”หลังจากมอบเรือนหลังนั้นให้เถ้าแก่ร้านข้าง ๆ เอาไปขายก็ย้ายออกไปวันนั้นเลย ไม่มีความเคลื่อนไหวหน้าเรือนหลังนั้นเลย ตอนเย็นถึงได้มีคนเข้าไปตรวจสอบดู” “ตอนที่ข้าเข้าไปยามค่ำคืน ทั้งตระกูลก็จมอยู่ใต้ถังน้ำแล้ว” เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็จิตใจสั่นสะท้าน นางจำได้ว่าคราที่ลิ่นฝูเสวี่ยพูดจา ลมหายใจของนางกลับแผ่กลิ่นอายเยียบเย็น ตอนนี้พบศพของทั้งตระกูลอยู่ในน้ำก็บ่งบอกได้ว่าเรื่องราวเกี่ยวโยงสัมพันธ์กัน “ท่านลุง ท่านทราบรายละเอียดหรือไม่?” ลั่วชิงยวนถาม ท่านลุงยกกาน้ำชาขึ้นมารินชาร้อนสองถ้วย จากนั้นก็ค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “เจ้าของคฤหาสน์หลังนั้นเป็นพ่อค้าวาณิชย์จากนอกเมือง เดิมทีซื้อคฤหาสน์หลังนี้เอาไว้เพื่อสะดวกในการติดต่อค้าขาย ผู้คนบนถนนสายนี้ต่างเรียกเขาว่าคหบดีหลี่” “เมื่อปีนั้น เขาหลงรักคณิกานางหนึ่งในหอนางโลมตั้งแต่แรกพบ ทั้งยังทุ่มเงินมหาศาลเพื่อไถ่ตัวนางออกมา โดยไม่สนใจข่าวลือจากภายนอก จากนั้นก็แต่งนางเข้ามาอย่างยิ่งใหญ่สมฐานะ” “ยามนั้นเจ้าจักได้ยินเสียงภรรยาของเขาร้องรำทำเพลงอยู่ในเรือนอยู่เสมอ” “แต่ผู้ใดจะรู้เล่าว่าคหบดีหลี่จะแต่งภรรยาอยู่ที่บ้านเกิดแล้ว เมื่อภรรยาเ
“เฮ้อ โชคชะตาช่างเล่นตลกกับผู้คน!” ครั้นหอสมุทรมรกตรุ่งเรืองเฟื่องฟู ลั่วชิงยวนยังไม่ถือกำเนิด ดังนั้นนางย่อมไม่มีความทรงจำเรื่องนั้นอยู่เลย แต่เมื่อได้ยินท่านลุงเล่าเรื่องนั้นและเห็นแววตาเร่าร้อนของเขา ไม่ว่าผู้ใดก็ย่อมนึกออกว่ายามนั้นถนนสายนี้คึกคักและเจริญรุ่งเรืองมากเพียงใด ลั่วชิงยวนกับท่านลุงนั่งอยู่ในลานแล้วพูดคุยกันจวบจนรุ่งอรุณยังไต่ถามเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับหอสมุทรมรกต นางยังได้รู้อีกว่าท่านลุงผู้นี้แซ่ฟ่าน เขาเองก็มาที่เมืองหลวงเพราะหลงใหลในตัวลิ่นฝูเสวี่ย ในที่สุดเขาก็ซื้อร้านที่นี่เพื่อจะได้ใกล้ชิดกับลิ่นฝูเสวี่ยมากขึ้น ทว่าลิ่นฝูเสวี่ยกลับประสบอุบัติเหตุจนสิ้นชีพ ยามนั้นถนนสายนี้คึกคักยิ่งนัก มีรถม้าของขุนนางชั้นสูงวิ่งกันขวักไขว่อยู่ทุกวี่ทุกวัน จากนั้นสตรีทั้งหลายก็จะเข้ามาดีดพิณและร่ายรำกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้นยามที่ลิ่นฝูเสวี่ยถูกรับตัวไปจึงหามีผู้ใดคิดว่ามีอะไรแปลก ๆ ไม่ แต่หลังจากคราวนั้นนางก็มิได้กลับมาอีกเลย ท่านลุงฟ่านเป็นคนจิตใจดี หากมีผู้ใดบังเอิญเผลอเข้าไปในเรือนหลังนั้น เขาก็จะช่วยเหลือคนเอาไว้ หลังจากผ่านมานานหลายปีขนาดนั้น เขากลั
วันนั้นลั่วชิงยวนสั่งให้คนมาทำความสะอาดทั้งภายในและภายนอกเรือน พร้อมแขวนโคมไฟเอาไว้หน้าประตูและลานเรือน เมื่อปราศจากภาพลวงตา เรือนก็แลดูใหญ่โตโอ่อ่าเหมือนกับที่เห็นเมื่อคืนนี้ เนื่องจากมีความเคลื่อนไหวไม่น้อยจึงเป็นที่รู้กันไปทั่วถนนทั้งสาย ช่วงกลางวันในเรือนหามีความเคลื่อนไหวอันใด ลั่วชิงยวนกวาดสายตามองไปรอบ ๆ ก็หาทราบไม่ว่าคนไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ตกกลางคืน ลั่วชิงยวนก็มาที่ประตูเรือนอีกครั้ง แต่คราวนี้นางมิได้พาซ่งเชียนฉู่มาด้วย เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายอาจจะหวาดกลัวได้ ลมราตรีหอบหนึ่งพัดพาความเหน็บหนาวมาเล็กน้อย จากนั้นประตูก็เปิดดังเอี๊ยดราวกับต้อนรับนางให้เข้ามา ลั่วชิงยวนก้าวเดินเข้ามาในลานเรือนด้วยฝีเท้ามั่นคง นางได้ยินเสียงของลิ่นฝูเสวี่ยกำลังร้องเพลงจากเรือนชั้นในแล้วค่อย ๆ เดินเข้าไป ยังคงเป็นเวทีทรงกลม ดังเช่นเมื่อคืนนี้ คนที่อยู่บนเวทีกำลังร้องรำทำเพลงราวกับมีผู้ชมอยู่ ลั่วชิงยวนมัวแต่ครุ่นคิด ทว่าชั่วครู่ต่อมา ความเหน็บหนาวก็ไต่ขึ้นมาตามแผ่นหลังของนางแล้วนิ้วมือเย็นเฉียบก็ค่อย ๆ วางลงบนไหล่ของนาง ลมหายใจหอมกรุ่นราวดอกกล้วยไม้เอ่ยกระซิบว่า “คุณชาย มาเต้นรำกันเถอะเ
เมื่อเห็นว่านางไม่มีเจตนาจะต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด งูยักษ์ก็ค่อย ๆ อันตรธานหายไปท่ามกลางความมืด เมื่อพลังกดดันวิญญาณรอบตัวสลายไป ลิ่นฝูเสวี่ยก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วมองลั่วชิงยวนด้วยสายตาหวาดระแวง อีกฝ่ายไม่คาดคิดเลยว่าแม่นางน้อยจะมีผู้ช่วยเหลือที่แข็งแกร่งเช่นนั้น อีกฝ่ายหาทราบไม่ว่าแม่นางน้อยอย่างนางจะสามารถควบคุมงูยักษ์ตนนั้นได้ ลั่วชิงยวนค่อย ๆ ก้าวเดินเข้ามาหา แต่ลิ่นฝูเสวี่ยกลับถอยหลังไปสองก้าวอย่างระวังระไว ราชันย์อสรพิษทำเอาอีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาจริง ๆ เสียแล้ว นับเป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ ถึงแม้ว่าลิ่นฝูเสวี่ยจะมีชีวิตอยู่มานานหลายปี แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับอายุและตบะของราชันย์อสรพิษ นางไม่ต้องออกแรงก็จัดการกับลิ่นฝูเสวี่ยได้แล้ว “แม่นางหลิน ไม่ต้องกลัว” ลั่วชิงยวนเดินเข้ามาอีกก้าว แต่ลิ่นฝูเสวี่ยกลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ข้าจักไปคืนนี้แหละ ข้ามิต้องการเรือนหลังนี้อีกต่อไปแล้ว” ลิ่นฝูเสวี่ยเอ่ยพลางเหลือบมองเรือนหลังใหญ่ สายตาของนางเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมพร้อมใจ ลิ่นฝูเสวี่ยคิดว่าลั่วชิงยวนจะขับไล่นางไป เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้เข้าก็ยิ้มขึ้นมา
ลั่วชิงยวนกำหมัดแน่น ความทรงจำของนางคงอยู่ตอนอายุสิบสามปีเท่านั้น จากนั้นนางก็นึกอันใดมิออกแล้ว มิหนำซ้ำนางยังจำชื่อมารดาของตนมิได้เสียด้วยซ้ำไป นางถึงขนาดถามท่านป้าลั่วหรงและคนที่น่าจะรู้จักมารดาของตน แต่ก็หามีผู้ใดล่วงรู้ชื่อมารดาของลั่วชิงยวนไม่ เนื่องจากนางเป็นฮูหยินอัครมหาเสนาบดี คนภายนอกจวนจึงเรียกนางว่าฮูหยินลั่ว “ข้าจำชื่อนางมิได้ก็จริง แต่ทุกคนเรียกนางว่าฮูหยินลั่ว นางเป็นฮูหยินของลั่วไห่ผิง” เมื่อลิ่นฝูเสวี่ยได้ยินเช่นนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีอยู่บ้าง “ท่านถามถึงนางไปเพื่ออันใดกัน?” ลั่วชิงยวนรู้สึกตกตะลึง “เจ้ารู้จักนางด้วยรึ?!” ลิ่นฝูเสวี่ยเลิกคิ้วแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้ารู้จักนาง” “ไม่เพียงพวกเรารู้จักกัน แต่พวกเรายังค่อนข้างสนิทสนมกันด้วย” ลั่วชิงยวนหัวใจบีบรัด นางกำลังจะได้ทราบเรื่องของมารดาตนเองแล้ว หรือว่ามารดาของลั่วชิงยวนจะเป็นนายหญิงของอีกฝ่าย? “เช่นนั้น…” ลั่วชิงยวนอดรนทนไม่ไหวจนต้องถามออกมา แต่ลิ่นฝูเสวี่ยกลับค่อย ๆ ยิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าไม่ทำการค้าที่ขาดทุนหรอกนะ หากท่านปรารถนาสิ่งใดจากข้า ท่านก็ต้องมอบสิ่งที่ข้าปรารถนาเป็นการแลกเปลี่ยน” “มิฉ
“ตามที่เจ้าว่ามา เจ้าคงสนิทสนมกับท่านแม่ของข้ามาก ไฉนเจ้าถึงมิบอกข้า? นางตายไปแล้ว เจ้ามิอยากรู้หรือว่านางตายเช่นไร?” ลิ่นฝูเสวี่ยเงยหน้าพลางหัวเราะแล้วค่อย ๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “ตอนนี้ข้าเองก็เป็นคนตายเหมือนกันนะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” “เช่นนั้นมารดาของข้าก็…” ลั่วชิงยวนหัวใจบีบรัด ลิ่นฝูเสวี่ยเดินกรีดกรายด้วยท่าทีไม่รีบร้อน “ผู้ที่มีความยึดติดลึกล้ำจักมีจุดจบดั่งเช่นตัวข้า แต่ความยึดติดของมารดาท่านอาจหาใช่การมีชีวิตอยู่ก็เป็นได้” “หาใช่การมีชีวิตอยู่กระนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วแล้วรีบถามว่า “นั่นมันเรื่องอันใดกัน? เจ้ารู้ว่ามารดาของข้าตายได้อย่างไรใช่หรือไม่?” แต่ลิ่นฝูเสวี่ยกลับยกยิ้มมุมปากด้วยท่าทีเปี่ยมเสน่ห์ “ข้าบอกไปแล้ว ข้าเป็นคนทำมาค้าขาย หากท่านปรารถนาสิ่งใดจากข้า ท่านก็ต้องมีเงื่อนไขมาแลกเปลี่ยน” ลั่วชิงยวนรู้สึกหน่วงอยู่ในอก นายหญิงตายไปแล้ว มิหนำซ้ำลูกสาวของนายหญิงก็ตายไปด้วย จากนั้นนางก็มาเกิดใหม่ในร่างลูกสาวของนายหญิง เรื่องทั้งหมดนี้ล้วนเป็นโชคชะตากระนั้นหรือ? นายหญิงตายได้อย่างไร? นางจะต้องรู้ให้จงได้! “ก็ได้ ข้าจักให้เจ้ายึดร่างของข้า!” “แต่มาทำความเข้าใ
ลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้าง “ท่านอ๋องมาแต่เช้าถึงเพียงนี้ ใช่เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” ฟู่เฉินหวนมองเข้าไปข้างในพลางกล่าวว่า “วันนี้ตัวข้ามาหาแม่นางซ่ง” “แม่นางซ่งยังมิตื่น ท่านอ๋องประสงค์สิ่งใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ลั่วชิงยวนถาม ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าอยากซื้อโอสถ!” “แม่นางซ่งมีเครื่องยาสมุนไพรล้ำค่าอยู่มากหลาย ตัวข้าต้องการโสมร้อยปีมาช่วยชีวิตคนเป็นการด่วน มิทราบว่าแม่นางซ่งมีหรือไม่ ตัวข้ายอมจ่ายสิบเท่าของราคาเดิมเลย!” หากเป็นผู้อื่นที่มาซื้อและได้ยินราคาที่สูงกว่าถึงสิบเท่า ลั่วชิงยวนก็คงจะขายให้ทันทีโดยไม่ลังเลสักนิด แต่จู่ ๆ ฟู่เฉินหวนก็เสนอราคาของโอสถอายุวัฒนะให้ถึงสิบเท่าตัว ย่อมมิใช่เพื่อจุดประสงค์ทั่ว ๆ ไปเป็นแน่ ยามนี้ลั่วไห่ผิงคงจะป่วยหนัก ฟู่เฉินหวนต้องการโอสถไปช่วยชีวิตลั่วไห่ผิงใช่หรือไม่? โอสถที่มอบให้ลั่วไห่ผิงเป็นของขวัญในงานเลี้ยงวันเกิดเมื่อครั้งล่าสุดยังไม่พออีกกระนั้นหรือ? เมื่อซ่งเชียนฉู่ได้ยินเสียงก็เดินออกมา “สิบเท่าของราคาเดิมกระนั้นหรือ? ท่านอ๋องจักเอาไปใช้ทำอันใดเพคะ?” ฟู่เฉินหวนจึงกล่าวว่า “ไม่สะดว
“เซียนฉู่ว่างเมื่อไหร่ ข้าค่อยมาดื่มกับเจ้าอีกก็แล้วกัน” หลังจากฟู่เฉินหวนพูดจบก็หันหลังเดินจากไป ทั้งสองคนยืนอยู่ใต้ชายคาแล้วมองดูเงาร่างของฟู่เฉินหวนเดินจากไป จากนั้นซ่งเชียนฉู่ก็เอ่ยขึ้นมาว่า “เขาคิดจะซื้อโอสถให้ท่านใช่หรือไม่? ที่บอกว่าใบหน้าของท่านโดนงูกัดก็เป็นเพียงข้ออ้างมิใช่หรอกหรือ?” ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “โสมร้อยปีย่อมมิได้ให้ข้าอยู่แล้ว คงเอาไปช่วยชีวิตลั่วไห่ผิงมากกว่า” “พวกเรามอบให้เขามิได้เป็นอันขาด!” ซ่งเชียนฉู่เลิกคิ้ว “ข้ามิยอมมอบให้เขาแน่! ท่านอุตส่าห์ทุ่มเงินตั้งมากมายเพื่อจัดการกับลั่วไห่ผิง! ขืนรักษาลั่วไห่ผิงอีก คงได้ขาดทุนป่นปี้กันพอดี” จากนั้นลั่วชิงยวนก็ผลัดเปลี่ยนเป็นอาภรณ์บุรุษและผ้าคลุมหน้าที่มิเคยสวมใส่มาก่อนแล้วค่อยเดินออกไป นางไปหาลิ่นฝูเสวี่ยที่คฤหาสน์หลังนั้นก่อน นางหยิบตุ๊กตาผ้าตัวเล็กใส่ลงไปในถุงหอม จากนั้นก็ชักนำลิ่นฝูเสวี่ยเอาไว้ข้างใน “ไม่รู้ว่าท่านแค้นใจข้ามากเสียจนต้องแก้เผ็ดใช่หรือไม่? พื้นที่เล็กจ้อยเช่นนั้น ท่านจักบีบคั้นให้ข้าตายหรืออย่างไรกัน?” เสียงบริภาษของลิ่นฝูเสวี่ยดังออกมาจากถุงหอม ลั่วชิงยวนค่อย ๆ เดิ
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา