ด้านข้างมีเสียงของลิ่นฝูเสวี่ยส่งมา “แน่นอนว่าต้องเป็นชื่อของข้าสิ ท่านเซียนน้อย!”ลั่วชิงยวนไตร่ตรองครู่หนึ่งและเอ่ย “ฝูเสวี่ย”ได้ยินดังนี้ แม่เล้าปี้พรึมพรำกับตนเอง “ฝูเสวี่ย ช่างไพเราะเสียจริง!”แม้จะคุ้นหูไปนิด แต่แม่เล้าปี้คิดมิออกในคราแรก“แม่นางฝูเสวี่ยเปลี่ยนอาภรณ์ไปก่อน ข้าจักไปแจ้งด้านนอก ให้เจ้าขึ้นเวทีแสดงหลังครึ่งชั่วยามผ่านไป ดีหรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ได้”“ท่านเซียนน้อย ไฉนท่านตัดแซ่ของข้าทิ้งเล่า!” ลิ่นฝูเสวี่ยมิพอใจแม่เล้าปี้ออกจากห้องไปแล้วลั่วชิงยวนจึงเอ่ยปาก “นามลิ่นฝูเสวี่ยนั้นโอ่อ่าเกินไป ข้ามิอยากให้ถูกผู้อื่นคิดว่าถูกผีเข้าสิง”ลิ่นฝูเสวี่ยได้ยินก็พลันหัวเราะขึ้นอย่างได้ใจ “เช่นนั้นก็ถูก นามของข้านั้นโอ่อ่าจริง ๆ แล”“สมัยนั้น ทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดบ้างที่มิรู้นามขานข้า”“เพียงแต่ เรื่องถูกผีเข้าสิง ผ่านไปพักหนึ่งอย่างไรก็ต้องมีคนสงสัยแน่!”“เพราะใต้หล้านี้ นอกจากข้าลิ่นฝูเสวี่ยแล้ว ยังมีผู้ใดที่ร่ายรำได้งามชดช้อยเท่าข้าได้เป็นคนที่สองอีกหรือ?”ลั่วชิงยวนเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ “ถ่อมตัวหน่อยเถอะ”“ชุดนี้! ชุดสีขาวนี้งามนัก!” น้ำเสียงของลิ่นฝูเสวี
เล็บของหลีเถาจิกจนไม้ขาด ในใจนางตะลึงยิ่งรำเทพเหมันต์หรือ?นางได้ยินว่า เหมือนจะเป็นการร่ายรำที่ลิ่นฝูเสวี่ยออกแบบเอง…ผู้ที่เติบโตในหอนางโลมต้องใช้ความสามารถในการหากิน พวกนางน่าจะต่างรู้จักรำเทพเหมันต์ของลิ่นฝูเสวี่ยแต่ลิ่นฝูเสวี่ยตายไวเกินไป รำเทพเหมันต์ยังมิทันสืบทอดให้ผู้ใดก็หายไปจากใต้หล้านี้เสียก่อนแล้วกระทั่งอาจารย์ของนาง ยังเรียนรู้ไปเพียงครึ่งหนึ่ง และถูกอาจารย์ของนางมองเป็นสิ่งล้ำค่า จนมิเคยนำมาแสดงต่อหน้าผู้อื่นมาก่อนแต่แม่นางที่ชื่อฝูเสวี่ย กลับบอกว่าที่นางร่ายรำคือรำเทพเหมันต์!เป็นไปได้อย่างไร!ผู้คนด้านล่างซุบซิบกันขึ้นมา“ข้าเคยได้ยินรำเทพเหมันต์มาก่อน รำเอกลักษณ์ของหอสมุทรมรกตในอดีต!”“ได้ยินว่าลิ่นฝูเสวี่ยเป็นผู้ออกแบบท่ารำเอง! นามของแม่นางฝูเสวี่ยเหมือนลิ่นฝูเสวี่ยพอดี หรือว่านางเป็นศิษย์ลิ่นฝูเสวี่ย?”พวกเขาพูดถึงคำว่าลิ่นฝูเสวี่ยอีกครั้งบัดนี้ลิ่นฝูเสวี่ยยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจใต้หล้านี้ยังมีคนจดจำนางได้ลั่วชิงยวนเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบจากไป เพราะนางกลัวจะถูกล้อมแต่ทันทีที่นางไป คนด้านล่างก็ต่างตะโกนกันขึ้นมา “อีกเพลงหนึ่ง! อีกเพลงหนึ่ง!”
แต่เมื่อตกเย็น แขกในหอกลับหายไปเกินครึ่งผู้ที่จะมาดูการร่ายรำในหอนางโลม ต่างมาเพราะความอยากรู้หากไร้สิ่งใหม่ให้พวกเขาดู ให้พวกเขาตะลึง เมื่อความอยากรู้นี้ผ่านไป พวกเขาก็มิอยู่ต่อแล้ว……ยามเช้าตรู่ ลั่วเยวี่ยอิงตื่นมาพบว่าตนอยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดี นางตกตะลึงยิ่ง จึงรีบเก็บของจะกลับตำหนักแต่วันนี้เมื่อมาถึงถนนหน้าตำหนัก ชาวบ้านกลับซุบซิบนินทานาง“ดูสิ นี่มันท่านนั้นในตำหนักอ๋องมิใช่หรือ ยังจะมาอย่างหน้าไม่อายอีก”“ใช่ ๆ เป็นสาวเป็นนาง กลับวิ่งไปบ้านผู้ชายทุกวัน มิรู้จักอับอาย”ป้าสองคนที่เดินผ่านนินทานางคำพูดพวกนางตกสู่หูของลั่วเยวี่ยอิงอย่างชัดเจน หน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาทันทีนางรู้สึกอับอายยากจะทน“นางมีหน้ามาได้อย่างไรอีก?”“บุตรีอนุกลับรังแกถึงหัวบุตรีเอก น่าเกลียดเสียจริง”“อุตส่าห์มีรูปโฉมงดงาม แต่กลับไร้ยางอายเสียได้”คำพูดเหล่านี้ที่ตกถึงหูลั่วชิงยวน ราวกับมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงลงในร่างของนางทีละเล่ม จนนางเลือดไหลท่วมร่างหน้าไม่อายมิรู้จักอับอายไร้ยางอายศัพท์เหล่านี้ เคยเอาไว้ด่าลั่วชิงยวนมิใช่หรือ?นางฟังมาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เป็นครั้งแรกที่ศัพท์เหล่าน
วันที่ออกจากหอเจาเซียง ลั่วชิงยวนไปที่คฤหาสน์หลังใหม่ ช่วยลิ่นฝูเสวี่ยจัดห้อง จัดวางของตามความชอบของนางลิ่นฝูเสวี่ยเองก็พูดเรื่องเกี่ยวกับแม่ของนางมากมาย“มารดาของท่าน มิเหมือนคุณหนูทั่วไป นางมิชอบอ่านตำรา มิชอบเขียนตำรา มิชอบศิลปะสี่แขนง ที่นางชอบที่สุดคือการดูข้าร่ายรำ”“ใต้หล้านี้มีผู้คนที่ชอบดูข้าร่ายรำมากมาย ในสถานที่อย่างหอนางโลม มีชายหนุ่มนับไม่ถ้วนอยากไถ่ตัวให้ข้า เพราะรู้สึกว่าข้าต้องร่ายรำในนั้นอย่างไร้ทางเลือก”“มีเพียงมารดาของท่าน นางดูออกว่าข้ารักการร่ายรำ ข้ามิสนว่าที่นั้นคือหอนางโลมหรือไม่ เพียงแค่ให้ข้าได้ร่ายรำอย่างผ่าเผย ข้าก็ยอมอยู่ที่นั่น และมิไปที่ใดทั้งนั้น”“ข้ามองนางเป็นมิตรรู้ใจ”“เพียงแต่ นางเป็นฮูหยินจวนอัครมหาเสนาบดี มิสะดวกที่จะมาเยี่ยมข้าในสถานที่อย่างหอนางโลม ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่เจอกันนาน ๆ ครั้งโดยส่วนตัว หรือบางครั้งก็อาจเจอกันในงานเลี้ยง”“นางยอมเข้าร่วมงานเลี้ยงที่นางมิชอบ เพียงเพราะอยากเห็นข้าร่ายรำ”“ข้าเองก็ยอมไปร่ายรำในจวนคนที่ข้าเกลียดเพื่อนาง”เนื้อหาที่ลิ่นฝูเสวี่ยพูดกับนางนั้น มิเป็นประโยชน์ต่อลั่วชิงยวนนักแต่กลับทำนางซาบซึ้งเป็น
นี่เป็นห้องสุดท้ายบนทางระเบียง! ผู้ใดจะมาที่นี่กัน!นางสวมชุดอย่างไว ใส่หน้ากากทันใดนั้น ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรงบุรุษพุงย้วยผู้หนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นลั่วชิงยวน ตาของเขาลุกวาวเขาถูมือด้วยท่าทีหิวโซ “แม่นางฝูเสวี่ย รอนานเลยใช่หรือไม่”ลั่วชิงยวนถอยหลังก้าวหนึ่ง “เจ้าคือใครกัน?”“ข้าแซ่หลี่ เป็นบุรุษคนแรกของแม่นางฝูเสวี่ย ข้าจักทำเบา ๆ มิทำแม่นางฝูเสวี่ยต้องเจ็บแน่”บุรุษก้าวเดินเข้ามา และตะครุบใส่ลั่วชิงยวนอย่างแรงสายตาของลั่วชิงยวนเยือกเย็นลง นางเตะขาอย่างแรงจนเขากระเด็นลงกับพื้นบุรุษอุทานจากเจ็บปวดทีหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้น ชี้หน้านางพร้อมกราดด่า “ข้าเสียเงินถึงหมื่นตำลึงเพื่อซื้อเจ้า! คืนนี้เจ้าจักต้องเป็นคนของข้า!”คิ้วของลั่วชิงยวนขมวดแน่นหลีเถาเป็นคนทำแน่ ๆ!“ไสหัวออกไป” ลั่วชิงยวนด่าอย่างเกรี้ยวกราด และผลักประตูออกแต่เมื่อเปิดประตูกลับมีบุรุษกลุ่มใหญ่ดักอยู่ และบังทางเดินไว้อย่างมิดชิดลั่วชิงยวนเห็นหลีเถา นางกำลังยิ้มอย่างได้ใจ“ข้าและหอเจาเซียงมิได้เขียนสัญญาใดไว้ พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ควบคุมอิสระของข้า!” ลั่วชิงยวนเอ่ยพูดเสียงเย็น“ดูท่าแม่นางฝูเสวี่
ชั้นสองคนพาลกลุ่มหนึ่งล้อมขึ้นมา อยากจะกดลั่วชิงยวนไว้ลั่วชิงยวนมือไวตาไว ฝีมือปราดเปรียว นางหลบการโจมตีของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโจมตีไปที่จุดอ่อนของอีกฝ่ายอย่างแรงนางสู้จนออกจากประตูไปได้แต่เบื้องหลัง กลับยังมีชายฉกรรย์โผล่ออกมาไม่หยุด คนพาลในหอเจาเซียงต่างเป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธ ซึ่งแรงเยอะโขลั่วชิวยวนจึงทำได้เพียงใช้ความปราดเปรียวของตนหลบการโจมตีของอีกฝ่าย มิกล้ารับมือตรง ๆ นางบุกจนถึงด้านนอกลิ่นฝูเสวี่ยส่งกำลังใจให้นางอย่างลุ้นระทึก “เกือบไปแล้วท่านเซียนน้อย!”“ระวังด้านหลัง!”“เร็วเข้า ๆ ใกล้ออกไปได้แล้ว!”สีหน้าของลั่วชิงยวนมืดครึ้ม นางรับมืออย่างระมัดระวัง มุ่งสู้ไปทางด้านนอกคนมากเกินไป นางถูกล้อมไว้สองด้าน ลั่วชิงยวนจึงได้แต่เปลี่ยนเส้นทาง นางบุกเข้ามาในห้องหนึ่ง“กรี๊ด!” ในห้องคือซิ่งอวี่ นางตกใจจนโฉมงามถอดสีลั่วชิงยวนจึงจับข้อมือนางไว้ “แม่นางซิ่งอวี่ หนีไปพร้อมกับข้าเถิด!”ซิ่งอวี่ตะลึง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่นางยังมิทันเอ่ยตอบ คนพาลจากด้านนอกก็บุกเข้ามา ลั่วชิงยวนจึงได้แต่ลากนางหนีไปพร้อมกันนางดันหน้าต่างออก จับไหล่ซิ่งอวี่ไว้พร้อมยันขา ลอยตัวออ
ฟู่จิ่งหานได้ยินก็ตะลึงเป็นอย่างมาก “เจ้าไปทำอะไรกันเสด็จพี่สาม!”ลั่วชิงยวนพาซิ่งอวี่หนีออกจากหอเจาเซียง เบื้องหลังมีเสียงฝีเท้าส่งมา นางหันไปมองแวบหนึ่งอย่างลนลาน และแวบหนึ่งนี้กลับทำหัวใจของนางกระตุกฟู่เฉินหวนตามมาได้อย่างไรกัน!แย่แล้ว!หากนางถูกฟู่เฉินหวนดูออกคงจบเห่แน่!นางลากซิ่งอวี่วิ่งไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าเบื้องหน้ามีรถม้านางจึงขึ้นรถม้าอย่างไว นางควบม้าอยู่ด้านหน้าและหนีไปผู้ใดจะรู้ฟู่เฉินหวนกลับลอยตัวขึ้นมาวิชาตัวเบา และนั่งอยู่ข้าง ๆ นางพร้อมเอ่ยพูดกับนาง “เข้าไปด้านใน”ในใจของลั่วชิงยวนกังวล ฟู่เฉินหวนคิดจะทำอะไรกันแน่ฟังเสียงฝีเท้าคนพาลที่วิ่งตามมาทางด้านหลัง ลั่วชิงยวนเลือกที่จะหลบเข้าไปในรถม้าภายในรถม้า ซิ่งอวี่ผวาเสียจนแทบจะร้องไห้ออกมา นางจับมือลั่วชิงยวนไว้แน่น “ท่านมิควรพาข้าหนี ข้าหนีออกมาแล้ว ข้าจักไปที่ใดได้อีก”“มิต้องห่วง ข้าจักจัดการให้เจ้าเอง”หน้าประตูใหญ่หอเจาเซียง ฟู่จิ่งหานมองฟู่เฉินหวนที่ควบม้าพาแม่นางฝูเสวี่ยหนี สีหน้าของเขาย่ำแย่ขึ้นมาทันที“เจ้านี่ จักช่วยสาวงามก็มิชวนข้า ยังบอกว่ามิสนใจอีก ข้าว่าสนใจจะตายชัก!”“เหอะ บุรุษนี้หนา!”
ลิ่นฝูเสวี่ยยังคงตกอยู่ในความตะลึง นางเอ่ยตอบ “นางรับใช้ข้าในอดีต ลี่เซียง”“นางยังมีชีวิตอยู่หรือ นางยังมิตายหรือ!”“วันนั้นนางอยู่ในขบวนรถม้าเดียวกับข้า เป็นไปได้อย่างไรที่นางจักมิตาย”ได้ยินดังนี้ ลั่วชิงยวนตะลึง “เจ้าหมายถึง นางไปกับเจ้าเมื่อวันที่เกิดเรื่องหรือ!”“ใช่“ลั่วชิงยวนเอ่ยขมวดคิ้ว “หรือว่าในขบวนมีผู้โชคดีรอดชีวิตมาได้?”“ข้ามิรู้ แต่ข้าคิดว่ามิง่ายเสียขนาดนั้น หลังเกิดเรื่องข้าติดอยู่ใต้หุบเขามาโดยตลอด ข้าหาอยู่นานกว่าจะกลับมาได้ แต่หอสมุทรมรกตในตอนนั้น กลับกลายเป็นคฤหาสน์เช่นนี้แล้ว”“ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ คือคหบดีหลี่”“พวกเขาต่างบอก คนในหอสมุทรมรกต มิเหลือสักคน”“แต่เหตุไฉนลี่เซียงยังมีชีวิตอยู่?”ลิ่นฝูเสวี่ยยิ่งคิดเรื่องนี้ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เรื่องมันต้องมิง่ายเช่นนี้แน่!ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง จากนั้นกล่าว “ท่เจ้าจำลุงฟ่านที่ถนนเส้นนั้นได้หรือไม่ เขาก็เคยเป็นหนึ่งในผู้หลงใหลท่าน หลังเจ้าเกิดเรื่อง เขาเคยสืบข่าวมาก่อน บางทีเขาอาจรู้มากกว่า”“พวกเราไปถามเขากันเถอะ”ลิ่นฝูเสวี่ยเอ่ยตอบ “ได้”จากนั้นลั่วชิงยวนจึงออกเดินทางไปหาเขา และทิ้งซิ่งอวี่ไว้ในโรง
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้