งหลีทิ้งทรัพย์สินไว้ให้เขาเท่าใดกันแน่ เขาจึงใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายได้อย่างไร้กังวลเช่นนี้“
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้