ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ดึกเพียงนี้แล้ว กลับห้องพักผ่อนเถิด”“รัฐทายาทเฉิน ท่านเองก็ไปพักผ่อนเถิด ข้าขอคุยกับเชียนฉู่หน่อย”เฉินเสี้ยวหานมิได้ถามมาก และกลับห้องไปก่อนลั่วชิงยวนพาซ่งเชียนฉู่เข้าห้อง ซ่งเชียนฉู่จับแขนเสื้อของนางไว้อย่างเป็นกังวล “มันใช่หรือไม่? มันมาแล้วใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักอึ้งในใจซ่งเชียนฉู่เคร่งเครียดยิ่งขึ้น นางนั่งลงบนเตียงด้วยแววตามืดหม่น และสีหน้าเจ็บปวด “เหตุใด ไฉนมันยังมิปล่อยข้าไปอีก?”“ต้องให้ข้าตายก่อนหรือจึงจะปล่อยข้าไป…”หลังออกจากจวนนอกเมือง ซ่งเชียนฉู่จึงเริ่มชีวิตใหม่ นางมิคิดว่า สิ่งนี้จะมาพัวพันนางอีก และเกี่ยวความผวาส่วนลึกในใจของนางออกมาลั่วชิงยวนพูดอธิบาย “เขามิได้มาสังหารเจ้า”“เชียนฉู่ ข้าขอดูสะบักหลังเจ้าหน่อย”ซ่งเชียนฉู่ตะลึงเล็กน้อย “ไฉนต้องมาดูสะบักหลังข้า?”นางรู้สึกมิเข้าใจ แต่ก็ยังเปลื้องอาภรณ์ออกลั่วชิงยวนดึงเสื้อที่หลังคอของนางลง ตราประทับอสรพิษสีแดงตกสู่นัยน์ตาชิงยวน!“เหตุใดรึ? บนไหล่ข้ามีอะไรงั้นหรือ?” ซ่งเชียนฉู่หันหัวพยายามมอง แต่อย่างไรก็มองมิเห็น“รอยประทับ นี่เป็นของที่เขาทิ้งไว้บนตัวเจ้า” น้
ลั่วไห่ผิง!สิ่งที่นางคาดเดา มาเร็วกว่าที่คิดลั่วไห่ผิงสวมใส่อาภรณ์แพรสีหมึก มิทำตัวเป็นจุดสนใจ แต่ก็ปกปิดกลิ่นอายน่าเกรงขามของผู้อยู่ตำแหน่งสูงมิได้แต่นิดหว่างคิ้วของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนแอ ใต้ตาดำคล้ำ สีหน้าราวกับคนป่วยลั่วชิงยวนเห็นไอป่วยที่หว่างคิ้วของเขา แม้จะยังมิปรากฏอย่างแจ่มแจ้ง แต่น่าจะใกล้แล้ว“เจ้าน่ะหรืเซียนฉู่?” ลั่งไห่ผิงเดินขึ้นหน้าและนั่งลง“ขอรับ” ลั่วชิงยวนเอ่ยตอบ“เหตุใดมิเผยโฉมจริงให้ผู้อื่นเห็นเล่า?” สายตาลั่วไห่ผิงประเมินนางอย่างน่าเกรงขามลั่วชิงยวนเอ่ยตอบเบา ๆ “เคยประสบเหตุอัคคี โฉมหน้าอัปลักษณ์ กลัวจะทำผู้อื่นตกใจ”ลั่วไห่ผิงพยักหน้า จากนั้นจึงเอ่ย “ใต้เท้าหวังเป็นผู้แนะนำเจ้าให้กับข้า เขาบอกว่าเจ้าทำนายแม่นนัก ข้าจึงมาเพื่อพิสูจน์โดยเฉพาะ”เพื่อให้ข่าวนี้ส่งถึงหูลั่วไห่ผิง นางมิได้หาเพียงใต้เท้าหวังผู้เดียวเพราะช่วงนี้นางเองก็รู้จักคนในราชสำนักมามิน้อย ย่อมต้องใช้เส้นสายของนางให้เต็มที่“เช่นนั้นความเครียดของท่าน คือช่วงนี้ดวงซวยค่อนข้างหนัก มิว่าเรื่องใด ๆ ก็มิราบรื่นใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนเอ่ยถามได้ยินดังนี้ดวงตาของลั่วไห่ผิงลุกวาว “เจ้าพ
แม่นมได้ยินจึงพยักหน้า และกล่าวอย่างปรีดา “เจ้าหนูชิงยวนเคยบอกข้า ไปกันเถิด”ตรอกฉางเล่อสามสิบสี่ ก็มีคุณยายท่านหนึ่งอาศัยอยู่เช่นกัน จวนใหญ่มาก ลั่วชิงยวนเช่าไว้ครึ่งหนึ่งแล้ว นางให้แม่นมกู้พักอยู่ในนี้และให้นางรับใช้สองคนมาดูแลแม่นมโดยเฉพาะเมื่อจัดการแม่นมกู้เสร็จ ถือว่าเรื่องในใจนางลุล่วงไปหนึ่งเรื่องซ่งเชียนฉู่กลับร้านเป็นเพื่อนนาง และเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ “เจ้าช่วยลั่วไห่ผิงแก้ไขปัญหา แต่เรื่องนี้แก้ปัญหามิได้ เขาจะกลับมาหาเรื่องเจ้าหรือไม่?”“หากเป็นอย่างลั่วอวิ๋นสี่เมื่อนั้นอีก ร้านเราแบกรับมิไหวแล้วหนา”ลั่วชิงยวนตอบแผ่วเบา “ลั่วไห่ผิงร้ายเงียบ แต่ลั่วอวิ๋นสี่นั้นผ่าเผยทุกอย่าง เขาที่เป็นอัครเสนาบดี ไม่มีทางใช้วิธีอย่างลั่วอวิ๋นสี่แน่”“อีกอย่างเรื่องนี้ ควรเป็นเขามากกว่าที่ประหวั่นพะวง”ด้วยการตอบสนองของลั่วไห่ผิงในวันนี้ นางรับประกันว่าลั่วไห่ผิงต้องหวาดกลัวอยู่แน่ ๆ กลัวว่าอัครเสนาบดีลั่วจะมาพัวพันเขาเพราะตายตามิหลับดังนั้นแม้นางจะคลี่คลายปัญหาเขามิได้ เขาก็ย่อมไม่มีทางป่าวประกาศ เพื่อให้คนรู้ว่าเขากำลังระแวงใจเพราะความกลัวแน่พูดไป จู่ ๆ เบื้องหน้าตรอกก็ส่งเป็น
สิ้นประโยคนี้ร่างของลั่วชิงยวนสั่นคลอนในใจคิดว่าหรือเขาคือคนที่ซ่งเชียนฉู่ล่อมา?ใครจะคิดซ่งเฉียนฉู่ก็ส่ายหน้าอย่างสับสน “ขอแต่งงานหรือ? แต่ข้ามิรู้จักเจ้า”คุณชายจึงเอ่ยอธิบาย “ลืมแนะนำตัวไป ข้าชื่อฟู่จิ่งหลี!”“มาขอแต่งงานให้เฉินเสี้ยวหานต่างหาก!”ฟู่จิ่งหลีดึงตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่ง กางออก ด้านในมีโฉนดแทรกอยู่ด้วยอีกปึกหนึ่งเขายื่นให้แก่ซ่งเชียนฉู่จนหมด“นี่เป็นสินสอดที่เฉินเสี้ยวหานยืมข้า!”ลั่วชิงยวนและซ่งเชียนฉู่ที่ได้ยินต่างทำตัวไม่ถูก“สินสอด? ยืมหรือ?” ซ่งเชียนฉู่มิอยากจะเชื่อ สิ่งนี้ยืมได้ด้วยหรือ?แต่ที่ลั่วชิงยวนตะลึงกลับเป็น ฟู่จิ่งหลีคือองค์ชายเจ็ดนี่“ใช่ บ้านของเขามิอยู่ในเมืองหลวง เขาเองก็ไม่มีคนสนิทในเมืองนี้ มีเพียงข้า ที่พอฝืนเรียกว่าเป็นพี่ชายของเขาได้ แต่พี่น้องแท้ ๆ ต้องคิดเงินให้ชัด สินสอดนี้ บอกว่ายืมก็คือยืม!”“ดังนั้นวันนี้ข้าจึงมาขอแม่นางซ่งแต่งงาน ในฐานะพี่ชายเฉินเสี้ยวหาน”ฟู่จิ่งหลีค่อนข้างซื่อตรง จึงพูดออกมาอย่างชัดเจนและแจ่มแจ้งหากมิบอกว่ายืมยังว่าไป เมื่อบอกว่าสินสอดนี้ได้มาโดยการยืม ซ่งเชียนฉู่จะกล้ารับไว้ได้อย่างไรเล่า?“คุณชาย ข้าร
บางครั้งพูดถึงท่านอัตรเสนาบดี อีกฝ่ายก็จะคุยกับนางสักประโยคสองประโยคอย่างสนใจ“ท่านอัครเสนาบดีลั่วหรือ ปัญหาที่เขาสร้างมิน้อยแต่นิด กระทั่งเจ้ายังคลี่คลายมิได้ หลายวันมานี้เขาเข้าประชุมด้วยสภาพอ่อนล้า กระทั่งจักรพรรดิยังให้เขาพักรักษาตัว”“พวกเขาบอกว่าเป็นเพราะการตายของมหาราชครูลั่ว แต่ข้าว่าเป็นเพราะฮูหยินของเขากลับมาเสียมากกว่า”ใต้เท้าหวังกินถั่วลิสงไป ไขว้ขาและเอ่ยพูดอย่างช้า ๆ ไปลั่วชิงยวนได้ยินจึงตะลึง “ฮูหยินท่านนั้นของเขา? มิทราบว่าท่านใดกันหรือ?”ใต้เท้าหวังเห็นว่านางสนใจ จึงยันศอกและเข้าใกล้ พร้อมพูดอย่างลึกลับ “เจ้าคงยังมิรู้สินะ ก่อนหน้านี้เขาได้แต่งภรรยาคนหนึ่งที่งดงามดุจนางฟ้า”“หลังเกิดเรื่องเหล่านั้นในวัง ฮูหยินท่านนั้นของเขาก็ตายอย่างปริศนา”“ได้ยินว่าป่วยตาย แต่ข้าคิดว่ามิใช่” ใต้เท้าหวังพูดพร้อมส่ายหน้าอย่างเสียดายหัวใจของลั่วชิงยวนบีบรัดใช่แม่ของลั่วชิงยวนหรือไม่?“เช่นนั้นใต้เท้าหวังคิดว่าตายอย่างไร? เรื่องนี้มีจุดน่าสงสัยใดกัน?” ลั่วชิงยวนพยายามถามอย่างสงบใต้เท้าหวังขมวดคิ้วไตร่ตรอง และเอ่ย “ด้านนอกลือกันว่าเป็นเพราะการทะเลาะกันของภรรยาและอนุภรรยา เ
สัมผัสนักบวชหญิงแต่ละสมัยหากทำนายไม่ผิด เจ้าของปิ่นบุหงาชาดนี้เป็นอาจารย์ของนางจริง ๆ !นักบวชหญิงรุ่นที่แล้ว ลั่วอิง!นางจริง ๆ ! เป็นนางจริง ๆ !เหตุใดอาจารย์จึงแต่งงานกับลั่วไห่ผิง? เหตุใดท่านจึงให้กำเนิดลูกสาวเพื่อเขา? และเหตุใดท่านจึงตาย?ด้วยความสามารถของอาจารย์ ไม่มีทางสู้ไม่ไหวกระทั่งอนุภรรยาคนหนึ่ง และตายในมืออนุภรรยา!ลั่วไห่ผิงทำลายของทุกอย่างที่แม่นางทิ้งเอาไว้ก่อนตายจนสิ้น เขากลัวอะไรอยู่กันแน่?”ถุงหอมนั่น น่าจะเป็นของลับที่แม่นางทิ้งให้แม่นมซ่อนไว้ แต่กล่องในถุงหอมกลับเป็นสัญลักษณ์สุริยันจันทรา ซึ่งเปิดมิได้ง่าย ๆ นางถือไว้ก็ไม่มีอาการใดมิเหมือนปิ่นบุหงาชาดนี้ เพียงแค่กำไว้ในมือก็สามารถรู้สึกถึงพลัง ในสมองฉายภาพบางอย่างผ่านต่อเนื่องนางกลับร้านด้วยความเร็วสูงสุดหยิบเข็มทิศออกมา หายใจเข้าลึก ๆ และหลับตาลงภาพที่นางเห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้นนั่นเป็นงานเลี้ยงชมบุปผาหนึ่ง ครึกครื้นยิ่ง กลางสวนดอกไม้มีนางรำระบำฟ้อนได้ยินเพียงคนข้าง ๆ เอ่ย “นางรำอันดับหนึ่งของหอสมุทรมรกตงดงามอย่างหาเปรียบมิได้ดั่งคำร่ำลือแท้!”นางเห็นนางรำผู้นั้นมองมาบ่อยครั้ง เพราะความดื่มด่ำ ทุ
“นั่นเป็นเรื่องเมื่อสิบยี่สิบปีแล้วกระมัง ล่มไปเสียนานแล้ว”ได้ยินดังนี้ หัวใจของลั่วชิงยวนหนักอึ้งหอสมุทรมรกตล่มแล้วหรือ?เช่นนั้นข้อมูลเส้นนี้ของนาง ก็ขาดแล้วน่ะสิ“เช่นนั้นเถ้าแก่รู้หรือไม่ว่านี่คือคฤหาสน์ของผู้ใด” ลั่วชิงยวนยังคงอยากสืบเรื่องเกี่ยวกับหอสมุทรมรกตต่อเถ้าแก่นอนพิงบนเก้าอี้ไม่ค่อยอยากลุกนัก และเอ่ยพูดช้า ๆ “เจ้าของคฤหาสน์มิได้อยู่ที่นี่เหตุใดรึ? เจ้าอยากได้คฤหาสน์นี้รึ? ซื้อหรือไม่? สองร้อยตำลึงเท่านั้น”สองร้อยตำลึงซื้อคฤหาสน์หรือ?นางหันไปมองทีหนึ่ง จากนั้นรับปากตอบรับ “ซื้อ!”เถ้าแก่ตะลึง ทั้งคนเปี่ยมไปด้วยเรี่ยวแรงในทันที เขานั่งตัวตรง “เจ้าจักซื้อจริงหรือ?”ลั่วชิงยวนยื่นเงินสองร้อยตำลึงให้ทันทีเถ้าแก่รับเงิน และรีบไปเอาโฉนดมายื่นให้นาง “แม่นางช่างเป็นคนเด็ดขาดเสียจริง! เช่นนั้นค้าขายสำเร็จ ห้ามถอนคำพูดเด็ดขาด!”เห็นท่าทีเถ้าแก่ ลั่วชิงยวนก็รู้ได้เลยว่าคฤหาสน์นี้ต้องมีปัญหาอะไรแน่ ขายถูกเช่นนี้ หนำซ้ำยังกลัวนางถอนคำพูดอีกนางยิ้มและเอ่ยถาม “ข้าขอเจอเจ้าของเก่าคฤหาสน์นี้ได้หรือไม่?”เถ้าแก่เอ่ย “เรื่องนี้ข้ามิรู้จริง ๆ น่าจะย้ายออกไปตั้งแต่ครึ่งปีที
หน้าคฤหาสน์จุดโคมไว้ ทั้งคฤหาสน์ดูสะอาดและอลังเป็นอย่างมาก“ไปสิ ท่านเหม่อหาปะไรเล่า?” ซ่งเชียนฉู่มิรับรู้ถึงความผิดปกติ นางดึงลั่วชิงยวนขึ้นหน้าลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยอันใด นางจะดูว่าในคฤหาสน์นี้มีสิ่งใดกันแน่ ทำให้ขายออกไปได้ด้วยเงินเพียงสองร้อยตำลึงทั้งคู่ผลักประตูคฤหาสน์ออกในคฤหาสน์สว่างไสว พื้นดินสะอาดสะอ้าน โคมใต้ชายคาเจิดจ้าเป็นพิเศษพืชพันธุ์นานาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา“ข้าคิดว่าท่านเสียเงินสองร้อยตำลึงซื้อคฤหาสน์เก่ากึ้กกลับมา มิคิดว่าดีเช่นนี้! ไม่เลวเลยหนา!”“ในเมืองหลวง คฤหาสน์เช่นนี้คงต้องขายราคาเป็นพันตำลึงแน่!”ซ่งเชียนฉู่พูดไป พร้อมเดินไปทางเรือนใน“เช่นนั้นคฤหาสน์นี้จึงมีปัญหาไงเล่า เจ้าเดินช้าหน่อย” ลั่งชิงยวนตะโกนตามหลังนางจู่ ๆ กลับพบว่าซ่งเชียนฉู่มิตอบนางแล้วนางเดินเข้าไปในเรือนราวกับถูกสะกดลั่วชิงยวนรีบขึ้นหน้าไปดึงนางไว้ กลับพบว่าซ่งเชียนฉู่จดจ้องภายในเรือนอย่างหลงใหล นัยน์ตาเต็มไปด้วยแสงจากโคมบุปผาที่เจิดจรัสคนทั้งคนราวกับต้องมนตร์ลั่วชิงยวนเองก็จดจ้องไปที่กลางคฤหาสน์ข้างหูค่อย ๆ มีเสียงร้องเพลงส่งมากลางเรือนตั้งเวทีทรงกลมไว้ ใต้เวทีมีเก้าอี้
สายลมหนาวพัดผ่านมา ปอยผมของลั่วชิงยวนปลิวไสวตัดกับผ้าคลุมสีขาว ทำให้ร่างบางของนางดูราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมในตอนนั้นก็มีขบวนคนเดินมาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ข้างหน้าในชั่วขณะที่สบตากันก็เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อเฉินชีเห็นฟู่เฉินหวน เขายกยิ้มอย่างเย็นชา โอบนางไว้แน่นขึ้นลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน“เฉินชี! เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!” ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง โทสะปะทุในใจองครักษ์รีบเข้ามาล้อมเฉินชีและลั่วชิงยวนไว้เฉินชีจำใจปล่อยลั่วชิงยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาเหลา ข้าจะรอเจ้า”กล่าวจบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไปองครักษ์รีบไล่ตามส่วนลั่วชิงยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ มองฟู่เฉินหวนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง แววตาซับซ้อนนั้นแฝงไปด้วยความโกรธ“บทเรียนเมื่อวานคงยังมิเพียงพอ เจ้ายังกล้าแอบออกจากตำหนักมาพบเฉินชีอีกรึ?!”ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะอธิบาย ได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “หากท่านคิดเช่นนั้น หม่อมฉันก็มิมีทางเลือก”“เหตุใดหม่อมฉันจึงมาอยู่ที่นี่ ในใจของท่านน่าจะรู้ดีกว่าหม่อมฉัน”เมื่อคืนฟู่เฉินหวนมิสามารถเค้นวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์จากนางได้ จึงส่งนา
ทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเฉินชีที่แผ่รังสีอำมหิตเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าเฉินชีมองลั่วฉิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วฉิงถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก “ข้าสิต้องถามเจ้า เหตุใดจึงส่งกองทัพมากะทันหัน? นี่มิได้อยู่ในแผนของเรา และเจ้าก็มิได้บอกข้าล่วงหน้า”เฉินชีหรี่ตาลง “ข้าจะทำอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยรึ? เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางข้า?”ลั่วฉิงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย นางรีบคว้าเข็มทิศอาณัติสวรรค์มาถือไว้ เพราะกลัวว่าของล้ำค่าที่ได้มาจะหายไป“เฉินชี! ข้าแค่ต้องการสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก!”เฉินชีมองลั่วชิงยวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ก่อนจะพุ่งเข้าไปบีบคอของลั่วฉิงแล้วต่อยเข้าที่หน้าอกของลั่วฉิงลั่วฉิงกระอักเลือด ร่างกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างลั่วชิงยวนได้ยินเสียงร่างตกกระทบพื้นจากที่สูง จึงรู้ว่าที่นี่คือชั้นสองน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมเฉินชีเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไป เห็นเพียงร่างของลั่วฉิงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปในฝูงชนเดิมทีเฉินชีอยากจะตามไป แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ตามไปหากลั่วฉิงตาย ลั่วชิงยวนก็จะไม่มีภัยคุกคาม นางอาจจะมิยอมไปแคว้นหลีกับเขาเช่นนั
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้
ในวินาทีต่อมา องครักษ์ก็กรูกันเข้ามาลากลั่วชิงยวนออกไปที่ลานหลังจากกดนางลงกับพื้นก็ใช้หวายฟาดลงบนร่างของนางอย่างมิปรานีความเจ็บปวดแล่นริ้ว ลั่วชิงยวนจิกเล็บลงบนพื้นหิมะจนเป็นรอยลึกจือเฉากระโจนเข้ามาจากนอกลาน “หยุด! หยุด!”“ท่านอ๋อง เหตุใดจึงทำกับพระชายาเช่นนี้ พระชายาทำผิดอันใดหรือเพคะ!”“ท่านอ๋อง ขอได้โปรดปล่อยพระชายาเถิดเพคะ! ตั้งแต่เข้าเหมันตฤดู แผลบนร่างของพระชายาก็ยังมิหาย! หากโบยเช่นนี้ต่อไปคงจะสิ้นใจเป็นแน่เพคะ!”“ท่านอ๋องทรงพระกรุณาด้วยเพคะ!” จือเฉาโผเข้ากอดลั่วชิงยวนเพื่อรับหวายแทนแต่กลับถูกองครักษ์ดึงตัวออกไปจือเฉาร้องขอความเมตตาสุดเสียง แต่บุรุษที่ยืนอยู่ใต้ชายคากลับมีสีหน้าเรียบเฉย นัยน์ตาฉายแววเย็นชาไร้ซึ่งความอบอุ่น“พระชายา...” จือเฉาร้อนใจ แทบจะเป็นลมเพราะร้องไห้หนักลั่วชิงยวนเจ็บปวดจนแทบมิได้ยินเสียงของจือเฉา มีเพียงความเจ็บปวดมิรู้จบ ยาวนานราวกับไม่มีที่สิ้นสุดหลังจากที่ลั่วชิงยวนสลบไป ฟู่เฉินหวนจึงสั่งให้หยุดแล้วจากไปด้วยความโกรธจือเฉาโผเข้าหาลั่วชิงยวน เมื่อเอื้อมมือไปสัมผัสก็พบว่ามือเปื้อนไปด้วยเลือด นางรีบชักมือกลับมองเลือดที่ไหลนองเต็มพื
ฟู่เฉินหวนกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาที่น่ารังเกียจนั้นทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทงลั่วชิงยวนกัดฟันพลางกลั้นน้ำตาไว้ “ท่านมิได้บอกว่าจะเชื่อหม่อมฉันหรอกหรือเพคะ?”“หากหม่อมฉันบอกท่านทั้งหมด ท่านก็จะเชื่อหม่อมฉันมิใช่หรือเพคะ!”ฟู่เฉินหวนมีแววตาเย็นชา มองนางอย่างเฉยเมย “แต่เจ้าบอกข้าทั้งหมดแล้วหรือยังเล่า? เจ้ายังคงปิดบัง ยังคงหลอกลวง!”เสียงตำหนินั้นเต็มไปด้วยความโกรธทำให้หัวใจของลั่วชิงยวนแทบแตกสลาย“ฟู่เฉินหวน วันนี้ท่านมาก็เพื่อหลอกลวงหม่อมฉันอีกแล้วใช่หรือไม่”“จุดประสงค์สุดท้ายของท่านคือ หลอกล่อให้หม่อมฉันบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ เพราะลั่วฉิงใช้มันมิได้ ใช่หรือไม่!”ลั่วชิงยวนตะโกนด้วยความโกรธ“หม่อมฉันช่างโง่เขลาที่เชื่อใจท่าน บอกความลับทั้งหมดให้ท่านฟัง แต่ท่านก็หลอกลวงหม่อมฉันอีกครั้ง...”พูดไปน้ำตาของลั่วชิงยวนก็ไหลรินในเวลานี้ หัวใจของลั่วชิงยวนราวกับถูกควักออกมาผ่าเป็นสองซีกเจ็บปวดเจียนตายแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิเปลี่ยนสีหน้า แววตายิ่งเย็นชาขึ้นเขาบีบคอของนางด้วยความโกรธ“ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว ข้าก็ขี้เกียจเสแสร้งกับเจ้าแล้ว”“เข็มท
ฟู่เฉินหวนตกใจมองนางด้วยความประหลาดใจก่อนจะตอบว่า “ได้”“หากเจ้าอธิบายได้ชัดเจน ข้ายินดีเชื่อเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”ได้ยินดังนั้นลั่วชิงยวนก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยรีบกล่าวทันที “หม่อมฉันชื่อลั่วเหลา แท้จริงแล้วลั่วอิงคืออาจารย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันตายไปแล้วมาเกิดใหม่ในร่างของลั่วชิงยวน”“วันรุ่งขึ้นหลังจากวันแต่งงาน ลั่วชิงยวนก็ปลิดชีพตัวเอง หลังจากนั้นร่างนี้ก็มิใช่ลั่วชิงยวนอีกต่อไป แต่เป็นหม่อมฉัน ลั่วเหลา”“หม่อมฉันเป็นชาวแคว้นหลี”“ดังนั้นความสามารถที่หม่อมฉันมีจึงเป็นสิ่งที่ลั่วชิงยวนไม่มี”“เรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์ของแคว้นหลี หม่อมฉันก็เพิ่งค้นพบตอนที่ไปเผ่านอกด่าน หลังจากที่อาจารย์ค้นพบความลับนี้ ก็พยายามค้นหาวิธีแก้ไขเรื่องน้ำศักดิ์สิทธิ์”“เพราะหากความลับนี้รั่วไหลออกไป จะมีคนมากมายเกิดความโลภ จะทำให้ทั้งใต้หล้าประสบพบความวุ่นวาย เลือดนองแผ่นดิน”“...”ลั่วชิงยวนเล่าความลับทั้งหมดของนางให้เขาฟังโดยมิปิดบังนางรู้สึกว่าคนที่เคยเปิดใจให้กันคงจะมิทรยศกันง่าย ๆตราบใดที่นางจริงใจ มิปิดบังสิ่งใด นางก็จะได้รับการตอบสนองเช่นเดียวกันหลังจากที่นางพูดจบ ฟู่เฉินหวนก็ตกตะลึ
เหตุใดแคว้นหลีจึงส่งกองทัพมากะทันหันฟู่อวิ๋นโจวเอ่ยถาม “ท่านมหาปราชญ์ ท่านเชี่ยวชาญด้านนี้ พอจะทำนายผลลัพธ์ได้หรือไม่?”“ควรจะรับมืออย่างไร”ขุนนางทั้งหลายต่างมองไปที่ลั่วฉิง ลั่วฉิงไม่มีทางเลือก จึงได้แต่กัดฟันกล่าวว่า “เรื่องนี้... ทำนายได้ แต่หม่อมฉันต้องการเวลาเพคะ”ฟู่อวิ๋นโจวมีสีหน้ากังวล และถามว่า “ท่านมหาปราชญ์ต้องการเวลานานเพียงใด?”ลั่วฉิงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงกล่าวว่า “สามวันเพคะ!”สิ้นคำพูดของนาง หลายคนก็แสดงความมิพอใจ“สามวันหรือ? ซีหลิงอยู่ห่างจากเมืองหลวงราวพันลี้ สามวันกว่าจะบอกผลลัพธ์ จะทันการณ์ได้อย่างไร”“ก่อนหน้านี้พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการก็มิได้ใช้เวลานานถึงเพียงนั้น”“ใช่ ท่านมหาปราชญ์คงจะมิค่อยมีความสามารถมากถึงเพียงนั้นกระมัง”คำพูดนี้ทำให้ลั่วฉิงหน้าซีดเผือด“สองวัน อย่างเร็วที่สุดก็ต้องสองวัน!” ลั่วฉิงกัดฟันกล่าวในตอนนี้ ฟู่เฉินหวนกล่าวอย่างใจเย็น “แคว้นหลีส่งกองทัพมาโดยมิทราบสาเหตุ ข้าคิดว่าตอนนี้ควรส่งคนไปเจรจากับแคว้นหลีโดยด่วน”“ระหว่างนั้นก็ส่งกองกำลังไปเสริมอย่างลับ ๆ ด้วย อย่าได้พึ่งพาแต่ผลการทำนายของท่านมหาปราชญ์”“หากผลลัพธ์ออกมาแล้ว