นางอุ้มจือเฉามาถึงถนนหน้าประตูใหญ่ตำหนัก คุกเข่าลงหน้าตำหนักอ๋อง“พระชายา…” แม่นมเติ่งมองท่าทีของลั่วชิงยวนอย่างมิเข้าใจ“มิต้องสนใจข้า”ลั่วชิงยวนวางจือเฉานอนลงกับพื้น จือเฉาตื่นขึ้น “พระชายา”“หลับตาแกล้งตาย ข้ามิเรียกเจ้ามิต้องตื่น” ลั่วชิงยวนกดเสียงต่ำเอ่ยพูดจือเฉาพยักหน้า และหลับตาลงอย่างเชื่อฟังบัดนี้เป็นเวลาใกล้พลบค่ำ ผู้คนขวักไขว่มิมากนัก แต่ลั่วชิงยวนที่คุกเข่าอยู่หน้าตำหนักนั้น กลับสะดุดตามากเป็นพิเศษผู้คนที่อยากรู้จะหยุดลงมองพักหนึ่งราตรีมาเยือน ผู้คนที่หน้าประตูตำหนักกลับมากขึ้นพวกเขาซุบซิบกันเสียงเบา “ผู้นั้นคือพระชายามิใช่หรือ? เหตุใดจึงคุกเข่าอยู่หน้าตำหนักเล่า?”“ไม่รู้สิ หรือนางถูกทำโทษ”ทุกคนต่างสงสัยเป็นอย่างมาก สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่และการกระทำนี้ของลั่วชิงยวนก็ถูกคนใช้รายงานให้กับฟู่เฉินหวน ฟู่เฉินหวนได้ยินก็รู้สึกตะลึงยิ่ง“นางคิดเล่นกระไรอีกกันแน่?”มองดูลั่วเยวี่ยอิงที่ยังคงสลบมิได้สติอยู่บนเตียง และฟังหมอกู้ที่บอกสถานการณ์ของนางมิดีนัก สีหน้าของฟู่เฉินหวนย่ำแย่เป็นอย่างมากและรู้สึกโมโหการกระทำของลั่วชิงยวนเล็กน้อยลั่วชิงยวนที่อยู่หน้
นางใช้วิธีนี้มาบังคับเขา!ฟู่เฉินหวนหันร่างจากไปอย่างขุ่นเคือง“ท่านอ๋อง ทำเช่นไรดีพ่ะย่ะค่ะ?” ซูโหยวเอ่ยถามอย่างกังวลฟู่เฉินหวนรู้สึกปวดหัวอย่างยากจะทน สมองเขาราวกับกำลังจะระเบิดออก“ส่งลั่วเยวี่ยอิงกลับไป!”“นางกำลังข่มขู่ตัวข้า!”ซูโหยวรีบขานตอบ “พ่ะย่ะค่ะ!”จากนั้นลั้วเยวี่ยอิงก็ถูกยกขึ้นรถม้าทั้ง ๆ ที่ยังสลบอยู่ และส่งออกจากตำหนักในคืนนั้นทันทีมองดูรถม้าที่ห่างไกลออกไป ฟู่เฉินหวนมองไปทางลั่วชิงยวนด้วยคิ้วขมวด “เจ้ายังมิลุกอีกรึ? แสดงละครพอรึยัง?”ลั่วชิงยวนอยากจะลุก แต่เข่าของนางคุกเข่านานจนแข็งทื่อ เมื่อลุกขึ้นนางจึงเกือบจะล้มลงแต่แขนข้างหนึ่งกลับพยุงนางไว้โดยสัญชาตญาณลั่วชิงยวนชะงักเล็กน้อยฟู่เฉินหวนเองก็ชะงักเช่นกันลั่วชิงยวนรีบยืนตัวตรง และเอ่ยปากเสียงเย็น “ท่านอ๋อง หม่อมฉันมิได้แสดงละคร หม่อมฉันกำลังขอให้ท่านน้องยกโทษด้วยความจริงใจ!”“หวังว่าครั้งหน้านางอย่ามาขโมยของของหม่อมฉัน และทำร้ายคนของหม่อมฉันอีก นางอยากได้สิ่งใด หม่อมฉันย่อมให้นาง”ฟู่เฉินหวนมองนางที่พูดเหลวไหลต่อหน้าผู้คน ในใจเกิดไฟโทสะพิลึกขึ้น “งั้นหรือ? เจ้าให้จริงหรือ?”ลั่วชิงยวนยกเป็นรอยยิ
ลั่วชิงยวนนั่งอยู่บนเตียง อยากนอนก็นอนไม่หลับ นางยิ่งไม่อยากอยู่ที่นี่จึงเลือกที่จะลุกขึ้นและแอบออกจากตำหนักคืนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น คิดว่าคงไม่มีผู้ใดมาหานางแล้วเมื่อออกจากตำหนัก นางตรงไปที่ร้านในตรอกฉางเล่อทันทีนางเดินทางด้วยทางลัดกลางดึกดื่นซ่งเชียนฉู่มาเปิดประตูให้นาง “ดึกเช่นนี้แล้ว ท่านมาได้อย่างไรกัน? มิได้กลับตำหนักแล้วหรือ?”“ตอบยากแล้ว” ลั่วชิงยวนถอนหายใจ“เช่นนั้นค่อยพูดพรุ่งนี้เช้า ไปนอนเถิด” ซ่งเชียนฉู่เห็นว่าอารมณ์นางไม่ดีนัก จึงควงแขนนางกลับห้องเปลี่ยนชุดเสร็จ ทั้งคู่เตรียมจะดับเทียนเข้านอนเวลานี้เอง ด้านนอกกลับดังเป็นเสียงเคาะประตู“ดึกเช่นนี้แล้ว ผู้ใดกัน?” ซ่งเชียนฉู่งุนงง“ข้าไปดูเอง เจ้านอนเถอะ” ลั่วชิงยวนขึ้นหน้าไปเปิดประตูด้านนอก และพบกับฟู่เฉินหวนที่กำลังนั่งดื่มเหล้าบนขั้นบันไดหินไฉนจึงเป็นเขาไปได้!ลั่วชิงยวนรีบปิดประตูทันใดผู้ใดจะรู้ฟู่เฉินหวนกลับยันประตูไว้อย่างร้อนรน จนประตูหนีบมือของเขาอย่างแรงลั่วชิงยวนตกใจ จึงรีบปล่อยมือ“ท่านอ๋อง ดึกดื่นเพียงนี้แล้วท่านจักทำสิ่งใดพ่ะย่ะค่ะ?” นางรู้สึกเสียใจที่มาเปิดประตูนี้มือของฟู่เฉินหว
สายตาร้อนรนและเต็มไปด้วยความลนลานนั้น ลั่วชิงยวนมิเคยเห็นมาก่อนนางปัดมือของฟู่เฉินหวนทิ้ง “ท่านอ๋องเพียงแค่ชอบคนหนึ่ง และเกลียดอีกคนหนึ่งก็เท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“คนเราต่างมีอารมณ์และปรารถนา เราถูกควบคุมโดยสิ่งเหล่านั้น แต่ท่านอ๋องเพียงยังมิยอมรับตัวท่านที่มิแผกแยกผิดชอบชั่วดี”ฟู่เฉินหวนคิดหนัก และเอ่ยพึมพำ “ข้าชอบนางรึ?”“นางขี้อิจฉา จิตใจร้ายมิเบา มักแสร้งทำท่าอ่อนแอเพื่อเรียกร้องความสงสารจากตัวข้า คนเช่นนี้ คู่ควรให้ตัวข้าชอบจริงหรือ?”ได้ยินประโยคนี้ ลั่วชิงยวนตะลึงเป็นอย่างมากที่แท้เขารู้ทั้งหมด ในใจเขากระจ่างราวกับกระจกใส! แต่เขากลับเข้าข้างลั่วเยวี่ยอิงครั้งแล้วครั้งเล่า!ก่อนหน้านี้นางเคยสงสัยว่าฟู่เฉินหวนถูกควบคุมโดยวิธีบางอย่าง เพียงแต่นางไม่มีโอกาสดูให้เขาบวกกับเรื่องในจวนนอกเมือง ทำให้นางมิอยากเกี่ยวโยงกับฟู่เฉินหวนอีก ย่อมมิอยากดูให้เขาบัดนี้ได้ยินประโยคนี้ ความคิดในใจของนางสั่นคลอนเบา ๆ หากลั่วเยวี่ยอิงใช้วิธีการบางอย่างในการควบคุมฟู่เฉินหวน เช่นนั้นก็หมายความว่าเบื้องหลังลั่วเยวี่ยอิงมีผู้บงการหรือไม่?นางจะใช่พวกเดียวกับผู้เก่งกาจตระกูลเหยียนหรือไม่?และหม
สายตาของฟู่เฉินหวนยังคงเอ่อไปด้วยหยาดน้ำ ราวกับครั้งแรกที่เจอบนตัวฟู่เฉินหวนมีกลิ่นอายมังกรคุ้มครอง คงมิตายเพราะลั่วเยวี่ยอิงในเร็ว ๆ นี้แต่เมื่อกลิ่นอายนี้หมดไป บางทีอาจเป็นยามสิ้นชีวาของเขานางเงยหน้ามองนภาราตรี หัวใจหนักอึ้งมากเป็นพิเศษเดิมทีนางมิอยากเกี่ยวโยงใด ๆ กับฟู่เฉินหวน แต่ชะตามักชอบเล่นตลก นางและฟู่เฉินหวนคอยพัวพันกันไม่หยุด นางเองก็มิรู้ว่าสวรรค์หมายความว่าอย่างไรกันแน่ฟู่เฉินหวนนั่งอยู่ใต้ชายคา ดื่มเหล้าทั้งคืนบางครั้งเขาพูดเหมือนคนเมา แต่บางครั้งก็ดูจะสติครบครันลั่วชิงยวนไม่พูดต่อ เพียงแค่นั่งอยู่นิ่ง ๆ นางนั่งในเรือนเป็นเพื่อนเขาทั้งคืนวันต่อมา ฟ้ายังมิทันสว่าง ฟู่เฉินหวนก็จากไปลั่วชิงยวนพิงเสาหลับไปทั้งคืนซ่งเชียนฉู่ตื่นมาเจอนาง ลั่วชิงยวนจึงตื่นมาซ่งเชียนฉู่เห็นอาภรณ์ที่คลุมอยู่บนร่างของลั่วชิงยวน อาภรณ์ฟู่เฉินหวน“นี่มัน… ท่านอ๋องเสด็จมาหรือ?”“อาภรณ์ของพระองค์อยู่บนร่างท่าน เช่นนั้นเมื่อคืนพระองค์อยู่อย่างไรกัน? ราตรีหนาวเย็นเช่นนั้น” ซ่งเชียนฉู่ฉงนเป็นอย่างมากลั่วชิงยวนมองเสื้อบนร่างแล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นกัน“เห้อ พวกท่านนี่คู่ปรับกันเ
ด้านข้างมีเสียงของลิ่นฝูเสวี่ยส่งมา “แน่นอนว่าต้องเป็นชื่อของข้าสิ ท่านเซียนน้อย!”ลั่วชิงยวนไตร่ตรองครู่หนึ่งและเอ่ย “ฝูเสวี่ย”ได้ยินดังนี้ แม่เล้าปี้พรึมพรำกับตนเอง “ฝูเสวี่ย ช่างไพเราะเสียจริง!”แม้จะคุ้นหูไปนิด แต่แม่เล้าปี้คิดมิออกในคราแรก“แม่นางฝูเสวี่ยเปลี่ยนอาภรณ์ไปก่อน ข้าจักไปแจ้งด้านนอก ให้เจ้าขึ้นเวทีแสดงหลังครึ่งชั่วยามผ่านไป ดีหรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ได้”“ท่านเซียนน้อย ไฉนท่านตัดแซ่ของข้าทิ้งเล่า!” ลิ่นฝูเสวี่ยมิพอใจแม่เล้าปี้ออกจากห้องไปแล้วลั่วชิงยวนจึงเอ่ยปาก “นามลิ่นฝูเสวี่ยนั้นโอ่อ่าเกินไป ข้ามิอยากให้ถูกผู้อื่นคิดว่าถูกผีเข้าสิง”ลิ่นฝูเสวี่ยได้ยินก็พลันหัวเราะขึ้นอย่างได้ใจ “เช่นนั้นก็ถูก นามของข้านั้นโอ่อ่าจริง ๆ แล”“สมัยนั้น ทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดบ้างที่มิรู้นามขานข้า”“เพียงแต่ เรื่องถูกผีเข้าสิง ผ่านไปพักหนึ่งอย่างไรก็ต้องมีคนสงสัยแน่!”“เพราะใต้หล้านี้ นอกจากข้าลิ่นฝูเสวี่ยแล้ว ยังมีผู้ใดที่ร่ายรำได้งามชดช้อยเท่าข้าได้เป็นคนที่สองอีกหรือ?”ลั่วชิงยวนเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ “ถ่อมตัวหน่อยเถอะ”“ชุดนี้! ชุดสีขาวนี้งามนัก!” น้ำเสียงของลิ่นฝูเสวี
เล็บของหลีเถาจิกจนไม้ขาด ในใจนางตะลึงยิ่งรำเทพเหมันต์หรือ?นางได้ยินว่า เหมือนจะเป็นการร่ายรำที่ลิ่นฝูเสวี่ยออกแบบเอง…ผู้ที่เติบโตในหอนางโลมต้องใช้ความสามารถในการหากิน พวกนางน่าจะต่างรู้จักรำเทพเหมันต์ของลิ่นฝูเสวี่ยแต่ลิ่นฝูเสวี่ยตายไวเกินไป รำเทพเหมันต์ยังมิทันสืบทอดให้ผู้ใดก็หายไปจากใต้หล้านี้เสียก่อนแล้วกระทั่งอาจารย์ของนาง ยังเรียนรู้ไปเพียงครึ่งหนึ่ง และถูกอาจารย์ของนางมองเป็นสิ่งล้ำค่า จนมิเคยนำมาแสดงต่อหน้าผู้อื่นมาก่อนแต่แม่นางที่ชื่อฝูเสวี่ย กลับบอกว่าที่นางร่ายรำคือรำเทพเหมันต์!เป็นไปได้อย่างไร!ผู้คนด้านล่างซุบซิบกันขึ้นมา“ข้าเคยได้ยินรำเทพเหมันต์มาก่อน รำเอกลักษณ์ของหอสมุทรมรกตในอดีต!”“ได้ยินว่าลิ่นฝูเสวี่ยเป็นผู้ออกแบบท่ารำเอง! นามของแม่นางฝูเสวี่ยเหมือนลิ่นฝูเสวี่ยพอดี หรือว่านางเป็นศิษย์ลิ่นฝูเสวี่ย?”พวกเขาพูดถึงคำว่าลิ่นฝูเสวี่ยอีกครั้งบัดนี้ลิ่นฝูเสวี่ยยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจใต้หล้านี้ยังมีคนจดจำนางได้ลั่วชิงยวนเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบจากไป เพราะนางกลัวจะถูกล้อมแต่ทันทีที่นางไป คนด้านล่างก็ต่างตะโกนกันขึ้นมา “อีกเพลงหนึ่ง! อีกเพลงหนึ่ง!”
แต่เมื่อตกเย็น แขกในหอกลับหายไปเกินครึ่งผู้ที่จะมาดูการร่ายรำในหอนางโลม ต่างมาเพราะความอยากรู้หากไร้สิ่งใหม่ให้พวกเขาดู ให้พวกเขาตะลึง เมื่อความอยากรู้นี้ผ่านไป พวกเขาก็มิอยู่ต่อแล้ว……ยามเช้าตรู่ ลั่วเยวี่ยอิงตื่นมาพบว่าตนอยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดี นางตกตะลึงยิ่ง จึงรีบเก็บของจะกลับตำหนักแต่วันนี้เมื่อมาถึงถนนหน้าตำหนัก ชาวบ้านกลับซุบซิบนินทานาง“ดูสิ นี่มันท่านนั้นในตำหนักอ๋องมิใช่หรือ ยังจะมาอย่างหน้าไม่อายอีก”“ใช่ ๆ เป็นสาวเป็นนาง กลับวิ่งไปบ้านผู้ชายทุกวัน มิรู้จักอับอาย”ป้าสองคนที่เดินผ่านนินทานางคำพูดพวกนางตกสู่หูของลั่วเยวี่ยอิงอย่างชัดเจน หน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาทันทีนางรู้สึกอับอายยากจะทน“นางมีหน้ามาได้อย่างไรอีก?”“บุตรีอนุกลับรังแกถึงหัวบุตรีเอก น่าเกลียดเสียจริง”“อุตส่าห์มีรูปโฉมงดงาม แต่กลับไร้ยางอายเสียได้”คำพูดเหล่านี้ที่ตกถึงหูลั่วชิงยวน ราวกับมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงลงในร่างของนางทีละเล่ม จนนางเลือดไหลท่วมร่างหน้าไม่อายมิรู้จักอับอายไร้ยางอายศัพท์เหล่านี้ เคยเอาไว้ด่าลั่วชิงยวนมิใช่หรือ?นางฟังมาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เป็นครั้งแรกที่ศัพท์เหล่าน
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้