ลั่วเยวี่ยอิง! นางมาได้อย่างไรกัน? ลั่วชิงยวนเปิดประตูออกด้วยท่าทีแน่นิ่ง นางต้อนรับลั่วเยวี่ยอิงเข้าไปด้านใน และนั่งที่โต๊ะเล็กข้าง ๆ "แม่นางมาดูดวงหรือ?" ลั่วชิงยวนถามอย่างสงบ ลั่วเยวี่ยอิงพยักหน้า “ข้าอยากทำนายพรหมลิขิต” “ข้าอยากรู้ คนที่ข้ารัก เขารักข้าหรือไม่?” ฟังถึงตรงนี้ ลั่วเยวี่ยอิงชะงักเล็กน้อย นางตอบ “แม่นาง ข้าทำนายได้เพียงชะตาชีวิต ทำนายความคิดคนมิได้หรอก” “คนที่ท่านรักจักรักท่านหรือไม่ ขออภัยที่ข้ามิสามารถช่วยท่านได้” ลั่วชิงยวนเองก็ประหลาดใจ ลั่วเยวี่ยอิงนางมาทำนายหรือตั้งใจมาหาเรื่องกันแน่? “เช่นนั้นท่านช่วยทำนายอนาคตของข้าว่าจะร่ำรวยไปทั้งชีวิตหรือไม่?” ลั่วเยวี่ยอิงยื่นกระดาษ ด้านบนนั้นคือวันเกิดของนาง ลั่วชิงยวนทำนายให้นางจริง ๆ ชีวิตของลั่วเยวี่ยอิง แท้จริงแล้วมิย่ำแย่นัก เพียงแต่ นางเห็นทางแยกในชีวิตของลั่วเยวี่ยอิง ทางหนึ่งมีปลายทางเป็นหงส์แดงโบยบินรอบเทวาเก้าชั้น และมีนกขาวเป็นบริวาร ซึ่งรุ่งโรจน์เป็นอย่างมาก ส่วนอีกทางหนึ่งมีกระดูกขาววางกอง บนพื้นเต็มไปด้วยโลหิต เส้นทางไร้ซึ่งปลายทาง มีเพียงคาวเลือดและความมืดมิดที่ไร้ที่สิ้นสุด สี
ลั่วชิงยวนกล่าวขมวดคิ้วเนียน ๆ “ของชิ้นนี้ข้าสามารถจัดการแทนท่านได้! สิ่งชั่วร้ายในถุงหอมนี้มิธรรมดา แม่นางจักพกติดตัวต่อไปมิได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นท่านจะประสบภัยในเร็ววัน!” นางคิด ลั่วเยวี่ยอิงคงจะปล่อยถุงหอมนี้ได้แล้วกระมัง นี่มิใช่ของของลั่วเยวี่ยอิงอยู่แล้ว คงมิใช่เรื่องใหญ่หรือสำคัญอันใดสำหรับนาง หลังรู้ว่าของชิ้นนี้ส่งผลเสียต่อนาง คงมีแต่จะโยนทิ้งให้ไกล! แต่ที่คิดไม่ถึงคือ แม้สีหน้าของลั่วเยวี่ยอิงจะลนลาน แต่นางยังคงลังเล สุดท้ายนางยื่นมือคว้าถุงหอมนั้นจากในมือของลั่วชิงยวนอย่างเด็ดขาด หัวใจของลั่วชิงยวนดิ่งลง “แม่นาง?” ลั่วเยวี่ยอิงกำถุงหอมไว้ในมือแน่น พูดขึ้นด้วยความกลัวและความกังวลเล็กน้อย “ข้าก็ยังมิเชื่อ ข้าขอคิดอีกดีกว่า!” พูดจบ นางจึงถือถุงหอมพร้อมรีบวิ่งออกไป ท่าทีลนลานเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่านางรู้สึกกลัวจริง ๆ แต่ไฉนนางยังต้องเอาถุงหอมนั่นคืนอีก? ไฟที่เพิ่งลุกไหม้ขึ้นในใจของลั่วชิงยวน ดับมอดลงอีกครั้ง อีกนิดเดียวนางก็สามารถเอาเครื่องหอมกลับมาได้แล้ว! เพียงแต่นางไม่มีทางล้มเลิกแน่ เรื่องในวันนี้ทำให้นางมีแผนในใจ วิญญาณชั่วร้ายที่จับมาได้ก่อนหน้านี้
“เซียนฉู่ สิ่งนี้เป็นสิ่งชั่วร้ายจริง ๆ ช่วงนี้ข้ามักพบเรื่องแปลก ๆ ข้ากำลังจะประสบภัยแล้วใช่หรือไม่?” ใต้ตาของลั่วเยวี่ยอิงดำคล้ำ สีหน้าทรุดโทรม นางกำมือแน่น และเป็นกังวลอย่างมาก ลั่วชิงยวนรับถุงหอมมา และพูดด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “สิ่งนี้ไอชั่วร้ายรุนแรงนัก จนกระทบไปถึงดวงชะตาของแม่นางนานแล้ว โชคดีที่ยังไม่สาย สิ่งนี้ข้าช่วยท่านจัดการเอง” “หากแม่นางต้องการถุงหอม รอให้ข้าเสกมนตร์ขจัดสิ่งชั่วร้ายก่อน อีกเจ็ดวันท่านค่อยมาเอากลับไป” ลั่งชิงยวนหลอกนางอย่างจริงจังต่อ สัญลักษณ์สุริยันจันทราที่นางจับโดนผ่านถุงหอม ทำนางตื่นเต้นอย่างห้ามมิได้ ไม่นานนักนางก็จะสามารถเปิดสัญลักษณ์สุริยันจันทรา เพื่อดูว่าด้านในมีของอะไรได้แล้ว บางทีนางอาจสามารถรู้ตัวตนของท่านแม่ได้ ลั่วเยวี่ยอิงพยักหน้า จากนั้นถามขึ้น “ข้าได้ยินว่าท่านเคยทำนายให้ฮูหยินแม่ทัพมาก่อน หลังจากนั้นโชคของท่านฮูหยินแม่ทัพก็ยิ่งอยู่ยิ่งดี” “ท่านช่วยทำนายสิ่งใดดีต่อดวงของข้าให้ข้าบ้างได้หรือไม่?” บัดนี้ ลั่วเยวี่ยอิงได้ลืมสิ่งที่เหยียนผิงเซียวมอบหมายไว้จนสิ้น นางรู้สึกเพียงเซียนฉู่เก่งกาจเช่นนี้ บางทีนางอาจสามารถขอความช่วยเ
“ท่านอ๋อง ของสิ่งนี้...” ลั่วเยวี่ยอิงค่อนข้างกังวล ก่อนหน้านี้นางบอกว่านี่เป็นของของแม่นาง บัดนี้นางกลับเอาของที่แม่ทิ้งไว้ให้ก่อนตายให้นักทำนายคนหนึ่ง นางกังวลจนไม่รู้แก้ต่างคำโกหกอย่างไร “เยวี่ยอิง อากาศหนาวเช่นนี้ รีบกลับตำหนักเถอะ อย่าให้ไข้ขึ้น” ประโยคห่วงใยของฟู่เฉินหวนขัดนางเอาไว้ ลั่วเยวี่ยอิงชะงักเล็กน้อย นางเงยหน้ามองฟู่เฉินหวน ขอบตาแดงก่ำขึ้นมาทันใด นางจับแขนเสื้อของฟู่เฉินหวนไว้อย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง ท่านมิโกรธเคืองหม่อมฉันแล้วหรือเพคะ?” ฟู่เฉินหวนยิ้มอ่อนโยน ยกมือปัดลูกผมที่ถูกลมพัดจนยุ่งเหยิงของนาง “ย่อมมิโกรธเคืองเจ้าอยู่แล้ว” เห็นท่าทีหวานซึ้งของทั้งคู่ ในใจลั่วชิงยวนยิ่งรู้สึกโกรธ นางเปลี่ยนชื่อใหม่เพื่อใช้ชีวิตใหม่แล้วแท้ ๆ เหตุใดสองคนนี้จึงมิปล่อยนางไปอีก ต้องทำนางรู้สึกขยะแขยงโดยการมาพลอดรักกันต่อหน้านาง ถุงหอมที่อยู่ในมือเมื่อครู่ถูกแย่งกลับไป หนำซ้ำยังเจอฉากที่น่าสะอิดสะเอียนอีก ในใจของนางราวกับถูกหินก้อนใหญ่ทับไว้ ทรมานจนอยากปล่อยโฮออกมาเสียงดัง เพื่อให้ความรู้สึกที่แสนซับซ้อนระบายออกมาจนหมด แต่นางกลับต้องข่มไว้ และให้ตนสงบจิตใจ นางอุตส่าห
ใกล้เทศกาลโคมไฟ ในเมืองยิ่งอยู่ยิ่งคึกคัก ลั่วชิงยวนดเองก็แขวนโคมไฟไว้ที่หน้าร้านของตนหลายใบเพื่อให้ดูครึกครื้นขึ้น หรงอี้เฉี่ยนชอบเล่นไพ่ ดวงของนางนับวันยิ่งอยู่ยิ่งดี จึงเรียกลูกค้ามาให้ลั่วชิงยวนได้ไม่น้อย มักมีรถม้าโอ่อ่าขับเคลื่อนเข้ามาในตรอกฉางเล่อแบบวันเว้นวัน เพื่อมาเชิญลั่วชิงยวน หากที่ตรอกฉางเล่อมีคนมีฐานะปรากฏ ต่างไปหาลั่วชิงยวนกันทั้งสิ้น มิกล้าพูดว่ารู้จักกันทั้งเมืองหลวง แต่ในถนนที่ห่างออกไปจากตรอกฉางเล่อถึงสี่ห้าเส้น ไม่มีใครที่ไม่รู้จักท่านเซียนฉู่ นับตั้งแต่ที่ฟู่เฉินหวนเอาถุงหอมไป ลั่วชิงยวนก็ไม่เคยแสดงสีหน้าดี ๆ ให้เขาอีกเลย มีหลาย ๆ ครั้งที่นางเมินเมื่อเขามา จากนั้นฟู่เฉินหวนจึงไม่ค่อยได้มาที่นี่อีกต่อไป เดิมทีนางคิดว่าจะผ่านฤดูเหมันต์นี้ไปได้อย่างราบรื่น ไหนเลยจะคิดว่าเช้านี้จะมีคนใช้คนหนึ่งส่งเทียบเชิญมาให้นาง “ท่านเซียนฉู่ อีกเจ็ดวันคุณหนูในจวนข้าน้อยจักแต่งงาน จึงมาเชิญท่านให้ไปดื่มเหล้ามงคล” ได้ยินดังนี้ ลั่วชิงยวนรู้สึกตะลึง “คุณหนูจวนเจ้ารึ?” นางเปิดเทียบเชิญดู ก็รู้สึกตกตะลึง ลั่วหลางหลางแต่งงาน! เมื่อมองลงไปอีก เจ้าบ่าวชื่อฟ่านซ
จากนั้นจึงขมวดคิ้วและกล่าว “แต่ท่านผอมเช่นนี้แล้ว หากท่านไปงานฉลองด้วยร่างนี้ ฟู่เฉินหวนก็มองท่านออกได้ง่าย ๆ เสียกระมัง” ลั่วชิงยวนไตร่ตรองครู่หนึ่ง และกล่าว “ร่างกายรึ ข้ามีวิธี!” “ส่วนเรื่องหน้า คงต้องใส่หมวกเอาแล้ว” ซ่งเชียนฉู่ลังเลเล็กน้อย “ได้หรือ หากความแตกจักทำเช่นไรเล่า” ลั่วชิงยวนตบไปที่บ่าของนาง “คนที่จักความแตกมีแค่ข้า พวกเขามิเคยเห็นเสียหน่อยว่าฉู่ลั่วหน้าตาอย่างไร ต่อให้มีคนเห็นเจ้า เจ้าก็สามารถอ้างว่าเจ้ามางานฉลองแทนเซียนฉู่ได้ มิมีใครสนใจเสียหรอก” เพราะสถานการณ์เช่นนี้ ไม่มีผู้ใดจะไปสนใจนักทำนายคนหนึ่ง นางเพียงแค่แสดงบทบาทของพระชายาอ๋องให้ดี มิให้ความแตกเป็นพอ “ก็ได้” ดังนั้นทั้งคู่จึงเริ่มเตรียมตัวกัน เพื่อทำให้ตนกลับไปอ้วนเช่นเดิม ลั่วชิงยวนตัดเย็บชุดมาตัวหนึ่งด้วยตัวนางเอง ด้านในชุดยัดฝ้ายเอาไว้จำนวนมาก เอาไว้ใส่ด้านใน ส่วนด้านนอกก็ใส่อีกสองชั้น และคลุมผ้าคลุมตัวหนึ่ง ร่างของนางก็จะขยายขึ้นหลายเท่า ส่วนใบหน้า นางทำหน้ากากสำหรับหน้าทั้งใบขึ้น และใส่หมวกเพิ่ม ซ่งเชียนฉู่และจือเฉาทั้งคู่มองซ้ายมองขวา ลั่วชิงยวนกระแอมและพูดด้วยเสียงปกติ ซ่งเชียน
ลั่วชิงยวนกลับตำหนักอ๋องแล้ว ข่าวนี้รู้กันทั่วตำหนัก มีคนใช้ไม่น้อยที่ออกมาต้อนรับนาง ลั่วเยวี่ยอิงเองก็ได้รับข่าวจึงตามมาดูเช่นกัน มิคิดเลยว่า ลั่วชิงยวนยังสามารถรอดกลับมาที่ตำหนักอ๋องได้ รถม้าหยุดลง ซูโหยวเปิดประตูรถออก “พระชายา ถึงแล้วขอรับ” หน้าประตูมีสาวใช้กลุ่มหนึ่งกำลังรออยู่ พวกนางยังไม่ทันเห็นร่าง กลับได้ยินเสียงไอที่แสนอ่อนแอก่อน จากนั้นจึงเห็นจือเฉาค่อย ๆ พยุงลั่วชิงยวนเดินลงมา “พระชายา!” แม่นมเติ้งรีบเดินขึ้นหน้าไปต้อนรับ ลั่วชิงยวนลากสังขารหนักอึ้งเดินเข้าตำหนักไป เบื้องหน้า ลั่วเยวี่ยอิงเดินออกมาประจันหน้ากับลั่วชิงยวน ลั่วเยวี่ยอิงเผยยิ้มอ่อนโยนให้ “ท่านพี่กลับมาแล้วหรือ มิรู้ว่าท่านพี่อาศัยในจวนนอกเมือแล้วเป็นอย่างไรบ้าง” “แค่ก ๆ ๆ ” ลั่วชิงยวนมิได้ตอบ และไอผ่านลั่วเยวี่ยอิงไป เห็นว่าลั่วชิงยวนไม่สนใจนาง สีหน้าของลั่วเยวี่ยอิงย่ำแย่ พลันจับแขนของลั่วชิงยวนไว้ทันใด วินาทีนั้น หมวกของลั่วชิงยวนถูกลมพัดปลิว ลั่วเยวี่ยอิงจึงเห็นหน้ากากของนางเข้าอย่างจัง นางตกใจจนถอยหลังไปหลายก้าว และเกือบจะล้มลงพื้น “ที่พระชายากลับมารอบนี้แค่เพื่อเข้าร่วมงานแต่ง
เขาหมุนร่างจากไปอย่างผิดหวัง แต่ก็ยังหันกลับไปมองประตูที่ปิดสนิทด้วยความเป็นห่วง จากนั้นจึงยกขาจากไป แต่ข่าวที่ฟู่อวิ๋นโจวมาหาลั่วชิงยวนจะปิดมิดได้อย่างไรกัน ข่าวนี้ส่งถึงหูของฟู่เฉินหวนแทบจะในเวลาแรก ถุงหอมที่อยู่ในมือพลันกำแน่น “เร็วเพียงนี้เชียว พวกเขาเจอกันแล้วหรือ?” นัยน์ตาฟู่เฉินหวนแผ่ไปด้วยความเหน็บ หลังกลับถึงตำหนัก มิได้มารายงานแก่เขาในเวลาแรก แต่กลับเจอฟู่อวิ๋นโจวก่อนงั้นหรือ? พวกเขาอดใจรอมิไหวเช่นนี้เชียว! แววตาของฟู่เฉินหวนเหน็บหนาวและเอ่ยสั่งเสียงเย็น “เรียกลั่วชิงยวนมา!” ซูโหยวพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ!” …… เมื่อตอนซูโหยวมาเชิญ ลั่วชิงยวนก็เริ่มมีลางไม่ดี ต้องเป็นเพราะฟู่อวิ๋นโจวมาแน่ เขาจึงเรียกหานางอย่างรีบร้อนเช่นนี้ และคงตักเตือนนางดังเคย นางสวมหน้ากาก ตามซูโหยวมาที่ห้องตำรา ทันทีที่ประตูห้องปิดลง บรรยากาศภายในห้องก็พิลึกขึ้นมา ฟู่เฉินหวนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประเมินนางด้วยสายตาเย็นชา ทำคนรู้สึกขนลุกทั้งที่มิได้หนาว ลั่วชิงยวนเองก็ยืนนิ่งมิเอ่ยปาก แสดงท่าทีราวกับหวาดกลัวมาก นานมาก กว่าเสียงเยือกเย็นของฟู่เฉินหวนจะดังขึ้น “ถอดหมวกกับหน้ากากออก
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา
ฟู่จิ่งหานมิได้ใส่ใจเรื่องนี้ แต่กลับรู้สึกผิดเล็กน้อยที่พระราชโองการนั้นทำให้ลั่วชิงยวนได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ จึงพูดว่า “มิเป็นอะไร การประลองครั้งนี้ก็มิได้ห้ามมิให้แคว้นเพื่อนเรือนเคียงเข้าร่วม”“พระชายาอ๋องผู้สำเร็จราชการสามารถเอาชนะองค์ชายเผ่านอกด่าน แล้วยกให้เป็นน้องชายได้ นับว่าความสามารถเป็นที่ประจักษ์แก่ข้าแล้ว!”“พระชายามีบาดแผล อนุญาตให้พระชายาและองค์ชายหล่างมู่ออกไปก่อนได้”ลั่วชิงยวนก้มหน้าลงเล็กน้อย “ขอบพระทัยฝ่าบาทเพคะ”แล้วหล่างมู่ก็พยุงลั่วชิงยวนออกไปเนื่องจากหอฝูเสวี่ยอยู่มิไกลและสามารถมองเห็นการประลองจากชั้นสามได้ ลั่วชิงยวนจึงพาหล่างมู่ไปพักผ่อนที่หอฝูเสวี่ยก่อนซิ่งอวี่ต้มยามาให้นางกินลั่วชิงยวนนั่งข้างหน้าต่าง มองดูการประลองที่ยังคงดำเนินต่อไป เมื่อเห็นฟู่อวิ๋นโจวเอาชนะทุกคนได้ นางก็รู้ว่าเขากำลังจะเข้าสู่ราชสำนักแล้ว“พี่หญิง ยังเจ็บบาดแผลอยู่หรือไม่ขอรับ?” หล่างมู่ยกชามาให้หนึ่งถ้วยลั่วชิงยวนส่ายหน้า “มิเป็นอะไรแล้ว บาดแผลมิสาหัส พักสักสองสามวันก็หาย”“หล่างมู่ เจ้ามาเมืองหลวงได้อย่างไร? ในเผ่านอกด่านเกิดเรื่องใหญ่อันใดหรือไม่? รีบร้อนมาเช่นนี้เลยหรือ?
ฟู่อวิ๋นโจว!หล่างมู่กำหมัดแน่น แล้วกระโจนเข้าไปอีกครั้งผู้คนมากมายต่างเป็นห่วงฟู่อวิ๋นโจว หล่างมู่เป็นคนเผ่านอกด่าน ฝีมือของเขาเป็นที่ประจักษ์ของทุกคนแล้วร่างกายที่อ่อนแอของฟู่อวิ๋นโจวจะรับมือได้อย่างไรแต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่าเวลาที่ฟู่อวิ๋นโจวปรากฏตัวนั้นเหมาะสม นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเขาที่จะแสดงความสามารถฟู่อวิ๋นโจวรับหมัดของหล่างมู่ได้อย่างแน่นอนจากนั้นทั้งสองก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือดหลายสิบกระบวนท่าทำให้ผู้คนในที่นั้นต่างตกตะลึง“นี่คือองค์ชายห้าหรือ?”“ฝีมือของเขาแข็งแกร่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”“ใช่แล้ว มิใช่ว่าเขาป่วยอยู่หรอกหรือ?”ขณะที่ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ ฟู่อวิ๋นโจวก็พบจุดอ่อนของหล่างมู่แล้ว จึงเหวี่ยงหล่างมู่ลงไปกับพื้น แล้วชกเข้าที่ใบหน้าของหล่างมู่ลั่วชิงยวนรีบวิ่งเข้าไปห้าม “หยุดนะ!”ฟู่อวิ๋นโจวสะดุ้งแล้วลดมือลงหล่างมู่ลุกขึ้นยืนและกำลังจะตอบโต้ แต่ถูกลั่วชิงยวนดึงไว้“หล่างมู่แพ้แล้ว” ลั่วชิงยวนประกาศผลทันทีสายตาของนางมองฟู่อวิ๋นโจวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “ขอแสดงความยินดีกับองค์ชายห้าเพคะ”เขายังคงมิได้ใช้ชีวิตอย่างอิสระและเรียบง่าย แต่กลั