ในห้องขังจือเฉาขยับร่างของนักทำนายชะตาไปด้านข้าง แล้วจัดเตียงง่าย ๆ “พระชายา มานั่งพักสักนิดเถิดเจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนตรวจดูอาหารและเห็นว่าสิ่งที่สังหารนักทำนายชะตาเป็นเพียงพิษดาษดื่นธรรมดาเท่านั้นทันใดนั้นก็มีเสียงฝีเท้าดังจากนอกห้องพลันประตูห้องขังก็โดนเปิดออก แม่นมเติ้งเดินเข้ามาพร้อมอาหาร “พระชายา”เมื่อวางอาหารลงแล้วแม่นมเติ้งก็รีบมากระซิบที่ข้างหูนางว่า “พระชายา ข้าแอบไปตรวจดูแล้ว นางรับใช้หลายคนที่รูปร่างคล้ายจือเฉาต่างพิสูจน์ได้ว่าเมื่อคืนพวกนางไม่ได้ออกจากเรือนเจ้าค่ะ”“แต่มีนางรับใช้คนหนึ่งที่ท่าทางคล้ายกัน นางออกไปซื้อของตอนเย็นแล้วยังมิได้กลับเข้ามา”เมื่อได้ยินเช่นนั้น ลั่วชิงยวนก็นิ่วหน้า “หาตัวนางรับใช้นั้นให้เจอ”แม่นมเติ้งพยักหน้าและพูดอย่างจริงจังว่า “ข้าจะหาทางหาตัวนาง ท่านอ๋องเองก็คงกำลังคิดว่าจะทำเช่นไรต่อไป หากว่านางรับใช้คนนั้น…”ลั่วชิงยวนนิ่วหน้าตอบว่า “หาคนให้ได้ก่อนเถอะ”“เจ้าค่ะ” แม่นมเติ้งรับคำและรีบจากไปห้องขังถูกใส่กุญแจจากด้านนอกอีกครั้งดูเหมือนว่าตอนนี้ด้านนอกจะไม่มีใครอยู่ แต่ลั่วชิงยวนรู้ดีว่ามีองครักษ์เงาสองคนคอยเฝ้าอยู่ไม่ห่างหลังจาก
จือเฉาร้อนใจจนนางก้าวออกมาอย่างฉุนเฉียวและผลักเฉียงเวยออกไป “เจ้าพูดไร้สาระอันใดกัน? อย่ามาแตะต้องพระชายานะ”“เราต่างก็เห็นกันอยู่กับตา องค์ชายห้าเอาสัมภาระมาด้วย หากว่านี้ไม่ใช่หนีตามกันแล้วคืออันใดเล่า?” เฉียงเวยพูดเสียงแหลมอย่างประชดประชัน“ข้าไม่คิดเลยว่า หน้าตาและเรือนร่างอย่างพระชายาจะสามารถล่อลวงบุรุษได้ ขนาดองค์ชายห้ายังยอมเสี่ยงทุ่มเทเพื่อหนีตามไปกับท่าน”การหนีตามกันนั้นเป็นเรื่องใหญ่ในราชวงศ์ และจะเป็นเรื่องน่าอับอายให้โดนติฉินนินทามากสำหรับองค์ชายหากว่าเรื่องนี้แพร่ออกไปส่วนพระชายานั้นต้องโดนฝังทั้งเป็น หรือไม่ก็โดนจับถ่วงแม่น้ำเมื่อเป็นเช่นนั้นแน่นอนว่าเฉียงเวยจึงไม่มีอะไรต้องกลัวลั่วเยวี่ยอิงยิ่งยินดีเมื่อได้ยินเช่นนั้น แบบนี้ลั่วชิงยวนยังจะเอาชีวิตรอดไปได้อีกหรือ?“อย่าพูดจาไร้สาระ…” ฟู่อวิ๋นโจวเริ่มร้อนใจและไอออกมาอีกครั้งก่อนที่จะทันพูดได้จบ“ไร้สาระหรือเพคะ? เรื่องที่หม่อมฉันพูดไร้สาระตรงไหน? นี่เป็นเพราะพระชายากระทำตัวไม่เหมาะสม ก่อนหน้านี้นางก็พยายามดิ้นรนจนได้สมรสกับท่านอ๋องจนสำเร็จ วิธีการของนางนั้นช่างชั่วร้ายนัก”“ตอนนี้หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่านางล่อลวงอง
ลั่วชิงยวนไม่ได้หลบดาบเย็นเยียบนั้นชี้มาที่นาง ข่มขู่ถึงแก่ชีวิตน้ำเสียงของเขาเย็นชาเหมือนดั่งวันที่ลั่วชิงยวนตื่นขึ้นมาและพบว่าตนเป็นภรรยาของเขา น้ำเสียงที่ไร้ซึ่งอารมณ์และความอบอุ่นใด…“นั่นก็เพราะว่าโดนจับได้ก่อนหนีตามสำเร็จ”ริมฝีปากลั่วชิงยวนยกโค้งเป็นรอยยิ้มหยันตนเอง “เพราะว่าลั่วเยวี่ยอิงบังเอิญมาเห็นเข้าสินะ ดังนั้นหากว่าไม่โดนจับได้ก็คงจะหนีตามกันไปแล้วใช่หรือไม่เล่า? ช่างเถอะ ข้าไม่คิดว่าท่านอ๋องจะเชื่อข้าอยู่แล้ว”นางไม่คิดจะตามองค์ชายห้าไปจริง ๆ แต่ดูเหมือนว่าคำอธิบายนั้นจะยิ่งเหมือนคำแก้ตัวดังนั้นนางจึงหลับตาลงแล้วรอให้ดาบของฟู่เฉินหวนแทงเข้ามามือของนางกำแน่นอยู่ใต้แขนเสื้อเข็มทิศนั้นสั่นไหว เริ่มจากสั่นช้า ๆ ก่อนที่จะเร่งความเร็วขึ้นมีบางอย่างกำลังใกล้เข้ามาเมื่อเห็นว่าลั่วชิงยวนเจตนาจะหลับตาลง แววตานิ่งไร้อารมณ์ของฟู่เฉินหวนก็มีประกายบางอย่างพาดผ่านชั่วแวบ ดาบนั้นก็ยังคงไม่ขยับ“ท่านอ๋อง…” เมื่อได้เห็นว่าฟู่เฉินหวนชักช้าไม่ลงมือ ลั่วเยวี่ยอิงก็อดไม่ได้ที่จะเตือนเขาแต่นางไม่กล้าที่จะพูดอะไรมาก เพราะห่วงว่าตนจะทิ้งภาพที่ไม่ดีในสายตาของท่านอ๋องจือเฉาคุ
แต่ในวันที่สองของการแต่งงานเข้ามาแทน นางก็แสร้งทำจะเป็นจะตายให้เขาดูตอนนี้ลั่วเยวี่ยอิงเองก็ตื่นตระหนกไม่ใช่เพราะว่าลั่วชิงยวนนั้นหาที่ตาย แต่ว่านางได้ยินความร้อนรนในน้ำเสียงของท่านอ๋องเห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากให้ลั่วชิงยวนตายนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ท่าทีของท่านอ๋องที่มีต่อลั่วชิงยวนเห็นได้ชัดว่าเปลี่ยนไป เพียงแต่ท่านอ๋องนั้นไม่รู้ตัว หรือไม่ก็ไม่ยอมรับ“ท่านอ๋อง…” ลั่วเยวี่ยอิงพูดอย่างระแวดระวัง อยากจะเตือนท่านอ๋องว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พระชายารนหาที่ตายแต่ตอนนั้นเปลือกตาของลั่วชิงยวนก็ปิดลง นางหมดสติไปแล้วฟู่เฉินหวนดูร้อนใจมากและอุ้มลั่วชิงยวนเดินออกไป “ไปตามท่านหมอกู้มา”จือเฉารีบวิ่งตามไปลั่วเยวี่ยอิงยืนค้างอยู่ตรงนั้น นางและเฉียงเวยมองพวกเขาเดินจากไป นางกัดฟันแน่นอย่างเกลียดชัง“เหตุใดกัน? ท่านอ๋องถึงไม่อยากให้นางตาย? เพราะเหตุใดกัน?”ลั่วเยวี่ยอิงคิดไม่ออกว่า เหตุใดทั้งท่านอ๋องและองค์ชายห้าถึงได้ปฏิบัติกับลั่วชิงยวนต่างออกไปทั้งที่นางน่าเกลียดราวกับสุกรเฉียงเวยอยากจะพูดบางอย่าง แต่เพราะขากรรไกรที่หลุดนั้นเจ็บปวดมากจนนางได้แต่ร้องไห้ นางจึงไม่ได้สนใจอะไรลั่วเยว
”เจ้าตอบแทนผู้ช่วยชีวิตเช่นนี้หรือ?”สายตาลึกล้ำสงบนิ่งนั้นเหมือนจะมองทะลุทุกสิ่ง ทำให้เงาที่ลอยอยู่ในอากาศนั้นตัวแข็งทื่อ และมือที่เกาะกุมลำคอลั่วชิงยวนแน่นก็คลายลง“ท่านเห็นข้าหรือ?” น้ำเสียงแหบพร่าของนางเต็มไปด้วยความสับสนมุมปากลั่วชิงยวนยกขึ้นเล็กน้อย “ข้าช่วยเจ้าออกมาจากภาพวาด แน่นอนว่าข้ามองเห็นเจ้า”เมื่อได้ยินเช่นนี้ดวงตาสตรีชุดแดงก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง นางถามด้วยเสียงแหบพร่า “แล้วเหตุใดท่านต้องช่วยมันด้วย คนชั่วผู้นั้นทำร้ายข้าและลูก”ตอนนี้เองที่ลั่วชิงยวนเข้าใจว่า เหตุใดสตรีชุดแดงจึงอย่างฆ่านางและฟู่เฉินหวนเพราะว่าพวกเขาช่วยนักทำนายชะตามาไม่แปลกใจที่นักทำนายชะตามั่นใจมากว่าตนต้องตาย แม้ว่าจะไม่โดนผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังฆ่า เขาก็ต้องตายด้วยน้ำมือแม่ลูกคู่นี้นี่เป็นสิ่งที่กรรมชั่วสนองเขา ตอนนี้วิญญาณแม่ลูกนี้เต็มไปด้วยความเกลียดชังและเจตนาสังหาร ดังนั้นจึงรับมือได้ไม่ง่าย“แต่เขาก็ตายอยู่ดี” ลั่วชิงยวนตอบหลังจากได้ยินเช่นนี้ สตรีชุดแดงยิ่งคลุ้มคลั่ง แววตาของนางแดงฉานและกรีดร้องว่า “มันตายแล้ว ข้าจะไปแก้แค้นกับผู้ใดกัน มันทรมานข้ามาห้าปี แล้วข้าจะไปทวงความแค
ยามนั้นสตรีชุดแดงรู้สึกได้ถึงพลังที่กดข่ม นางมิอาจสู้สตรีตรงหน้าได้ นางไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากร้องขอความเมตตาลั่วชิงยวนพูดเสียงเย็น “เจ้ามีความอาฆาตแค้นมากเกินไป ข้าจะช่วยสลายและช่วยให้เจ้าได้ไปเกิดใหม่”เมื่อได้ยินเช่นนั้นสตรีชุดแดงก็ตะลึง จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง “ข้าไม่ต้องการจะไปเกิดใหม่ ข้าไม่ต้องการ… ได้โปรดปล่อยพวกเราไปเถอะ”สตรีชุดแดงอ้อนวอน นางคุกเข่าขอร้องอย่างสิ้นหวัง“เพราะเหตุใดเล่า?” ลั่วชิงยวนแปลกใจสตรีชุดแดงคุกเข่าอยู่กับพื้น นางร้องไห้สะอึกสะอื้น “ข้าไม่เต็มใจรับ ข้าโดนหลอกให้จากบ้านมาแล้วลูกชายของข้าก็โดนคนชั่วสังหารพร้อมข้า”“แต่สามีของข้าโดนเจ้าคนชั่วนั่นหลอก เขาคิดมาตลอดว่า ข้านั้นเป็นคนหนีจากบ้านมาเองด้วยโทสะ เขานั้นทั้งรู้สึกผิด ทั้งเสียใจจนดื่มสุราเมามายทั้งวัน”“และนางหญิงผู้นั้นที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับข้า ก็หาทางเข้าสู่อ้อมกอดเขาแล้วหลอกลวงเขา เขารักใคร่นางนัก…”“ข้าไม่… ข้าไม่เต็มใจ”สตรีชุดแดงร้องไห้อย่างขมขื่นและเด็กที่อยู่ข้างกายนางก็เริ่มร้องไห้ พยายามที่จะกอดแม่ของเขาไว้ “ท่านแม่…”เมื่อได้ยินเช่นนี้ลั่วชิงยวนก็รู้สึกสงสารและไม
ดึกสงัดในราตรีนั้น สายลมก็พัดเย็นเยียบ ลั่วชิงยวนมีแม่นมเติ้งประคองเดินออกมาสูดอากาศด้านนอกแต่ตอนนั้นที่เรือนหัวถิงมีลมกระโชกแรงลั่วเยวี่ยอิงที่นั่งอยู่หน้ากระจกทองเหลืองกำลังทายาอย่างระมัดระวัง นางมองใบหน้าของตนในกระจกอย่างกังวลเมื่อไรที่แผลบนหน้าจะดีขึ้น?ทันใดนั้นลมก็โหมพัดหน้าต่างเปิดออก พาเอาฝุ่นและใบไม้มากมายเข้ามาในห้องลั่วเยวี่ยอิงตกใจและรีบยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยแขนเสื้อ แต่นางก็โดนละอองฝุ่นพัดใส่จนลืมตาไม่ขึ้น“เฉียงเวย นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”เฉียงเวยรีบวิ่งเข้ามาปิดหน้าต่าง แต่มันก็โดนลมกระโชกพัดจนเปิดอีกรอบหลังจากที่ปิดไปแล้วครั้งแล้วครั้งเล่าลมแรงนั้นพัดใบไม้สั่นไหวเสียงดัง และกลิ่นก็แปลกพิกลครั้งสุดท้ายที่เฉียงเวยปิดประตู มันก็โดนลมแรงพัดจนเปิดออก เฉียงเวยโดนประตูกระแทกจนล้มใส่โต๊ะอย่างแรงและหมดสติไปตึง ตึง ตึงประตูหน้าต่างเปิดปิดไม่หยุด และเสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อย ๆ ลั่วเยวี่ยอิงนั้นหวาดกลัวมากจนนางทรุดตัวลงหลบกับพื้น ขนลุกชันทั่วร่างนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเจอเรื่องแบบนี้นางนั้นหวาดกลัวมาก คิดว่าหากนางหลบซ่อนตัวก็คงไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ตอนนั้นเองนางก็
แม่นมเติ้งตกใจมาก “พระชายาน่าทึ่งมาก นางทำให้คุณหนูรองลั่วพูดความจริงออกมาได้ ท่านอ๋องต้องทรงได้ยินแน่เจ้าค่ะ”ลั่วชิงยวนหรี่ตาเล็กน้อย นางยกยิ้มมุมปากมองไปทางตำหนักที่ยังมีแสงไฟอยู่ ก่อนพูดเบา ๆ “แน่นอนว่าต้องได้ยิน”“แต่คงบอกยากว่า เมื่อได้ยินแล้วทีท่าจะเป็นเช่นไร”แม่นมเติ้งพูดอย่างยินดี “หากท่านอ๋องทรงทราบว่า คุณหนูรองลั่วมิได้อ่อนหวานเหมือนฉากหน้า แต่ที่จริงนางโหดเหี้ยมชั่วร้ายนัก เขาต้องไม่ปฏิบัติกับนางเหมือนเดิมแน่เจ้าค่ะ”ที่จริงช่วงหลังมานี้ท่านอ๋องหลบหน้าคุณหนูรองลั่ว และท่าทีของเขาก็เปลี่ยนไป พอตอนนี้เมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว ท่านอ๋องจะต้องไม่ยอมรับคุณหนูรองลั่วแน่จู่ ๆ ประตูตำหนักก็เปิดออก และฟู่เฉินหวนก็เดินหน้าโกรธขึ้งออกมาเมื่อเขาเห็นลั่วเยวี่ยอิงอยู่ไม่ไกลดูตื่นตระหนก นางไม่รู้ถึงการมาของเขาเลยแม้แต่น้อยเมื่อลั่วชิงยวนเห็นเช่นนั้น นางก็ยกมือปิดปากและบอกว่า “เจ้าคิดวิธีนี้เพื่อจัดการกับลั่วชิงยวนเช่นนั้นรึ? เจ้าร่วมมือกับลั่วชิงยวนทำร้ายข้างั้นรึ?”ตอนนั้นในสายตาของลั่วเยวี่ยอิง คำพูดเหล่านี้ล้วนออกมาจากปากของเมิ่งจินอวี่ลั่วเยวี่ยอิงรีบอธิบาย “ข้าเปล่านะ ข้า
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้
ตามแผนที่นั้น ลั่วชิงยวนนำทางพวกเขาอ้อมไปอ้อมมา ในที่สุดก็มาถึงถ้ำที่โหยวเซียงผลักนางลงไปเนื่องจากก่อนหน้านี้โหยวเซียงนำคนมาไล่ตามพวกนางจากด้านล่าง ด้านบนจึงไม่มีสิ่งใดปิดบังแล้วและบนผนังหินก็มีเถาวัลย์ยาวห้อยลงมาด้วยเมื่อลองดึงเถาวัลย์นั้นก็พบว่าแข็งแรงมาก“ไปกันเถอะ”คนใบ้ยังคงเดินนำหน้า เขาจับเถาวัลย์ปีนขึ้นไปเมื่อขึ้นไปถึงด้านบนแล้วลั่วชิงยวนก็ปีนตามไปสุดท้ายก็ดึงโฉวสือชีขึ้นไปทัศนวิสัยเบื้องหน้าพลันสว่างและกว้างขึ้นลั่วชิงยวนมองไปที่คนใบ้ “ยามนั้นเจ้าถูกลากตัวมาที่นี่หรือ?”คนใบ้พยักหน้าโฉวสือชีกล่าวว่า “ข้าก็เหมือนจะเคยมาที่นี่เช่นกัน รู้สึกว่าที่นี่มีพลังหยินเข้มข้นนัก”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ถูกต้อง ก็ที่นี่แหละ”นี่คือจุดหมายที่สองของพวกเขาลั่วชิงยวนทำได้เพียงค้นหาไปทีละแห่ง ตามตำแหน่งที่อยู่ใกล้พวกนางมากที่สุดนางหยิบเข็มทิศอาณัติสวรรค์ออกมาเริ่มค้นหาตำแหน่งที่แน่นอนทั้งสามถือโอกาสพักผ่อนในป่าสักครู่และหาอะไรกินเพื่อเติมพลังยามนี้ก็บ่ายแล้ว เห็นได้ชัดว่าฟ้าใกล้จะมืดลง ทั้งสามจึงออกเดินทางต่ออีกครั้งจนได้พบถ้ำแห่งหนึ่งด้านนอกถูกปกคลุมไปด้วยพุ่มไม้หนา เ
ทั้งสามรีบวิ่งหนีไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วในมิช้า โหยวเซียงและต่งอวิ๋นซิ่วก็นำผู้คนจำนวนมากมาถึงที่นี่อย่างรีบร้อนแต่เมื่อทั้งคณะพุ่งเข้าไปในถ้ำ กลับพบว่าสิ่งนั้นหายไปแล้ว!สีหน้าของต่งอวิ๋นซิ่วเปลี่ยนไป นางตวาดเสียงดัง “ตามหาให้ทั่ว!”“ข้ามิเชื่อหรอกว่าจะยังมีใครที่เดินเหินไปมาอย่างอิสระในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ได้!”ยามนี้ลั่วชิงยวนมีแผนที่อยู่ในมือ นางสามารถเดินไปไหนมาไหนในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ได้อย่างอิสระจริง ๆนางถึงขนาดรู้ทุกซอกทุกมุมในเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ดีกว่าต่งอวิ๋นซิ่วและพรรคพวกด้วยซ้ำเพราะนั่นคือแผนที่ที่อวี๋ตันเฟิ่งวาดให้นาง ซึ่งละเอียดลออยิ่งส่วนพวกต่งอวิ๋นซิ่ว ท้ายที่สุดแล้วความทุ่มเทที่พวกนางมีต่อเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ย่อมมิอาจเทียบกับอวี๋ตันเฟิ่งได้ ความเข้าใจที่พวกนางมีจึงด้อยกว่าอวี๋ตันเฟิ่งลั่วชิงยวนเดินตามแผนที่ มิได้วิ่งหนีเข้าไปในหน้าผาหากไปในเส้นทางนั้นก็อาจถูกตามทันได้ขณะที่วิ่งหนี ลั่วชิงยวนก็แหงนหน้ามองตามผนังหินไปด้วยในที่สุดก็พบทางเข้าถ้ำแห่งหนึ่งแม้จะสูงไปสักหน่อยแต่ทางขึ้นไปก็มิได้ชันมาก ปีนป่ายขึ้นไปก็ได้แล้ว“ปีนขึ้นไปทางนั้น!”เมื่อ