“เจ้า!” ฟู่เฉินหวนตะลึงแรง จนฝีเท้าแน่นิ่งกับที่ ลั่วชิงยวนจ่อมีดสั้นไว้ที่คอของตน อ้อนวอนขอท่านอ๋องด้วยน้ำเสียงร้องไห้ “ท่านอ๋อง ท่านปล่อยหม่อมฉันไปเถิด” “ได้โปรด หม่อมฉันผิดไปแล้ว หากท่านจะดูหน้าของหม่อมฉันจริง ๆ เช่นนั้นหม่อมฉันคงต้องตาย!” “หม่อมฉันผิดไปแล้ว หม่อมฉันมิควรแต่งงานแทน มิควรหาเรื่องท่านและลั่วเยวี่ยอิง ทุกอย่างที่หม่อมฉันเป็นอยู่ตอนนี้ หม่อมฉันสมควรทั้งนั้น!” “ท่านช่วยรักษาศักดิ์ศรีสุดท้ายของหม่อมฉันด้วยเถิดเพคะ!” ประโยคสุดท้ายลั่วชิงยวนตะโกนออกมาด้วยความสิ้นหวัง ความเจ็บปวดและการขัดขืนจากหัวใจที่แตกสลายของนาง กรีดลงที่กลางใจของฟู่เฉินหวนราวกับมีดคมทุกคำทุกประโยค นางกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? นี่ใช่ลั่วชิงยวนที่เขารู้จักหรือไม่? ฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว ฟังเสียงสะอื้นที่เต็มไปด้วยความผวา คิ้วของฟู่เฉินหวนขมวดมุ่น เสียงที่ส่งออกมาจากในห้องตำรา คนที่อยู่ภายนอกต่างได้ยิน ไม่มีผู้ใดที่มิรู้สึกตะลึง พระชายาในอดีตยโสเช่นนั้น กล้าขัดท่านอ๋อง และมิเคยยอมแพ้ ต่อให้โดนทำโทษนางก็มิเคยก้มหัว บัดนี้กลับร้องไห้อ้อนวอน กระทั่งใช้ความตายมาขู่เพียงเ
“เยี่ยมไปเลย นางสารเลวนั่นกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว! ดูท่าหน้านางคงเสียโฉมจึงทำให้นางมิกล้าพบผู้คน” เฉียงเวยพูดเสริม “ก่อนหน้านี้บ่าวได้ยินข่าวว่าที่จวนนั้นปรากฏงูจำนวนมาก พวกมันกัดลั่วชิงยวน จนร่างนางเต็มไปด้วยบาดแผล และหน้าก็เสียโฉมไปเจ้าค่ะ” เมื่อลั่วเยวี่ยอิงได้รับข่าว นางรู้สึกอารมณ์ดีเป็นที่สุด นางมองใบหน้าของตนในคันฉ่องทองแดง และกระตุกมุมปากอย่างได้ใจ “เวรกรรมไงเล่า! ทุกวันนี้หน้าของข้ายังมิหายดีเพราะนาง นี้แลกรรมตามสนองนาง” เฉียงเวยรินน้ำชา “เจ้าค่ะ ต่อจากนี้แม้นางอยู่ในตำหนักต่อ ก็มิมีผลใด ๆ ต่อคุณหนูรองแล้ว” ลั่วเยวี่ยอิงได้ใจนัก นางกระตุกมุมปากเย็น ๆ “อีกไม่กี่วันที่จวนมหาราชครูจัดงานมงคล จักมีผู้มาเยือนมากหน้าหลายตา ข้าต้องการให้นางขายขี้หน้าต่อหน้าผู้คนมากหลาย!” “ทางที่ดีคือให้ทุกคนได้เห็นใบหน้าที่แสนอัปลักษณ์ของนาง โจมตีนางจนไม่เหลือชิ้นดี และฆ่าตัวตายไปในที่สุด” เมื่อนั้นที่นางไม่ยอมแต่งกับฟู่เฉินหวน แต่ยุยงให้ลั่วชิงยวนแต่งแทน ก็เพราะลั่วชิงยวนนั้นโง่เง่าและควบคุมง่าย นางปัดความผิดเรื่องการแต่งงานให้ลั่วชิงยวน ฟู่เฉินหวนจึงจะมิโทษหรือมิเกลียดชังนาง กลับกั
สิ้นเสียงประโยคนี้ ผู้คนรอบด้านที่มุงดูก็เพิ่มมากขึ้น “จริงด้วย สถานการณ์วันนี้ เหตุใดผู้นี้จึงแต่งตัวเช่นนี้ มีอะไรให้น่าหลบซ่อนกัน?” “วันนี้เป็นวันมงคลของจวนมหาราชครู แต่งตัวเช่นนี้เสียมารยาทเกินไปหรือไม่!” ผู้คนที่มุงเข้ามา ลั่วชิงยวนต่างไม่แปลกตานัก โดยเฉพาะเว่ยอวิ๋นเซี๋ยที่ยืนนำอยู่ เมื่อก่อนเว่ยอวิ๋นเซี๋ยอยู่กับหลิวฮุ่ยเซียง และค่อนข้างสนิทกับลั่วเยวี่ยอิง ดูท่าเหตุการณ์วันนี้ ลั่วเยวี่ยอิงจะเป็นคนบงการ นางคิดจะเล่นลั่วชิงยวนให้ตาย! เว่ยอวิ๋นเซี๋ยเดินมาหยุดตรงหน้านาง และเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าเป็นใคร ถอดหมวกเดี๋ยวนี้!” “หากเจ้ามิถอด ข้าคงต้องลงมือเอง!” เว่ยอวิ๋นเซี๋ยบีบบังคับนางทีละก้าว แต่นี่เป็นจวนมหาราชครู คนที่เข้ามาได้ในวันนี้ต่างมีเทียบเชิญทั้งสิ้น และมีคนจากจวนมหาราชครูคอยตรวจสอบ ต้องให้พวกนางมาตรวจซ้ำอีกที่ไหนกัน? ขณะที่ลั่วชิงยวนกำลังจะเอ่ยปาก หางตานางกลับเห็นว่าฟู่เฉินหวนเดินมา และอยู่ในทิศไม่ไกล คิ้วของนางขมวดแน่น ในเมื่อเริ่มแสดงละครไปแล้ว นางจะหลุดมิได้เด็ดขาด เล่นละครต้องเล่นให้ครบ นางกลัวจนถอยหลังไปหลายก้าว เสียงของนางแข็งเกร็ง “นี่เป็นเรื่อ
คนรอบ ๆ ราวกับแข็งเป็นหิน ยืนนิ่งกับที่มิกล้าขยับ “ท่านอ๋อง…” ใต้เท้าผู้หนึ่งขึ้นหน้าประโลม สายตาดุดันของฟู่เฉินหวนกวาดผ่านอีกฝ่ายทีหนึ่ง ก็ทำเขากลัวจนมิกล้าออกเสียงอะไรทั้งนั้น เว่ยอวิ๋นเซี๋ยถูกบีบคอค้างไว้กลางอากาศ มือทั้งสองของนางพยายามแกะมือของฟู่เฉินหวน ส่วนขาทั้งสองดิ้นรนไปมาอยู่กลางอากาศ ภาพตรงหน้าน่ากลัวนัก ราวกับวินาทีต่อมา เว่ยอวิ๋นเซี๋ยสามารถกลายเป็นศพที่ถูกทิ้งในลานนี้ได้ทันที สายตาของฟู่เฉินหวนเยือกเย็นเหลือเกิน “กุข่าวต่อหน้าธารกำนัล ทำชื่อเสียงราชวงศ์เสื่อมเสีย ต่อให้สังหารเจ้าตอนนี้ ก็คงมิมีใครกล้าพูดสิ่งใด” ท่านเว่ยอยู่ทางทิศไม่ไกล ได้ยินเสียงเขาจึงรีบเข้ามาหา เขาคุกเข่าต่อหน้าฟู่เฉินหวนดังตุบ “ท่านอ๋อง! บุตรีกระหม่อมเพียงแต่สมองฟั่นเฟือนชั่วขณะ นางรู้ซึ้งถึงความผิดแล้ว! ท่านอ๋องโปรดไว้ชีวิตนางเถิดพ่ะย่ะค่ะ” ดวงตาของเว่ยอวิ๋นเซี๋ยแดงก่ำ เส้นเลือดบนหน้าผากนูนขึ้น สีหน้าแดงเถือก ราวกับกำลังจะขาดใจและหมดลมหายใจได้ตลอด ฟู่เฉินหวนจึงยอมปล่อยเว่ยอวิ๋นเซี๋ย เว่ยอวิ๋นเซี๋ยล้มลงบนพื้น จากนั้นจึงได้ยินเสียงอันน่าเกรงขามดังขึ้น “วันนี้เป็นมงคลของคุณหนูลั
มือที่ไพล่หลังไว้ของฟู่เฉินหวนกำหมัดอีกครั้ง นางมิได้ยินข่าวลือข้างนอกบ้างเลยหรืออย่างไร? ยังจะอยู่ในจวนมหาราชครูอีกหรือ? ฟู่เฉินหวนรู้สึกมีโทสะแล้วหันหลังเดินจากไป เมื่อลั่วชิงยวนหันกลับไปเห็นฟู่อวิ๋นโจว นางก็ปัดมือของเขาออกไป "องค์ชายห้า ขอบพระทัยในพระเมตตา แต่ท่านมิจำเป็นต้องทรงเป็นห่วงเรื่องของหม่อมฉันจริง ๆ เพคะ" นางยังมีเรื่องที่ต้องไปจัดการและมิอาจเสียเวลาไปกับเรื่องเช่นนั้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคำนึงถึงสถานะพิเศษแล้ว พวกเขาก็ต้องรักษาระยะห่างด้วย "ชิงยวน ข้าก็แค่อยากจะให้หมอกู้มาตรวจดูใบหน้าของเจ้า บางทีอาจพอรักษาได้ เจ้าจงอย่าได้ยอมแพ้เด็ดขาด" ในยามนี้เอง ลั่วหรงก็เดินผ่านมาแล้วร้องเรียก "ชิงยวน!" "ท่านอา!" เมื่อลั่วชิงยวนหันหลังไปก็เห็นลั่วหรงกำลังเดินเข้ามาหานางด้วยท่าทีตื่นเต้น ลั่วหรงคว้าแขนของนางเอาไว้ "นังหนูหายไปเสียตั้งนาน มิเกิดเรื่องอันใดขึ้นใช่หรือไม่? ไฉนเจ้าต้องสวมผ้าคลุมหน้าด้วยเล่า..." "ท่านอา ขอเชิญพูดคุยเป็นการส่วนตัวเถิดเจ้าค่ะ" ลั่วชิงยวนลดเสียงลง จากนั้นนางก็หันหน้าไปทางฟู่อวิ๋นโจวและผงกศีรษะให้เล็กน้อย เพื่อเป็นการบ่งบอกว่านางจะขอ
"หากข้ามิจัดการเรื่องแต่งงานของบุตรีทั้งสองคนเสียแต่เนิ่น ๆ เกรงว่าเมื่อข้าจากไปแล้ว วันหน้าพวกนางคงโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งพา" หลังจากลั่วหรงพูดจบก็อดมิได้ที่จะไอสองครั้ง จากนั้นก็รินน้ำชาถ้วยหนึ่งเพื่อให้ชุ่มคอ ลั่วชิงยวนสังเกตเห็นแววอ่อนล้าในดวงตาของลั่วหรง นางคิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับการเตรียมงานแต่งในระยะนี้ ทว่ายามนี้กลับดูเหมือนว่าจะมีเหตุผลอื่นเสียแล้ว "ท่านอาเจ้าคะ ขอข้าจับชีพจรท่านสักหน่อยเถิด" ลั่วหรงยิ้มพลางส่ายหน้า "ข้ารู้ตัวเองดี ขืนกังวลใจมากไปก็จะทำให้แก่เร็ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงยัยเด็กอวิ๋นสี่ที่ชวนให้อดห่วงมิได้นี่เลย" "ข้าเกรงว่าวันเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของจวนมหาราชครูกำลังหมดไปจริง ๆ แล้วข้าก็กลัวว่าจักหามีผู้ใดปกป้องเด็กสองคนนี้ได้อีก!" ลั่วหรงสีหน่าเคร่งเคร่งขรึมและเป็นกังวล เมื่อลั่วชิงยวนได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วด้วยความสับสน "วันเวลาแห่งความรุ่งโรจน์ของจวนมหาราชครูกำลังหมดไปหมายความเยี่ยงไรเจ้าคะ? หมู่นี้ก็ใช่ว่าจะเกิดเรื่องขึ้นในเรือนเสียหน่อย" ลั่วหรงยิ้มพลางตบหลังมือของนาง "ข้ารู้สึกว่าร่างกายแบกรับมิไหวอีกต่อไปแล้ว หากจัดการเรื่องการแต่งงานของบุตรข้า
ก่อนที่นางรับใช้จะทันได้พูดให้จบ ลั่วหรงก็รีบลุกพรวดด้วยความร้อนใจแล้ววิ่งออกไป ลั่วชิงยวนสวมผ้าคลุมหน้าแล้วรีบตามไป เกิดอะไรขึ้นกับท่านมหาราชครูกันแน่! นางรีบตามฝีเท้าของลั่วหรงจนมาถึงห้องตำราของท่านมหาราชครู จากนั้นก็เห็นท่านมหาราชครูกำลังนั่งเอามือกุมหน้าอกอยู่บนเก้าอี้ ราวกับว่าเขาหายใจแทบไม่ออกอยู่แล้ว น่าแปลกที่ลั่วไห่ผิงก็อยู่ตรงนั้นด้วย "ท่านลุงรอง! อดทนเอาไว้นะขอรับ ข้าจะไปตามหมอมาเดี๋ยวนี้!" ลั่วไห่ผิงเอ่ยด้วยท่าทีกระวนกระวายใจแล้วเตรียมจะวิ่งออกไปข้างนอก ลั่วหรงรีบดึงตัวเขากลับมาพลางเอ่ยน้ำเสียงขรึม "วันนี้เป็นวันมงคลของหลางหลาง ขืนท่านวิ่งออกไปด้วยท่าทีตื่นตระหนกเช่นนั้น คนข้างนอกคงได้รู้กันหมดพอดี" ลั่วไห่ผิงที่ตื่นตกใจจึงเอ่ยวาจาตำหนิขึ้นมาว่า "น้องหรง เจ้าเป็นคนกตัญญูรู้คุณเป็นที่สุด แต่มิคาดคิดว่าในช่วงเวลาเป็นตายเช่นนี้ เจ้ากลับเอาแต่สนใจงานมงคลของบุตรสาวของตัวเจ้า หากพวกเรามิไปตามหมอท่านลุงรองคงต้องตายแน่!" ลั่วหรงถลึงตามองเขาด้วยความโกรธจัด "ท่านพ่อของข้าตกอยู่ในสภาพนี้เพราะคนบางคน ท่านคิดว่าผู้ใดควรรับผิดชอบเล่า?!" เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาลั่วไห่ผิง
ท่านมหาราชครูสูดลมหายใจลึก ๆ แล้วใช้เวลาสงบสติอารมณ์อยู่สักพัก เมื่อเห็นเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของลั่วชิงยวน เขาก็เดาออกเลยว่าตอนอยู่ในตำหนักอ๋อง นางคงไม่มีชีวิตที่ดีนัก! การที่นางหายไปนานถึงเพียงนั้น เกรงว่าคงต้องทนทุกข์ไม่น้อยเลย หากเกิดเรื่องขึ้นกับจวนอัครเสนาบดี ลั่วชิงยวนย่อมต้องถูกท่านอ๋องทอดทิ้งเป็นแน่ เมื่อลั่วชิงยวนถูกลากเข้ามาพัวพัน สิ่งเดียวที่รอคอยนางอยู่ก็คือ ความตาย! ลั่วไห่ผิงมิได้รักใคร่ไยดีนางเลยสักนิด หากเขาไม่คอยดูแลนางล่ะก็ นางคงตายไปตั้งแต่เมื่อครั้งเยาว์วัยแล้ว... ท่านมหาราชครูรู้สึกปวดใจนัก แต่สุดท้ายก็กัดฟันตอบตกลง "ก็ได้ ข้าจะมอบจี้กิเลนให้เจ้า! เจ้าต้องจดจำไว้ว่า สิ่งนี้เป็นรางวัลจากจักรพรรดิองค์ก่อน มันมีความหมายกับข้ามากและมีคุณค่าในตัวเหลือคณานับ!" "วันนี้ข้าจักมอบสิ่งนี้เพื่อให้เจ้าเอาไปช่วยจวนอัครเสนาบดีของเจ้า! ข้าหวังว่าเจ้าจักจดจำบุญคุณครั้งนี้เอาไว้!" "ทำดีกับชิงยวนให้มาก ๆ หน่อย แล้วก็เลิกใช้นางมาแสวงหาผลประโยชน์ได้แล้ว!" ขณะที่ท่านมหาราชครูลั่วพูด เขาก็หยิบจี้กิเลนออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ลั่วไห่ผิง ลั่วชิงยวนผงะอึ้งไปชั่วขณะ จู่ ๆ
ฟู่เฉินหวนตกตะลึงเขาเงยหน้ามองนางด้วยความสงสัย “วันนี้ท่านเป็นอะไรไป? จะดื่มสุราแล้วต้องถามมากมายเช่นนี้?”“เหมือนสตรี...”“ท่านคงมิประสงค์จะดื่มสุราด้วยกันกับข้า จึงพยายามปฏิเสธทางอ้อมสินะ”ลั่วชิงยวนกินไปพลางตอบ “เพียงแค่ถามเท่านั้นพ่ะย่ะค่ะ”“เหตุใดท่านต้องตอบโต้เสียงดังด้วย”“ท่านมาหากระหม่อมก็เพื่อพูดคุยมิใช่หรือ?”ฟู่เฉินหวนเลิกคิ้ว พูดมิออก “ก็ใช่อยู่”เขายกถ้วยสุราขึ้นมา ลั่วชิงยวนชนจอกเหล้ากับเขาแล้วดื่มหมดจอกทั้งสองดื่มสุราจนถึงยามวิกาล พูดคุยกันทั้งคืนแต่เนื่องจากฟู่เฉินหวนมีกิจราชสำนักจึงมิได้พักค้างคืน ดื่มเสร็จแล้วจึงกลับตำหนักไปลมยามค่ำคืนพัดผ่านกายฟู่เฉินหวน ทำให้ตื่นจากอาการมึนเมาเมื่อออกจากตรอกก็รู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่าง เขาจึงหันกลับไปมองมีเงาร่างหนึ่งรีบซ่อนตัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนเย็นชาขณะขมวดคิ้วฉู่ลั่วถูกจับตามองหรือ?ฟู่เฉินหวนเดินจากไป......ยามเช้าลั่วฉิงมาที่ตรอกฉางเล่ออีกครั้ง แล้วเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งติดอยู่ที่รอยแยกของกำแพงเมื่อเปิดดูปรากฏว่าเขียนไว้ว่า คืนนี้ยามเที่ยงคืน มาพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันเถิดลั่วฉิงตกตะลึง ฉู่
เมื่อฟู่เฉินหวนได้ฟังดังนั้นก็พยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว”“แต่เหตุใดท่านเซียนฉู่จึงมิยอมรับตำแหน่งมหาปราชญ์?”ลั่วชิงยวนครุ่นคิด แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กระหม่อมรับงานมิไหวแล้ว มิอยากให้ตำแหน่งมหาปราชญ์มาขัดขวางการทำเงินของกระหม่อม”ฟู่เฉินหวนอดหัวเราะมิได้ “ท่านขัดสนเรื่องเงินหรือ?”“ข้ามิเคยได้ยินท่านพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน”ลั่วชิงยวนตอบว่า “มิขัดสน แต่กระหม่อมชอบหาเงินพ่ะย่ะค่ะ” “อืม ข้าเข้าใจแล้ว แต่จักรพรรดิก็ตรัสแล้วว่าตำแหน่งนี้จะถูกสงวนไว้ให้ท่าน เมื่อใดที่ท่านเปลี่ยนใจหรือเมื่อใดที่ท่านหาเงินได้มากพอแล้ว ก็สามารถกลับมาเป็นมหาปราชญ์ได้ทุกเมื่อ”แล้วฟู่เฉินหวนก็ส่งลั่วชิงยวนออกจากวังระหว่างทาง ลั่วชิงยวนอดมิได้ที่จะเตือนอีกครั้ง “เมื่อครู่กระหม่อมเห็นว่าพระพักตร์ขององค์จักรพรรดิมีความมัวหมอง ท่านอ๋องควรเตือนองค์จักรพรรดิให้ระวังพระวรกายจากคนรอบข้างไว้พ่ะย่ะค่ะ”ฟู่เฉินหวนสงสัย “หมายความว่าอย่างไร? มีผู้ใดจะลอบทำร้ายเขาหรือ?”ลั่วชิงยวนตอบว่า “ภัยพิบัติขององค์จักรพรรดิจะมาพร้อมกับภัยพิบัติของแคว้นเทียนเชวีย”เมื่อได้ยินดังนั้น ฟู่เฉินหวนก็เข้าใจ “ขอบคุณที่เตือน!”ที่จริงแ
“ทว่าหากฝ่าบาทมีสิ่งใดที่กระหม่อมสามารถช่วยได้ ฉู่ลั่วจะมิปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ!”“ส่วนรายละเอียดเราค่อยพูดคุยกันภายหลัง”ฟู่จิ่งหานพยักหน้า แต่ก็พูดว่า “ท่านมิต้องการเป็นมหาปราชญ์ แต่ตำแหน่งนี้ ข้ายังคงสงวนไว้ให้เป็นของท่านเสมอ! นอกจากท่านก็ไม่มีใครเหมาะสมอีกแล้ว!”ลั่วชิงยวนมิได้เอ่ยคำใดอีกผู้คนต่างก็แยกย้ายกันไปลั่วชิงยวนถูกจักรพรรดิเรียกไปยังห้องตำราจักรพรรดิถามด้วยความร้อนรน “ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติที่ท่านกล่าวว่าจะเริ่มเกิดขึ้นทางทิศใต้คือ... เมืองฉินใช่หรือไม่?”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “น่าจะเป็นเมืองฉินพ่ะย่ะค่ะ”เรื่องนี้นางได้บอกฟู่เฉินหวนแล้วเมื่อฟู่เฉินหวนที่เพิ่งเข้ามาในห้องตำราได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยลั่วชิงยวนก็บอกเขาเรื่องเมืองฉินเช่นกันทั้งสองทำนายว่าทางทิศใต้จะเกิดภัยพิบัติเหมือนกัน...นี่เป็นเรื่องบังเอิญหรือไม่?“ดูเหมือนว่าตระกูลเหยียนจะยังมิยอมแพ้! ท่านเซียนฉู่ ภัยพิบัติครั้งนี้สามารถหลีกเลี่ยงได้หรือไม่?”ลั่วชิงยวนส่ายหน้า “ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงมิได้พ่ะย่ะค่ะ”นี่เป็นครั้งที่สองที่นางทำนายเห็นได้ชัดว่ามีการส่งมือสังหารไปสังหารมหาราชาจารย์เหยีย
“คิดว่าคงเป็นเพราะท่านอาจารย์นักพรตเพิ่งมาถึงเมืองหลวง ยังมิได้มีโอกาสสืบเสาะหาชื่อเสียงของข้าในเมืองหลวง หากข้าเป็นเพียงผู้หลอกลวงต้มตุ๋น คงมีผู้คนตำหนิติเตียนข้าไปนานแล้ว”เมื่ออาจารย์นักพรตเสวียนซานได้ฟังดังนั้นก็ขมวดคิ้วดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจผิดเสียแล้วเมื่อมองดูฉู่ลั่วที่วางตัวอย่างสง่าผ่าเผยและแสดงท่าทีมั่นใจเช่นนี้ ก็รู้ว่าย่อมมีฝีมือที่แท้จริง มิใช่เพียงคนหลอกลวงพูดจาโอ้อวดครู่หนึ่งก็รู้สึกเสียใจที่มิได้สืบเสาะหาชื่อเสียงของฉู่ลั่วเสียก่อน“ที่แท้ข้าเข้าใจผิดไป ขออภัยต่อท่านเซียนฉู่ด้วย”“แต่ข้าเห็นว่าท่านเซียนฉู่มีฝีมือที่แท้จริง มิทราบว่าเรียนวิชาจากสำนักใด? เหตุใดจึงต้องใช้ชื่อของศิษย์เสวียนซานด้วยหรือ?”ลั่วชิงยวนยกยิ้มจาง แล้วกล่าวว่า “ไร้สำนักไร้พรรค”อาจารย์นักพรตเสวียนซานขมวดคิ้วแน่นด้วยความตกตะลึง แล้วกล่าวอย่างเสียดายว่า “ไร้สำนักไร้พรรค นั่นหมายความว่าเรียนวิชาลับใช่หรือไม่? ท่านเซียนฉู่ควรเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักเสวียนซาน วันนี้ได้พบกันโดยบังเอิญ ข้าปรารถนาจะรับท่านเป็นศิษย์เอก!”ผู้คนโดยรอบต่างตกตะลึง เมื่อครู่ยังหาเรื่อง บัดนี้กลับจะรับฉู่ลั่วเป็นศิษย์แล
ทุกคนต่างพากันเหลียวมองไปตามเสียงแล้วเห็นนักพรตผู้สง่างามก้าวเดินเข้ามาอย่างช้าๆรัศมีอันบริสุทธิ์ปราศจากมลทินของโลกมนุษย์แผ่พลังอำนาจอันน่าเกรงขามลั่วชิงยวนตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อเห็นเครื่องหมายบนคอเสื้อของนักพรตแล้วพูดขึ้นว่า “อาจารย์นักพรตเสวียนซาน”เครื่องหมายบนเสื้อผ้าของศิษย์แต่ละระดับของสำนักเสวียนซานจะมีสีแตกต่างกันเครื่องหมายบนคอเสื้อของคนผู้นี้เป็นสีทอง มีเพียงอาจารย์นักพรตเสวียนซานเท่านั้นที่มีสิทธิ์สวมใส่สำนักเสวียนซานที่มีระดับสูงกว่าสีม่วง ล้วนเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มิค่อยลงจากเขาใครกันที่สามารถเชิญอาจารย์นักพรตเสวียนซานมาที่นี่ได้อาจารย์นักพรตเสวียนซานฮึดฮัด “เจ้ารู้จักข้าบ้างก็ถือว่ายังดี!”“เจ้าดูมิเหมือนคนร้ายกาจ เหตุใดจึงแอบอ้างเป็นศิษย์ของสำนักข้า มาหลอกลวงในวังหลวงแคว้นเทียนเชวีย!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็เข้าใจทันทีนี่เป็นฝีมือของลั่วฉิงเหล่าขุนนางและข้าราชบริพารต่างตกตะลึง“หลอกลวงหรือ? คงมิใช่กระมัง?”“ความสามารถในการทำนายของท่านเซียนฉู่คงมิใช่ของปลอมกระมัง?”ผู้คนต่างเกิดความสงสัยจักรพรรดิกล่าวว่า “ท่านนักพรต ท่านพูดเช่นนั้นได้อย่างไร!”
ดีงูที่ทำให้ฝีมือของนางเพิ่มพูนขึ้นอย่างมากนั้น นางยังคงจำได้มิลืมเลือนน่าเสียดายที่ข้างกายซ่งเชียนฉู่มีคนผู้ทรงอานุภาพคอยคุ้มครอง นางจึงพยายามด้วยวิธีการต่างๆ แต่ก็ยังล้มเหลวการใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉู่ลั่วกับซ่งเชียนฉู่อาจจะประสบความสำเร็จ แต่ฉู่ลั่วกลับดื้อดึงมิยอมร่วมมือกับนาง!เมื่อมิสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ก็จำต้องทำลายเขาเสีย!ลั่วชิงยวนกลับไปยังลานหลังร้านซ่งเชียนฉู่ถามด้วยความสงสัยว่า “ท่านมิได้ไปแล้วหรอกหรือ? เหตุใดจึงกลับมาอีก?”ลั่วชิงยวนทำท่าให้เงียบแล้วพาส่งเฉียนฉู่กลับไปยังห้อง จากนั้นบอกเล่าเรื่องราวให้ฟังเมื่อซ่งเชียนฉู่ฟังจบก็รีบกล่าวว่า “ดูเหมือนว่านางผู้นี้จะมิปล่อยท่านไป หรือว่าท่านจะเข้าวังไปดำรงตำแหน่งมหาปราชญ์ เมื่อมีตำแหน่งนี้แล้ว นางก็จะต้องเกรงใจบ้าง”ลั่วชิงยวนไตร่ตรอง แล้วพูดว่า “มหาปราชญ์ อืม... ค่อยว่ากันอีกที”จนกระทั่งล่วงเข้ายามดึก เมื่อแน่ใจแล้วว่าลั่วฉิงจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนจึงกลับตำหนักอ๋องอย่างเงียบเชียบเมื่อกลับแล้วก็ถูกหล่างมู่ขวางทาง “พี่หญิง ท่านไปที่ใดมาขอรับ? ฟู่เฉินหวนมาหาท่านตอนค่ำ”“แล้วเจ้าบอกเขาว่าอย่างไร?”“ข้าบอกว่าพ
ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วมองหล่างมู่อย่างช่วยมิได้“หล่างมู่ เจ้ากลับไปก่อนเถิด ข้าจะไปทำธุระก่อน” ลั่วชิงยวนหันหลังวิ่งไปหล่างมู่ถือลูกถังหูลู่สองไม้วิ่งตามไปสองสามก้าว “พี่หญิง ท่านจะไปที่ใด? ไฉนมิพาข้าไปด้วยเล่า?”ลั่วชิงยวนมิได้ใส่ใจ รีบวิ่งออกจากถนนไปแล้วเมื่อไปเปลี่ยนอาภรณ์ที่หอฝูเสวี่ยแล้ว นางจึงไปที่ร้านอย่างเงียบเชียบเมื่อไปถึงลานด้านหลังก็พบกับซ่งเชียนฉู่ที่กำลังแบกตะกร้ากลับมาจากประตูหน้า ท่าทางดูรีบร้อนนัก“ท่านมาพอดี ท่านเห็นประกาศบนถนนหรือไม่? องค์จักรพรรดิจะเชิญท่านเข้าวังเพื่อแต่งตั้งท่านเป็นมหาปราชญ์!” ซ่งเชียนฉู่ส่งประกาศให้“นี่เป็นประกาศที่ติดอยู่ที่ประตูร้านเรา”“มิกี่วันที่ผ่านมา ข้าออกไปเก็บสมุนไพร พวกเขาคงจะมาหาท่าน แต่ไม่มีใครอยู่จึงติดประกาศไว้”“จะทำอย่างไรดี?”ซ่งเชียนฉู่ก็ตกตะลึงเช่นกันลั่วชิงยวนรับประกาศมาดูอีกครั้ง ในนั้นยังเขียนด้วยว่าให้นางเข้าวังหลวงเพื่อทำนายชะตาของแคว้นเทียนเชวียแล้วแต่งตั้งเป็นมหาปราชญ์ซ่งเชียนฉู่ถอนหายใจ “ข้าคิดว่าครั้งนี้ ตัวตนของท่านคงจะปกปิดมิได้แล้ว”“คอยดูกันต่อไปเถิด” ลั่วชิงยวนยังมิรู้ว่าจะบอกฟู่เฉินหวนอย่างไร
น้ำเสียงของฟู่เฉินหวนนั้นบ่งบอกชัดเจนว่ากำลังหึงหวงอยู่ลั่วชิงยวนปอกส้มแล้วป้อนให้ฟู่เฉินหวนพลางพูดอย่างอารมณ์ดีว่า “หล่างมู่มองหม่อมฉันเป็นเพียงพี่หญิงจริง ๆ เพคะ”“เขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับพี่หญิงมาตั้งแต่เด็ก แต่พี่หญิงของเขาเสียชีวิตเพราะเขา จึงเป็นบ่วงกรรมและความเสียใจตลอดชีวิตของเขา”“ต่อมาหล่างชิ่นกลายเป็นพี่หญิงของเขา เขาเชื่อฟังหล่างชิ่นทุกอย่าง แต่สุดท้ายหล่างชิ่นกลับต้องการให้เขาตาย”“หลังจากนั้นเมื่อหม่อมฉันไปยังเผ่านอกด่าน ราชาเผ่านอกด่านบอกว่าหม่อมฉันเป็นพี่หญิงของเขา ดังนั้นเขาจึงมองหม่อมฉันเป็นพี่หญิงแท้ ๆ มาโดยตลอด”เมื่อฟู่เฉินหวนได้ยินเช่นนั้นก็สงสัยยิ่งนัก “พูดตามตรงคือข้ายังคงมิเข้าใจเลยว่าเหตุใดราชาเผ่านอกด่านจึงมั่นใจว่าเจ้าเป็นลูกสาวของเขา”ลั่วชิงยวนพูดเสียงเบาว่า “ราชาเผ่านอกด่านกับลั่วไห่ผิงมีใบหน้าเหมือนกันราวกับแกะ! พวกเขาเป็นพี่น้องกันเพคะ!”“ก่อนที่ท่านแม่ของหม่อมฉันจะมาเมืองหลวงแล้วแต่งงานกับลั่วไห่ผิง นางเคยมีความสัมพันธ์กับราชาเผ่านอกด่าน แต่สุดท้ายก็มิได้ลงเอยกันจึงมาเมืองหลวงและแต่งงานกับลั่วไห่ผิงเพคะ”ฟู่เฉินหวนตกตะลึงยิ่งนักเมื่อได้ฟัง“
หล่างมู่ชกเข้าที่ใบหน้าของฟู่เฉินหวนจนฟู่เฉินหวนถอยหลังไปหลายก้าวหล่างมู่แสดงสีหน้าโกรธแค้น “ข้าขอเตือนท่านเลยว่าถ้าท่านทำเช่นนี้กับพี่หญิงของข้าอีก ข้าจะฆ่าท่านเสีย!”ฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วพลางเช็ดเลือดที่มุมปาก “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด ข้าจะพบกับนาง”“นางอยู่ที่ใด แล้วท่านเกี่ยวอะไรด้วย!” หล่างมู่แสดงสีหน้ามิพอใจ เขายังคงจำได้ว่าในวันคล้ายวันพระราชสมภพของจักรพรรดิ อ๋องผู้สำเร็จราชการยินดีที่จะมอบลั่วชิงยวนให้เขาชายคนนี้ช่างน่ารังเกียจ!เขามิเข้าใจว่าเหตุใดพี่หญิงจึงยังคงอยู่กับชายผู้นี้วันนี้กลับนิ่งเฉยมองดูคนอื่นทำร้ายพี่หญิงอย่างมิแยแสอีก!หล่างมู่มิพอใจอย่างยิ่งเมื่อทั้งสองสบตากัน ความเป็นปรปักษ์ก็ปะทุขึ้นบรรยากาศตึงเครียด ในวินาทีต่อมาดูเหมือนว่าจะต้องต่อสู้กันแน่แล้วลั่วชิงยวนเพิ่งเข้ามาในลานก็เห็นเหตุการณ์นี้ จึงรีบเข้าไปขวางไว้“พวกท่านกำลังทำอะไรกัน!”“แค่ก แค่ก แค่ก...” เมื่อนางร้อนใจก็กุมอกด้วยความเจ็บปวดสีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างมากแล้วเข้าไปพยุงนางพร้อมกัน ลั่วชิงยวนปัดมือของทั้งสองออก แล้วหันไปมองหล่างมู่ “พี่บอกเจ้าว่าอย่างไร!”ความโกรธของหล่างมู่หา