“หากคุณหนูหลิวจะโกงจริง ๆ ข้าก็คงทำอะไรท่านมิได้ แต่อย่างน้อยก็ควรหาเหตุผลดี ๆ มาใส่ร้ายข้า” พูดจบ หลิวฮุ่ยเซียงขาอ่อน ล้มพับลงพื้นอย่างรุนแรง ลั่วอวิ๋นสี่ตกใจ รีบขึ้นไปพยุงอย่างร้อนรน “พี่หลิว!” หลิวฮุ่ยเซียงราวกับวิญญาณถูกชักออกจากร่าง นัยน์ตาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น ร่างกายก็สั่นระริกอย่างควบคุมไม่ได้ รอบด้านดังเป็นเสียงซุบซิบ แต่เพราะหลิวฮุ่ยเซียงเป็นฝ่ายพูดถึงเวินซีหลานขึ้นมาก่อน ในมุมจึงมีคนเอ่ยปากพูดขึ้นเสียงเบา “ข้านึกออกแล้ว ฮูหยินก่อนหน้านี้ของฉินไป๋หลี่ ชื่อเวินซีหลาน” “แต่เวินซีหลานหนีไปกับชายอื่น หลิวฮุ่ยเซียงจึงขึ้นเป็นฮูหยินเอก หากเช่นนี้ นางจะขานเวินซีหลานว่าพี่ก็มิผิด” สิ้นประโยคนี้ จึงมีคนถามขึ้นอย่างสงสัย “หนีไปกับชายอื่นหรือ? แต่ในฝันของลั่วชิงยวนบอกนางถูกคนไม่ดีใส่ร้ายมิใช่หรือ” มุมปากของลั่วชิงยวนเผยเป็นรอยยิ้มที่สังเกตเห็นได้ยากขึ้น เป้าหมายของนางสำเร็จแล้ว เพียงแต่ไม่คิดว่า หลังจากที่เวินซีหลานเกิดเรื่อง จนถูกป้ายร้ายว่าหนีไปกับชายอื่นด้วย ใครจะรู้ นางและลูกชายถูกคร่าชีวิต คุมขังอยู่ในภาพวาดและรับความทรมานจากไฟกล้าอย่างไร้ที่สิ้นสุด นางถ
“ข้าผิดไปแล้ว! ข้าขอขออภัย หวังว่าพระชายาจะมิถือสา และให้อภัยข้าเถิด!” สิ้นประโยคนี้ หลิวฮุ่ยเซียงแทบอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตาย! นางกัดฟันมองลั่วชิงยวนอย่างคับแค้น! หากแค้นนี้มิชำระ นางก็อย่าเป็นคนเสียเลย! ท้ายที่สุดนางก็คุกเข่าโขกหัวคำนับขอการอภัย ในใจลั่วชิงยวนรู้สึกสะใจเป็นที่สุด จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องไห้แทบขาดใจของเวินซีหลาน “คุณหนูหลิวพูดจริงทำจริง” “ดังเช่นระเบียบของหอเริงรมย์ ความแค้นระหว่างเราถือว่าจบสิ้นลงแล้ว! หากหลังจากนี้คุณหนูหลิวมาหาเรื่องข้าอีก จะถือเป็นการหาเรื่องตำหนักอ๋องสำเร็จราชการ!” แววตาลั่วชิงยวนกะพริบ เห็นได้ชัดว่านางมองสิ่งที่หลิวฮุ่ยเซียงคิดในใจออก พูดจบยังมองไปทางฟู่เฉินหวนที่นั่งนิ่งอยู่อีกด้าน “ใช่หรือไม่เพคะท่านอ๋อง?“ ฟู่เฉินหวนมองลั่วชิงยวน มุมปากเขาเผยรอยยิ้มลึกซึ้ง ในใจของเขาสั่นคลอนเบา ๆ นางผู้นี้ช่างมิยอมคนเสียจริง แต่เขาก็ยังพยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว “เช่นนั้นแล” เมื่อได้สติว่าตนพูดอะไรออกจากปากไป กระทั่งตัวฟู่เฉินหวนเองยังมิอยากจะเชื่อ เขาจึงกล่าวตามน้ำต่อ “ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในหอเริงรมย์วันนี้ จบลงในหอเริงรมย์ ที่คุณหนูหลิวดูหมิ
“ใช่ เจ้าควรคืนตำลึงแก่พวกข้า!” ”คืนเงินพวกข้า!” หลิวฮุ่ยเซียงถูกประชาชนประท้วงคืนเงิน นางรู้สึกอับอายจนอยากจะหาซอกดินมุดลงไปฉับพลัน เงินหนึ่งกล่องใหญ่ ๆ ถูกยกมาวางหน้าอ๋องสำเร็จราชการ “ท่านอ๋อง นี่คือเงินที่ท่านชนะพ่ะย่ะค่ะ” ฟู่เฉินหวนยังมิทันรับ ลั่วชิงยวนก็ตัดหน้าเสียก่อน นางกระตุกมุมปาก “ขอบใจยิ่ง!” คนใช้ผู้นั้นเผยยิ้ม “พวกข้ามากกว่าที่ควรขอบคุณพระชายา!” พูดจบก็วิ่งออกไปทันที การพนันด้านนอก แท้จริงก็จัดขึ้นโดยหอเริงรมย์ นี่เป็นหนึ่งในวิธีหาเงิน และขยายชื่อเสียงเพื่อเรียกลูกค้าของพวกเขา “ลั่วชิงยวน” จู่ ๆ เสียงทุ้มต่ำของฟู่เฉินหวนดังขึ้นเบื้องหลัง แฝงความไม่พอใจเล็กน้อย แต่กลับมิได้โมโหจริง ลั่วชิงยวนหันร่าง สบเข้ากับดวงตาลึกซึ้งคู่นั้นของฟู่เฉินหวน นางกระตุกมุมปาก “ท่านอ๋อง หม่อมฉันบอกไปแล้วว่ายืม จึงถือว่าหม่อมฉันเป็นคนพนันเงิน มิใช่ท่าน!” เงินอยู่ในมือนางแล้ว ใครก็อย่าคิดแย่งไปทั้งนั้น “อีกอย่าง ท่านคงมิถือสาเงินเล็กน้อยแค่นี้กับหม่อมฉันใช่หรือไม่?” ฟู่เฉินหวนไขว้มือไว้ด้านหลัง หัวเราะเสียงต่ำทีหนึ่ง “เงินแค่นี้รึ?” ตรงหน้าอย่างน้อย ๆ ก็เป็นหมื่นตำลึงเ
“เป็นเช่นไรหรือ?” ฟู่จิ่งหานถามอย่างสงสัย “เหมือนจะไม่ได้ไร้ประโยชน์อย่างที่ล่ำลือ” เสียงฟู่เฉินหวนต่ำทุ้ม ฟู่จิ่งหานกล่าวไตร่ตรอง “มิเหมือนในคำล่ำลือ วันนี้ทำเอาข้าเปิดโลกเสียจริง!” “วันนี้ข้าอุตส่าห์ออกจากวัง ไปหอจิ่นชุนเป็นเพื่อนข้าเร็ว!” พูดจบก็ดึงตัวฟู่เฉินหวนไปทันที สีหน้าฟู่เฉินหวนย่ำแย่ “ท่านจะไปหอนางโลมหรือ? ท่านเป็น…” “เป็นอะไรกันเล่า ไปกันเถิด” ฟู่จิ่งหานกดเสียงต่ำ และดึงตัวฟู่เฉินหวนโดยบังคับ …… ลั่วชิงยวนกอดตั๋วเงินลังใหญ่กลับตำหนักมาอย่างอารมณ์ดี มองดูพระชายาที่กลับตำหนักมาด้วยสีหน้าหยาดเยิ้ม เฉียงเวยรีบไปรายงานข่าวให้กับลั่วเยวี่ยอิงทันที ลั่วชิงยวนกลับถึงตำหนัก หยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงออกมา ยื่นให้กับแม่นมเติ้ง “เจ้าหาเวลาเอาให้ซูโหยว” แม่นมเติ้งเห็นเงินตำลึงและตั๋วเงินมากมายเช่นนี้ก็นึ่งอึ้ง “พระชายาออกไปรอบเดียวได้เงินกลับมามากเพียงนี้เชียวหรือเจ้าคะ?” “ข้าหามาได้!” ลั่วชิงยวนแยกเงินตำลึงและตั๋วเงิน พร้อมนับอย่างละเอียด ทั้งหมดหนึ่งหมื่นสามพันหกร้อยตำลึง! สำหรับลั่วชิงยวนในตอนนี้ ถือเป็นทรัพย์ก้อนยักษ์ เพียงแต่ คิดถึงลั่วอวิ๋นสี่… นางจ
พูดจบ ลั่วชิงยวนจึงไปเยี่ยมลั่วหลางหลาง ลั่วหลางหลางรู้ว่านางจะมา รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จึงสั่งคนให้ไปเตรียมน้ำชาและขนมหวานทันที ”ชิงยวน!” ลั่วหลางหลางเดินเข้ามาจูงมือนางด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ลั่วชิงยวนเห็นลั่วหลางหลางใบหน้าชมพูฝาดเลือด สีหน้าค่อนข้างดี เหมือนว่าใกล้จะหายดีแล้ว “ร่างกายของพี่หลางหลางดีขึ้นแล้ว ไยถึงยังอยู่แต่ในห้องเล่า?” ลั่วชิงยวนถามอย่างสงสัย ลั่วหลางหลางกวาดตาลง “ข้า… มิได้อยากออกไปนัก” มิใช่นางมิอยากออกไป แต่นางมิกล้าออกไปต่างหาก ลั่วชิงยวนรู้อยู่แก่ใจ นางจูงมืออีกฝ่ายนั่งลง “วันนี้ข้ามีเรื่องจักมาเล่าให้ท่านพี่ฟัง” จากนั้นนางก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่ประสบในหอเริงรมย์วันนี้ ได้ยินว่าลั่วชิงยวนถูกผู้อื่นล้อขัน ลั่วหลางหลางก็ดึงแขนเสื้อไว้อย่างกังวล “พวกนางเกินไปเสียจริง!” ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ใช่ พวกนางพูดจาน่าเกลียดมาก เจ้าลองทายดูข้าทำอย่างไร?” “ทำอย่างไรหรือ?” คิ้วของลั่วหลางหลางขมวดแน่น กังวลใจเป็นอย่างมาก ลั่วชิงยวนยิ้มกล่าว “ข้าจึงเตะหลิวฮุ่ยเซียงตกน้ำ!” ลั่วหลางหลางได้ยิน รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมาก นางคิดมิถึงจริง ๆ ว่านิสัยอย่างลั่วชิงยว
เพียะ เสียงดังชัดเจน เฉียงเวยถูกตบจนอึน และยืนนิ่งอยู่กับที่ ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาดุดัน “เจ้าลองพูดอีกรอบซิ” เฉียงเวยกุมหน้าไว้อย่างอึดอัด นางร้องไห้พร้อมมองไปทางลั่วชิงยวน “พระชายารังแกผู้อื่น! เงินนี้เป็นเงินช่วยชีวิตของคุณหนูรอง! ท่านแย่งไปเช่นนี้ คุณหนูรองจะทำเช่นไร…” ลั่วชิงยวนมองลั่วเยวี่ยอิงที่ร้องไห้เสียใจอยู่อีกด้าน หัวเราะเย็นทีหนึ่ง “เงินช่วยชีวิตงั้นรึ? เจ้าก็ลองบอกมาท่านพ่อให้เจ้ามาเท่าไร ตรงกับยอดของเงินในกล่องหรือไม่?” ลั่วเยวี่ยอิงมิโง่อยู่แล้ว นางเพียงพูดสะอื้น “ข้ารู้ว่าท่านพี่ต้องการเงิน ข้าสามารถแบ่งท่านพี่ได้ครึ่งหนึ่ง แต่ท่านพี่ช่วยเหลือให้ข้าสักนิดได้หรือไม่ ข้ายังต้องรักษาหน้า” การเอาแต่ใจที่ร้องไห้เป็นอย่างเดียว ลั่วชิงยวนเห็นจนชินแล้ว บัดนี้นางรู้สึก คนอย่างหลิวฮุ่ยเซียงยังรู้จักการถกเถียง แต่ลั่วเยวี่ยอิงนั้น เอะอะก็เอาแต่ร้องไห้ ไม่มีเหตุผลแม้แต่นิด! ลั่วชิงยวนแค่เห็นท่าทีร้องไห้ของนางก็รู้สึกขยะแขยง เสียงร้องไห้นางทำแก้วหูลั่วชิงยวนแสบไปหมด นางรำคาญจนสะบัดฝ่ามือใส่หน้านาง และตบนางล้มลงบนพื้น เฉียงเวยกระโจนขึ้นไป พร้อมตะโกนสุดเสียง
ในสมองของนางสามารถนึกภาพที่เขาโมโหนาง ตักเตือนนาง เค้นถามนาง และข่มขู่นางมิให้ไปทำร้ายลั่วเยวี่ยอิงออกเลย กระทั่งบางครั้งเขาอาจลงโทษนาง เพื่อเอาคืนให้กับลั่วเยวี่ยอิง ภายในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนหลับตานึกคิด เรื่องบางเรื่อง เขาจำเป็นต้องถามให้ชัดแล้ว ท่าทีไร้ประโยชน์ของลั่วชิงยวนก่อนหน้านี้ นางแกล้งทำงั้นหรือ? ภาพวาดในวันนี้ นางวาดออกมาได้เช่นไร แล้ววันนั้นที่จู่ ๆ ลั่วเยวี่ยอิงก็เสียสติ เป็นฝีมือของนางหรือไม่? บนตัวลั่วชิงยวน มีความลับอะไรซ่อนอยู่กันแน่ ทั้งคู่คิดเรื่องที่แตกต่างจนสติหลุด จนลั่วชิงยวนมาถึงในห้องตำรา รอบด้านเต็มไปด้วยความเงียบ ลั่วชิงยวนมองเขานิ่ง ๆ “ฟู่เฉินหวน” ฟู่เฉินหวนกำลังจะเอ่ยปาก มิคิดว่าลั่วชิงยวนจะพูดขึ้นเสียก่อน ใบหน้าที่แสนนิ่งสงบของนาง พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงไม่แฝงความรู้สึก และชัดถ้อยชัดคำ “หย่าหม่อมฉันเถิด” เมื่อพูดจบ หัวใจของฟู่เฉินหวนกระตุก ราวกับมีสายฟ้าระเบิดที่กลางหัวของเขา สีหน้าของลั่วชิงยวนมิเหมือนวันก่อน ๆ นางในวันนี้ นัยน์ตามิมีโทสะ และมิมีความเจ็บใจ มีเพียงความสงบ ความสงบที่ล้ำลึก ทำคนมองอารมณ์ของนางตอนนี้ไม่ออก แต่กลับจ
”ลั่วชิงยวน ตั้งแต่ตอนที่เจ้าฝืนเข้ามาอยู่ในตำแหน่งนี้ เจ้าก็ทำอะไรตามใจอยากมิได้แล้ว”เขาพูดอย่างเด็ดขาดชัด ๆ ทีละคำ “อยากให้ข้าเขียนหนังสือหย่ารึ? ฝันไปเถอะ”หลังจากที่ได้พูดปฏิเสธไปอย่างหนักแน่นเช่นนั้น หน้าอกของเขาก็รู้สึกเจ็บปวดบีบรัด มีกลิ่นคาวของเลือดพลุ่งขึ้นมาในปากและเขาพยายามกดข่มมันเอาไว้ลั่วชิงยวนมองแววตาเด็ดขาดของเขาและรู้สึกหนาวเหน็บในใจ เขาต้องการทรมานนางจนถึงตายเลยหรืออย่างไร?นางยิ้มเย็นชา “บางครั้งข้าก็รู้สึกว่าท่านอ๋องไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล แม้ท่านจะไม่มีเหตุผลที่จะปกป้องลั่วเยวี่ยอิง แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าท่านก็แค่หลงเล่ห์ของนางเท่านั้น”“เห็นชัดว่าท่านทำให้หม่อมฉันสับสนนัก ท่านมิให้หนังสือหย่าหม่อมฉัน แต่ท่านก็ยังกักขังหม่อมฉันไว้เพราะการสลับตัวแต่งงานอย่างนั้นหรือ?”“ฟู่เฉินหวน หม่อมฉันมองท่านผิดไปจริง ๆ”นางไม่ควรมีความคิดว่าจะเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อเขาเลย เขาเป็นท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการของแคว้นเทียนเซวีย เป็นท่านอ๋องผู้ไร้ปรานีเมื่อพูดจบ ลั่วชิงยวนก็หันหลังจากไปอย่างฉุนเฉียวฟู่เฉินหวนอดกลั้นโทสะเอาไว้ในใจจนสุดท้ายไม่สามารถทนเก็บกักเลือดในปากต่อไปได้จนต้อ
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้