โฉวสือชีพยักหน้าจากนั้นลั่วชิงยวนก็รีบไปเตรียมของบางอย่างจนกระทั่งฟ้ามืดคณะเดินทางก็เริ่มออกเดินทางทุกคนรู้ดีว่าการเดินทางครั้งนี้อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้แต่พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก เพราะในเมื่อเชื่อมั่นในตัวลั่วชิงยวนแล้วก็จะยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อนางเพื่อตนเองและเพื่อญาติมิตรในหุบเขาทาสทุกคนคณะเดินทางควบม้าออกเดินทาง เดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยมิหยุดพักสามวันต่อมาก็มาถึงเชิงเขาเมืองแห่งภูตผีหลายคนลงจากม้า มองป่าเขาที่ปกคลุมไปด้วยม่านหมอกที่ดูลึกลับราวกับมิเคยมีผู้ใดเหยียบย่างเข้าไปแฝงไว้ด้วยความหวาดกลัวที่มิอาจหยั่งรู้ลั่วชิงยวนเดินทางมาหลายวัน ใบหน้าของนางซีดเซียวเล็กน้อย โฉวสือชีช่วยประคองนางลงจากม้า“คืนนี้พักผ่อนที่เชิงเขาหนึ่งราตรี วันพรุ่งค่อยขึ้นเขา พักผ่อนให้เต็มที่”“ได้”ทุกคนก่อกองไฟพักผ่อนกันอยู่ตรงนั้น แล้วนำอาหารออกมาแบ่งกันกินหงไห่หัวเราะ แล้วกล่าวว่า “หลายปีมานี้ข้าไปมาแล้วทุกที่ กระทั่งค่ายทาสก็เคยเข้าไปมากกว่าหนึ่งครั้ง”“ก็มีแต่เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ที่ยังมิเคยเยือน พอดีคราวนี้ได้บุกเข้ามา มิว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไรก็จะได้จารึกชื่อสิบมหาโจรของพวกเ
จู่ ๆ ลั่วชิงยวนก็รู้สึกหนาวเย็นลงไปถึงกระดูกสันหลัง และคิดว่าตัวเองยังคงฝันอยู่นางหยิกตนเองหลายครั้งเพื่อให้แน่ใจว่านี่มิใช่ความฝันทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้านางคือความจริง!และยามนี้ทุกคนหายไปหมดแล้ว เหลือเพียงนางผู้เดียว!พวกเขาอยู่ที่ใด?กองไฟดับไปนานแล้ว กระทั่งบนพื้นก็ไม่มีร่องรอยใดหลงเหลือ มองมิเห็นอะไรทั้งสิ้นลั่วชิงยวนลุกขึ้นยืน พบว่าบนร่างของนางมีเสื้อคลุมของโฉวสือชีคลุมไว้“โฉวสือชี!”“หงไห่!”ลั่วชิงยวนมองหาพวกเขารอบด้าน สิ่งที่ตอบกลับนางกลับมีเพียงความเงียบสงัดพวกเขาจะมิหนีไปเพราะกลัวตายแน่นอน ต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่!แต่เหตุใดนางจึงมิเป็นอะไร?นางรออยู่ที่เดิมครู่หนึ่ง รอจนแสงแห่งรุ่งอรุณปรากฏ โฉวสือชีและคนอื่น ๆ ก็ยังมิกลับมาลั่วชิงยวนลุกขึ้นยืน มองไปยังภูเขาที่ปกคลุมไปด้วยหมอกหนาทึบเมืองแห่งภูตผีคิดว่าตอนนี้เท้าของพวกเขาคงเหยียบอยู่บนแผ่นดินของเมืองแห่งภูตผีแล้วดังนั้นจึงได้เกิดเรื่องขึ้นกับสิบมหาโจรลั่วชิงยวนก็ออกเดินทางขึ้นเขาในทันทีถึงแม้จะเป็นการไปเพียงลำพังก็ตามขณะขึ้นเขา ลั่วชิงยวนก็กลืนยาหนึ่งเม็ดเพื่อให้ตนเองตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา
“เจ้าจะไปด้วยกันหรือไม่? การเดินขึ้นภูเขามิใช่เรื่องง่ายสำหรับสตรี การมีใครสักคนไปด้วยจะปลอดภัยกว่า”สิบกว่าคนหรือ?คนเหล่านี้อยู่รวมกันหมดเลยหรือ?หรือว่าทุกคนมารวมตัวกันอยู่ในหมู่บ้านนี้?พวกโฉวสือชีจะอยู่ที่นั่นด้วยหรือไม่?เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลั่วชิงยวนก็ตอบตกลง “ได้ ข้าจะไปกับเจ้า ถือโอกาสส่งเจ้ากลับด้วย”ดูจากท้องของซูเซียงแล้ว อย่างน้อยก็เจ็ดแปดเดือน มิใช่เรื่องง่ายเลยที่นางจะขึ้นภูเขามาด้วยท้องใหญ่ถึงเพียงนี้เดิมทีลั่วชิงยวนคิดจะเกลี้ยกล่อมว่าบนภูเขานี้มิใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะมาได้แต่เมื่อคิดอีกทีเหตุผลที่เมืองแห่งภูตผีถูกเรียกว่าเมืองแห่งภูตผี ก็เพราะเมื่อขึ้นเขาแล้วจะมิสามารถบอกได้เลยว่าทุกคนที่พบนั้นเป็นมนุษย์หรือภูตผีกอปรกับเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้คนต่างหวาดกลัวแต่หลายปีมานี้ ผู้คนมิรู้ว่าบนภูเขาเมืองแห่งภูตผีมีอะไร ดังนั้นยังคงมีผู้คนจำนวนมากขึ้นไปบนภูเขาแห่งนี้บางคนก็เพื่อยา บางคนก็เพื่อทรัพย์สมบัติแต่ละคนต่างมีสิ่งที่ต้องการลั่วชิงยวนนำสมุนไพรออกมามอบให้ซูเซียง ให้นางกลับไปต้มดื่มเพื่อช่วยบำรุงครรภ์ซูเซียงก็รู้สึกขอบคุณมา
ซูเซียงพูดด้วยรอยยิ้ม “มัวอึ้งอะไรอยู่ รีบกินเถิด”“ที่นี่ขาดแคลนอาหาร อย่าได้สิ้นเปลืองเลย”ลั่วชิงยวนพยักหน้า แล้วกล่าวว่า “ยามนี้ข้ายังมิค่อยหิว เดี๋ยวหิวแล้วข้าค่อยกินแล้วกัน จะได้ประหยัดด้วย”ซูเซียงมิได้สังเกตเห็นความระแวดระวังของลั่วชิงยวนในยามนี้ เพียงแค่กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ได้สิ เพียงแต่ยามค่ำคืนก็จงเข้านอนแต่หัววัน”“อย่าได้ออกจากหมู่บ้านในยามาราตรีเด็ดขาด!”ซูเซียงขยับเข้ามาใกล้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังลั่วชิงยวนตกตะลึง “เหตุใด?”“อย่าถามเลย อย่างไรก็ฟังข้าเถิด ยามค่ำคืนอย่าออกไปข้างนอกและอย่าออกจากหมู่บ้านเด็ดขาด! มิเช่นนั้นจะเกิดเรื่องเลวร้ายขึ้น!”กล่าวจบ ซูเซียงก็มองแสงจันทร์นอกหน้าต่าง ดูเหมือนจะตระหนักได้ว่ายามนี้ค่ำแล้ว จึงรีบบอกลา แล้วลุกขึ้นเดินออกไปลั่วชิงยวนยืนอยู่ที่หน้าต่าง มองซูเซียงรีบเดินกลับไปยังเรือนของตนอย่างรวดเร็วภายใต้แสงจันทร์นั้นเห็นได้ชัดว่านางมีเงาแสดงว่านางเป็นมนุษย์แล้วเหตุใดบนกระดาษแผ่นนั้นจึงบอกว่านางมิใช่มนุษย์?หรือว่าเนื้อหาบนกระดาษแผ่นนั้นมีความหมายอื่นซ่อนอยู่?นางกลับไปยังโต๊ะ แล้วตรวจสอบอาหารอีกครั้งทันใดนั้นเอง บน
ถึงแม้จะมีปัญหาก็ตาม นางก็อยากจะดูว่าซูเซียงต้องการทำอะไรแท้จริงแล้วหมู่บ้านนี้คืออะไรกันแน่เมื่อเทียบกับการกินอาหารเหล่านี้ การออกจากหมู่บ้านโดยพลการอาจจะมีอันตรายมากกว่าหลังจากกินอาหารเสร็จ ลั่วชิงยวนก็รู้สึกมึนงงเล็กน้อยนางฟุบหน้าลงบนโต๊ะ แล้วหลับไปแต่เพราะฤทธิ์ยาไม่มีผลต่อนางมากนักจึงมิได้หมดสติไปราว ๆ ยามจื่อ เสียงอุทานตกใจจากด้านนอกดังขึ้น ปลุกให้ลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่นนางรีบลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างแล้วแง้มออกเพียงเล็กน้อยเพื่อมองออกไปหมู่บ้านที่ถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดเงียบสงัดอย่างน่าประหลาด แม้แต่เสียงลมยังฟังดูเหมือนเสียงหัวเราะที่ลานด้านหน้ามีชายเตี้ยรูปร่างผอมคนหนึ่ง ดวงตาโบ๋ลึกราวกับโครงกระดูก ขอบตาดำคล้ำ ทำให้ดวงตาคู่นั้นดูใหญ่เป็นพิเศษบนใบหน้าที่ซูบผอมนั้นดูประหลาดคนที่ล้มลงบนพื้นตรงหน้าเขาคือซูเซียงชายผู้นั้นเพิ่งตบหน้าซูเซียงซูเซียงรีบเอ่ยปาก “ท่านมีฉีเสวี่ยเวยแล้วมิใช่หรือ”ชายผอมเตี้ยคนนั้นมองซูเซียงด้วยสายตาหื่นกระหาย “วันนี้ข้าอยากจะลิ้มลองของใหม่”เขากล่าวพลางเลียริมฝีปาก แล้วคว้าตัวซูเซียง ฉีกคอเสื้อของนางอย่างแรงซูเซียงตื่นตระหนก “อย่า
ลั่วชิงยวนกำมือแน่นด้วยความวิตกกังวลในขณะที่นางกำลังจะลงมือโจมตีอย่างรุนแรงทันใดนั้น เงาร่างสีดำก็เหาะลงมากระชากตัวฝูเหมิ่งออกไปแล้วยืนขวางอยู่ตรงหน้าลั่วชิงยวนใต้แสงจันทร์ แสงที่สะท้อนจากหน้ากากนั้นทำให้ลั่วชิงยวนใจหายวาบเขานั่นเอง!เขาถึงกับมาเมืองแห่งภูตผี!การต่อสู้ของลั่วชิงยวนและฝูเหมิ่งดึงดูดให้ผู้คนออกมาดูมากมายยามนี้ผู้คนที่มามุงดูก็ยิ่งมากขึ้นในดวงตาของฝูเหมิ่งเต็มไปด้วยเจตนามุ่งสังหาร “กำลังคิดว่าคนมามากขึ้นเรื่อย ๆ อาหารน้อยลงทุกที ในเมื่อเจ้าเอาชีวิตมาส่งถึงที่ ข้าก็จะสนองให้!”ยามนี้ฉีเสวี่ยเวยเอนตัวพิงขอบประตู กอดอกแล้วตะโกนว่า “คนใบ้ผู้นั้น อย่าได้ยุ่งเรื่องชาวบ้าน”“ถึงแม้แม่นางผู้นั้นจะงดงาม แต่ก็ต้องผลัดเปลี่ยนกันมิใช่หรือ?”สายตาเย็นชาของฉีเสวี่ยเวยมองลั่วชิงยวน ในดวงตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว เหตุใดฉีเสวี่ยเวยจึงมีความเป็นศัตรูกับนางมากมายถึงเพียงนี้ชายสวมหน้ากากตรงหน้ากลับมิถอยหนีแม้แต่ก้าวเดียวร่างของเขาผอมบาง ดูมิค่อยแข็งแรง แต่ในบัดนี้เขากลับดูน่าเกรงขามนัก และมิยอมถอยแม้แต่น้อยลั่วชิงยวนรู้สึกสงสัยว่าชายผู้นี้เป็นใคร
“ขอบคุณ”มือของชายสวมหน้ากากค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ ลดมือลงซูเซียงรีบเข้ามาดึงลั่วชิงยวนเข้าไปในเรือนลั่วชิงยวนหันกลับไปมองบุรุษผู้นั้นบุรุษผู้นั้นทำท่าทางชี้ไปยังพื้นดินใต้ฝ่าเท้า เป็นเชิงบอกว่าเช้าวันพรุ่งจะมารอที่นี่ลั่วชิงยวนพยักหน้าเมื่อกลับเข้าเรือนแล้วซูเซียงก็รีบปิดประตูทันทีที่นั่งลง นางก็ยกมือกุมท้องด้วยสีหน้าเจ็บปวดลั่วชิงยวนรีบจับชีพจรให้นาง “เป็นกระไร?”ซูเซียงส่ายหน้า “มิเป็นอะไร เพียงแต่ตื่นตระหนกเกินไปจึงเจ็บเล็กน้อย มิเป็นอะไรร้ายแรง”ลั่วชิงยวนส่ายหน้าอย่างจนใจ “เจ้าตั้งครรภ์ มิควรขึ้นเขามาเลย ที่นี่อันตรายเกินไป”ซูเซียงกลับยังมีรอยยิ้ม “แล้วเจ้าเล่า สตรีที่อ่อนแอเช่นเจ้าขึ้นเขามาทำกระไร?”ลั่วชิงยวนนิ่งเงียบอันที่จริงนางมีสหายอีกแปดคน แต่ยามนี้มิรู้ว่าพวกเขาไปอยู่ที่ใด“เราทุกคนต่างมีจุดมุ่งหมายของตัวเอง และผู้คนในที่นี้ก็เช่นกัน”“ไม่มีผู้ใดยอมแพ้ง่าย ๆ แต่พวกเราถูกกักขังอยู่ที่นี่ มิสามารถขึ้นเขาไปได้อีก อาหารก็เหลือน้อยลงทุกที”ลั่วชิงยวนได้รู้ว่าอาหารของพวกเขานั้นนอกจากผักป่าแล้วส่วนใหญ่ได้มาจากการล่าสัตว์แต่พวกเขาถูกกักขัง
จากนั้นฉีเสวี่ยเวยก็ออกจากห้องไปลั่วชิงยวนนั่งลงบนเตียงและดึงอาภรณ์ออกเผยให้เห็นบาดแผลที่หัวไหล่ นางหยิบสมุนไพรที่เก็บมาทาลงบนบาดแผลเพื่อห้ามเลือดอย่างง่าย ๆ โชคดีที่บาดแผลมิลึกทันใดนั้นเอง ลั่วชิงยวนก็รู้สึกได้ถึงสายตาเย็นชานางเงยหน้าขึ้นมองในทันทีจึงเห็นว่าหน้าต่างถูกเปิดออกตั้งแต่เมื่อใดมิรู้ และมีดวงตาคู่หนึ่งกำลังจ้องมองนางผ่านรอยแยกของหน้าต่างลั่วชิงยวนขมวดคิ้ว รีบดึงคอเสื้อขึ้นแล้วมองไปที่หน้าต่างด้วยความระแวดระวังคนผู้นั้นคือฝูเหมิ่ง!เมื่อเป้าหมายรู้ตัวแล้ว ฝูเหมิ่งก็มิได้หลบ กลับเปิดหน้าต่างออกอย่างมิเกรงกลัวเขาอมยิ้มอย่างหยาบคาย ใช้สายตาลามกจ้องมองนางสายตาดุดันของลั่วชิงยวนจ้องมองเขาฝูเหมิ่งจ้องมองนางเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง มิได้เอ่ยคำใด แต่สายตาและรอยยิ้มนั้นก็บ่งบอกทุกสิ่งเขาจะต้องทำให้ลั่วชิงยวนเป็นเหยื่อของเขาให้ได้!หลังจากฝูเหมิ่งจากไปแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเดินไปปิดหน้าต่างให้สนิทลั่วชิงยวนนอนลงบนเตียงก็มิอาจหลับลงได้ มักจะอดมิได้ที่จะมองไปยังประตูและหน้าต่างเมื่อนึกถึงฝูเหมิ่งที่แอบจ้องมองนางก็รู้สึกขยะแขยงนางจึงลุกขึ้นจัดเตรียมสมุนไพรที่เก็บม
“เจ้ารีบอะไรนักหนา รอมาตั้งนานแล้ว รออีกสักหน่อยจะเป็นกระไร”เมื่อได้ยินดังนั้น อวี๋ตันเฟิ่งก็หยุดมือลั่วชิงยวนเดินเข้าไปคว้าตัวโหยวเซียงไว้ให้โฉวสือชีมัดนางไว้แน่นหนา จากนั้นจึงปลุกโหยวเซียงให้ฟื้นขึ้นมาเมื่อฟื้นคืนสติ โหยวเซียงก็จ้องหน้าลั่วชิงยวนเขม็งอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าจับข้า เจ้าคอยดูเถอะว่าจะตายอย่างไร!”ลั่วชิงยวนย่อตัวลงนั่งตรงหน้านาง แล้วหัวเราะเบา ๆ “ใช่แล้ว ใครจะกล้าแตะต้องคุณหนูใหญ่เมืองแห่งภูตผีเล่า”“น่าเสียดาย เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้ บิดามารดาของเจ้าไปปล้นเขามา มิใช่ของพวกเขามาแต่เดิม ย่อมมิใช่ของเจ้าเช่นกัน”“ถึงเวลาคืนเจ้าของตัวจริงแล้ว”โหยวเซียงจ้องเขม็งนางอย่างโกรธแค้น “เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร! เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้เป็นของบิดามารดาข้ามาแต่เดิม!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ประหลาดใจ “หรือว่าต่งอวิ๋นซิ่วมิได้บอกความจริงแก่เจ้า”“ก็ถูกแล้ว เรื่องน่าอับอายเช่นนี้ นางจะบอกลูกสาวได้อย่างไร”“เมืองแห่งภูตผีแห่งนี้มิใช่เพียงถูกบิดามารดาเจ้ายึดมาเท่านั้น แต่ยังใช้วิธีการที่น่ารังเกียจในการยึดครองด้วย!”“เดาว่าจนถึงตอนนี้เจ้าก็คงยังมิรู้เลยว่าศัตรูของเจ้าคือผ
โหยวเซียงกัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบลั่วชิงยวนมองไปที่อวี๋โหรว หลายวันมานี้อวี๋โหรวผอมซูบไปมาก“เจ้าจับตัวอวี๋โหรวมาเพื่อล่อข้ามาที่นี่รึ?”ลั่วชิงยวนหรี่ตามองโหยวเซียง“แต่เจ้ามิน่าจะมีความสามารถพอที่จะพาอวี๋โหรวออกจากวังหลวงไปได้”“เวินซินถงเป็นคนทำใช่หรือไม่?”“เจ้าทำข้อตกลงอะไรกับนางไว้?”โหยวเซียงหัวเราะเยาะ “อยากรู้รึ?”“คุกเข่าอ้อนวอนข้าสิ”“เจ้าอ้อนวอนข้า ข้าถึงจะบอกเจ้าว่าผู้ใดจับตัวอวี๋โหรวมา และผู้ใดร่วมมือกับข้าวางแผนให้เจ้ามาที่เมืองแห่งภูตผี”ลั่วชิงยวนมองท่าทีหยิ่งยโสของโหยวเซียงแล้วก็อดมิได้ที่จะหัวเราะเบา ๆ นางกวาดสายตามองไปรอบ ๆ แล้วถามว่า “ต่งอวิ๋นซิ่วมิมาด้วยรึ?”“เมื่อครู่นี้คนที่ต่อสู้กับข้าก็คือนางใช่หรือไม่?”เมื่อได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของลั่วชิงยวน โหยวเซียงก็โกรธจัด ในใจนางตกใจ ลั่วชิงยวนรู้แล้วหรือว่ามารดาของนางเป็นใคร“สารเลว!”นางบีบคออวี๋โหรวอย่างแรงเพื่อข่มขู่ลั่วชิงยวน “จะคุกเข่าหรือไม่?!”“ลั่วชิงยวน เจ้ามีโอกาสแค่ครั้งเดียว!”“หากเจ้ามิยอมคุกเข่ายอมจำนนแต่โดยดี ข้าจะหักคอนางเดี๋ยวนี้!”กล่าวจบ โหยวเซียงก็ออกแรงบีบบีบจนอวี๋โหรวหาย
ทันทีที่คนใบ้หันมาเห็นจึงรีบเข้ามาย่อตัวลงข้างนางแล้วช่วยประคองนางไว้ลั่วชิงยวนเช็ดเลือดที่มุมปาก ใบหน้าซีดเผือดกว่าเดิม“ข้ามิเป็นอะไร”นางเงยหน้าขึ้นมองอวี๋ตันเฟิ่งที่อยู่กลางอากาศ ในที่สุดจิตวิญญาณของนางก็สมบูรณ์แล้วบนใบหน้าซีดขาวนั้นปรากฏรอยยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งพึงพอใจและเย่อหยิ่ง“ในที่สุดข้าก็ได้… เป็นอิสระแล้ว! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า...”อวี๋ตันเฟิ่งหัวเราะลั่น ทำเอาป่าทั้งผืนเกิดพายุโหมกระหน่ำคนใบ้รีบยกมือขึ้นช่วยลั่วชิงยวนปัดป้องฝุ่นและใบไม้ที่ปลิวว่อน......จู่ ๆ ต่งอวิ๋นซิ่วก็กระอักเลือดออกมาเต็มปาก จากนั้นหมดสติล้มลงบนพื้น“ท่านแม่!”โหยวเซียงตกใจ รีบเข้าไปประคองนาง “ท่านแม่! ท่านแม่! ท่านเป็นอะไรไป!”หลังจากตะโกนเรียกอยู่นาน มารดาของนางก็มิฟื้นโหยวเซียงโกรธจนกัดฟันพูด “ลั่วชิงยวน สารเลว!”“เจ้าคอยดูเถอะ!”......ผ่านไปครู่ใหญ่ อวี๋ตันเฟิ่งถึงจะสงบสติอารมณ์ลงได้ลมพายุในป่าก็สงบลงเช่นกันถูหมิงที่อยู่ข้าง ๆ จึงค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้ฉีเสวี่ยเวยที่ยังคงตกตะลึงมองภาพเหตุการณ์เมื่อครู่ด้วยความมิอยากเชื่อ “เมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?”“ต่อไปพวกเราต้องทำอะไร?”ลั่วชิงยวน
คนของถูหมิงตายไปหมดแล้ว เหลือเพียงฉีเสวี่ยเวยเท่านั้นในขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังถ้ำแห่งที่หกในคืนนั้นผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าผิดหวังเพราะในถ้ำว่างเปล่า“ดูเหมือนว่าพวกเราจะมาช้าไปก้าวหนึ่ง”ถูหมิงขมวดคิ้ว “เหลืออีกหนึ่งชิ้น ทำอย่างไรดี? หรือว่าความพยายามทั้งหมดของเราจะสูญเปล่า?”พวกเขาวุ่นวายมาหลายวัน เดินทางไปเกือบทั่วทั้งภูเขาแล้วหากสมบัติหายไปเช่นนี้ เขาคงต้องฆ่าสตรีผู้นี้เป็นแน่!ลั่วชิงยวนขมวดคิ้วครุ่นคิด แล้วกล่าวว่า “เหลืออีกหนึ่งชิ้นก็เหลืออีกหนึ่งชิ้น”“หาที่ปลอดภัยก่อน”จากนั้นพวกเขาก็มายังป่าที่ค่อนข้างสะอาด ไม่มีพุ่มไม้หรือวัชพืชหนาแน่นบนพื้นมากนัก ค่อนข้างโปร่งโล่งหีบทั้งห้าใบวางอยู่บนพื้นลั่วชิงยวนกล่าวว่า “เปิดหีบกันเถิด”ทันใดนั้นดวงตาของถูหมิงก็เป็นประกาย “เปิดได้หรือ?”เขาเห็นว่าบนหีบมีแต่อักขระสีเลือดปกคลุมอยู่ จึงยั้งมือไว้หลายครั้งแม้จะอยากเปิดก็ตามเมื่อได้ยินเช่นนี้จึงรีบเปิดหีบทันทีแต่เมื่อเปิดออกแล้ว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อไปศพ?!ทั้งยังเป็นศพที่ถูกชำแหละอีกด้วย?ฉีเสวี่ยเวยก็ตกใจกลัวลั่วชิงยวนกลับสงบสติอารมณ์ สั่งให้โฉวสือชีและคนใบ้ช่วย
“ใครกัน?!”ลั่วชิงยวนหรี่ตาลงเล็กน้อย แล้วตอบเสียงแผ่ว “ซูเซียง”“แต่ตอนนี้ควรเรียกนางว่าโหยวเซียง”“ภารกิจที่พวกเจ้าได้รับก็เป็นเพียงการละเล่นของนางเท่านั้น”“นางต้องการให้พวกเจ้าฆ่ากันเอง”และภารกิจหนังหน้าของหญิงงามที่ฉีเสวี่ยเวยได้รับ ก็คงเป็นการล่อลวงให้ฉีเสวี่ยเวยมาฆ่านางหากสามารถยืมมือคนอื่นฆ่าคนได้ โหยวเซียงก็มิจำเป็นต้องเปิดเผยตัวตนเพียงแต่โหยวเซียงคาดมิถึงว่าฉีเสวี่ยเวยจะฆ่านางมิได้ กระทั่งโหยวเซียงเองก็ฆ่านางมิได้“โหยวเซียงหรือ? นางเป็นคนของเมืองแห่งภูตผีแห่งนี้หรือ?” ฉีเสวี่ยเวยมองนางอย่างมิเชื่อสายตา“มิแปลกใจเลย… นางท้องแก่ถึงเพียงนั้นยังกล้ามาที่นี่ได้”ลั่วชิงยวนเห็นว่าใกล้รุ่งสางแล้ว จึงให้โฉวสือชีแก้เชือกที่มัดฉีเสวี่ยเวยไว้“ข้าจะยังมิฆ่าเจ้าตอนนี้”“มิว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาจะเป็นจริงหรือไม่ก็มิสำคัญ ข้าก็มิกลัวว่าเจ้าจะไปบอกเรื่องนี้กับถูหมิง”“หากเจ้าไปบอก เรื่องเดียวที่จะเป็นผลเสียต่อพวกข้าก็คือต้องแบกหีบเพิ่มอีกมิกี่ใบ”“เพียงเท่านั้น”มิใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่นางทำเป็นร่วมมือกับถูหมิง ก็เพียงต้องการใช้คนของเขาไปขวางทางศพชายที่ถูกผนึกไว้ในถ้ำ
“แม้จะต้องยอมตายไปพร้อมกับถูหมิง ข้าก็ยินดี!”เมื่อได้ยินดังนั้น ลั่วชิงยวนก็ตกตะลึง แต่ก็ยังคงสงสัยอยู่บ้าง“แต่เจ้าสนิทสนมกับถูหมิงถึงเพียงนั้น น่าจะมีโอกาสฆ่าเขาได้นับครั้งมิถ้วน”ฉีเสวี่ยเวยขมวดคิ้วแน่น ดวงตาแดงก่ำ “แท้จริงแล้วคนผู้นั้นระแวดระวังตัวมาก หากมิใช่เพราะต้องการลดความระแวดระวังของเขา ข้ากับชายมากหน้าหลายตาก็คงมิ...”เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ฉีเสวี่ยเวยก็เม้มริมฝีปากแน่นหลังจากกล้ำกลืนความรู้สึกแล้ว จึงกล่าวต่อ “ในป่าครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดข้า เดิมทีตอนนั้นข้ามีโอกาสที่จะฆ่าเขาได้!”“แต่เจ้าปีศาจฝูเหมิ่งนั่นบังเอิญมาขวาง!”“หากมิใช่เพราะเขา ข้าคงทำสำเร็จไปแล้ว!”ฉีเสวี่ยเวยกัดฟันพูด เต็มไปด้วยความเคียดแค้นลั่วชิงยวนรู้สึกประหลาดใจ เมื่อเห็นสีหน้าของฉีเสวี่ยเวย ในดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแค้น ดูมิเหมือนคนโกหกทำให้นางเปลี่ยนทัศนคติที่มีต่อฉีเสวี่ยเวยไปบ้างขณะที่ลั่วชิงยวนยังคงครุ่นคิด ฉีเสวี่ยเวยก็มองมาที่นาง “เจ้ายังมิเชื่อข้าหรือ?”“ขอเพียงเจ้าฆ่าถูหมิงได้ ข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า! ข้าจะบอกสิ่งที่เจ้าอยากรู้ทุกอย่าง!”ลั่วชิงยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
ลั่วชิงยวนนอนนิ่งอยู่บนเตียง มิกล้าขยับกายทว่างูตัวนั้นกลับกัดข้อเท้านางอย่างแรงหนึ่งครั้ง จากนั้นก็รีบเลื้อยหนีไปรออยู่ครู่หนึ่ง ฉีเสวี่ยเวยเห็นว่าคนที่นอนอยู่บนเตียงไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ จึงเปิดประตูเข้ามานางมิอาจมั่นใจได้ว่าพวกคนใบ้จะกลับมาเมื่อใด จึงมิกล้าเสียเวลานานหลังจากปิดประตูอย่างระแวดระวังแล้ว นางก็มายังปลายเตียง จ้องมองข้อเท้าของลั่วชิงยวนอย่างละเอียด ปรากฏว่าถูกงูกัดจริง ๆ นางต้องตายเพราะพิษนี้แน่นอน!ทันใดนั้นเอง ฉีเสวี่ยเวยก็ชักกริชออกมาแล้วเดินไปยังหัวเตียง ค่อย ๆ จรดใบมีดลงบนใบหน้าของลั่วชิงยวนแต่ในพริบตานั้นเอง ลั่วชิงยวนก็ลืมตาขึ้นมาจ้องมองนางด้วยสายตาอาฆาตแค้นฉีเสวี่ยเวยพลันตกใจ แต่ก็มิได้หนีในทันที เพราะนางคิดว่าลั่วชิงยวนโดนพิษงูเข้าไปแล้ว อย่างไรก็ต้องตายอยู่ดีลั่วชิงยวนรีบคว้าข้อมือของฉีเสวี่ยเวยไว้เพื่อแย่งชิงกริชมาจากนางฉีเสวี่ยเวยก็ลงมือโจมตีเช่นกัน เพียงแต่นางคาดมิถึงว่าสตรีผู้นี้ที่ถูกพิษแล้วจะยังมีพละกำลังมากมายถึงเพียงนี้หลังจากทั้งสองต่อสู้กันครู่หนึ่งในห้อง ฉีเสวี่ยเวยก็พ่ายแพ้ ถูกลั่วชิงยวนจับกดไว้บนโต๊ะฉีเสวี่ยเวยตกใจมาก “เจ้า
“แน่นอน”“อีกอย่าง เมื่อหาของเหล่านี้ครบแล้วเมืองแห่งภูตผีทั้งเมืองก็จะเป็นของพวกเรา แล้วยังต้องขึ้นเขาไปเอาของเล็ก ๆ น้อย ๆ นั่นหาปะไร”คำพูดนี้กระตุ้นความโลภในใจของทุกคนที่อยู่ตรงนั้นอย่างมิต้องสงสัยพวกเขาจึงมิลังเลอีกต่อไป รีบติดตามลั่วชิงยวนไปยังเส้นทางเดิมตลอดทางยังมีงูมากมาย ลั่วชิงยวนก็หาสมุนไพรบางชนิดตลอดทางแล้วมอบให้ทุกคนผูกติดไว้บนตัวและทาตามเท้า เพื่อให้กลิ่นของสมุนไพรนั้นช่วยไล่งูดังนั้นการเดินทางของพวกเขาจึงราบรื่นดี เมื่อยามค่ำคืนมาเยือนพวกเขาก็ออกมาจากบ่อน้ำพุร้อนนั้นอีกครั้งพวกเขากลับมายังหมู่บ้านเดิมในช่วงกลางดึกสงัดในหมู่บ้านยังมีอาหารหลงเหลืออยู่ ดังนั้นทุกคนจึงหยุดพักกินอาหารกันก่อนเมื่อฟื้นฟูพละกำลังได้แล้วคนทั้งหมดก็ออกเดินทางต่อมาถึงสุสานเดิม ยามนี้วิญญาณอาฆาตเต็มไปทั่วทั้งภูเขา พลังหยินแผ่ซ่านไปทั่วเมื่อลั่วชิงยวนมาถึงที่แห่งนั้นก็พบว่าปากถ้ำเปิดออกแล้วมีคนกล่าวขึ้นว่า “วันนั้นฝูเหมิ่งก็มาที่นี่!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยเมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ภาพที่ปรากฏด้านในนั้นมิเปลี่ยนแปลงมากนัก สิ่งที่เปลี่ยนไปเพียงอย่างเดียวคือโลงศพที่ถูกล่ามโซ่นั้นระเบ
เมื่อได้ยินดังนั้น ความโลภก็ปรากฏในดวงตาของถูหมิง ใครเล่าจะมิปรารถนาสมบัติของเมืองแห่งภูตผี เขาตอบตกลงในทันที “ได้”ลั่วชิงยวนกล่าวต่อว่า “แต่การนำของสิ่งนี้มาจะต้องเผชิญกับอันตรายบ้าง ดังนั้นอาจจะต้องมีคนของเจ้าสละชีวิต”“แต่คนมากก็แบ่งกันได้น้อย คนตายไปบ้างก็มิจำเป็นต้องสนใจความเป็นความตายของพวกเขา”“ความลับนี้ข้าบอกเพียงเจ้าเท่านั้น เจ้าอย่าได้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้เชียว”“โดยเฉพาะฉีเสวี่ยเวย”เมื่อได้ยินดังนั้นถูหมิงก็หันกลับไปมอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาก็มิเคยสนใจความเป็นความตายของคนเหล่านั้นอยู่แล้ว“หาได้มีปัญหาไม่!”ถูหมิงรับปากอย่างง่ายดาย แต่ลั่วชิงยวนกลับยังคงระแวดระวัง “ยังมีเรื่องที่ต้องบอกเจ้าอีกอย่าง กองทัพของเมืองแห่งภูตผีถูกพวกข้าปลุกปั่นแล้ว คาดว่าอีกมินานคงไล่ตามมา”“ก่อนที่จะหาของทั้งหกชิ้นพบ อย่าได้คิดที่จะทำสิ่งใดนอกเหนือจากนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเราต้องร่วมมือกันต่อสู้กับศัตรู หากถูกพวกมันจับได้คงไม่มีใครมีจุดจบที่ดี”สีหน้าของถูหมิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย มิคาดคิดว่าสตรีผู้นี้จะเก่งกาจมากถึงเพียงนี้ กระทั่งปลุกกองทัพของเมืองแห่งภูตผีขึ้นมาได้ดูเหมือนว่าสิ่งที่นางต้