”โอ๊ย ปวดเหลือเกิน…” หญิงงามนางหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงพลางกุมท้องเอาไว้ สตรีหลายคนกับแม่เล้าที่อยู่ใกล้ ๆ ช่วยประคองนางเอาไว้ หมอท่านหนึ่งกำลังจับชีพจรให้อยู่ “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านหมอ? เป็นอันใดหรือไม่?” แม่เล้ารีบถามขึ้นมา ท่านหมอทำสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า “เป็นเพราะนางกินยาระบายเข้าไปเป็นมาก! มันมิเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรอก! แต่สาเหตุที่ทำให้ปวดมากขนาดนั้นเป็นเพราะกินเข้าไปเกินขนาด หลังจากหายปวดก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ” “ข้าจักเขียนเทียบยาให้นางค่อย ๆ กิน ประเดี๋ยวนางก็จะหายดีในสามวันห้าวัน” เมื่อแม่เล้าได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึง “ยาระบายกระนั้นหรือ? เช่นนั้นหลังจากหายปวด นางจักขึ้นเวทีไหวอยู่อีกหรือเจ้าคะ?” ท่านหมอมีสีหน้าหนักใจพลางกล่าวว่า “ยาระบายก็ตามที่ชื่อบอกไว้นั่นแหละ จักทำให้เกิดอาการท้องร่วง” “เกรงว่าคงไม่เหมาะที่จะขึ้นเวที มิฉะนั้น…” พอเอ่ยถึงตรงนี้ท่านหมอก็หยุดพูด จากนั้นทุกคนในห้องก็ขมวดคิ้วแล้วปิดจมูกเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ากลิ่นแปลกประหลาดโชยออกมา หลีเถารู้สึกอับอายขายหน้าจึงกล่าวว่า “ออกไป! รีบออกไปสิ!” แม่เล้ารีบไล่สตรีคนอื่น ๆ ออกจากห้องและ
ทว่าก็ยังต้องไปอยู่ดี นางสูดหายใจลึก ๆ พลางเขย่งเท้าแล้วกระโจนตัวขึ้นกลางอากาศ นางก้าวลงบนหน้าต่างแล้วกระโดดขึ้นไปตรงกลางเวทีทรงกลม ทันทีที่ชุดกระโปรงสีแดงเจิดจ้าปรากฏขึ้น ก็ทำให้คนนับไม่ถ้วนรู้สึกตะลึงงัน แขกเหรื่อโดยรอบต่างตกตะลึง “ใช่แม่นางหลีเถาหรือไม่?” เมื่อนักดนตรีเห็นเช่นนี้ ก็บรรเลงพิณอย่างให้ความร่วมมือยิ่ง ลิ่นฝูเสวี่ยรีบตั้งสมาธิแล้วกระโดดเบา ๆ ไปตามเสียงพิณ ลั่วชิงยวนสัมผัสได้ว่าร่างกายของนางก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ แต่กลับมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของนาง เมื่อเห็นสายตาของผู้คนที่อยู่ ณ เบื้องล่าง นางก็รู้ว่าลิ่นฝูเสวี่ยทำสำเร็จแล้ว เช่นเดียวกับตอนที่นางพบเจออีกฝ่ายเป็นครั้งแรก นางถูกการร่ายรำของอีกฝ่ายดึงดูดความสนใจเอาไว้อย่างลึกล้ำ “ท่านแม่ ผู้ใดกำลังร่ายรำอยู่ตรงนั้นหรือเจ้าคะ?” จู่ ๆ ก็มีคนเอ่ยขึ้นมา แม่เล้าปี้มองดูแล้วให้รู้สึกตกตะลึง “นั่นผู้ใดกัน? ซิ่งอวี่กระนั้นหรือ?” “ดูเหมือนว่าจะมิใช่! ซิ่งอวี่จักมีเรือนร่างเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า!” “เช่นนั้นก็น่าแปลก ผู้ใดกันที่วิ่งขึ้นไปร่ายรำด้วยตัวเอง! ใครก็ได้ช่วยข้าเอานางลงมาที!” แม่เล้าป
หลีเถารีบวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีตื่นเต้นพลางเหลือบมองไปทั่วห้อง ก่อนจะโผเข้าหาซิ่งอวี่ที่ยังสลบไสลอยู่กับพื้น “นางสารเลว! เจ้าวางยาจนข้าขึ้นเวทีมิได้เพื่อได้ช่วงชิงความสนใจ!” หลีเถาบีบคอซิ่งอวี่ด้วยความโมโหจัด ลั่วชิงยวนรีบก้าวเดินเข้าไปดึงตัวอีกฝ่ายออกมา ในยามนี้เอง แม่เล้าปี้พร้อมกับคนอื่น ๆ ก็เข้ามา “ปล่อยข้านะ! ข้าจักตีนางสารเลวผู้นี้ให้ตาย!” หลีเถาโกรธจัด แม่เล้าปี้รีบคว้าตัวหลีเถาเอาไว้ “เจ้ากินยาแล้วใช่หรือไม่? รีบกลับไปพักผ่อนซะ อย่าได้เที่ยววิ่งพล่านไปทั่ว” “เร็วเข้า รีบพาแม่นางหลีเถากลับห้องไปเสีย!” หลีเถาดิ้นรนขัดขืนพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ “ข้ามิกลับ! เป็นนางสารเลวผู้นี้ที่วางยาข้า! นางทำลายโอกาสที่ข้าจักได้ขึ้นเวที ข้ามิไปหรอก!” ทว่าถึงแม้หลีเถาจะไม่ยอมจากไป แต่การตอบสนองในทางกลับกันของร่างกายก็บีบให้นางต้องออกไป นางปวดท้องขึ้นมาอีกแล้ว! หลีเถารีบวิ่งออกไปทันที หลังจากหลีเถาจากไปแล้ว แม่เล้าปี้ก็รีบสั่งคนให้มาช่วยประคองซิ่งอวี่ อาภรณ์เป็นของซิ่งอวี่ก็จริง แต่เรือนร่างกลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หลังจากซิ่งอวี่ฟื้นแล้ว แม่เล้าปี้ก็รีบถามว่า “ซิ่ง
แต่นางก็มีข้อได้เปรียบพอให้กำแหงได้จริง ๆ นั่นแหละ! …… ลั่วชิงยวนออกจากหอเจาเซียงอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางเสียงดังสับสนวุ่นวาย หามีผู้ใดสังเกตเห็นนางสักคนไม่ หลังออกมาจากหอเจาเซียง ลั่วชิงยวนรู้สึกว่าอากาศสดชื่นขึ้นจนอดมิได้ที่จะสูดหายใจลึก ๆ “สวรรค์ คราวหน้าพวกเราจักมาเมื่อใดรึ?” ลิ่นฝูเสวี่ยตั้งหน้าตั้งตารอคอยคราวหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่สักครู่ “คราวหน้าข้าย่อมต้องกลับมาอีกแน่” “ว่าแต่ยังมิถึงเวลาที่เจ้าจะบอกเงื่อนงำเกี่ยวกับมารดาของข้าอีกหรือ?” ลิ่นฝูเสวี่ยยกยิ้มเยาะ “ท่านตัวเล็กนิดเดียว ทว่ากลับฉลาดเป็นกรด” “ในเมื่อวันนี้ท่านให้ความร่วมมือแต่โดยดี ข้าจักบอกท่านให้รู้ก่อนว่าข้ารู้ชื่อจริงของมารดาท่าน” “มารดาของท่านมีนามว่าลั่วอิง” ทันทีที่เอ่ยวาจาออกมา ลั่วชิงยวนก็ฝีเท้าซวนเซและตกตะลึงไปทั้งร่างประดุจดั่งถูกสายฟ้าฟาด ลั่วอิง! ลั่วอิง! สองคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวของนาง เป็นอาจารย์จริง ๆ ด้วย! ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางมักจะคิดเช่นนี้มาโดยตลอด แต่เมื่อคำตอบได้รับการยืนยันในที่ท้ายสุด นางก็ยังคงรู้สึกตกตะลึง นางสงบสติอารมณ์แล้วถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “เช่นนั
“ลั่วเยวี่ยอิง! เจ้าลอบเข้ามาทำอันใด!” ลั่วชิงยวนตะคอกใส่อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา ลั่วเยวี่ยอิงมีสีหน้าตื่นตระหนกแล้วรีบซ่อนกล่องที่กำลังถืออยู่เอาไว้ข้างหลัง แต่ลั่วชิงยวนมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นกล่องที่ใช้เก็บเครื่องยาสมุนไพร นางรีบเดินเข้ามาคว้าแขนของลั่วเยวี่ยอิง “คืนมาให้ข้าซะ!” ลั่วเยวี่ยอิงหลบเลี่ยงนางอย่างสุดความสามารถ จากนั้นก็กอดกล่องเอาไว้พลางนั่งลงกับพื้นแล้วรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ลั่วชิงยวน เจ้ามิอยู่ในเรือนเสียด้วยซ้ำไป เจ้าหนีออกไปตั้งนานแล้ว! หากเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจักมิบอกผู้ใด” “มิฉะนั้นข้าจักบอกท่านอ๋องว่าเจ้ามิได้อยู่ในเรือนเลย!” แววตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้วแย่งเอากล่องมาทันที เมื่อเปิดดูก็เห็นว่าเป็นโสมอายุร้อยปี นี่เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ซ่งเชียนฉู่หลงเหลือไว้ให้นางรักษาแผลของตน การที่ลั่วเยวี่ยอิงเข้ามาขโมยสมุนไพรทันที พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเมื่อเช้าฟู่เฉินหวนขอโอสถเพียงเพื่อเอามาใช้รักษาลั่วไห่ผิง! “คืนข้ามา! เอาคืนข้ามานะ!” ลั่วเยวี่ยอิงรีบเข้ามายื้อแย่งราวกับคลุ้มคลั่ง ลั่วชิงยวนถีบเข้าที่หน้าอกลั่วเยวี่ยอิงทันที ลั่วเยวี่ยอิงถูกถีบจน
เส้นโลหิตตรงหน้าผากของฟู่เฉินหวนปูดโปนขึ้นมา จากนั้นเขาก็กำหมัดแน่น “ข้าจักเชิญแม่นางซ่งมารักษาแผลให้เจ้าเอง นางต้องรักษาเจ้าได้แน่ มอบโอสถให้ข้าก่อน!” ฟู่เฉินหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ลั่วชิงยวนยิ้มเย็นชา “ท่านอ๋องซื้อโอสถนี้มา แน่นอนว่าย่อมต้องมอบให้ท่านอ๋องอยู่แล้ว แต่หม่อมฉันไม่มีทางมอบให้ท่านเอาไปช่วยลั่วไห่ผิงเป็นอันขาด!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเฉียบขาดและเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ ฟู่เฉินหวนรู้ว่านางชิงชังลั่วไห่ผิง เพราะการเสียชีวิตของท่านมหาราชครู นางปรารถนาให้ลั่วไห่ผิงสิ้นชีพอยู่แล้ว ไฉนต้องยอมมอบโอสถให้ด้วยเล่า? ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่นางกระทำลงไป แต่กลับเอ่ยวาจาเชือดเฉือนออกมา “แต่เขาก็ยังเป็นบิดาของเจ้า!” ทันทีที่เอ่ยวาจาออกมา ฟู่เฉินหวนก็ถึงกับขมวดคิ้ว เพราะไม่แน่ใจว่าตนเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมาได้อย่างไร ดวงตาของลั่วชิงยวนแผดเผาไปด้วยแววเกลียดชัง “เขาเป็นพ่อตาของท่านหาได้เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉันไม่!” แววอำมหิตวูบผ่านดวงตาของนางไป จากนั้นนางก็ทุ่มกล่องลงกับพื้น กล่องแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ลั่วชิงยวนเหยียบลงไปบนนั้นแล้วบดขยี้โสม “ต่อให้หม่อมฉันต้อง
นางอุ้มจือเฉามาถึงถนนหน้าประตูใหญ่ตำหนัก คุกเข่าลงหน้าตำหนักอ๋อง“พระชายา…” แม่นมเติ่งมองท่าทีของลั่วชิงยวนอย่างมิเข้าใจ“มิต้องสนใจข้า”ลั่วชิงยวนวางจือเฉานอนลงกับพื้น จือเฉาตื่นขึ้น “พระชายา”“หลับตาแกล้งตาย ข้ามิเรียกเจ้ามิต้องตื่น” ลั่วชิงยวนกดเสียงต่ำเอ่ยพูดจือเฉาพยักหน้า และหลับตาลงอย่างเชื่อฟังบัดนี้เป็นเวลาใกล้พลบค่ำ ผู้คนขวักไขว่มิมากนัก แต่ลั่วชิงยวนที่คุกเข่าอยู่หน้าตำหนักนั้น กลับสะดุดตามากเป็นพิเศษผู้คนที่อยากรู้จะหยุดลงมองพักหนึ่งราตรีมาเยือน ผู้คนที่หน้าประตูตำหนักกลับมากขึ้นพวกเขาซุบซิบกันเสียงเบา “ผู้นั้นคือพระชายามิใช่หรือ? เหตุใดจึงคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเล่า?”“ไม่รู้สิ หรือนางถูกทำโทษ”ทุกคนต่างสงสัยเป็นอย่างมาก สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และการกระทำนี้ของลั่วชิงยวนก็ถูกคนใช้รายงานให้กับฟู่เฉินหวน ฟู่เฉินหวนได้ยินก็รู้สึกตะลึงยิ่ง“นางคิดเล่นกระไรอีกกันแน่?”มองดูลั่วเยวี่ยอิงที่ยังคงสลบมิได้สติอยู่บนเตียง และฟังหมอกู้ที่บอกสถานการณ์ของนางมิดีนัก สีหน้าของฟู่เฉินหวนย่ำแย่เป็นอย่างมากและรู้สึกโมโหการกระทำของลั่วชิงยวนเล็กน้อยลั่วชิงยวนที่อยู่หน้
นางใช้วิธีนี้มาบังคับเขา!ฟู่เฉินหวนหันร่างจากไปอย่างขุ่นเคือง“ท่านอ๋อง ทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?” ซูโหยวเอ่ยถามอย่างกังวลฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดหัวอย่างยากจะทน สมองเขาราวกับกำลังจะระเบิดออก“ส่งลั่วเยวี่ยอิงกลับไป!”“นางกำลังข่มขู่ตัวข้า!”ซูโหยวรีบขานตอบ “พ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นลั้วเยวี่ยอิงก็ถูกยกขึ้นรถม้าทั้ง ๆ ที่ยังสลบอยู่ และส่งออกจากตำหนักในคืนนั้นทันทีมองดูรถม้าที่ห่างไกลออกไป ฟู่เฉินหวนมองไปทางลั่วชิงยวนด้วยคิ้วขมวด “เจ้ายังมิลุกอีกรึ? แสดงละครพอรึยัง?”ลั่วชิงยวนอยากจะลุก แต่เข่าของนางคุกเข่านานจนแข็งทื่อ เมื่อลุกขึ้นนางจึงเกือบจะล้มลงแต่แขนข้างหนึ่งกลับพยุงนางไว้โดยสัญชาตญาณลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อยฟู่เฉินหวนเองก็ชะงักเช่นกันลั่วชิงยวนรีบยืนตัวตรง และเอ่ยปากเสียงเย็น “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้แสดงละคร หม่อมฉันกำลังขอให้ท่านน้องยกโทษด้วยความจริงใจ!”“หวังว่าครั้งหน้านางอย่ามาขโมยของของหม่อมฉัน และทำร้ายคนของหม่อมฉันอีก นางอยากได้สิ่งใด หม่อมฉันย่อมให้นาง”ฟู่เฉินหวนมองนางที่พูดเหลวไหลต่อหน้าผู้คน ในใจเกิดไฟโทสะพิลึกขึ้น “งั้นหรือ? เจ้าให้จริงหรือ?”ลั่วชิงยวนยกเป็นรอยยิ
สายลมหนาวพัดผ่านมา ปอยผมของลั่วชิงยวนปลิวไสวตัดกับผ้าคลุมสีขาว ทำให้ร่างบางของนางดูราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมในตอนนั้นก็มีขบวนคนเดินมาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ข้างหน้าในชั่วขณะที่สบตากันก็เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อเฉินชีเห็นฟู่เฉินหวน เขายกยิ้มอย่างเย็นชา โอบนางไว้แน่นขึ้นลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน“เฉินชี! เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!” ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง โทสะปะทุในใจองครักษ์รีบเข้ามาล้อมเฉินชีและลั่วชิงยวนไว้เฉินชีจำใจปล่อยลั่วชิงยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาเหลา ข้าจะรอเจ้า”กล่าวจบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไปองครักษ์รีบไล่ตามส่วนลั่วชิงยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ มองฟู่เฉินหวนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง แววตาซับซ้อนนั้นแฝงไปด้วยความโกรธ“บทเรียนเมื่อวานคงยังมิเพียงพอ เจ้ายังกล้าแอบออกจากตำหนักมาพบเฉินชีอีกรึ?!”ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะอธิบาย ได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “หากท่านคิดเช่นนั้น หม่อมฉันก็มิมีทางเลือก”“เหตุใดหม่อมฉันจึงมาอยู่ที่นี่ ในใจของท่านน่าจะรู้ดีกว่าหม่อมฉัน”เมื่อคืนฟู่เฉินหวนมิสามารถเค้นวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์จากนางได้ จึงส่งนา
ทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเฉินชีที่แผ่รังสีอำมหิตเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าเฉินชีมองลั่วฉิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วฉิงถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก “ข้าสิต้องถามเจ้า เหตุใดจึงส่งกองทัพมากะทันหัน? นี่มิได้อยู่ในแผนของเรา และเจ้าก็มิได้บอกข้าล่วงหน้า”เฉินชีหรี่ตาลง “ข้าจะทำอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยรึ? เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางข้า?”ลั่วฉิงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย นางรีบคว้าเข็มทิศอาณัติสวรรค์มาถือไว้ เพราะกลัวว่าของล้ำค่าที่ได้มาจะหายไป“เฉินชี! ข้าแค่ต้องการสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก!”เฉินชีมองลั่วชิงยวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ก่อนจะพุ่งเข้าไปบีบคอของลั่วฉิงแล้วต่อยเข้าที่หน้าอกของลั่วฉิงลั่วฉิงกระอักเลือด ร่างกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างลั่วชิงยวนได้ยินเสียงร่างตกกระทบพื้นจากที่สูง จึงรู้ว่าที่นี่คือชั้นสองน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมเฉินชีเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไป เห็นเพียงร่างของลั่วฉิงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปในฝูงชนเดิมทีเฉินชีอยากจะตามไป แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ตามไปหากลั่วฉิงตาย ลั่วชิงยวนก็จะไม่มีภัยคุกคาม นางอาจจะมิยอมไปแคว้นหลีกับเขาเช่นนั
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้
ในวินาทีต่อมา องครักษ์ก็กรูกันเข้ามาลากลั่วชิงยวนออกไปที่ลานหลังจากกดนางลงกับพื้นก็ใช้หวายฟาดลงบนร่างของนางอย่างมิปรานีความเจ็บปวดแล่นริ้ว ลั่วชิงยวนจิกเล็บลงบนพื้นหิมะจนเป็นรอยลึกจือเฉากระโจนเข้ามาจากนอกลาน “หยุด! หยุด!”“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงทำกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาทำผิดอันใดหรือเพคะ!”“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดปล่อยพระชายาเถิดเพคะ! ตั้งแต่เข้าเหมันตฤดู แผลบนร่างของพระชายาก็ยังมิหาย! หากโบยเช่นนี้ต่อไปคงจะสิ้นใจเป็นแน่เพคะ!”“ท่านอ๋องทรงพระกรุณาด้วยเพคะ!” จือเฉาโผเข้ากอดลั่วชิงยวนเพื่อรับหวายแทนแต่กลับถูกองครักษ์ดึงตัวออกไปจือเฉาร้องขอความเมตตาสุดเสียง แต่บุรุษที่ยืนอยู่ใต้ชายคากลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาฉายแววเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น“พระชายา...” จือเฉาร้อนใจ แทบจะเป็นลมเพราะร้องไห้หนักลั่วชิงยวนเจ็บปวดจนแทบมิได้ยินเสียงของจือเฉา มีเพียงความเจ็บปวดมิรู้จบ ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากที่ลั่วชิงยวนสลบไป ฟู่เฉินหวนจึงสั่งให้หยุดแล้วจากไปด้วยความโกรธจือเฉาโผเข้าหาลั่วชิงยวน เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสก็พบว่ามือเปื้อนไปด้วยเลือด นางรีบชักมือกลับมองเลือดที่ไหลนองเต็มพื
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท
ฟู่เฉินหวนตกใจมองนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบว่า “ได้”“หากเจ้าอธิบายได้ชัดเจน ข้ายินดีเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบกล่าวทันที “หม่อมฉันชื่อลั่วเหลา แท้จริงแล้วลั่วอิงคืออาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของลั่วชิงยวน”“วันรุ่งขึ้นหลังจากวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนก็ปลิดชีพตัวเอง หลังจากนั้นร่างนี้ก็มิใช่ลั่วชิงยวนอีกต่อไป แต่เป็นหม่อมฉัน ลั่วเหลา”“หม่อมฉันเป็นชาวแคว้นหลี”“ดังนั้นความสามารถที่หม่อมฉันมีจึงเป็นสิ่งที่ลั่วชิงยวนไม่มี”“เรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลี หม่อมฉันก็เพิ่งค้นพบตอนที่ไปเผ่านอกด่าน หลังจากที่อาจารย์ค้นพบความลับนี้ ก็พยายามค้นหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์”“เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไป จะมีคนมากมายเกิดความโลภ จะทำให้ทั้งใต้หล้าประสบพบความวุ่นวาย เลือดนองแผ่นดิน”“...”ลั่วชิงยวนเล่าความลับทั้งหมดของนางให้เขาฟังโดยมิปิดบังนางรู้สึกว่าคนที่เคยเปิดใจให้กันคงจะมิทรยศกันง่าย ๆตราบใดที่นางจริงใจ มิปิดบังสิ่งใด นางก็จะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกันหลังจากที่นางพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึ
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว