ลั่วชิงยวนได้ยินจึงเผยยิ้ม เลิกคิ้วมองไปทางฟู่เฉินหวน “หม่อมฉันมอบบัวหิมะเทียนซานให้ท่านแล้วมิใช่รึ?” “ที่ท่านอ๋องต้องการมิใช่บัวหิมะ แต่เป็นชีวิตหม่อมฉันมากกว่ากระมัง?” น้ำเสียงของนางเยือกเย็น และแฝงความเยาะเย้ย น้ำเสียงและคำพูดของนางจี้ให้ฟู่เฉินหวนโกรธเข้าจริง ๆ เขายกมือฟาดไปบนใบหน้าของนางอีกหนึ่งฉาบ “ริอ่านแกล้งโง่กับข้าผู้เป็นอ๋อง! เจ้าจะบอกว่า จวนมหาราชครูให้ของปลอมกับเจ้างั้นรึ?” เลือดกลิ่นคาวหวานไหลจากมุมปากของนางทีละหยด เลือดไหลนองทำนางรู้สึกอับอาย เห็นท่าทีบ้าคลั่งของฟู่เฉินหวน นางกลับยกมุมปากขึ้นมาอย่างเย็นชา“ท่านอ๋อง หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ชีวิตท่านคงใกล้จบแล้วจริง ๆ” ไอขุ่นมัวนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนรุนแรงมากยิ่งขึ้น อารมณ์แสนรุนแรง ทำเขาเสียสติโดยสิ้นเชิง รัศมีทรงพลังบนตัวเขา แทบจะคุ้มครองเขาไม่ได้แล้ว สถานการณ์แบบนี้มันย่ำแย่มาก ย่ำแย่กว่าที่นางคิดไว้เสียอีก! แต่ความโกรธของฟู่เฉินหวนยังคงเพิ่มสูงมากขึ้น หญิงผู้นี้ มาถึงขั้นนี้แล้ว ยังคงยั่วโมโหและหาเรื่องเขาอยู่! เขาออกคำสั่งอย่างเกรี้ยวกราด “ค้น!” องครักษ์บุกเข้ามาในห้องทันที ภายใต้คำสั่งของฟู่เฉินหวน พ
คิ้วของลั่วชิงยวนกระตุก ดวงตาที่มองไปทางฟู่เฉินหวนขุ่นมัวมากยิ่งขึ้น แม้จะมีรัศมีอาฆาตมาดร้ายออกมาก็ตาม นางดึงเข็มออกมาเล่มหนึ่ง ทิ่มไปยังหลังคอของฟู่เฉินหวน ฟู่เฉินหวนล้มสลบ สีหน้าคนรอบข้างเปลี่ยนไปในทันที “เจ้าทำอะไรท่านอ๋องกัน?“ ลั่วเยวี่ยอิงตะคอกเสียงดุ ซูโหยวพยุงฟู่เฉินหวนไว้ด้วยสีหน้าตึงเครียด “ท่านทำสิ่งใดกัน!“ ลั่วชิงยวนเช็ดคราบเลือดมุมปากอย่างไม่ใส่ใจ คุกเข่าจับข้อมือของฟู่เฉินหวนเพื่อตรวจดูอาการ “เจ้าดูไม่ออกงั้นหรือ ท่านอ๋องของเจ้ากำลังผิดปกติ หากมิทำเช่นนี้เขาจะสิ้นชีพ ลมปราณและโลหิตจะไหลย้อนกลับ” ชีพจรของฟู่เฉินหวน ทำนางสับสนมากจริง ๆ ราวกับไฟในกายแผดเผา หยินหยางเสียสมดุล ลมหายใจผิดจังหวะ และมีอาการคลุ้มคลั่งเล็กน้อย แต่นอกจากนี้ ร่างกายของเขากลับไม่มีปัญหาอะไรนัก เพียงแค่อาการคลุ้มคลั่งเช่นนี้ หากไฟโทสะลุกโชนถึงระดับหนึ่ง อาจคร่าชีวิตเขาได้ “ใครก็ได้ ส่งตัวท่านอ๋องกลับห้อง!“ ซูโหยวออกคำสั่งในทันที เมื่อตอนฟู่เฉินหวนถูกพยุงจากไป ลั่วเยวี่ยอิงยังคงร้องไห้อยู่ “ท่านอ๋อง…” ซูโหยวห้ามนางเอาไว้ “คุณหนูรอง ท่านอ๋องเหนื่อยแล้ว คืนนี้ให้ท่านได้พักผ่อนดี ๆ
ในสภาวะมึนงง ลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่นมากระอักเลือดครั้งหนึ่ง โชคดีที่มีเครื่องยาสมุนไพรจากท่านอาลั่วหรง บาดแผลจึงมั่นคงได้ภายในคืนนั้น เมื่อคืนหลังฟู่เฉินหวนกลับถึงห้อง ก็ได้เชิญหมอกู้มาตรวจอาการ และออกยาให้ หลังกินยาเสร็จเขาก็หลับพริ้มไป ลั่วชิงยวนนั่งกินน้ำแกงยาสมุนไพรอยู่ข้างโต๊ะ และเอ่ยอย่างสงบ “ก็เจ็บทั้งสองฝ่าย ไยต้องกังวล” เมื่อวานแม้ฟู่เฉินหวนจะลงมือกับนาง แต่ผลที่เขาได้รับจากความโกรธก็ไม่น้อยเช่นกัน หากหนักหน่วงอาจถึงขั้นตายได้ ถือว่าฟู่เฉินหวนเมื่อคืนเก็บชีวิตรอดกลับมาได้ “พระชายา อาการของท่านอ๋องยังคงหนักหน่วงเช่นเดิม ท่านไปเยี่ยมท่านอ๋องเถิดเจ้าค่ะ” แม่นมเติ้งคิดว่า หากพระชายาสร้างผลงานได้ ท่านอ๋องอาจเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อพระชายาเป็นแน่ แต่ทว่า ลั่วชิงยวนกลับส่งเสียงหัวเราะ “ข้าไปแล้วมีประโยชน์อันใดเล่าม เขาคงคิดเพียงข้าประสงค์ร้าย หรือต่อให้เขาจะเชื่อว่าข้าช่วยเขา ข้าก็อาจไม่ได้รับในสิ่งที่ข้าต้องการเช่นเคย” นางร่วมมือกับฟู่เฉินหวนมิใช่เพียงครั้งสองครั้ง แต่ของของท่านแม่นาง จนทุกวันนี้ยังหาไม่เจอ นางมิอยากแกว่งเท้าหาเสี้ยน หลังกินน้ำแกงยาเสร็จ นางกางภาพว
อาการป่วยของท่านอ๋อง โหมกระหน่ำเข้ามาอย่างสาหัส ก่อนที่อาการจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซูโหยวไม่คิดจะให้ท่านอ๋องได้เจอลั่วเยวี่ยอิง แม้ที่พระชายาพูดอาจมิใช่ความจริง แต่คอยระวังลั่วเยวี่ยอิงก็ไม่เสียหาย ไม่ได้รับข่าวสารของฟู่เฉินหวนหลายวันติดกัน ลั่วชิงยวนก็พอเดาได้ ฟู่เฉินหวนคงหนีไปรักษาตัวด้านนอกเพราะอาการสาหัสขึ้น นางออกเช้ากลับค่ำทุกวัน เพื่อหลบหน้าลั่วเยวี่ยอิง ภายในตำหนักอ๋องแสนกว้างขวาง มีเพียงลั่วเยวี่ยอิงคนเดียวที่ร้องโวยวายทั้งวัน แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจ …… ฟู่เฉินหวนรักษาตัวเป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือน และเพิ่งกลับมาก่อนงานฉลองวันเกิดมหาราชครูหนึ่งวัน คืนนี้ ลั่วเยวี่ยอิงมิกล้าร้องครวญแล้ว เพราะวันต่อมานางต้องไปเข้าร่วมงานฉลองวันเกิดมหาราชครู เพียงแต่ใบหน้าของนางไม่มีวี่แววจะดีขึ้น จึงต้องไปงานโดยสวมผ้าคลุมหน้า วันนี้ลั่วชิงยวนรอให้ฟู่เฉินหวนและลั่วเยวี่ยอิงออกเดินทางก่อน แล้วนางจึงออกเดินทางคนเดียว ...... ตลาดก่อนที่จะถึงจวนมหาราชครู ครึกครื้นมากเป็นพิเศษ รถม้าของผู้มาเยือนจอดอยู่บนทางอย่างเป็นระเบียบจวนจะไม่มีที่จอด ลั่วชิงยวนเลือกที่จะลงจากรถม้าก่อน จากนั้นเด
ทุกคนมองไปตามเสียง เห็นเพียงลั่วหรงที่สวมอาภรณ์สง่ากำลังเดินเข้ามาช้า ๆ ด้วยรัศมีความกดดันแรงกล้า ลั่วหรงเดินถึงหน้าประตู มองไปทางลั่วไห่ผิงอย่างเย็นชา “ท่านอัครเสนาบดี ท่านนี้ เป็นผู้มาเยือนผู้มีเกียรติที่ข้าเชิญมา!” เมื่อลั่วหรงมองไปทางลั่วชิงยวน กลับเปลี่ยนเป็นใบหน้ายิ้มแย้มที่แสนเป็นมิตรฉับพลัน นางดึงมือของลั่วชิงยวนไว้ลั่วชิงยวนก็ควงแขนของนางไว้อย่างเป็นธรรมชาติ พร้อมเอ่ยเรียกอย่างสนิทสนม “ท่านอา” ลั่วหรงยิ้มพลางตบหลังมือของนางเบา ๆ “ข้าบอกแล้ว งานฉลองวันนี้ เจ้ามาเข้าร่วมได้เลย! ผู้ใดก็อย่าหวังจะห้ามเจ้าทั้งนั้น!” สีหน้าของลั่วไห่ผิงตะลึง และไม่อยากจะเชื่อ ผู้มาเยือนคนอื่น ๆ โดยรอบต่างก็ตะลึงไม่แพ้กัน พวกเขารู้ว่า ท่านมหาราชครูไม่ถูกกับท่านอัครมหาเสนาบดีนัก และด้วยนิสัยที่เที่ยงตรงของลั่วหรง นางจึงไม่เคยมีสีหน้าดี ๆ ให้กับท่านอัครมหาเสนาบดีสักครั้งเลย ยิ่งไม่มีทางยอมให้ลูกสาวของท่านอัครมหาเสนาบดีเรียกตนว่าท่านอาแน่ แต่คำว่าท่านอาของลั่วชิงยวนที่ดังขึ้นอย่างชัดเจน กลับทำสีหน้าของลั่วหรงเบิกบานราวกับบุปผา ลั่วไห่ผิงไม่รู้แม้แต่นิดว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจึงกลายเป็
แม้ท่านมหาราชครูลั่วจะไม่ค่อยสนใจนัก แต่เขาก็ฟังจนจบอย่างใจเย็น พร้อมกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงดีใจ ผู้คนส่วนมากเลือกที่จะให้ภาพวาด เมื่อเปิดออก หลากหลายลายเส้น แต่เนื้อหาภาพส่วนมากจะเป็นสาวงามคนหนึ่งกำลังจูงเด็กคนหนึ่ง แกว่งชิงช้า หยอกล้อพูดคุย หรือนอนพักผ่อนใต้ต้นไม้ ภาพต่างวาดออกมาได้ดีมาก แต่เมื่อเห็นเยอะเข้า ย่อมรู้สึกว่ามันธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้น ในห้องของท่านมหาราชครูแขวนภาพไว้ร้อยกว่าผืน ลั่วชิงยวนจึงถือโอกาสสังเกต นางอยากรู้ว่าภาพวาดที่ผู้ใดมอบให้นั้นมีปัญหา แต่นางกลับต้องตกใจ เพราะมันมีปัญหาแทบทุกภาพ! เมื่อภาพถูกกางออก จะเห็นแม่ลูกคู่หนึ่งกำลังขัดขืนอยู่ในกองไฟ พวกนางกรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง และร้องขอความช่วยเหลืออย่างเจ็บปวด แม้เสียงจะเบา แต่แสบแก้วหูเอามาก ๆ ลั่วหรงที่อยู่ด้านข้างเห็นสีหน้าของลั่วชิงยวนค่อนข้างย่ำแย่ จึงเอ่ยถามเสียงต่ำ “เจ้าสังเกตเห็นอะไรรึ?” ลั่วชิงยวนแนบไปที่ข้างหูลั่วหรง เอ่ยพูดเสียงเบา “บันทึกผู้ที่มอบภาพวาดเอาไว้ เมื่อจบงานไปถามพวกเขาดูว่าผู้ใดเป็นคนวาด” ลั่วหรงพยักหน้า จากนั้นสั่งให้คนใช้ไปบันทึกทันที สมาธิของลั่วชิงยวนถูกภาพวาดและของกำ
สิ่งที่ตามมา คือเสียงหัวเราะกระหึ่ม “ฮ่า ๆ ๆ ๆ วาดได้ครึ่งหนึ่งก็เอามางั้นเหรอ?” “นี่มันประหลาดเกินไป ข้ามิเคยเจอของกำนัลที่ประหลาดเช่นนี้มาก่อน” ภายใต้เสียงหัวเราะ มีคนขำพร้อมพูดกับลั่วไห่ผิง “ท่านอัครมหาเสนาบดีลั่ว ลูกสาวท่านนี่น่าสนใจจริง ๆ ข้าเข้าใจแล้วว่าเหตุใดท่านถึงมิให้นางเข้าร่วมงานฉลองวันเกิด ช่างน่าขายหน้าเสียจริง” สีหน้าลั่วไห่ผิงมืดครึ้ม ฝ่ามือกำเป็นหมัดแน่น วันนี้ลั่วชิงยวนตั้งใจมาเพื่อให้เขาเสียหน้างั้นหรือ! ลูกทรพี! ลั่วเยวี่ยอิงมองการกระทำเช่นนี้ของลั่วชิงยวน ในใจกลับรู้สึกได้ใจ นังโง่นี่คิดอะไรกัน ให้ภาพวาดก็ให้ภาพวาดสิ เหตุใดจึงให้ภาพวาดที่ไม่สมบูรณ์ รนหาที่ตายจริง ๆ ! “ท่านพ่อ ข้าบอกแล้ว ไม่ควรให้ท่านพี่กลับตำหนักอ๋อง ท่านพ่อดูนาง ทำตระกูลเราขายหน้าเสียจริง!” ลั่วเยวี่ยอิงบ่นอย่างอึดอัด ลั่วไห่ผิงเองก็รู้สึกเสียใจเล็กน้อย เขาไม่ควรให้ลั่วชิงยวนกลับตำหนักอ๋องจริง ๆ ลูกทรพี! ทำหูทวนลมกับคำพูดเขาเสียหมด ดูเหมือนว่าหลังจากวันนี้ เขาจะต้องหารือกับท่านอ๋อง ให้ท่านเขียนหนังสือหย่า เพื่อหย่าลั่วชิงยวนเสีย แม้การที่ลั่วชิงยวนถูกหย่า จะทำให้เขาเสียหน
แต่แล้วประโยคของท่านมหาราชครูในวินาทีต่อมา กลับทำผู้คนตะลึงยิ่งกว่า! เขาพูดกับลั่วชิงยวนด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “ภาพนี้ ให้ข้าได้หรือไม่?” ทุกคนต่างมีสีหน้างุนงง นี่มิใช่ของกำนัลที่ให้ท่านมหาราชครูลั่วอยู่แล้วงั้นหรือ? อีกอย่างนี่เป็นเพียงภาพวาดเท่านั้น! แต่ลั่วชิงยวนเข้าใจความหมายท่านมหาราชครูลั่วจะสื่อ เขาอยากได้ทุกอย่างที่อยู่ในภาพนั้น นางเผยยิ้มอ่อนโยน “เจ้าค่ะ นี่เป็นของกำนัลที่จะมอบให้ท่านปู่มหาราชครูอยู่แล้ว! เพียงแค่ท่านต้องการชม ก็จะสามารถชมภาพนี้ได้ตลอดเจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินประโยคนี้ มหาราชครูลั่วพยักหน้าดีใจ สายตาที่มองลั่วชิงยวนเอ็นดูขึ้นมาทันที “ได้ เจ้าหนู ขอบคุณที่มอบของกำนัลที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้ปู่! ปู่ชอบมากเลย!” สิ้นประโยคนี้ รอบด้านดังเป็นเสียงซุบซิบขึ้น ท่านมหาราชครูยอมรับลั่วชิงยวนเป็นหลานสาวแล้วงั้นหรือ? หลายปีมานี้ ลั่วเยวี่ยอิงไปเยี่ยมท่านมหาราชครูที่จวนหลายครั้ง แม้จะได้เจอกับท่านมหาราชครูลั่วบ้าง แต่เขากลับไม่เคยเหลียวแลนางมาก่อน ยิ่งไม่ต้องว่าเรื่องการยอมรับนางเป็นหลานสาวเลย! ลั่วชิงยวนมีสิทธิ์อะไรกัน!? เพียงแค่ภาพวาดผืนหนึ่งมีสิทธิ์อะไรได้
ในชั่วพริบตา ลั่วชิงยวนก็รู้สึกเจ็บแปลบที่หลังเพราะถูกกดลงบนกำแพงเท้าของนางลอยขึ้นจากพื้นความรู้สึกหายใจมิออกทำให้นางดิ้นรนสุดกำลัง“ใครอนุญาตให้เจ้าเข้ามา! ใครอนุญาตให้เจ้าแตะต้องของของข้า!”ลั่วชิงยวนพยายามพูด “ฟู่เฉินหวน...”นางหายใจมิออกแล้วนัยน์ตาของฟู่เฉินหวนฉายแววเย็นชาขณะจับนางเหวี่ยงออกไปร่างลั่วชิงยวนตกกระแทกพื้นเสียงดังสนั่นกลิ้งไปหลายตลบแล้วกระอักเลือดออกมาอวัยวะภายในสั่นสะเทือน ปวดร้าวไปทั่วร่าง“ฟู่เฉินหวน ลั่วฉิงกับไทเฮาร่วมมือกัน สิ่งที่ไทเฮาให้ท่านอาจถูกลั่วฉิงปลอมแปลง จดหมายนั้นอาจเป็นของปลอมก็ได้!”ลั่วชิงยวนรีบอธิบายความคิดของตนเองฟู่เฉินหวนเดินเข้ามาด้วยความโกรธ เขาจับนางขึ้นมาแล้วมองนางด้วยสายตาเหี้ยมโหด “ถึงตอนนี้แล้วยังจะมาหลอกลวงข้าอีกรึ?”“ลายมือท่านแม่ของข้า ข้าจะจำมิได้เชียวหรือ!”พูดจบ ลั่วชิงยวนก็ถูกเหวี่ยงออกจากห้องร่างกระแทกพื้นหิมะแขนข้างหนึ่งถูกทับจนเกิดเสียงดังกร๊อบแขนหลุดจากข้อต่อแล้ว“โอ๊ย...” ลั่วชิงยวนร้องเสียงหลง หน้าซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด เหงื่อเย็นผุดขึ้นเต็มไปหน้านางใช้มือข้างเดียวพยุงตัว พยายามลุกขึ้นอย่างยากล
ลั่วฉิงใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์มิเป็นด้วยฐานะของนาง เป็นไปมิได้ที่จะใช้มิเป็นลั่วชิงยวนเบิกตากว้างลั่วฉิงมิได้ใช้มิเป็น แต่ใช้มิได้ต่างหาก!นางพกเข็มทิศนี้ติดตัวมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์บอกว่าเป็นของที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของนางหลังจากที่นางตายแล้วเกิดใหม่เข็มทิศนี้ก็ยังคงติดตัวนางมา ย่อมมิใช่ของธรรมดาสามัญแน่นอนดังนั้น เข็มทิศนี้อาจจะยอมรับนางเป็นเจ้าของแล้ว คนอื่นจึงใช้มิได้เมื่อคิดได้ดังนั้น ลั่วชิงยวนก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาบ้างลั่วฉิงได้เข็มทิศไปก็ไร้ประโยชน์ฟู่เฉินหวนถาม “หากไม่มีเข็มทิศนี้ เจ้าก็ทำนายอะไรมิได้เลยหรือ?”ลั่วฉิงยกยิ้ม “แน่นอนว่ามิใช่เช่นนั้น”“เช่นนั้นก็มิเห็นเป็นอะไร เจ้าแค่ทำนายสิ่งที่เจ้าทำนายได้ แล้วก็จะค่อย ๆ ได้รับความไว้วางใจเอง”ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าเคร่งขรึม ขณะกล่าวเสียงเย็น “ข้าทะเลาะกับนางไปแล้ว หากจะหลอกลวงนางอีกก็ต้องแสร้งทำดีด้วย”“ข้ามิอยากทำเรื่องน่ารังเกียจเช่นนั้น”หัวใจของลั่วชิงยวนพลันเจ็บแปลบเขาบอกว่าการทำดีกับนางเป็นเรื่องน่ารังเกียจ...ลั่วชิงยวนรู้สึกเจ็บปวด นางกำเสื้อแน่น มิกล้าส่งเสียงแล้วค่อย ๆ เดินจากไปคำพูดเหล่านั้นดังก้อ
ลั่วชิงยวนที่ถูกขังไว้สองวันเริ่มรู้สึกอึดอัดราวกับถูกจองจำในคุกหิมะตกหนักติดต่อกันหลายวันยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่เมื่อหิมะเริ่มเบาบางลงนางจึงออกมานั่งที่เก้าอี้ในเรือนสัมผัสกับความเย็นยะเยือกที่โปรยปรายลงบนใบหน้า“พระชายา ระวังจะเป็นหวัดนะเจ้าคะ”จือเฉานำกาน้ำชาอุ่นมาวางไว้บนโต๊ะข้าง ๆ แล้วรินใส่ถ้วยให้นางไอร้อนจากน้ำชาช่วยเพิ่มความอบอุ่นในวันหิมะตกอันหนาวเหน็บจือเฉานั่งอยู่ข้าง ๆ เหม่อมองท้องฟ้าด้วยความกังวล “พระชายา เหตุใดท่านอ๋องจึงใจร้ายกับท่านเช่นนี้เจ้าคะ”“ก่อนหน้านี้เป็นเพราะมีลั่วเยวี่ยอิงที่คอยยุแยง บัดนี้ลั่วเยวี่ยอิงก็ตายไปแล้ว เหตุใดท่านอ๋องจึงยังเป็นเช่นนี้ ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเจ้าคะ?”ลั่วชิงยวนก็มิอาจเข้าใจได้เริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อใดกันตั้งแต่ที่นางถูกเฉินชีจับตัวไปบนเขาหรือไม่สิ น่าจะเริ่มตั้งแต่เรื่องของฟู่จิ่งหานตอนที่ฟู่เฉินหวนตัดสินใจจัดการกับฟู่อวิ๋นโจว เขาเข้าวังไปหลายวันแล้วเมื่อกลับมาก็หย่ากับนางแต่เกิดเรื่องอะไรขึ้นในวัง แม้แต่จักรพรรดิสูงสุดก็มิยอมบอกนางหรือบางทีอาจจะมิรู้เหมือนกันวันนี้แม่นมเติ้งเป
เขามีสีหน้าเย็นชาขณะกล่าวเสียงเรียบ “กลับตำหนักกับข้า”ลั่วชิงยวนนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงให้จือเฉาเก็บข้าวของตามฟู่เฉินหวนออกจากวังเมื่อขึ้นรถม้า ฟู่เฉินหวนก็สั่งสารถีให้กลับตำหนักทันทีทั้งยังเร่งให้รีบกลับด้วยคิ้วที่ขมวดเข้าหากันเล็กน้อยดูเหมือนจะหงุดหงิดอยู่รถม้าแล่นไปอย่างรวดเร็ว ลั่วชิงยวนถูกเขย่าโคลงเคลงจนตัวแทบปลิว แต่ก็ยังพยายามทรงตัว มิเอ่ยคำใดจนกระทั่งรถม้ามาถึงหน้าตำหนักลั่วชิงยวนจึงสังเกตเห็นรอยแดงบนใบหน้าของฟู่เฉินหวนนางยกมือขึ้น แตะใบหน้าเขาเบา ๆ “ใบหน้าของท่านเป็นอะไรไป?”ฟู่เฉินหวนคว้าข้อมือของนางไว้แล้วจ้องมองด้วยสายตาคมกริบ “มิใช่เพราะเจ้าหรอกรึ!”ลั่วชิงยวนชะงักไปชั่วพริบตานั้น ฟู่เฉินหวนก็กระชากนางลงจากรถม้าอย่างแรง ทำให้นางเกือบล้มนางเดินเซ แต่ก็ยังถูกฟู่เฉินหวนลากเข้าไปในตำหนักฟู่เฉินหวนเดินอย่างรวดเร็ว ทั้งร่างเต็มไปด้วยโทสะราวกับพยายามอดกลั้นมานานลั่วชิงยวนจึงตระหนักได้ว่าเขาคงถูกจักรพรรดิสูงสุดลงโทษมิเช่นนั้นรอยแดงบนใบหน้าเขาจะมาจากไหนเมื่อมาถึงลานด้านใน นางก็สะบัดตัวหลุดจากฟู่เฉินหวน“ท่านจะทำอะไร!”ทันใดนั้น ฟู่เฉินหวนก็บีบคางน
ผ่านไปครู่หนึ่ง เซิ่งไป่ชวนก็มาถึงลั่วชิงยวนพยุงตัวลุกขึ้นนั่งเซิ่งไป่ชวนเห็นเหงื่อเม็ดเล็ก ๆ บนหน้าผากนาง จึงเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “พระชายารู้สึกหนาวหรือไม่ขอรับ?”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างแผ่วเบา “ข้ามิเป็นอะไร มิต้องตรวจชีพจรแล้ว ข้าจะเขียนใบเทียบยาให้ เจ้าช่วยไปหยิบยาให้หน่อย”เซิ่งไป่ชวนพยักหน้า เขาย่อมเชื่อมั่นในฝีมือแพทย์ของลั่วชิงยวนจึงมิฝืนใจเพียงแต่กล่าวว่า “เห็นอาการของพระชายาทรงทรุดลงทุกวัน เกรงว่าจะเป็นเพราะความวิตกกังวล พระชายาควรปล่อยวางบ้าง”“เพื่อรักษาพระวรกายให้แข็งแรงขอรับ”ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ขอบคุณหมอหลวงเซิ่ง”“ข้าจะระมัดระวัง”ขณะที่กำลังสนทนากัน ก็พลันได้ยินเสียงตวาดดังมาจากด้านนอก“ว่ากระไรนะ! สั่งลงไป ผู้ใดกล้าพูดถึงเรื่องนี้อีกให้ตัดหัวได้เลย!”ลั่วชิงยวนตกใจเล็กน้อยด้วยความสงสัย นางจึงสวมรองเท้าเดินออกไปจือเฉานำผ้าคลุมมาสวมให้นางเห็นจักรพรรดิสูงสุดกำลังโมโหอยู่ใต้ชายคา“เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือเพคะ?” ลั่วชิงยวนถามด้วยความอยากรู้จักรพรรดิสูงสุดกล่าวว่า “ไม่มีอะไร เจ้าไปพักผ่อนเถิด ข้ามิได้ดุใครมานานแล้วเลยลองฝึกฝนดู”จากนั้นจักรพรรดิสูงสุด
เดิมทีนางตั้งใจจะบอกข่าวดีนี้แก่เขาในยามที่เขากับนางคืนดีกันแล้วทว่าสิ่งที่รอคอยกลับเป็นการหลอกลวง เขาชิงเอาเข็มทิศอาณัติสวรรค์ของนางไปบัดนี้เขาใจแข็งเช่นนี้ ลั่วชิงยวนจึงจำต้องบอกเรื่องนี้แก่เขาในใจนางยังคงมีความหวัง หวังว่าเพื่อลูกในครรภ์ ฟู่เฉินหวนอาจจะใจอ่อนลงบ้างทว่าประตูบานนั้นยังคงปิดสนิทนอกจากเสียงลมหวีดหวิวที่พัดผ่านก็ไม่มีเสียงตอบรับใดสายลมหนาวราวกับจะพัดพาความอบอุ่นสุดท้ายในใจนางให้หายไปน้ำตาใสไหลรินอาบแก้มซีดเผือดลั่วชิงยวนหันหลังเดินจากไปอย่างเงียบงันเหล่าบ่าวไพร่ในตำหนักเห็นนางแล้วอยากจะทักทาย แต่ก็ลังเล มิกล้าเอ่ยปากบัดนี้ลั่วชิงยวนราวกับคนไร้วิญญาณ เดินออกจากตำหนักไปอย่างไร้จุดหมายนางเดินไปเรื่อย ๆ รู้สึกราวกับว่าสายลมหนาวจะพัดพาร่างนางให้แหลกสลายไป ความหนาวเหน็บกัดกร่อนกระดูก......ภายในห้องตำรา ฟู่เฉินหวนทรุดลงนอนสลบแน่นิ่งกองอยู่ที่มุมห้อง พื้นเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดจนกระทั่งซูโหยวกลับมาพบเข้า จึงรีบให้คนไปตามหมอหลวงมู่มาโดยด่วนหมอหลวงมู่ตรวจอาการแล้วก็ตกใจยิ่งนัก รีบปรุงยาให้ทันทีและยังนำโสมมังกรที่ตกทอดกันมาในตระกูลออกมาตัดแบ่งส่วนเล็ก
เขามิอยากแตะต้องนางแม้เพียงปลายเล็บฟู่เฉินหวนรีบส่งคนออกไปตามล่าเฉินชี แล้วจึงกวาดสายตามองลั่วชิงยวนที่นอนอยู่บนพื้นหิมะอย่างเย็นชาก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “พากลับไป”องครักษ์สองนายเข้ามาพยุงลั่วชิงยวน แล้วพานางออกไปจากศาลาลั่วชิงยวนจ้องมองฟู่เฉินหวนด้วยดวงตาแดงก่ำ เมื่อสบเข้ากับสายตาเย็นชาของเขา หัวใจนางก็พลันเหมือนถูกบีบขณะที่นางถูกพาตัวออกไป เสียงซุบซิบนินทาดังขึ้นทั่วศาลาเสียดแทงโสตประสาทยิ่งนักเมื่อกลับถึงตำหนัก ฟู่เฉินหวนก็รีบจัดการวางกำลังคนไปจับตัวเฉินชีลั่วชิงยวนยืนรออยู่ท่ามกลางหิมะ จนกระทั่งเขาจัดการทุกอย่างเสร็จจึงเดินเข้าไปหา“ฟู่เฉินหวน...”ทว่าฟู่เฉินหวนกลับมองนางด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องตำรา แล้วปิดประตูใส่หน้าเสียงปิดประตูดังสนั่น ทำให้ลั่วชิงยวนสะดุ้งตกใจนางมิยอมแพ้ เดินไปเคาะประตู “ฟู่เฉินหวน ท่านรังเกียจหม่อมฉันแล้วใช่หรือไม่!”“เฉินชีกับลั่วฉิงร่วมมือกัน! เหตุใดท่านจึงหลอกเอาเข็มทิศของหม่อมฉันไป! ทั้งหมดนี้เป็นแผนของพวกเขา!”นางทุบประตูเรียก “ฟู่เฉินหวน ท่านต้องอธิบายให้หม่อมฉันฟัง!”ประตูเปิดออกกะทันหันฟู่เฉินหวนก้าวออกมาด้วยความโกรธ
ลั่วชิงยวนเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตาเบิกกว้างจ้องมองเขาด้วยความโกรธครั้นเห็นนางมิยอมอ้าปากแม้สักนิด เฉินชีจึงโน้มกายเข้าไปใกล้ แล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เจ้าอยากให้ข้าทำเกินเลยกว่านี้รึ?”ลั่วชิงยวนขบฟันแน่นก่อนจะยอมอ้าปากรับสิ่งที่เฉินชีป้อนให้เสียงฮือฮาดังขึ้นรอบด้าน“สวรรค์โปรด! สองคนนี้กำลังทำสิ่งใดกันอยู่”“พระชายาของท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการกำลังลักลอบคบชู้ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้หรือ?”เหล่าสตรีผู้สูงศักดิ์ต่างส่งคนไปทูลท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการให้รีบมาโดยพลันเฉินชีนั่งอยู่ในศาลา ยังคงจงใจแสดงท่าทีคลอเคลียกับลั่วชิงยวน แล้วกระซิบเสียงเบา “หลังจากวันนี้ เจ้าคงมิอาจอยู่ในเมืองหลวงได้อีกแล้วกระมัง?”“เหตุใดจึงมิติดตามข้ากลับแคว้นหลีเล่า?”“เจ้าเกิดมาเพื่อเป็นคนของแคว้นหลี”“ข้าสามารถส่งเจ้ากลับสู่ตำแหน่งเดิม ให้เป็นนักบวชหญิงผู้สูงส่งได้”“หากเจ้าเต็มใจ จงกะพริบตา แล้วข้าจะพาเจ้าไป”ช่างไร้ยางอาย!ลั่วชิงยวนเบิกตากว้างจนดวงตาแดงก่ำ มิยอมกะพริบตาแม้เพียงน้อยในใจนางก่นด่าเฉินชีนับร้อยครั้งครั้นเห็นนางดื้อรั้นเช่นนี้ เฉินชีกลับหัวเราะออกมา“ดูท่าว่าอาเหลายังคงรู้จักข้าดี”ทั
จนกระทั่งฟ้าสาง ผู้คนเริ่มทยอยออกมาตามถนนบรรยากาศบนท้องถนนเริ่มคึกคักขึ้น เฉินชียังคงโอบนางเดินไปข้างหน้าอย่างแช่มช้าในสายตาของคนภายนอก ทั้งสองดูสนิทสนมกันมากจนกระทั่งเดินผ่านร้านค้าแห่งหนึ่งก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจ “นั่นมิใช่พระชายาของอ๋องผู้สำเร็จราชการหรือ? เหตุใดนางจึง...”ลั่วชิงยวนได้ยินดังนั้น หัวใจก็พลันกระตุกแต่เฉินชีกลับยกยิ้มอย่างสาแก่ใจ แล้วพาลั่วชิงยวนไปที่ร้านขนมร้านนั้นก่อนจะแสร้งถามลั่วชิงยวนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าชอบกินอันไหน?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขาด้วยความโกรธเฉินชีกลับยิ่งหัวเราะอย่างลำพองใจเขาโยนถุงเงินหนัก ๆ ลงบนแผงร้าน “ข้าเหมาทั้งหมด!”เถ้าแก่ตกตะลึงจากนั้นเฉินชีก็หยิบขนมชิ้นหนึ่งมาป้อนที่ปากของลั่วชิงยวน “ลองชิมดูหรือไม่?”ลั่วชิงยวนจ้องมองเขา มิยอมอ้าปากแววตาของเฉินชีเย็นชา มือใหญ่เลื่อนไปที่ท้ายทอยของนางแล้วออกแรงบีบพลางยัดขนมเข้าไปในปากของนางด้วยรอยยิ้ม“กินสิ”ท้ายทอยของลั่วชิงยวนเจ็บปวด นางจำใจต้องอ้าปากกัดขนมชิ้นนั้นเฉินชีเห็นดังนั้นจึงพอใจมาก “ชอบหรือไม่?”เขามองนางด้วยสายตาคมกริบ ก่อนยกมือขึ้นเช็ดเศษขนมที่มุมปากของนางท่าทาง