"หากข้ามิจัดการเรื่องแต่งงานของบุตรีทั้งสองคนเสียแต่เนิ่น ๆ เกรงว่าเมื่อข้าจากไปแล้ว วันหน้าพวกนางคงโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพา" หลังจากลั่วหรงพูดจบก็อดมิได้ที่จะไอสองครั้ง จากนั้นก็รินน้ำชาถ้วยหนึ่งเพื่อให้ชุ่มคอ ลั่วชิงยวนสังเกตเห็นแววอ่อนล้าในดวงตาของลั่วหรง นางคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการเตรียมงานแต่งในระยะนี้ ทว่ายามนี้กลับดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลอื่นเสียแล้ว "ท่านอาเจ้าคะ ขอข้าจับชีพจรท่านสักหน่อยเถิด" ลั่วหรงยิ้มพลางส่ายหน้า "ข้ารู้ตัวเองดี ขืนกังวลใจมากไปก็จะทำให้แก่เร็ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงยัยเด็กอวิ๋นสี่ที่ชวนให้อดห่วงมิได้นี่เลย" "ข้าเกรงว่าวันเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของจวนมหาราชครูกำลังหมดไปจริง ๆ แล้วข้าก็กลัวว่าจักหามีผู้ใดปกป้องเด็กสองคนนี้ได้อีก!" ลั่วหรงสีหน่าเคร่งเคร่งขรึมและเป็นกังวล เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วด้วยความสับสน "วันเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของจวนมหาราชครูกำลังหมดไปหมายความเยี่ยงไรเจ้าคะ? หมู่นี้ก็ใช่ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในเรือนเสียหน่อย" ลั่วหรงยิ้มพลางตบหลังมือของนาง "ข้ารู้สึกว่าร่างกายแบกรับมิไหวอีกต่อไปแล้ว หากจัดการเรื่องการแต่งงานของบุตรข้า
ก่อนที่นางรับใช้จะทันได้พูดให้จบ ลั่วหรงก็รีบลุกพรวดด้วยความร้อนใจแล้ววิ่งออกไป ลั่วชิงยวนสวมผ้าคลุมหน้าแล้วรีบตามไป เกิดอะไรขึ้นกับท่านมหาราชครูกันแน่! นางรีบตามฝีเท้าของลั่วหรงจนมาถึงห้องตำราของท่านมหาราชครู จากนั้นก็เห็นท่านมหาราชครูกำลังนั่งเอามือกุมหน้าอกอยู่บนเก้าอี้ ราวกับว่าเขาหายใจแทบไม่ออกอยู่แล้ว น่าแปลกที่ลั่วไห่ผิงก็อยู่ตรงนั้นด้วย "ท่านลุงรอง! อดทนเอาไว้นะขอรับ ข้าจะไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้!" ลั่วไห่ผิงเอ่ยด้วยท่าทีกระวนกระวายใจแล้วเตรียมจะวิ่งออกไปข้างนอก ลั่วหรงรีบดึงตัวเขากลับมาพลางเอ่ยน้ำเสียงขรึม "วันนี้เป็นวันมงคลของหลางหลาง ขืนท่านวิ่งออกไปด้วยท่าทีตื่นตระหนกเช่นนั้น คนข้างนอกคงได้รู้กันหมดพอดี" ลั่วไห่ผิงที่ตื่นตกใจจึงเอ่ยวาจาตำหนิขึ้นมาว่า "น้องหรง เจ้าเป็นคนกตัญญูรู้คุณเป็นที่สุด แต่มิคาดคิดว่าในช่วงเวลาเป็นตายเช่นนี้ เจ้ากลับเอาแต่สนใจงานมงคลของบุตรสาวของตัวเจ้า หากพวกเรามิไปตามหมอท่านลุงรองคงต้องตายแน่!" ลั่วหรงถลึงตามองเขาด้วยความโกรธจัด "ท่านพ่อของข้าตกอยู่ในสภาพนี้เพราะคนบางคน ท่านคิดว่าผู้ใดควรรับผิดชอบเล่า?!" เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาลั่วไห่ผิง
ท่านมหาราชครูสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่สักพัก เมื่อเห็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของลั่วชิงยวน เขาก็เดาออกเลยว่าตอนอยู่ในตำหนักอ๋อง นางคงไม่มีชีวิตที่ดีนัก! การที่นางหายไปนานถึงเพียงนั้น เกรงว่าคงต้องทนทุกข์ไม่น้อยเลย หากเกิดเรื่องขึ้นกับจวนอัครเสนาบดี ลั่วชิงยวนย่อมต้องถูกท่านอ๋องทอดทิ้งเป็นแน่ เมื่อลั่วชิงยวนถูกลากเข้ามาพัวพัน สิ่งเดียวที่รอคอยนางอยู่ก็คือ ความตาย! ลั่วไห่ผิงมิได้รักใคร่ไยดีนางเลยสักนิด หากเขาไม่คอยดูแลนางล่ะก็ นางคงตายไปตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัยแล้ว... ท่านมหาราชครูรู้สึกปวดใจนัก แต่สุดท้ายก็กัดฟันตอบตกลง "ก็ได้ ข้าจะมอบจี้กิเลนให้เจ้า! เจ้าต้องจดจำไว้ว่า สิ่งนี้เป็นรางวัลจากจักรพรรดิองค์ก่อน มันมีความหมายกับข้ามากและมีคุณค่าในตัวเหลือคณานับ!" "วันนี้ข้าจักมอบสิ่งนี้เพื่อให้เจ้าเอาไปช่วยจวนอัครเสนาบดีของเจ้า! ข้าหวังว่าเจ้าจักจดจำบุญคุณครั้งนี้เอาไว้!" "ทำดีกับชิงยวนให้มาก ๆ หน่อย แล้วก็เลิกใช้นางมาแสวงหาผลประโยชน์ได้แล้ว!" ขณะที่ท่านมหาราชครูลั่วพูด เขาก็หยิบจี้กิเลนออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ลั่วไห่ผิง ลั่วชิงยวนผงะอึ้งไปชั่วขณะ จู่ ๆ
ในยามนี้เอง บรรดาผู้มาเยือนที่อยู่ในงานต่างครึกครื้นสนุกสนาน มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่เดินผ่านลานไป ลั่วชิงยวนแอบตามลั่วเยวี่ยอิงอยู่ไม่ไกลจากนอกเรือนปีกตะวันออก ลั่วชิงยวนหลบอยู่หลังกำแพง นางได้ยินเสียงลั่วเยวี่ยอิงกำชับนางรับใช้ว่า "พวกเจ้าจัดการเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?" นางรับใช้ผงกศีรษะ "จัดการเรียบร้อยแล้ว คุณหนูมิต้องห่วงเจ้าค่ะ!" เมื่อลั่วชิงยวนมองดูให้ชัด ๆ ก็รู้ว่าเป็นนางรับใช้จากจวนอัครเสนาบดี นางถือได้ว่าเป็นนางรับใช้คนสนิทของลั่วเยวี่ยอิงผู้หนึ่งเลยก็ว่าได้ การที่นางมาจัดแจงบางสิ่งบางอย่างถึงจวนมหาราชครู ย่อมมิใช่เรื่องดีงามอันใดเป็นแน่ "งั้นทำตามแผนได้ พอลั่วชิงยวนเข้ามาในห้อง เจ้าก็รีบพาคนเข้ามาเถอะ!" นางรับใช้ผงกศีรษะอีกครั้ง จากนั้นลั่วเยวี่ยอิงก็จากไป ลั่วชิงยวนสายตาเย็นชาเล็กน้อย แผนการคราวนี้พุ่งเป้ามาที่นางกระนั้นหรอกหรือ? ดูเหมือนว่าลั่วเยวี่ยอิงจะไม่ยอมแพ้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายของตนจริง ๆ ลั่วเยวี่ยอิงคงคิดจะปลีกตัวออกจากสถานการณ์ เรื่องจะได้พัวพันมาไม่ถึงตนเอง ดังนั้นนางจึงอยู่ให้ห่างออกไป เมื่อลั่วชิงยวนเห็นว่าดูเหมือนนางรับใช้คิดจะตามหาตน
ทว่าในยามนี้เอง ก็มีมือผลักหลังของนางอย่างแรงจนถลาเข้าไปในห้อง ลั่วชิงยวนรีบก้าวถอยหลังออกมา จากนั้นก็โก่งคอร้องตะโกนสุดเสียงว่า "พระชายา โปรดพักผ่อนให้สบาย บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ" ทันทีที่ลั่วเยวี่ยอิงได้ยินเสียง นางก็หน้าเปลี่ยนสีทันที นางหลงกลเข้าแล้ว! แต่เมื่อนางตระหนักได้เช่นนี้ นางก็หันหลังเตรียมวิ่งหนีไป ทว่าขณะที่นางคิดจะหนีไป บุรุษขี้เมาหลายคนก็พลันล้อมนางเอาไว้ "นี่มันเสี่ยวหลานจากหอซิ่งชุนมิใช่หรือ? ไฉนเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?" "ไม่เจอกันเสียนาน เสี่ยวหลาน บังเอิญว่าวันนี้เป็นวันดี เช่นนั้นก็มาดื่มกับนายท่านผู้นี้สักหน่อยเถิด!" บุรุษหลายคนเดินเข้ามาคว้าไหล่ของนาง ลั่วเยวี่ยอิงผลักพวกเขาออกไปด้วยความรังเกียจ "ปล่อยข้า พวกเจ้าจำคนผิดแล้ว! ข้าเป็นคนที่จ้างวานพวกเจ้าต่างหากเล่า!" แต่คำอธิบายของลั่วเยวี่ยอิงช่างเปล่าประโยชน์สิ้นดี คนพวกนี้รู้แต่เพียงว่าต้องจัดการกับพระชายา มิหนำซ้ำนางรับใช้ก็เพิ่งจะเรียกนางว่าพระชายาด้วย พวกเขาหาได้สนใจไม่ว่าผู้ใดจะเป็นพระชายา พวกเขามาที่นี่ก็เพราะเงินเท่านั้น! ยามนี้จึงจำเป็นต้องแสร้งทำทีเป็นเมามาย มิฉะนั้นภายหลังอาจจะ
ฟู่เฉินหวนพาลั่วเยวี่ยอิงเดินจากไป เขาปกป้องอีกฝ่ายเอาไว้ในอ้อมแขนด้วยความใส่ใจ คนทั้งสองช่างสมกันจริง ๆ ลั่วชิงยวนหันหลังกลับมาพิงต้นไม้ จากนั้นนางก็กำปกคอเสื้อเอาไว้แน่น ไฉนนางถึงได้รู้สึกอึดอัดใจถึงเพียงนั้น? หลังจากผ่านมาเนิ่นนานขนาดนั้นแล้ว ร่างของลั่วชิงยวนก็ยังคงมีความรู้สึกให้ฟู่เฉินหวนอีกกระนั้นหรือ? ทว่าความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนจริงมากเสียจนนางก็บอกไม่ถูกไปชั่วขณะว่า เป็นจิตใจหรือร่างกายของนางกันแน่ที่รู้สึกอึดอัด ฟู่เฉินหวนพาลั่วเยวี่ยอิงไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ บุรุษขี้เมาถูกส่งตัวออกไปจากจวนมหาราชครูอย่างเงียบ ๆ ในทันที ท่านอาลั่วหรงก็ทราบเรื่องนี้ แต่วันนี้เป็นวันมงคลของลั่วหลางหลางและไม่สมควรจะเกิดเรื่องฉาวโฉ่เช่นนั้น ดังนั้นนางจึงออกคำสั่งกับทุกคนมิให้แพร่ข่าวออกไปเป็นอันขาด แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็ทำให้ลั่วเยวี่ยอิงอับอายขายหน้ายิ่งนัก! ตรงหน้าลาน ฟ่านซานเหอกำลังดื่มกับบรรดาผู้มาเยือน ขณะที่ลั่วชิงยวนลอบเข้าไปในเรือนหลังใหม่ นางเห็นลั่วหลางหลางสวมผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดอยู่ในห้อง "ผู้ใดกัน?" เมื่อได้ยินเสียงประตูเปิด ลั่วหลางหลางก็ตะโกนขึ้นเพื่อป้องก
หลายปีก่อน สิ่งที่มารดาของลั่วชิงยวนจัดแจงเอาไว้ ทำให้ความรุ่งเรืองของลั่วไห่ผิงเสื่อมถอยลง สรรพสิ่งเกิดจากน้ำมือมนุษย์ สิ่งที่ได้มาจากแรงผลักดันภายนอกจะเป็นของเขาไปตลอดกาลได้อย่างไรกัน? เมื่อกลับมาถึงตำหนักอ๋อง ลั่วชิงยวนก็คิดว่า ครั้นเมื่อฟู่เฉินหวนกลับมา นางก็จะเชิญตัวเองไปอยู่เรือนแยกเพื่อจะได้ไม่ขวางหูขวางตาเขา นางเองก็อยากจะกลับไปเปิดกิจการต่อแล้ว พอตกเย็นก็มีคนรับใช้เข้ามาบอกว่า "พระชายา ท่านอ๋องเชิญท่านไปที่ห้องตำราขอรับ" ยอดเยี่ยมไปเลย! "จือเฉา เก็บข้าวของแล้วออกไปก่อนจะมืดค่ำ" ลั่วชิงยวนมาที่ห้องตำรา แต่กลับหามีผู้ใดอยู่ในห้องตำราและลานเรือนสักคนเดียว ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องบางอย่างทำให้ฟู่เฉินหวนต้องล่าช้า นางจึงคิดจะหันหลังจากไป แต่จู่ ๆ นางก็หยุดฝีเท้าลง ถุงหอมถูกฟู่เฉินหวนเอาไป เขาจะเอาไว้ในห้องตำราหรือไม่? เมื่อเห็นว่าหามีผู้ใดอยู่แถวนี้ นางก็เริ่มรื้อค้นตามกล่องบนชั้นวางของและตู้มีลิ้นชัก เวลาจวนจะหมดลงแล้ว จากนั้นนางก็ลงมือด้วยความว่องไวพลางเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวนอกประตูไปด้วย ในที่สุดนางก็เจอกล่องผ้าปักดอกในตู้ใบเตี้ยที่อยู่ข้างตัว เมื่อน
ตอนนี้นางมีอีกตัวตนหนึ่ง หลังจากสังหารลั่วเยวี่ยอิงแล้ว นางก็จะละทิ้งตัวตนของลั่วชิงยวนไปเสีย อย่างไรเสียการที่นางแต่งงานกับฟู่เฉินหวนโดยที่เขาไม่ยอมมอบหนังสือหย่าให้แก่นาง เช่นนั้นนางก็คงต้องถูกกักขังไปชั่วชีวิต มิสู้ให้ลั่วชิงยวนตายไปเสียน่าจะดีกว่า จากนั้นก็อาศัยฐานะของฉู่ลั่วล้างแค้นที่ยังมิได้ชำระ! ลั่วเยวี่ยอิงที่ดวงตากลัดเลือดขีดข่วนมือของนางอย่างสุดกำลัง เพราะใกล้จะสิ้นใจอยู่รอมร่อ ทว่าในยามนี้เอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากข้างนอก ชั่วครู่ต่อมาประตูก็ถูกผลักให้เปิดออก "หยุดนะ!" เมื่อเสียงตวาดอันเฉียบขาดดังขึ้น นางก็ถูกเตะเข้าที่แผ่นหลังอย่างแรงจนลอยไปกระแทกพื้น ตอนที่นางพยายามจะลุกขึ้น กลิ่นคาวเลือดก็พลุ่งขึ้นมาในลำคอแล้วกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง บังเกิดอาการปวดแปลบปลาบในอกขึ้นมา "เยวี่ยอิง!" ฟู่เฉินหวนรีบเข้าไปประคองลั่วเยวี่ยอิง ลั่วเยวี่ยอิงหล่นสู่อ้อมแขนของฟู่เฉินหวนด้วยความอ่อนแรง จากนั้นก็รีบสูดหายใจแล้วกุมลำคอเอาไว้ ทันทีที่นางเงยหน้าไปเห็นฟู่เฉินหวน น้ำตาก็ไหลอาบหน้า "ท่านอ๋อง..." ลั่วเยวี่ยอิงร่ำไห้แล้วมองลั่วชิงยวนพลางกล่าวว่า "ข้าจับได้ว่าท่า
มู่หยวนหยวนกลั้นหายใจด้วยความตื่นตระหนกในทันทีลั่วชิงยวนตบไหล่นางเบา ๆ เป็นเชิงบอกให้นางอย่าหวาดกลัว จากนั้นก็ค่อย ๆ ออกไปทางหน้าต่าง แล้วอ้อมมาด้านหน้าจึงเห็นเจ้ายักษ์ที่ถือกระบี่ตนนั้นอีกครั้งท่าทางดุดัน ดวงตาสีแดงก่ำกำลังสอดส่องหาบางสิ่งผ่านช่องว่างลั่วชิงยวนวางวงแหวนแห่งเวทในทันที คราวนี้จะพ่ายแพ้ให้มันอีกมิได้!เมื่อรับรู้ถึงอันตรายที่ใกล้เข้ามา เจ้ายักษ์นั่นก็หันกลับไปในทันทีและเห็นลั่วชิงยวนพลันยกกระบี่ยาวหลายเมตรขึ้น ฟาดลงมายังศีรษะของลั่วชิงยวนอย่างแรงลั่วชิงยวนสีหน้าแปรเปลี่ยน วงแหวนแห่งเวทยังมิเสร็จสมบูรณ์ ไร้ที่หลบนางหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ขึ้นมา ยกแขนขึ้นต้านรับกระบี่นี้ขณะนั้นเอง มู่หยวนหยวนก็วิ่งออกจากห้องด้วยความตื่นตระหนก มองไปรอบ ๆ พลางตะโกนเรียก “ฉีหง!”“เจ้าออกมานะ!”“เรามาพูดคุยกันดี ๆ เจ้าให้ข้าทำอะไรก็ได้ อย่าทำร้ายผู้บริสุทธิ์อีกเลย!”ในเวลานี้เอง เจ้ายักษ์นั่นก็หยุดมือลงในทันทีกระบี่ยาวคมกริบค้างอยู่เหนือศีรษะของลั่วชิงยวน แต่กลับมิตกลงมาลั่วชิงยวนเห็นดวงตาสีแดงก่ำของเจ้ายักษ์ซึ่งอยู่ตรงหน้าเหมือนจะกลับมาเป็นตาปกติกลิ่นอายชั่วร้ายทั่วร
“สัญญานี้เป็นหลักฐาน! หากเจ้ามิสามารถแก้ไขปัญหาของตระกูลมู่ได้ แม้แต่เฉินชีก็มิอาจห้ามข้าสังหารเจ้าได้!”ลั่วชิงยวนมิลังเลแม้แต่น้อย ลงนามประทับรอยนิ้วมือในทันที แล้วจ้องมองเวินซินถงอย่างเย็นชา“นี่ก็ถือว่าเป็นเดิมพันระหว่างเราสองคน”“ข้าแพ้ ข้าตาย”“แต่หากเจ้าแพ้ ต่อไปนี้ห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยวกับข้าอีก!”เมื่อได้ยินข้อเสนอของลั่วชิงยวน เวินซินถงก็ประหลาดใจเล็กน้อยเพียงแค่มิให้นางเข้ามายุ่งเกี่ยวงั้นหรือ?นางยังคิดอยู่ว่าลั่วชิงยวนจะฉวยโอกาสนี้แย่งชิงตำแหน่งนักบวชระดับสูงของนางเวินซินถงตอบตกลงข้อเสนอนี้โดยมิลังเล แล้วเก็บสัญญาฉบับนั้นไว้ “เช่นนั้นข้าก็จะรอชมผลลัพธ์”กล่าวจบ เวินซินถงก็หันหลังเดินออกไปอย่างเย็นชาขณะมองแผ่นหลังของเวินซินถงที่จากไป ลั่วชิงยวนก็ตระหนักได้ว่าตนเองยังคงใจอ่อนนางยังคงมีความหวังอยู่เล็กน้อย บางทีนี่อาจเป็นเพียงการเสแสร้งที่ศิษย์น้องผู้นี้จำต้องมีเมื่อขึ้นสู่ตำแหน่งนี้ด้วยว่าภายใต้สภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเช่นนั้น หากนางจะดำรงตำแหน่งนักบวชระดับสูงนี้ได้อย่างมั่นคงก็มิอาจไร้เดียงสาเหมือนเมื่อก่อนได้นางจึงมิได้ทำอะไรที่รุนแรงเกินไป ถึงแม้ว่าการเดิมพั
ลั่วชิงยวนถูกปลุกให้ตื่นเห็นเวินซินถงที่เดินเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยวมู่หยวนหยวนก็ตกใจเล็กน้อย ท่าทางของนักบวชระดับสูงทำให้นางหวาดกลัว “ท่านนักบวชระดับสูง เกิดเรื่องอันใดขึ้นเจ้าคะ?”เวินซินถงกลั้นโทสะไว้ กล่าวกับมู่หยวนหยวน “คุณหนูมู่ โปรดออกไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดกับนางเป็นการส่วนตัว”มู่หยวนหยวนมิกล้าขัดคำสั่ง จึงออกจากห้องไปเมื่อประตูปิดลง เวินซินถงก็คว้าแขนของลั่วชิงยวนกระชากนางให้ลุกขึ้นพละกำลังรุนแรงยิ่งนักราวกับจะฉีกร่างลั่วชิงยวนออกเป็นชิ้น ๆ“ลั่วชิงยวน เจ้าช่างมีความสามารถนัก เจ้าถึงกับนำสำนักเทียนฉยงมา! เจ้าเกรงว่าข้าจะมีปัญหามิพอรึ!”เวินซินถงโกรธจัดเช้าตรู่วันนี้เซี่ยหลิงมาหานาง บอกว่าคนจากสำนักเทียนฉยงปรากฏตัวที่บ้านตระกูลมู่ นางรีบมาตรวจสอบจึงพบร่องรอยของสำนักเทียนฉยงจริง ๆและทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัญหาที่มู่หว่านจ้าวสร้างขึ้น!ลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “ข้านำมาหรือ?”“เมื่อวานข้าบอกเจ้าแล้วว่าเรื่องราวมิได้ง่ายดายเพียงนั้น หากข้าสามารถนำสำนักเทียนฉยงมาได้ ข้าจะไปทำงานกับเจ้าหรือ?”คำพูดของลั่วชิงยวน ทำให้โทสะในใจของเวินซินถงระเบิดออกใบหน้าของนา
เจ้ายักษ์นั่นมิได้ทำร้ายชายผู้นั้น ราวกับจ้องจะสังหารนางเพียงคนเดียวในขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะต้านทานมิไหวทันใดนั้น จิตสังหารก็พุ่งเข้ามาเห็นเงาร่างสีดำอีกร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาในครรลองสายตาพุ่งเข้ามาขวางตรงหน้าลั่วชิงยวนในทันที ฉวยโอกาสตบฝ่ามือไปยังชายชุดดำอย่างแรงบีบให้เขาถอยร่นไปเพื่อขัดขวางอีกฝ่ายเงาร่างที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้างแต่นางไม่มีเวลาพิจารณา เพราะเจ้ายักษ์นั่นกำลังยกกระบี่ฟาดลงมาหานางลั่วชิงยวนหลบหลีกอย่างตื่นตระหนก ล่อเขาไปยังที่กว้างกว่า จากนั้นก็หยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาในทันทีนางกัดนิ้ววาดวงแหวนแห่งเวท วงเวทสีทองที่ปรากฏขึ้นจากเข็มทิศอาณัติสวรรค์ล้อมเจ้ายักษ์นั่นไว้ในทันทีเชือกอักขระเวทพุ่งออกไปมัดเจ้ายักษ์ไว้ ทำให้มันสงบลงชั่วคราวจากนั้นก็รีบไปหาคนทั้งสองที่ยังต่อสู้กันอยู่แต่กลับตกตะลึงเมื่อพบว่าคนทั้งสองหายไปแล้วลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ จึงเห็นเงาร่างหนึ่งกระโดดข้ามกำแพงไปลั่วชิงยวนรีบตามไป“วีรบุรุษท่านใด? ขอทราบนามได้หรือไม่?” ลั่วชิงยวนตามไปถึงริมกำแพงเห็นชายชุดดำวิ่งไปบนหลังคามิไกล ลั่วชิงยวนยิ่งรู้สึกว
บนใบหน้าของศีรษะนั้นเต็มไปด้วยอักขระเวทประหลาดทำให้ลั่วชิงยวนนึกถึงสำนักเทียนฉยงในทันทีสำนักเทียนฉยงมีชื่อเสียงด้านวิชาวงแหวนแห่งเวทชั่วร้าย วงแหวนแห่งเวทที่ใช้ก็ร้ายกาจยิ่งนัก นับว่าเป็นองค์กรลึกลับที่น่าสะพรึงกลัวในแคว้นหลีผู้ที่ถูกหมายหัวมิอาจหลุดพ้นได้เพียงแต่พวกเขามิค่อยปรากฏตัวในเมืองหลวง เพราะนั่นหมายถึงการเผชิญหน้ากับสำนักนักบวชโดยตรงแต่คราวนี้กลับมาเผชิญหน้าแล้วนี่คือวงแหวนแห่งเวทที่ซ่อนอยู่ในบ้านตระกูลมู่อย่างแท้จริง วงแหวนแห่งเวทที่แก้ไขไปเมื่อตอนกลางวันเป็นเพียงภาพลวงตามันคือการยั่วยุของสำนักเทียนฉยง เรื่องราวในตระกูลมู่มิธรรมดาจริง ๆนางรีบชักกริชออกมาแทงลงไปอย่างแรง ผ่าศีรษะนั้นออกเป็นสองซีกภายในศีรษะมีเพียงกะโหลก นอกจากยันต์อักขระเวทที่แปะเต็มไปหมดก็ไม่มีอะไรอย่างอื่นลั่วชิงยวนฉีกยันต์อักขระเวทเหล่านั้นทิ้งในทันทีเมื่อจุดศูนย์กลางวงแหวนแห่งเวทถูกทำลายก็พลันปรากฏไอชั่วร้ายที่รุนแรงลอยเหนือบ้านตระกูลมู่ราวกับว่าจะมีอะไรบางอย่างปรากฏขึ้นลั่วชิงยวนหรี่ตามองภาพนั้นด้วยความตกตะลึงสำนักเทียนฉยงช่างร้ายกาจยิ่งนักร่างที่ก่อตัวขึ้นจากหมอกสีดำทมิฬนั้น
นางเดินเข้าไปพร้อมกัดนิ้วตัวเอง แล้วใช้เลือดของตนวาดอักขระเวทลงบนหน้าผากของนายท่านมู่ เสียงไหม้เกรียมก็ดังแผ่ขึ้นเมื่อเสียงกรีดร้องดังขึ้น นายท่านมู่ก็หมดสติไปหมอกดำพวยพุ่งออกมาจากร่างของเขาแล้วสลายไปคนอื่น ๆ ในเรือนก็หยุดลงลั่วชิงยวนขว้างยันต์อีกอันออกไป “กลับไป!”คนในลานก็เหมือนหุ่นเชิด หันหลังกลับออกจากลานไปยังที่เดิมของตนแต่นายท่านมู่กลับถูกทิ้งไว้ที่นี่ชั่วคราวลั่วชิงยวนและมู่หยวนหยวนช่วยกันลากนายท่านมู่เข้าไปในห้องข้าง ๆจากนั้นพามู่หยวนหยวนเข้าไปในห้อง“เมื่อครู่เจ้าเป็นคนลงกลอนประตูห้องข้าหรือ? เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงช่วยข้า?”ลั่วชิงยวนรู้สึกมิเข้าใจมู่หยวนหยวนตอบ “ข้าลงกลอนประตูห้องของท่านก็เพราะมิอยากให้ท่านออกมา”“เขาจะมิปล่อยข้าไป มีเพียงข้าตายเท่านั้น เขาจึงจะมิทำร้ายผู้อื่นอีก”เมื่อได้ยิน ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึงมู่หยวนหยวนลงกลอนประตูเพื่อช่วยนาง เช่นนั้นชายสวมหน้ากากผู้นั้นเป็นใครเล่า? มิได้เป็นพวกเดียวกับมู่หยวนหยวนหรอกหรือ“เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าเรื่องในวันนี้ยังมิได้รับการแก้ไข” ลั่วชิงยวนนั่งลงตรงข้ามมู่หยวนหยวน“แท้จริงแล้วเจ้ารู้อะไรบ้าง”มู่หยวนห
ทั่วทั้งลานเต็มไปด้วยผู้คน!บางส่วนเป็นคนเป็น บางส่วน... เป็นคนตายยังมีคนเดินเข้ามาจากประตูใหญ่ด้านนอกอย่างต่อเนื่องแม้แต่นายท่านมู่ก็อยู่ในนั้นด้วย เขาเดินโซซัดโซเซเข้ามา ดวงตาเหม่อลอย ไร้ซึ่งสติราวกับมิรู้สึกตัวชายสวมหน้ากากผู้นั้นก็ตกตะลึง มิกล้าเชื่อสิ่งที่เห็นเมื่อได้สติ เขาก็รีบวิ่งไปยังริมกำแพงแล้วปีนหนีไปเมื่อลั่วชิงยวนจะวิ่งตามไปจับเขา จู่ ๆ คนในเรือนเหล่านั้นก็หันมามองนางพร้อมกันยิ่งไปกว่านั้นยังมีศพที่ตายไปเมื่อหลายวันก่อนหันมาด้วย ศีรษะและลำตัวของศพเหล่านั้นยังมิได้เย็บติดกันทันใดนั้น ศีรษะที่ห้อยอยู่ก็หันมา ดวงตาเบิกโพลง น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักคนกลุ่มใหญ่นั้นกระโจนเข้าหาลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนรีบหันหลังวิ่งไปยังที่โล่งมิเช่นนั้นจะถูกล้อมไว้ให้จนมุมนางชักกริชออกมาแต่เมื่อนายท่านมู่พุ่งเข้ามา นางกลับมิกล้าใช้คมกริชแทงไปเพราะนี่คือคนเป็นจะให้ตายด้วยน้ำมือของนางมิได้ลั่วชิงยวนเตะนายท่านมู่ออกไป คนอื่น ๆ ก็พากันรุมเข้ามาถึงแม้ว่าพวกเขาแต่ละคนจะมีสายตาเลื่อนลอยมิรู้สึกตัว แต่ดูเหมือนจะรู้ดีว่าตนเองต้องทำอะไรพวกนั้นกำลังรุมโจมตีลั่วชิงยวนอย่างบ้าคลั่ง
“คุณหนูมู่”มู่หยวนหยวนหันมาเหลือบมองนาง “ท่านยังมิไปอีกหรือ”“คืนนี้ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนคุณหนูมู่”“ได้เจ้าค่ะ”มู่หยวนหยวนสงบนิ่งราวกับว่าทุกสิ่งทุกอย่างมิเกี่ยวข้องกับนาง ไม่มีปฏิกิริยาหรือสีหน้าใด ๆด้วยการจัดการของนางรับใช้ ลั่วชิงยวนจึงได้พักในห้องข้าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้เป็นห้องของนางรับใช้ข้างกายมู่หยวนหยวนแต่ยามนี้นางรับใช้ผู้นั้นได้เสียชีวิตไปแล้วลั่วชิงยวนจึงได้พักที่นี่หนึ่งคืนเดิมทีลั่วชิงยวนคิดจะไปพูดคุยกับมู่หยวนหยวน แต่มู่หยวนหยวนดูเหมือนมิอยากพูดคุยกับผู้ใด นางจึงมิได้เข้าไปใกล้เฝ้ารอคอยการมาถึงของราตรีอย่างเงียบงันหลังจากกินอาหารเย็นเสร็จ ลั่วชิงยวนก็ให้นางรับใช้ที่คอยปรนนิบัติออกไปมิให้ผู้ใดเข้ามาในเรือนนี้ลั่วชิงยวนปิดประตูหน้าต่าง ล้มตัวลงนอนบนเตียงหลับตาฟังเสียงที่อยู่ภายนอกมิรู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ราตรีก็มาเยือนทันใดนั้นด้านนอกก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ลั่วชิงยวนพลันลืมตาขึ้น จึงเห็นร่างหนึ่งปรากฏขึ้นที่หน้าประตูลั่วชิงยวนระแวดระวัง แต่กลับพบว่าเป็นสตรีนางยืนอยู่ที่หน้าประตู กำลังลงกลอนประตู...หลังจากลงกลอนแล้ว นางก็จากไปลั่วชิงยวนตก
ทั้งสองเดินตามนายท่านมู่มายังห้องโถงด้านหน้าเพื่อกินกลางวันเมื่อสุราและอาหารวางลงบนโต๊ะ กลิ่นหอมก็อบอวลไปทั่วห้องเรียกได้ว่าเป็นมื้อที่อลังการยิ่งนัก เนื่องจากเป็นการต้อนรับนักบวชระดับสูง“วันนี้ต้องขอบคุณท่านนักบวชระดับสูงขอรับ หากมิเช่นนั้นข้าก็มิรู้ว่าบุตรสาวของข้าจะเป็นเช่นไร” นายท่านมู่ยกจอกสุราขึ้นคารวะเวินซินถงยกจอกสุราขึ้นแล้วพยักหน้าเล็กน้อยหลังจากดื่มสุราไปหนึ่งจอก เวินซินถงก็กล่าว “คุณหนูใหญ่ตกใจขวัญเสีย ต่อไปนี้ต้องพักผ่อนให้ดี”นายท่านมู่พยักหน้า “ขอรับ ขอรับ ข้าจะดูแลนางให้ดี บำรุงร่างกายให้แข็งแรงแล้วค่อยส่งนางเข้าวัง”ตระกูลมู่เป็นตระกูลที่อยู่อันดับสุดท้ายของแปดตระกูลใหญ่ หากคราวนี้บุตรสาวสามารถเข้าวัง แล้วได้รับความโปรดปรานจากองค์จักรพรรดิจนได้รับการแต่งตั้งเป็นสนมฐานะของตระกูลมู่ก็จะสูงขึ้นตามไปด้วยนายท่านมู่ทุ่มเทความรุ่งโรจน์ของทั้งตระกูลไว้กับมู่หยวนหยวนเพียงผู้เดียวลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะถาม “นายท่านมู่ ก่อนหน้านี้คุณหนูมู่เคยมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใดหรือไม่?”เมื่อได้ยินดังนั้น นายท่านมู่ก็มีสีหน้าบึ้งตึงในทันทีวางตะเกียบลงบนโต๊ะ กล่าวด้วยความขุ