”โอ๊ย ปวดเหลือเกิน…” หญิงงามนางหนึ่งกำลังนอนอยู่บนเตียงพลางกุมท้องเอาไว้ สตรีหลายคนกับแม่เล้าที่อยู่ใกล้ ๆ ช่วยประคองนางเอาไว้ หมอท่านหนึ่งกำลังจับชีพจรให้อยู่ “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านหมอ? เป็นอันใดหรือไม่?” แม่เล้ารีบถามขึ้นมา ท่านหมอทำสีหน้าเคร่งขรึมพลางกล่าวว่า “เป็นเพราะนางกินยาระบายเข้าไปเป็นมาก! มันมิเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรอก! แต่สาเหตุที่ทำให้ปวดมากขนาดนั้นเป็นเพราะกินเข้าไปเกินขนาด หลังจากหายปวดก็ดีขึ้นเองนั่นแหละ” “ข้าจักเขียนเทียบยาให้นางค่อย ๆ กิน ประเดี๋ยวนางก็จะหายดีในสามวันห้าวัน” เมื่อแม่เล้าได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตกตะลึง “ยาระบายกระนั้นหรือ? เช่นนั้นหลังจากหายปวด นางจักขึ้นเวทีไหวอยู่อีกหรือเจ้าคะ?” ท่านหมอมีสีหน้าหนักใจพลางกล่าวว่า “ยาระบายก็ตามที่ชื่อบอกไว้นั่นแหละ จักทำให้เกิดอาการท้องร่วง” “เกรงว่าคงไม่เหมาะที่จะขึ้นเวที มิฉะนั้น…” พอเอ่ยถึงตรงนี้ท่านหมอก็หยุดพูด จากนั้นทุกคนในห้องก็ขมวดคิ้วแล้วปิดจมูกเอาไว้ เห็นได้ชัดว่ากลิ่นแปลกประหลาดโชยออกมา หลีเถารู้สึกอับอายขายหน้าจึงกล่าวว่า “ออกไป! รีบออกไปสิ!” แม่เล้ารีบไล่สตรีคนอื่น ๆ ออกจากห้องและ
ทว่าก็ยังต้องไปอยู่ดี นางสูดหายใจลึก ๆ พลางเขย่งเท้าแล้วกระโจนตัวขึ้นกลางอากาศ นางก้าวลงบนหน้าต่างแล้วกระโดดขึ้นไปตรงกลางเวทีทรงกลม ทันทีที่ชุดกระโปรงสีแดงเจิดจ้าปรากฏขึ้น ก็ทำให้คนนับไม่ถ้วนรู้สึกตะลึงงัน แขกเหรื่อโดยรอบต่างตกตะลึง “ใช่แม่นางหลีเถาหรือไม่?” เมื่อนักดนตรีเห็นเช่นนี้ ก็บรรเลงพิณอย่างให้ความร่วมมือยิ่ง ลิ่นฝูเสวี่ยรีบตั้งสมาธิแล้วกระโดดเบา ๆ ไปตามเสียงพิณ ลั่วชิงยวนสัมผัสได้ว่าร่างกายของนางก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้ แต่กลับมิได้อยู่ภายใต้การควบคุมของนาง เมื่อเห็นสายตาของผู้คนที่อยู่ ณ เบื้องล่าง นางก็รู้ว่าลิ่นฝูเสวี่ยทำสำเร็จแล้ว เช่นเดียวกับตอนที่นางพบเจออีกฝ่ายเป็นครั้งแรก นางถูกการร่ายรำของอีกฝ่ายดึงดูดความสนใจเอาไว้อย่างลึกล้ำ “ท่านแม่ ผู้ใดกำลังร่ายรำอยู่ตรงนั้นหรือเจ้าคะ?” จู่ ๆ ก็มีคนเอ่ยขึ้นมา แม่เล้าปี้มองดูแล้วให้รู้สึกตกตะลึง “นั่นผู้ใดกัน? ซิ่งอวี่กระนั้นหรือ?” “ดูเหมือนว่าจะมิใช่! ซิ่งอวี่จักมีเรือนร่างเช่นนั้นได้อย่างไรกันเล่า!” “เช่นนั้นก็น่าแปลก ผู้ใดกันที่วิ่งขึ้นไปร่ายรำด้วยตัวเอง! ใครก็ได้ช่วยข้าเอานางลงมาที!” แม่เล้าป
หลีเถารีบวิ่งเข้ามาด้วยท่าทีตื่นเต้นพลางเหลือบมองไปทั่วห้อง ก่อนจะโผเข้าหาซิ่งอวี่ที่ยังสลบไสลอยู่กับพื้น “นางสารเลว! เจ้าวางยาจนข้าขึ้นเวทีมิได้เพื่อได้ช่วงชิงความสนใจ!” หลีเถาบีบคอซิ่งอวี่ด้วยความโมโหจัด ลั่วชิงยวนรีบก้าวเดินเข้าไปดึงตัวอีกฝ่ายออกมา ในยามนี้เอง แม่เล้าปี้พร้อมกับคนอื่น ๆ ก็เข้ามา “ปล่อยข้านะ! ข้าจักตีนางสารเลวผู้นี้ให้ตาย!” หลีเถาโกรธจัด แม่เล้าปี้รีบคว้าตัวหลีเถาเอาไว้ “เจ้ากินยาแล้วใช่หรือไม่? รีบกลับไปพักผ่อนซะ อย่าได้เที่ยววิ่งพล่านไปทั่ว” “เร็วเข้า รีบพาแม่นางหลีเถากลับห้องไปเสีย!” หลีเถาดิ้นรนขัดขืนพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยโทสะ “ข้ามิกลับ! เป็นนางสารเลวผู้นี้ที่วางยาข้า! นางทำลายโอกาสที่ข้าจักได้ขึ้นเวที ข้ามิไปหรอก!” ทว่าถึงแม้หลีเถาจะไม่ยอมจากไป แต่การตอบสนองในทางกลับกันของร่างกายก็บีบให้นางต้องออกไป นางปวดท้องขึ้นมาอีกแล้ว! หลีเถารีบวิ่งออกไปทันที หลังจากหลีเถาจากไปแล้ว แม่เล้าปี้ก็รีบสั่งคนให้มาช่วยประคองซิ่งอวี่ อาภรณ์เป็นของซิ่งอวี่ก็จริง แต่เรือนร่างกลับแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด หลังจากซิ่งอวี่ฟื้นแล้ว แม่เล้าปี้ก็รีบถามว่า “ซิ่ง
แต่นางก็มีข้อได้เปรียบพอให้กำแหงได้จริง ๆ นั่นแหละ! …… ลั่วชิงยวนออกจากหอเจาเซียงอย่างเงียบ ๆ ท่ามกลางเสียงดังสับสนวุ่นวาย หามีผู้ใดสังเกตเห็นนางสักคนไม่ หลังออกมาจากหอเจาเซียง ลั่วชิงยวนรู้สึกว่าอากาศสดชื่นขึ้นจนอดมิได้ที่จะสูดหายใจลึก ๆ “สวรรค์ คราวหน้าพวกเราจักมาเมื่อใดรึ?” ลิ่นฝูเสวี่ยตั้งหน้าตั้งตารอคอยคราวหน้าแล้ว ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่สักครู่ “คราวหน้าข้าย่อมต้องกลับมาอีกแน่” “ว่าแต่ยังมิถึงเวลาที่เจ้าจะบอกเงื่อนงำเกี่ยวกับมารดาของข้าอีกหรือ?” ลิ่นฝูเสวี่ยยกยิ้มเยาะ “ท่านตัวเล็กนิดเดียว ทว่ากลับฉลาดเป็นกรด” “ในเมื่อวันนี้ท่านให้ความร่วมมือแต่โดยดี ข้าจักบอกท่านให้รู้ก่อนว่าข้ารู้ชื่อจริงของมารดาท่าน” “มารดาของท่านมีนามว่าลั่วอิง” ทันทีที่เอ่ยวาจาออกมา ลั่วชิงยวนก็ฝีเท้าซวนเซและตกตะลึงไปทั้งร่างประดุจดั่งถูกสายฟ้าฟาด ลั่วอิง! ลั่วอิง! สองคำนี้วนเวียนอยู่ในหัวของนาง เป็นอาจารย์จริง ๆ ด้วย! ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้นางมักจะคิดเช่นนี้มาโดยตลอด แต่เมื่อคำตอบได้รับการยืนยันในที่ท้ายสุด นางก็ยังคงรู้สึกตกตะลึง นางสงบสติอารมณ์แล้วถามขึ้นมาอีกครั้งว่า “เช่นนั
“ลั่วเยวี่ยอิง! เจ้าลอบเข้ามาทำอันใด!” ลั่วชิงยวนตะคอกใส่อีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา ลั่วเยวี่ยอิงมีสีหน้าตื่นตระหนกแล้วรีบซ่อนกล่องที่กำลังถืออยู่เอาไว้ข้างหลัง แต่ลั่วชิงยวนมองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นกล่องที่ใช้เก็บเครื่องยาสมุนไพร นางรีบเดินเข้ามาคว้าแขนของลั่วเยวี่ยอิง “คืนมาให้ข้าซะ!” ลั่วเยวี่ยอิงหลบเลี่ยงนางอย่างสุดความสามารถ จากนั้นก็กอดกล่องเอาไว้พลางนั่งลงกับพื้นแล้วรีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ลั่วชิงยวน เจ้ามิอยู่ในเรือนเสียด้วยซ้ำไป เจ้าหนีออกไปตั้งนานแล้ว! หากเจ้าปล่อยข้าไป ข้าจักมิบอกผู้ใด” “มิฉะนั้นข้าจักบอกท่านอ๋องว่าเจ้ามิได้อยู่ในเรือนเลย!” แววตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชาแล้วแย่งเอากล่องมาทันที เมื่อเปิดดูก็เห็นว่าเป็นโสมอายุร้อยปี นี่เป็นสิ่งที่ก่อนหน้านี้ซ่งเชียนฉู่หลงเหลือไว้ให้นางรักษาแผลของตน การที่ลั่วเยวี่ยอิงเข้ามาขโมยสมุนไพรทันที พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเมื่อเช้าฟู่เฉินหวนขอโอสถเพียงเพื่อเอามาใช้รักษาลั่วไห่ผิง! “คืนข้ามา! เอาคืนข้ามานะ!” ลั่วเยวี่ยอิงรีบเข้ามายื้อแย่งราวกับคลุ้มคลั่ง ลั่วชิงยวนถีบเข้าที่หน้าอกลั่วเยวี่ยอิงทันที ลั่วเยวี่ยอิงถูกถีบจน
เส้นโลหิตตรงหน้าผากของฟู่เฉินหวนปูดโปนขึ้นมา จากนั้นเขาก็กำหมัดแน่น “ข้าจักเชิญแม่นางซ่งมารักษาแผลให้เจ้าเอง นางต้องรักษาเจ้าได้แน่ มอบโอสถให้ข้าก่อน!” ฟู่เฉินหวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา ลั่วชิงยวนยิ้มเย็นชา “ท่านอ๋องซื้อโอสถนี้มา แน่นอนว่าย่อมต้องมอบให้ท่านอ๋องอยู่แล้ว แต่หม่อมฉันไม่มีทางมอบให้ท่านเอาไปช่วยลั่วไห่ผิงเป็นอันขาด!” น้ำเสียงของลั่วชิงยวนเฉียบขาดและเต็มเปี่ยมไปด้วยโทสะ ฟู่เฉินหวนรู้ว่านางชิงชังลั่วไห่ผิง เพราะการเสียชีวิตของท่านมหาราชครู นางปรารถนาให้ลั่วไห่ผิงสิ้นชีพอยู่แล้ว ไฉนต้องยอมมอบโอสถให้ด้วยเล่า? ถึงแม้ว่าเขาจะเข้าใจสิ่งที่นางกระทำลงไป แต่กลับเอ่ยวาจาเชือดเฉือนออกมา “แต่เขาก็ยังเป็นบิดาของเจ้า!” ทันทีที่เอ่ยวาจาออกมา ฟู่เฉินหวนก็ถึงกับขมวดคิ้ว เพราะไม่แน่ใจว่าตนเอ่ยวาจาเหล่านั้นออกมาได้อย่างไร ดวงตาของลั่วชิงยวนแผดเผาไปด้วยแววเกลียดชัง “เขาเป็นพ่อตาของท่านหาได้เกี่ยวอันใดกับหม่อมฉันไม่!” แววอำมหิตวูบผ่านดวงตาของนางไป จากนั้นนางก็ทุ่มกล่องลงกับพื้น กล่องแหลกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ลั่วชิงยวนเหยียบลงไปบนนั้นแล้วบดขยี้โสม “ต่อให้หม่อมฉันต้อง
นางอุ้มจือเฉามาถึงถนนหน้าประตูใหญ่ตำหนัก คุกเข่าลงหน้าตำหนักอ๋อง“พระชายา…” แม่นมเติ่งมองท่าทีของลั่วชิงยวนอย่างมิเข้าใจ“มิต้องสนใจข้า”ลั่วชิงยวนวางจือเฉานอนลงกับพื้น จือเฉาตื่นขึ้น “พระชายา”“หลับตาแกล้งตาย ข้ามิเรียกเจ้ามิต้องตื่น” ลั่วชิงยวนกดเสียงต่ำเอ่ยพูดจือเฉาพยักหน้า และหลับตาลงอย่างเชื่อฟังบัดนี้เป็นเวลาใกล้พลบค่ำ ผู้คนขวักไขว่มิมากนัก แต่ลั่วชิงยวนที่คุกเข่าอยู่หน้าตำหนักนั้น กลับสะดุดตามากเป็นพิเศษผู้คนที่อยากรู้จะหยุดลงมองพักหนึ่งราตรีมาเยือน ผู้คนที่หน้าประตูตำหนักกลับมากขึ้นพวกเขาซุบซิบกันเสียงเบา “ผู้นั้นคือพระชายามิใช่หรือ? เหตุใดจึงคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเล่า?”“ไม่รู้สิ หรือนางถูกทำโทษ”ทุกคนต่างสงสัยเป็นอย่างมาก สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และการกระทำนี้ของลั่วชิงยวนก็ถูกคนใช้รายงานให้กับฟู่เฉินหวน ฟู่เฉินหวนได้ยินก็รู้สึกตะลึงยิ่ง“นางคิดเล่นกระไรอีกกันแน่?”มองดูลั่วเยวี่ยอิงที่ยังคงสลบมิได้สติอยู่บนเตียง และฟังหมอกู้ที่บอกสถานการณ์ของนางมิดีนัก สีหน้าของฟู่เฉินหวนย่ำแย่เป็นอย่างมากและรู้สึกโมโหการกระทำของลั่วชิงยวนเล็กน้อยลั่วชิงยวนที่อยู่หน้
นางใช้วิธีนี้มาบังคับเขา!ฟู่เฉินหวนหันร่างจากไปอย่างขุ่นเคือง“ท่านอ๋อง ทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?” ซูโหยวเอ่ยถามอย่างกังวลฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดหัวอย่างยากจะทน สมองเขาราวกับกำลังจะระเบิดออก“ส่งลั่วเยวี่ยอิงกลับไป!”“นางกำลังข่มขู่ตัวข้า!”ซูโหยวรีบขานตอบ “พ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นลั้วเยวี่ยอิงก็ถูกยกขึ้นรถม้าทั้ง ๆ ที่ยังสลบอยู่ และส่งออกจากตำหนักในคืนนั้นทันทีมองดูรถม้าที่ห่างไกลออกไป ฟู่เฉินหวนมองไปทางลั่วชิงยวนด้วยคิ้วขมวด “เจ้ายังมิลุกอีกรึ? แสดงละครพอรึยัง?”ลั่วชิงยวนอยากจะลุก แต่เข่าของนางคุกเข่านานจนแข็งทื่อ เมื่อลุกขึ้นนางจึงเกือบจะล้มลงแต่แขนข้างหนึ่งกลับพยุงนางไว้โดยสัญชาตญาณลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อยฟู่เฉินหวนเองก็ชะงักเช่นกันลั่วชิงยวนรีบยืนตัวตรง และเอ่ยปากเสียงเย็น “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้แสดงละคร หม่อมฉันกำลังขอให้ท่านน้องยกโทษด้วยความจริงใจ!”“หวังว่าครั้งหน้านางอย่ามาขโมยของของหม่อมฉัน และทำร้ายคนของหม่อมฉันอีก นางอยากได้สิ่งใด หม่อมฉันย่อมให้นาง”ฟู่เฉินหวนมองนางที่พูดเหลวไหลต่อหน้าผู้คน ในใจเกิดไฟโทสะพิลึกขึ้น “งั้นหรือ? เจ้าให้จริงหรือ?”ลั่วชิงยวนยกเป็นรอยยิ
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา