ด้านข้างมีเสียงของลิ่นฝูเสวี่ยส่งมา “แน่นอนว่าต้องเป็นชื่อของข้าสิ ท่านเซียนน้อย!”ลั่วชิงยวนไตร่ตรองครู่หนึ่งและเอ่ย “ฝูเสวี่ย”ได้ยินดังนี้ แม่เล้าปี้พรึมพรำกับตนเอง “ฝูเสวี่ย ช่างไพเราะเสียจริง!”แม้จะคุ้นหูไปนิด แต่แม่เล้าปี้คิดมิออกในคราแรก“แม่นางฝูเสวี่ยเปลี่ยนอาภรณ์ไปก่อน ข้าจักไปแจ้งด้านนอก ให้เจ้าขึ้นเวทีแสดงหลังครึ่งชั่วยามผ่านไป ดีหรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ได้”“ท่านเซียนน้อย ไฉนท่านตัดแซ่ของข้าทิ้งเล่า!” ลิ่นฝูเสวี่ยมิพอใจแม่เล้าปี้ออกจากห้องไปแล้วลั่วชิงยวนจึงเอ่ยปาก “นามลิ่นฝูเสวี่ยนั้นโอ่อ่าเกินไป ข้ามิอยากให้ถูกผู้อื่นคิดว่าถูกผีเข้าสิง”ลิ่นฝูเสวี่ยได้ยินก็พลันหัวเราะขึ้นอย่างได้ใจ “เช่นนั้นก็ถูก นามของข้านั้นโอ่อ่าจริง ๆ แล”“สมัยนั้น ทั้งเมืองหลวงมีผู้ใดบ้างที่มิรู้นามขานข้า”“เพียงแต่ เรื่องถูกผีเข้าสิง ผ่านไปพักหนึ่งอย่างไรก็ต้องมีคนสงสัยแน่!”“เพราะใต้หล้านี้ นอกจากข้าลิ่นฝูเสวี่ยแล้ว ยังมีผู้ใดที่ร่ายรำได้งามชดช้อยเท่าข้าได้เป็นคนที่สองอีกหรือ?”ลั่วชิงยวนเอ่ยปากอย่างอดไม่ได้ “ถ่อมตัวหน่อยเถอะ”“ชุดนี้! ชุดสีขาวนี้งามนัก!” น้ำเสียงของลิ่นฝูเสวี
เล็บของหลีเถาจิกจนไม้ขาด ในใจนางตะลึงยิ่งรำเทพเหมันต์หรือ?นางได้ยินว่า เหมือนจะเป็นการร่ายรำที่ลิ่นฝูเสวี่ยออกแบบเอง…ผู้ที่เติบโตในหอนางโลมต้องใช้ความสามารถในการหากิน พวกนางน่าจะต่างรู้จักรำเทพเหมันต์ของลิ่นฝูเสวี่ยแต่ลิ่นฝูเสวี่ยตายไวเกินไป รำเทพเหมันต์ยังมิทันสืบทอดให้ผู้ใดก็หายไปจากใต้หล้านี้เสียก่อนแล้วกระทั่งอาจารย์ของนาง ยังเรียนรู้ไปเพียงครึ่งหนึ่ง และถูกอาจารย์ของนางมองเป็นสิ่งล้ำค่า จนมิเคยนำมาแสดงต่อหน้าผู้อื่นมาก่อนแต่แม่นางที่ชื่อฝูเสวี่ย กลับบอกว่าที่นางร่ายรำคือรำเทพเหมันต์!เป็นไปได้อย่างไร!ผู้คนด้านล่างซุบซิบกันขึ้นมา“ข้าเคยได้ยินรำเทพเหมันต์มาก่อน รำเอกลักษณ์ของหอสมุทรมรกตในอดีต!”“ได้ยินว่าลิ่นฝูเสวี่ยเป็นผู้ออกแบบท่ารำเอง! นามของแม่นางฝูเสวี่ยเหมือนลิ่นฝูเสวี่ยพอดี หรือว่านางเป็นศิษย์ลิ่นฝูเสวี่ย?”พวกเขาพูดถึงคำว่าลิ่นฝูเสวี่ยอีกครั้งบัดนี้ลิ่นฝูเสวี่ยยิ้มออกมาอย่างพออกพอใจใต้หล้านี้ยังมีคนจดจำนางได้ลั่วชิงยวนเห็นสถานการณ์เช่นนี้จึงรีบจากไป เพราะนางกลัวจะถูกล้อมแต่ทันทีที่นางไป คนด้านล่างก็ต่างตะโกนกันขึ้นมา “อีกเพลงหนึ่ง! อีกเพลงหนึ่ง!”
แต่เมื่อตกเย็น แขกในหอกลับหายไปเกินครึ่งผู้ที่จะมาดูการร่ายรำในหอนางโลม ต่างมาเพราะความอยากรู้หากไร้สิ่งใหม่ให้พวกเขาดู ให้พวกเขาตะลึง เมื่อความอยากรู้นี้ผ่านไป พวกเขาก็มิอยู่ต่อแล้ว……ยามเช้าตรู่ ลั่วเยวี่ยอิงตื่นมาพบว่าตนอยู่ในจวนอัครมหาเสนาบดี นางตกตะลึงยิ่ง จึงรีบเก็บของจะกลับตำหนักแต่วันนี้เมื่อมาถึงถนนหน้าตำหนัก ชาวบ้านกลับซุบซิบนินทานาง“ดูสิ นี่มันท่านนั้นในตำหนักอ๋องมิใช่หรือ ยังจะมาอย่างหน้าไม่อายอีก”“ใช่ ๆ เป็นสาวเป็นนาง กลับวิ่งไปบ้านผู้ชายทุกวัน มิรู้จักอับอาย”ป้าสองคนที่เดินผ่านนินทานางคำพูดพวกนางตกสู่หูของลั่วเยวี่ยอิงอย่างชัดเจน หน้าของนางแดงก่ำขึ้นมาทันทีนางรู้สึกอับอายยากจะทน“นางมีหน้ามาได้อย่างไรอีก?”“บุตรีอนุกลับรังแกถึงหัวบุตรีเอก น่าเกลียดเสียจริง”“อุตส่าห์มีรูปโฉมงดงาม แต่กลับไร้ยางอายเสียได้”คำพูดเหล่านี้ที่ตกถึงหูลั่วชิงยวน ราวกับมีดแหลมคมที่ทิ่มแทงลงในร่างของนางทีละเล่ม จนนางเลือดไหลท่วมร่างหน้าไม่อายมิรู้จักอับอายไร้ยางอายศัพท์เหล่านี้ เคยเอาไว้ด่าลั่วชิงยวนมิใช่หรือ?นางฟังมาครั้งแล้วครั้งเล่าแต่เป็นครั้งแรกที่ศัพท์เหล่าน
วันที่ออกจากหอเจาเซียง ลั่วชิงยวนไปที่คฤหาสน์หลังใหม่ ช่วยลิ่นฝูเสวี่ยจัดห้อง จัดวางของตามความชอบของนางลิ่นฝูเสวี่ยเองก็พูดเรื่องเกี่ยวกับแม่ของนางมากมาย“มารดาของท่าน มิเหมือนคุณหนูทั่วไป นางมิชอบอ่านตำรา มิชอบเขียนตำรา มิชอบศิลปะสี่แขนง ที่นางชอบที่สุดคือการดูข้าร่ายรำ”“ใต้หล้านี้มีผู้คนที่ชอบดูข้าร่ายรำมากมาย ในสถานที่อย่างหอนางโลม มีชายหนุ่มนับไม่ถ้วนอยากไถ่ตัวให้ข้า เพราะรู้สึกว่าข้าต้องร่ายรำในนั้นอย่างไร้ทางเลือก”“มีเพียงมารดาของท่าน นางดูออกว่าข้ารักการร่ายรำ ข้ามิสนว่าที่นั้นคือหอนางโลมหรือไม่ เพียงแค่ให้ข้าได้ร่ายรำอย่างผ่าเผย ข้าก็ยอมอยู่ที่นั่น และมิไปที่ใดทั้งนั้น”“ข้ามองนางเป็นมิตรรู้ใจ”“เพียงแต่ นางเป็นฮูหยินจวนอัครมหาเสนาบดี มิสะดวกที่จะมาเยี่ยมข้าในสถานที่อย่างหอนางโลม ดังนั้นพวกเราจึงได้แต่เจอกันนาน ๆ ครั้งโดยส่วนตัว หรือบางครั้งก็อาจเจอกันในงานเลี้ยง”“นางยอมเข้าร่วมงานเลี้ยงที่นางมิชอบ เพียงเพราะอยากเห็นข้าร่ายรำ”“ข้าเองก็ยอมไปร่ายรำในจวนคนที่ข้าเกลียดเพื่อนาง”เนื้อหาที่ลิ่นฝูเสวี่ยพูดกับนางนั้น มิเป็นประโยชน์ต่อลั่วชิงยวนนักแต่กลับทำนางซาบซึ้งเป็น
นี่เป็นห้องสุดท้ายบนทางระเบียง! ผู้ใดจะมาที่นี่กัน!นางสวมชุดอย่างไว ใส่หน้ากากทันใดนั้น ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรงบุรุษพุงย้วยผู้หนึ่งเดินเข้ามา เมื่อเห็นลั่วชิงยวน ตาของเขาลุกวาวเขาถูมือด้วยท่าทีหิวโซ “แม่นางฝูเสวี่ย รอนานเลยใช่หรือไม่”ลั่วชิงยวนถอยหลังก้าวหนึ่ง “เจ้าคือใครกัน?”“ข้าแซ่หลี่ เป็นบุรุษคนแรกของแม่นางฝูเสวี่ย ข้าจักทำเบา ๆ มิทำแม่นางฝูเสวี่ยต้องเจ็บแน่”บุรุษก้าวเดินเข้ามา และตะครุบใส่ลั่วชิงยวนอย่างแรงสายตาของลั่วชิงยวนเยือกเย็นลง นางเตะขาอย่างแรงจนเขากระเด็นลงกับพื้นบุรุษอุทานจากเจ็บปวดทีหนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้น ชี้หน้านางพร้อมกราดด่า “ข้าเสียเงินถึงหมื่นตำลึงเพื่อซื้อเจ้า! คืนนี้เจ้าจักต้องเป็นคนของข้า!”คิ้วของลั่วชิงยวนขมวดแน่นหลีเถาเป็นคนทำแน่ ๆ!“ไสหัวออกไป” ลั่วชิงยวนด่าอย่างเกรี้ยวกราด และผลักประตูออกแต่เมื่อเปิดประตูกลับมีบุรุษกลุ่มใหญ่ดักอยู่ และบังทางเดินไว้อย่างมิดชิดลั่วชิงยวนเห็นหลีเถา นางกำลังยิ้มอย่างได้ใจ“ข้าและหอเจาเซียงมิได้เขียนสัญญาใดไว้ พวกเจ้าไม่มีสิทธิ์ควบคุมอิสระของข้า!” ลั่วชิงยวนเอ่ยพูดเสียงเย็น“ดูท่าแม่นางฝูเสวี่
ชั้นสองคนพาลกลุ่มหนึ่งล้อมขึ้นมา อยากจะกดลั่วชิงยวนไว้ลั่วชิงยวนมือไวตาไว ฝีมือปราดเปรียว นางหลบการโจมตีของศัตรูได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งโจมตีไปที่จุดอ่อนของอีกฝ่ายอย่างแรงนางสู้จนออกจากประตูไปได้แต่เบื้องหลัง กลับยังมีชายฉกรรย์โผล่ออกมาไม่หยุด คนพาลในหอเจาเซียงต่างเป็นผู้ฝึกฝนวรยุทธ ซึ่งแรงเยอะโขลั่วชิวยวนจึงทำได้เพียงใช้ความปราดเปรียวของตนหลบการโจมตีของอีกฝ่าย มิกล้ารับมือตรง ๆ นางบุกจนถึงด้านนอกลิ่นฝูเสวี่ยส่งกำลังใจให้นางอย่างลุ้นระทึก “เกือบไปแล้วท่านเซียนน้อย!”“ระวังด้านหลัง!”“เร็วเข้า ๆ ใกล้ออกไปได้แล้ว!”สีหน้าของลั่วชิงยวนมืดครึ้ม นางรับมืออย่างระมัดระวัง มุ่งสู้ไปทางด้านนอกคนมากเกินไป นางถูกล้อมไว้สองด้าน ลั่วชิงยวนจึงได้แต่เปลี่ยนเส้นทาง นางบุกเข้ามาในห้องหนึ่ง“กรี๊ด!” ในห้องคือซิ่งอวี่ นางตกใจจนโฉมงามถอดสีลั่วชิงยวนจึงจับข้อมือนางไว้ “แม่นางซิ่งอวี่ หนีไปพร้อมกับข้าเถิด!”ซิ่งอวี่ตะลึง นางลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่นางยังมิทันเอ่ยตอบ คนพาลจากด้านนอกก็บุกเข้ามา ลั่วชิงยวนจึงได้แต่ลากนางหนีไปพร้อมกันนางดันหน้าต่างออก จับไหล่ซิ่งอวี่ไว้พร้อมยันขา ลอยตัวออ
ฟู่จิ่งหานได้ยินก็ตะลึงเป็นอย่างมาก “เจ้าไปทำอะไรกันเสด็จพี่สาม!”ลั่วชิงยวนพาซิ่งอวี่หนีออกจากหอเจาเซียง เบื้องหลังมีเสียงฝีเท้าส่งมา นางหันไปมองแวบหนึ่งอย่างลนลาน และแวบหนึ่งนี้กลับทำหัวใจของนางกระตุกฟู่เฉินหวนตามมาได้อย่างไรกัน!แย่แล้ว!หากนางถูกฟู่เฉินหวนดูออกคงจบเห่แน่!นางลากซิ่งอวี่วิ่งไปอย่างรวดเร็ว เห็นว่าเบื้องหน้ามีรถม้านางจึงขึ้นรถม้าอย่างไว นางควบม้าอยู่ด้านหน้าและหนีไปผู้ใดจะรู้ฟู่เฉินหวนกลับลอยตัวขึ้นมาวิชาตัวเบา และนั่งอยู่ข้าง ๆ นางพร้อมเอ่ยพูดกับนาง “เข้าไปด้านใน”ในใจของลั่วชิงยวนกังวล ฟู่เฉินหวนคิดจะทำอะไรกันแน่ฟังเสียงฝีเท้าคนพาลที่วิ่งตามมาทางด้านหลัง ลั่วชิงยวนเลือกที่จะหลบเข้าไปในรถม้าภายในรถม้า ซิ่งอวี่ผวาเสียจนแทบจะร้องไห้ออกมา นางจับมือลั่วชิงยวนไว้แน่น “ท่านมิควรพาข้าหนี ข้าหนีออกมาแล้ว ข้าจักไปที่ใดได้อีก”“มิต้องห่วง ข้าจักจัดการให้เจ้าเอง”หน้าประตูใหญ่หอเจาเซียง ฟู่จิ่งหานมองฟู่เฉินหวนที่ควบม้าพาแม่นางฝูเสวี่ยหนี สีหน้าของเขาย่ำแย่ขึ้นมาทันที“เจ้านี่ จักช่วยสาวงามก็มิชวนข้า ยังบอกว่ามิสนใจอีก ข้าว่าสนใจจะตายชัก!”“เหอะ บุรุษนี้หนา!”
ลิ่นฝูเสวี่ยยังคงตกอยู่ในความตะลึง นางเอ่ยตอบ “นางรับใช้ข้าในอดีต ลี่เซียง”“นางยังมีชีวิตอยู่หรือ นางยังมิตายหรือ!”“วันนั้นนางอยู่ในขบวนรถม้าเดียวกับข้า เป็นไปได้อย่างไรที่นางจักมิตาย”ได้ยินดังนี้ ลั่วชิงยวนตะลึง “เจ้าหมายถึง นางไปกับเจ้าเมื่อวันที่เกิดเรื่องหรือ!”“ใช่“ลั่วชิงยวนเอ่ยขมวดคิ้ว “หรือว่าในขบวนมีผู้โชคดีรอดชีวิตมาได้?”“ข้ามิรู้ แต่ข้าคิดว่ามิง่ายเสียขนาดนั้น หลังเกิดเรื่องข้าติดอยู่ใต้หุบเขามาโดยตลอด ข้าหาอยู่นานกว่าจะกลับมาได้ แต่หอสมุทรมรกตในตอนนั้น กลับกลายเป็นคฤหาสน์เช่นนี้แล้ว”“ผู้ที่อาศัยอยู่ที่นี่ คือคหบดีหลี่”“พวกเขาต่างบอก คนในหอสมุทรมรกต มิเหลือสักคน”“แต่เหตุไฉนลี่เซียงยังมีชีวิตอยู่?”ลิ่นฝูเสวี่ยยิ่งคิดเรื่องนี้ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง เรื่องมันต้องมิง่ายเช่นนี้แน่!ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง จากนั้นกล่าว “ท่เจ้าจำลุงฟ่านที่ถนนเส้นนั้นได้หรือไม่ เขาก็เคยเป็นหนึ่งในผู้หลงใหลท่าน หลังเจ้าเกิดเรื่อง เขาเคยสืบข่าวมาก่อน บางทีเขาอาจรู้มากกว่า”“พวกเราไปถามเขากันเถอะ”ลิ่นฝูเสวี่ยเอ่ยตอบ “ได้”จากนั้นลั่วชิงยวนจึงออกเดินทางไปหาเขา และทิ้งซิ่งอวี่ไว้ในโรง
“เจ้าแต่งกายให้เรียบร้อย มิต้องรีบร้อน ข้าจะออกไปดูเอง” ฟู่เฉินหวนปล่อยนาง แล้วเดินออกจากห้องอย่างสงบนิ่งลั่วชิงยวนรีบแต่งกาย เมื่อพบหน้ากากบนเตียงก็รีบสวมใส่แล้วจัดแจงอย่างเรียบร้อย จากนั้นจึงค่อย ๆ ก้าวออกไปอย่างใจเย็นเมื่อออกมาก็พบกับใต้เท้าเหอและเหล่าองครักษ์แต่มิพบศพของเหยียนผิงเซียวใต้เท้าเหอมองนางด้วยความสงสัย “เมื่อคืนท่านเซียนฉู่ไปที่ใดหรือขอรับ ข้าเคาะประตูเรียกก็ไร้ผู้ตอบรับ ท่านเซียนฉู่ทราบหรือไม่ว่าเมื่อคืนมีคนตายอยู่หน้าประตูบ้านของท่าน?”ลั่วชิงยวนใจหาย พวกใต้เท้าเหอมาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วศพก็ถูกพวกเขาเอาไปแล้วด้วยเคาะประตูแล้วไม่มีคนตอบหรือ?นางมิได้ยินเสียงเคาะประตูจริง ๆนางสบตากับฟู่เฉินหวนแล้วจึงตอบว่า “ข้าดื่มสุราอยู่กับท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการ”ฟู่เฉินหวนยืนกอดอก มุมปากมีรอยยิ้มจางแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็บอกแล้วว่าข้ากับท่านเซียนฉู่ดื่มสุราอยู่ที่หอฝูเสวี่ย เพิ่งกลับมาเมื่อเช้า ใต้เท้าเหอยังมิเชื่ออีกหรือ?”ใต้เท้าเหอรีบขออภัย “มิได้มีเจตนาดังนั้นพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่ผู้ตายคือบุตรชายคนโตของตระกูลเหยียน เหยียนผิงเซียว ท่านอ๋องก็ทรงทราบว่าเขามีฐานะพิเศษ บ
“หม่อมฉัน...” เมื่อถูกจ้องมองด้วยแววตาเช่นนี้ ลั่วชิงยวนก็มิอาจปั้นแต่งคำโกหกต่อไปได้“ว่าอย่างไร? ยังคิดคำโกหกมิออกหรือ?” ฟู่เฉินหวนใช้มือทั้งสองยันประตู แล้วเอนกายเข้ามาใกล้นางดวงตาคมกริบแฝงอันตราย ใกล้ชิดเพียงนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวร้อนรุ่มดุจเปลวเพลิงลั่วชิงยวนกลืนน้ำลายลงคอ ยอมรับแต่โดยดี “ใช่เพคะ หม่อมฉันคือฉู่ลั่ว!”“อย่ากล่าวหาว่าหม่อมฉันหลอกลวงท่านมาโดยตลอดเลยเพคะ ครั้งนั้นท่านเป็นผู้ขับไล่หม่อมฉันไปยังเรือนอื่นเพื่อให้ตายไปเอง หากหม่อมฉันมิปิดบังท่าน แล้วหาทางทำมาหากินเองก็คงอดตายหนาวตายอยู่ในเรือนหลังนั้นไปนานแล้ว...”กล่าวถึงตรงนี้ ฟู่เฉินหวนก็ขมวดคิ้วแล้วดึงนางเข้าสู่อ้อมกอดกอดนางไว้แน่นลั่วชิงยวนชะงักไปเสียงทุ้มต่ำของฟู่เฉินหวนดังข้างหู “ข้าขอโทษ ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อย เมื่อเห็นเขารู้สึกผิดเช่นนี้ก็ใจอ่อน นางลูบหลังเขาเบา ๆ “เอาเถิดเพคะ หม่อมฉันมิได้ถือโทษท่านแล้ว”“ต้องโทษที่หม่อมฉันเองมองคนผิด ถูกคนหลอกใช้ ทำให้ท่านเข้าใจผิดคิดว่าหม่อมฉันเป็นไส้ศึกของตระกูลเหยียน”สิ้นคำพูดของนาง ฟู่เฉินหวนก็คลายอ้อมกอดแล้วหรี่ตาลง แววตาแปรเ
เว้นเสียแต่จะตายกับดักจึงจะหายไปทั้งสองวิ่งหนีไปได้มิกี่ก้าวก็พบว่าติดอยู่ในกับดัก ลั่วชิงยวนจึงไล่ตามมาทันอีกครั้งลั่วฉิงหันกลับมามองด้วยสายตาเย็นชา พลันคว้าไหล่เหยียนผิงเซียวแล้วผลักเขาไปหาลั่วชิงยวน“ฉิงเอ๋อร์!” เหยียนผิงเซียวตกใจสุดขีดร่างกายถอยหลังโดยมิอาจควบคุมดวงตาของลั่วฉิงเย็นเยียบ ไร้ซึ่งความลังเลเมื่อลั่วชิงยวนเข้าโจมตี กริชจันทร์เสี้ยวในมือก็แทงเข้าสู่ร่างของเหยียนผิงเซียวก่อนเหยียนผิงเซียวจะสิ้นใจยังคงจ้องมองลั่วฉิง ดวงตาเต็มไปด้วยความแค้นเคืองบางทีก่อนที่เขาจะสิ้นลม เขาก็คงมิรู้ว่าเหตุใดสตรีที่เขารักจึงผลักเขาเข้าสู่ความตายลั่วฉิงเห็นเหยียนผิงเซียวตาย แต่กลับมิกะพริบตาแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนมิแปลกใจเลยที่ลั่วฉิงชื่อลั่วฉิง ก็เพราะนางเย็นชาไร้ความรู้สึกผู้ที่เลือดเย็นไร้หัวใจมักได้ชื่อที่มีคำว่าฉิงที่แปลว่าความรักเพื่อให้คนอื่นคาดหวังทันใดนั้น ลั่วฉิงก็ฉวยโอกาสโจมตีลั่วชิงยวนอย่างรุนแรงขณะต่อสู้กัน หน้ากากของลั่วชิงยวนบังเอิญหลุดออกเมื่อหน้ากากหลุดแล้วลั่วฉิงเห็นใบหน้าของนางก็ตกตะลึง“เป็นเจ้านี่เอง!” ลั่วฉิงกัดฟันกรอดด้วยความแค้นนางก็ว่าอยู่ว่
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ