“หล่างมู่ เซียวชู!” ลั่วชิงยวนร้องเรียกพลางชักกระบี่ แล้วหยุดฝีเท้าหันหลังกลับหล่างมู่กับเซียวชูก็หยุดเช่นกัน รีบเข้าต่อสู้ขัดขวางศัตรูที่ไล่ตามมา“ชิงยวน!” ซ่งเชียนฉู่ร้องด้วยความเป็นห่วง“พวกเจ้าไปก่อน พวกเราจะตามไป!” ลั่วชิงยวนตะโกนเร่งซ่งเชียนฉู่กับเฉินเซี่ยวหานรีบหนีไปอย่างรวดเร็วยิ่งลั่วชิงยวนต่อสู้กับศัตรูเหล่านี้ก็ยิ่งมั่นใจว่าพวกเขาคือคนแคว้นหลีมิใช่โจรธรรมดามิน่าแปลกใจที่ใช้เพลิงประกายแก้วเผาสำนักหุบเขาซีหลิงจี้เยวี่ยหลังจากต่อสู้กันอย่างดุเดือดก็สังหารศัตรูไปได้ส่วนหนึ่งมีคนกลุ่มใหญ่ปรากฏตัวขึ้น นำโดยชายผู้ถือกระบี่พิชิตมารเดินเข้ามาอย่างดุดันดวงตาคมกริบของเขาจ้องมองลั่วชิงยวนหล่างมู่จะเข้าไปสู้ แต่ลั่วชิงยวนรีบดึงไว้ “ไป!”“อย่ามัวสู้ติดพัน”ถ่วงเวลาให้ซ่งเชียนฉู่ได้มากที่สุดก็พอทั้งสามคนรีบวิ่งหนีชายผู้ถือกระบี่พิชิตมารเร่งฝีเท้า แล้วกระโจนเข้ามา คมกระบี่พุ่งเข้าใส่ลั่วชิงยวนลั่วชิงยวนรู้ตัว รีบหันไปรับมือทันทีทันใดนั้นก็มีเงาดำพุ่งลงมาจากฟ้า แล้วใช้กรงเล็บแหลมคมตะปบชายผู้นั้นอย่างแรง เขายกมือขึ้นป้องหน้าลั่วชิงยวนชะงักอาศัยจังหวะที่อาเส
ซ่งอวี่ที่นั่งพักอยู่ด้านข้างกล่าวว่า “เมื่อรอดพ้นภัยครั้งนี้ พวกเจ้าก็นำเครื่องยาสมุนไพรออกไปช่วยเหลือผู้คนได้”เฉินเซี่ยวหานพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พวกมันรู้แล้วว่าเราอยู่บนเขา คงจะพยายามตามฆ่าเราให้ได้แน่นอน หากจับเรามิได้ คงมิยอมจากไปง่าย ๆ ““ที่นี่จะซ่อนได้นานสักเท่าใด”คงซ่อนได้มินานจริง ๆลั่วชิงยวนถาม “หล่างมู่ ก่อนเจ้าจะขึ้นมา ซีหลิงเป็นอย่างไรบ้าง? มีโจรกลุ่มอื่นอีกหรือไม่?”หล่างมู่พยักหน้า “มีขอรับ”“มีมิน้อยเลย พวกมันก่อกวนหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านต้องหลบหนี และปล้นชิงอาหาร”“แต่พี่หญิงวางกำลังไว้แล้ว น่าจะป้องกันได้”ลั่วชิงยวนมิแปลกใจ นางพูดด้วยน้ำเสียงจริงใจ “พวกนั้นมิใช่โจรธรรมดา แต่เป็นคนแคว้นหลีปลอมตัวมา”“สาเหตุที่ก่อกวนชาวบ้านคงเพื่อแพร่เชื้อโรคระบาด”“ยากที่จะรับมือ”“ทหารม้าสามพันนายที่เรานำมากระจายกำลังกันป้องกัน ต้องดูแลความปลอดภัยของชาวบ้าน ถอนกำลังมิได้”“มิเพียงแต่ถอนกำลังมิได้เท่านั้น แต่เรายังต้องส่งยาไปให้พวกเขาด้วย!”“มิเช่นนั้นหากโรคระบาดลุกลาม ต่อให้มีทหารหมื่นนายก็ควบคุมมิได้”ซ่งอวี่ได้ฟังดังนั้นก็กังวล “เครื่องยาสมุนไพรที่นี่ จะนำออกไปท
ลั่วชิงยวนฉวยแขนหล่างมู่ไว้พลางดึงให้ถอยหลังกลับเปลี่ยนทิศทางหนีเอาชีวิตรอด แม้ร่างจะพุ่งผ่านไปเพียงชั่วพริบตา แต่ก็มิอาจรอดพ้นสายตาของชายผู้ตามล่าดวงตาคมดุจเหยี่ยวของเขาฉายแววเยือกเย็นราวกับสัตว์ป่าที่ได้กลิ่นเลือด เขาชักกระบี่พิชิตมารขึ้น กระโจนตามติดไปอย่างมิลดละลั่วชิงยวนดึงหล่างมู่วิ่งหนี แสงไฟจากเพลิงไหม้ที่ลุกโชนในสำนักใหญ่ส่องสว่างให้เห็นเงาของทั้งสองอย่างชัดเจนเมื่อรู้สึกว่าคนข้างหลังไล่ตามมาติด ๆ ลั่วชิงยวนจึงดึงหล่างมู่เปลี่ยนทิศทางวิ่งเข้าไปในความมืดมิด“พี่หญิง ท่านหนีไปก่อนเถิดขอรับ ข้าจะขัดขวางเขาไว้เอง!”หล่างมู่เอ่ยพลางจะส่งถุงยาให้นาง แล้วหันไปเผชิญหน้ากับชายผู้ตามหลังแต่ลั่วชิงยวนกลับจับแขนหล่างมู่ไว้แน่น “มิได้! เจ้ามิใช่คู่ต่อสู้ของเขา!”“มิได้ลองดูจะรู้ได้อย่างไรขอรับ!” หล่างมู่ปรารถนาจะปกป้องลั่วชิงยวน และคอยคุ้มกันให้นางหนีไปก่อนแต่ลั่วชิงยวนมิยินยอม“เจ้ามิเชื่อฟังคำของพี่หญิงหรือ?”หล่างมู่จึงเงียบไปลั่วชิงยวนหยิบเข็มทิศขึ้นมา แล้วกรีดฝ่ามือเพื่อใช้เลือดเป็นเครื่องบูชาอัญเชิญวิญญาณมาต่อสู้แต่ภูตผีปีศาจบนภูเขาลูกนี้มีน้อยจึงมิค่อยทรงพลังนัก
ทั้งสองแวะเก็บผลไม้ระหว่างทาง เผื่อมีโอกาสจะนำไปให้พวกซ่งเชียนฉู่ด้วยมินานอาเสินก็กลับมาลั่วชิงยวนมอบห่อสมุนไพรชุดที่สองให้ทั้งสองคนรีบเปลี่ยนที่ซ่อนอีกครั้งคนพวกนั้นมิลงจากเขา ยังคงค้นหาไปทั่วบางครั้งลั่วชิงยวนกับหล่างมู่ก็เผชิญหน้ากับศัตรู แต่พวกเขาก็สามารถจัดการได้อย่างเงียบเชียบ แล้วหนีไปจากนั้นก็ยังวนเวียนอยู่บนเขาค่อย ๆ ส่งห่อสมุนไพรออกไปจนหมดในป่าแห่งหนึ่ง เฉินชีเดินมามองศพที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาเย็นชา“นายท่าน พวกมันหนีไปอีกแล้ว ทั้งสองคนมีฝีมือ จะเพิ่มกำลังคนหรือไม่ขอรับ?”เฉินชีหรี่ตาครุ่นคิด ดวงตาเป็นประกาย มุมปากพลันแสยะยิ้ม “สตรีผู้นี้ช่างน่าสนใจ”“เรียกคนทั้งหมดมา”“ข้าต้องการตัวนาง!”ผู้ใต้บังคับบัญชาตกใจ “ทั้งหมดเลยหรือขอรับ? แต่พวกเขายังมีภารกิจอื่น”เฉินชีกล่าวเสียงเย็น “เหยี่ยวตัวนั้นบินลงเขาหลายครั้ง คาบอะไรบางอย่างไปด้วย น่าจะเป็นห่อยา”“เจ้าจิ้งจอกเฒ่าซ่งอวี่ยังมีสมุนไพรอยู่ ตอนนี้จะขัดขวางก็มิทันแล้ว ภารกิจของพวกมันต้องล้มเหลว”“ยิ่งกว่านั้น ข้าสนใจนางมากกว่าชีวิตพวกต่ำต้อยเหล่านั้น”ดวงตาของเฉินชีเป็นประกาย “ส่วนคนที่เหลือต้องซ่อนอยู่ใ
เหล่าศัตรูจำนวนมากบุกเข้าล้อมพวกเขาอย่างรวดเร็วซ่งอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “วางข้าลงเถิด หากพาข้าไปด้วย พวกเจ้าจะหนีมิพ้น”“ท่านพ่อ ข้าจะมิทิ้งท่านไปไหนทั้งนั้น” ซ่งเชียนฉู่กล่าวอย่างแน่วแน่ทุกคนเตรียมพร้อมจะต่อสู้จากนั้นศึกอันดุเดือดก็ปะทุขึ้นครั้งนี้รุนแรงยิ่งนักคมกระบี่และคมดาบปะทะกัน จิตสังหารลุ่งพล่านรุนแรงในการต่อสู้ ฝ่ายที่มีคนน้อยกว่าต่างเหนื่อยล้า ลั่วชิงยวนจำต้องใช้กลวิธีพิเศษ นางรู้สึกได้ว่าสายตาของเฉินชีจ้องมองนางอยู่ตลอดเวลา นับตั้งแต่ที่ทำลายวงเวทสะกดวิญญาณ เฉินชีคงจับตามองนางมาแล้วแต่ลั่วชิงยวนไม่มีทางเลือกอื่น ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ การเอาชีวิตรอดสำคัญที่สุด!นางกรีดฝ่ามือตัวเอง แล้วใช้เลือดเป็นเครื่องบูชาอัญเชิญวิญญาณมาต่อสู้นางเรียกวิญญาณของผู้คนในสำนักใหญ่ทั้งหมดออกมาครั้งนี้เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ลมพายุปั่นป่วน ทำให้เฉินชีเปลี่ยนสีหน้าเขามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดวงตาของเขามิได้แสดงความหวาดกลัว แต่กลับมีเปลวไฟแห่งความกระหายที่ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น“น่าสนใจ”วิญญาณมากมายส่งเสียงร้องครวญครางโหยหวนอย่างน่าสยดสยอง เสียงนั้นดุร้ายอย่างยิ่งพลั
ทุกคนวิ่งหนีในความมืดเมื่อวิ่งออกจากป่ามาถึงหน้าผา ลมหนาวก็พัดกระหน่ำ ทำให้ต้องฝีเท้าชะงัก“อยู่ข้างล่างนี้”ซ่งเชียนฉู่ประคองลุงซ่งลงพื้นทุกคนมาถึงริมหน้าผาแล้วมองลงไป มันมืดสนิท มองมิเห็นว่าข้างล่างลึกเท่าใด รู้แต่ว่าหากตกลงไป ร่างคงแหลกละเอียดแน่“มีเถาวัลย์อยู่ด้านข้าง พวกเจ้ารีบลงไปเถิด” ซ่งอวี่เร่ง“ท่านลุงซ่ง ข้าจะแบกท่านลงไป” เฉินเซี่ยวหานแก้เข็มขัดเตรียมจะมัดตัวเองกับซ่งอวี่แต่ซ่งอวี่ยกมือห้าม “ข้าจะอยู่ที่นี่ พวกมันจะตามมา ข้าจะกระโดดลงไปต่อหน้าพวกมัน พวกมันจะได้มิตามลงมา”“ข้างล่างนี้แม้จะเป็นสุสานของตระกูลซ่ง แต่ไม่มีทางลงเขา หากพวกมันตามมาก็จะหนีไปไหนมิได้”ซ่งเชียนฉู่ได้ฟังดังนั้นก็ร้อนใจ “ท่านพ่อ! หากท่านจะอยู่ที่นี่ ข้าก็จะอยู่ด้วย!”นางจะทิ้งบิดาไปได้อย่างไร เขาคือญาติเพียงคนเดียวของนางซ่งอวี่ยังจะพูดต่อลั่วชิงยวนยืนริมหน้าผาแล้วใช้คันฉ่องสุริยันจันทราส่องดู จึงเห็นแสงวาววับแวบอยู่ข้างล่างมิเหมือนทางตัน“ไม่มีเวลาแล้ว ลงไปก่อนเถิด” นางรีบเร่งเฉินเซี่ยวหานมิรอช้า แบกซ่งอวี่ขึ้นแล้วใช้เถาวัลย์มัดตัว โรยตัวลงไปตามหน้าผาลั่วชิงยวนกับคนอื่น ๆ ก็รีบตา
คนอื่น ๆ ก็เห็นแล้วเช่นกันไม่มีเวลาแล้ว ทุกคนรีบวิ่งไปยังอีกฝั่ง สะพานจึงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงโชคดีที่สะพานแข็งแรง ไม่มีใครตกลงไปข้างล่างแต่เฉินชีกับพรรคพวกข้างหลังก็ลงมาถึงพื้นแล้วลั่วชิงยวนหันไปมอง แล้วเห็นเฉินชีวิ่งมาโดยมิพาคนตามมาด้วยนางชะงัก รู้สึกสังหรณ์ใจมิดีแล้วก็เห็นเฉินชีถือกระบี่พิชิตมารเดินไปที่ริมสะพาน เขาแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายแล้วใช้กระบี่ฟันโซ่เส้นหนึ่งแคร้ง!โซ่ขาดสะบั้น ร่วงลงไปในหุบเหวสะพานสั่นคลอนอย่างรุนแรงโชคดีที่ยังมีโซ่อีกเส้นยึดไว้ทุกคนบนสะพานต่างตื่นตระหนกเฉินชียกกระบี่พิชิตมารขึ้นเตรียมจะตัดโซ่อีกเส้นหากโซ่ขาดอีกเส้นสะพานจะพลิกคว่ำและทุกคนจะตกลงไปซ่งอวี่ร้องตะโกน “หยุดนะ! เจ้าต้องการสมุนไพร ข้าจะยกให้ทั้งหมด! ปล่อยพวกเขาไป!”เขาจะมิยอมให้ลูกสาวและคนอื่น ๆ ต้องมาตายที่นี่!เฉินชีหัวเราะเย็นชา “มาถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าคิดว่าข้ายังสนใจสมุนไพรพวกนั้นอีกรึ?”กล่าวจบ เขาก็ยกกระบี่พิชิตมารฟันไปที่โซ่อีกเส้นหากโซ่เส้นนี้ขาดพวกเขาจะตกหน้าผาตายหมดอย่างมิต้องสงสัย!ทุกคนใจหายวาบลั่วชิงยวนมิสนใจอะไร ร้องตะโกน “เฉินชี!”ทันทีที่คำนี้หลุ
เฉินชีผู้ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามก็อดทนใจเย็น เขาหรี่ตามองนางพลางยกยิ้มอย่างมีเลศนัยจนกระทั่งอาเสินบินวนกลับมา ลั่วชิงยวนจึงรู้ว่าพวกเขาลงจากสะพานอย่างปลอดภัยแล้วนางจึงก้าวเท้าก้าวสุดท้ายขึ้นไปบนลานเฉินชีเดินเข้ามาบีบคางนาง แล้วจ้องมองด้วยสายตาเหี้ยมโหด “เจ้าเป็นใคร?”“เหตุใดเจ้าจึงรู้จักข้า?”“วงเวทอัญเชิญวิญญาณ วงเวทสะกดวิญญาณ เจ้าเป็นคนแคว้นหลีหรือ?”“เหตุใดข้ามิเคยเห็นเจ้ามาก่อน?” ผู้ที่รู้จักมนตราเช่นนี้ย่อมมิใช่คนธรรมดาในแคว้นหลีต้องเป็นคนในสำนักนักบวชแต่เขามิเคยเห็นสตรีตรงหน้ามาก่อนลั่วชิงยวนจ้องมองเขา แล้วสะบัดมือเขาออก “แม่ทัพใหญ่เฉินชีมาแคว้นเทียนเชวียเพื่อช่วยลั่วฉิงใช่หรือไม่?”“น่าเสียดาย ลั่วฉิงบอกเล่าเรื่องของแม่ทัพใหญ่หมดแล้ว”เหตุผลที่เฉินชีมาที่นี่ ลั่วชิงยวนคิดได้เพียงว่าต้องมาช่วยลั่วฉิงนางพยายามยุยงให้เฉินชีกับลั่วฉิงแตกคอกันแต่เฉินชีกลับหัวเราะเยาะ “ดูเหมือนเจ้าจะรู้อะไรมิน้อย แม้แต่ลั่วฉิงก็ไม่มีความสามารถพอจะต่อกรกับเจ้า!”“แผนล้มเหลวก็มิเป็นอะไร ข้าแค่มาร่วมสนุก ทว่าหากจับเจ้ากลับไปได้ก็พอให้ข้าเล่นสนุกได้พักหนึ่ง นับว่า... มามิเสียเที่ยว”
ลั่วชิงยวนตกตะลึง อารมณ์ความรู้สึกของนางดำดิ่งเป็นไปตามที่นางคาดเดาเอาไว้ว่ามิเหลือแม้แต่ศพอย่างนั้นหรือ?“มิพบศพด้วยซ้ำ” อวี๋โหรวกล่าวเสียงขรึมดวงตาของลั่วชิงยวนหม่นลง ดูเหมือนว่าร่างนั้นจะถูกกำจัดไปแล้วจริง ๆ ส่วนจะกำจัดอย่างไรและทิ้งไว้ที่ไหน บางทีอาจมีเพียงฆาตกรเท่านั้นที่รู้“น่าเสียดายจริง ๆ” ลั่วชิงยวนทอดถอนใจด้วยความเสียดายอวี๋โหรวจ้องนางด้วยสายตาจริงจังและพูดอย่างหนักแน่น “มิน่าเสียดายหรอก ข้าเชื่อว่าเจ้าจะกลายเป็นนางคนต่อไป!”ทันใดนั้น สายตาที่จริงจังของอวี๋โหรวก็ทำให้ลั่วชิงยวนรู้สึกเย็นวาบไปถึงสันหลังและยังสงสัยด้วยว่าอวี๋โหรวจะสังเกตเห็นอะไรบางอย่างหรือไม่ทว่าแม้แต่ศิษย์น้องหญิงก็จำนางมิได้ อีกทั้งอวี๋โหรวก็มิได้สนิทสนมกับนาง แล้วจะจำนางได้อย่างไรลั่วชิงยวนยิ้มและกล่าวว่า “ข้าจะถือว่านั่นคือคำปลอบใจก็แล้วกัน”อวี๋โหรวพูดอย่างจริงจัง “ข้ามิได้ปลอบใจเจ้า ข้าพูดจริง”หลังจากนั้น อวี๋โหรวก็ยิ้มอีกครั้งและพูดว่า “ทางข้ายังพอมียาอยู่บ้าง หากเจ้าต้องการอะไรก็บอกข้าได้เลย”ลั่วชิงยวนมิค่อยเข้าใจว่า เหตุใดอวี๋โหรวถึงทำดีกับนางนางมิค่อยรู้จักอวี๋โหรวมากนัก ในภาพจ
หรือเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในพลังความแข็งแกร่งของลั่วชิงยวน?แต่เมื่อมาครุ่นคิดดูตอนนี้ สตรีที่สามารถทำให้เซินฉีหลงใหลได้ถึงเพียงนี้คงไม่มีทางที่จะเป็นขยะไร้ค่าแม้จะมิได้แข็งแกร่งกว่าเฉินชี แต่ก็เป็นคนที่สามารถต่อกรกับเขาได้อย่างสูสีเพราะเช่นนี้เขาจึงมิแลเกาเหมียวเหมี่ยวเลยด้วยซ้ำ……เมื่อกลับมาถึงห้องลั่วชิงยวนก็นั่งลงพักผ่อนเฉินชีเดินตามเข้ามาและนั่งลงข้าง ๆ นาง พร้อมกับรินชาสองจอก“สมแล้วที่เป็นอาเหลา มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่กล้าทำให้เกาเหมียวเหมี่ยวตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น! ข้าชอบ!” มีแสงประกายเจิดจ้าส่องสว่างในดวงตาของเฉินชีสายตาของเขาดูเหมือนอยากจะกลืนกินลั่วชิงยวนเข้าไปทั้งตัวลั่วชิงยวนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกาเหมียวเหมี่ยวได้รับบาดเจ็บสาหัส ฝ่าบาทกับฮองเฮาคงมิยอมปล่อยข้าไปแน่ คงต้องให้เจ้าช่วยออกหน้าให้แล้ว”เฉินชียิ้มมุมปาก “วางใจได้ มีข้าอยู่ทั้งคน”ลั่วชิงยวนที่ยังกังวลอยู่เล็กน้อยกำชับด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เฉินชี ครั้งนี้เจ้าจะยืนนิ่งดูดายอีกมิได้แล้ว เพราะหากข้าตาย แผนทั้งหมดของเจ้าก็จะสูญเปล่า”“ใต้หล้านี้ไม่มีลั่วเหลาคนที่สองหรอกนะ”เฉินชีพยักหน้าอย่างจริงจ
เลือดสด ๆ ยังคงไหลมิหยุด ไหลนองไปตามร่องลึกของลวดลายวงเวทบนพื้นดินคาดมิถึงว่ามันจะค่อย ๆ ทำให้อักษรเวทของวงเวทส่องแสงขึ้นจากนั้นหมอกสีเขียวจาง ๆ ก็กระจายฟุ้งอยู่รอบตัวลั่วชิงยวนสิ่งเหล่านั้นล้วนเป็นไอโอสถทั้งสิ้นหอรักษ์ดาราแห่งนี้ยังเป็นสถานที่ที่สามารถกลั่นไอโอสถจากเลือดได้ และไอโอสถเหล่านี้ก็สามารถรักษาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสได้ลั่วชิงยวนหลับตาและสูดลมหายใจด้วยความเพลิดเพลิน ทำให้ร่างกายที่ปวดร้าวของนางดูเหมือนจะผ่อนคลายลงนี่อาจจะเป็นความหมายของการมีอยู่ของแท่นประลองหอรักษ์ดาราแต่ไอโอสถนี้ก็จางลงอย่างรวดเร็วลั่วชิงยวนปล่อยเกาเหมียวเหมี่ยว นางยืนขึ้นพร้อมกับยืดเส้นยืดสาย และเดินลงจากแท่นประลองคนอื่นที่อยู่รอบ ๆ ต่างมองมาที่นางด้วยสายตาที่หวาดกลัวมากขึ้น และพวกเขาก็มิกล้าพูดจาดูถูกเหยียดหยามนางเหมือนก่อนหน้านี้อีกต่อไปแล้วลั่วชิงยวนกวาดตามองอย่างเรียบเฉย จากนั้นก็มองไปที่เฉินชีด้วยสายตาลึกซึ้งแล้วเดินจากไปเกาเหมียวเหมี่ยวที่ได้รับบาดเจ็บถูกปลดแส้ออกอย่างรวดเร็วและถูกช่วยลงจากแท่นประลอง นางกัดฟันแน่นพลางจ้องตามหลังลั่วชิงยวนที่กำลังเดินออกไปครู่ต่อมา นางก็เห
“โอ้สวรรค์ ข้าคงมิได้ตาลายใช่หรือไม่?”“นางไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน!”ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าเกาเหมียวเหมี่ยวคือใครนางมิเพียงมีสถานะองค์หญิงที่สูงส่งเท่านั้น แต่ยังมีโอกาสที่จะได้สืบราชบัลลังก์ในภายภาคหน้าอีกด้วยเนื่องจากองค์ชายใหญ่มีความสามารถปานกลาง จึงมิเป็นที่โปรดปรานขององค์จักรพรรดิและฮองเฮา ทว่าองค์หญิงผู้นี้กลับแข็งแกร่งและไร้ความปรานี จึงได้รับความโปรดปรานจากพวกเขาไม่มีใครในเมืองหลวงกล้าขัดใจนางเว้นเสียแต่ เฉินชีเพราะนางชอบเขาทว่าแม้จะเป็นเฉินชี แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นเขาก็ให้เกียรตินางมากลั่วชิงยวนผู้นี้กล้ามากถึงขั้นเหยียบย่ำองค์หญิงต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้!เกาเหมียวเหมี่ยวพยายามดิ้นพร้อมกับก่นด่าไปด้วย “ลั่วชิงยวน ปล่อยข้าเดี๋ยวนี้! หากเจ้ามิปล่อยข้า ข้าจะทำให้เจ้าตายจนหาที่ฝังมิได้เลยคอยดู!”“ท่านนี่พูดมากนัก เงียบเสีย!”ลั่วชิงยวนมองนางด้วยสายตาเย็นชา พลางคว้าแส้แล้วดึงมันอย่างแรงทันใดนั้นแส้ที่คอของเกาเหมียวเหมี่ยวก็รัดแน่นขึ้นบังคับให้เกาเหมียวเหมี่ยวต้องเชิดหน้าขึ้นสูงแต่ยังคงถูกแส้รั้งไว้จนหน้าแดงนางหายใจมิออกจนเส้นเลือดแตกและตา
ลั่วชิงยวนถูกแส้ฟาดจนกระอักเลือด ทำให้อาภรณ์ชุดขาวของนางมีรอยเปื้อนสีแดงมีรอยแส้ที่น่าสะเทือนใจพาดอยู่บนหลังของนางเป็นเส้น ๆทุกคนที่อยู่รอบนอกต่างรู้สึกหวาดกลัวมีคนที่อดมิได้ที่จะกระซิบขึ้นว่า “มิยุติธรรมเลย คนหนึ่งมีอาวุธ แต่อีกคนไม่มี นี่มันจงใจแกล้งกันชัด ๆ มิใช่หรือ”“ชู่! พระนางเป็นองค์หญิง ถึงพระนางจะจงใจฆ่าลั่วชิงยวน แล้วใครจะพูดอะไรได้ ระวังไว้เถิด หากนางจับได้ เจ้าได้เดือดร้อนแน่”ทุกทิศมีแต่ความเงียบงันไม่มีใครกล้าพูดอะไรใครใช้ให้เกาเหมียวเหมี่ยวเป็นองค์หญิงเล่า?นางคือองค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานมาตั้งแต่ยังเล็กนางกลายเป็นคนเย่อหยิ่งบ้าอำนาจ และวิธีการของนางเลวทรามมิน้อยไปกว่าเฉินชีเลยทุกคนในที่นี้ล้วนไม่มีใครกล้าขัดทว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สามารถช่วยลั่วชิงยวนได้ แต่คนผู้นั้นกลับนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ พลางมองลั่วชิงยวนที่ถูกฟาดบนพื้นจนร่างกายเต็มไปด้วยเลือดมีแสงประกายเจิดจ้าอยู่ในดวงตาของเขาและเจือไปด้วยความยินดีปรีดาลั่วชิงยวนกลิ้งไปบนพื้นและทันใดนั้นก็กระอักเลือดออกมาเต็มปากนางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นสายตาที่แสดงถึงความตื่นเต้นดีใจของเฉินชี เขาม
“สตรีนางนี้ตอบสนองได้รวดเร็วยิ่งนัก”“การตอบสนองเร็วเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การเอาชนะคู่ต่อสู้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”“พลังความสามารถของจั๋วฉ่างตงนั้นสูงมาก แม้แต่บรรดาคนที่อยู่ที่นี่ก็ยังมีเพียงมิกี่คนเท่านั้นที่สามารถเอาชนะนางได้”ผลลัพธ์ของการประลองครั้งนี้ ไม่มีอะไรให้ต้องลุ้นแล้วทว่าขณะที่ทุกคนกำลังพูดคุยกัน ทันใดนั้นจั๋วฉ่างตงก็ล้มลงอย่างแรงเมื่อทุกคนจ้องมองไปและแน่ใจว่าคนที่ลอยตกลงมาคือจั๋วฉ่างตง พวกเขาก็พากันตกตะลึงงัน“ข้าเห็นมิชัดเลย จั๋วฉ่างตงกระเด็นออกไปได้อย่างไรกัน?”ทุกคนต่างสงสัยจั๋วฉ่างตงกระอักเลือดและเงยหน้ามองคนผู้นั้นด้วยความตกตะลึง ดวงตาของนางเยือกเย็นจนน่าหวาดกลัวเป็นไปได้อย่างไรกันนางเป็นขยะไร้ค่ามิใช่รึคราวก่อนที่ส่งคนไปทดสอบ ก็เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าไม่มีพลังที่จะรับมือได้เลย เป็นไปมิได้ที่จู่ ๆ นางจะเปลี่ยนมาร้ายกาจถึงเพียงนี้!จั๋วฉ่างตงมิยอมรับ นางดีดตัวขึ้นและพุ่งไปหาลั่วชิงยวนอีกครั้งดวงตาของลั่วชิงยวนเปลี่ยนเป็นเย็นชา ร่างกายของนางเคลื่อนไหวรวดเร็วจนกลายเป็นภาพลวงตา พลางปล่อยหมัดออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าลั่วชิงยวนต่อยจั๋วฉ่างตงอย่างรุนแรงจนกระเด็น จากน
“ได้ยินมาว่านางจะประลองกับจั๋วฉ่างตงที่หอรักษ์ดาราในวันพรุ่ง”แม้หลายปีมานี้จั๋วฉ่างตงจะมิได้ดำรงตำแหน่งขุนนางใด ๆ แต่กำลังความสามารถของนางก็ถือว่าโดดเด่นที่สุดในบรรดาคนรุ่นเดียวกันอย่างแน่นอน“แล้วเจ้ามิช่วยนางเล่า? เหตุใดจึงปล่อยให้นางขโมยโอสถทะลวงปราณไป?”ขณะนี้ เฉินชีที่อยู่ในห้องเดินออกมาอย่างช้า ๆ พร้อมมองไปยังทิศทางที่ลั่วชิงยวนหนีไปด้วยดวงตาที่เป็นประกายริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา“ข้าชอบที่เห็นนางอยู่ในสภาพบาดเจ็บเลือดตกยางออก”“ยิ่งนางจนมุมข้าก็ยิ่งปรีดา”เฒ่าโอสถขมวดคิ้วและส่ายหัวด้วยอารมณ์ซับซ้อน “สตรีบ้านไหนได้เจอเจ้า ถือว่าโชคร้ายที่สุดจริง ๆ”……หลังจากกลับมาถึงห้องอย่างปลอดภัยแล้ว ลั่วชิงยวนก็รีบเปลี่ยนอาภรณ์และนั่งขัดสมาธิบนตั่งนุ่มข้างหน้าต่างนางหยิบโอสถทะลวงปราณ และนำเข็มทิศอาณัติแห่งสวรรค์ออกมาทำการบำเพ็ญตนแค่คืนเดียวก็เพียงพอที่จะนำเอาประสิทธิภาพสูงสุดของโอสถทะลวงปราณออกมาได้แม้จะมิสามารถฟื้นฟูพลังยุทธได้อย่างสมบูรณ์ แต่ก็สามารถฟื้นคืนมาได้อย่างน้อยเจ็ดถึงแปดในสิบส่วนเพียงแค่จัดการกับจั๋วฉ่างตงได้ก็พอแล้ว……วันต่อมาเวลารุ่งสางบริเวณร
เกาเหมียวเหมี่ยวกำหมัดแน่น รู้สึกโมโหมากจนแทบจะปรี๊ดแตกออกมาความรู้สึกอับอายถาโถมเข้ามาหานางเหมือนกับคลื่นยักษ์“เฉินชี คอยดูเถอะ!” เกาเหมียวเหมี่ยวจ้องมองเขาด้วยความโกรธเกรี้ยวนางสวมอาภรณ์แล้วหนีไปทันที……คืนก่อนวันประลองที่หอรักษ์ดาราทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในความเงียบสงบหลังจากลั่วชิงยวนพักผ่อนได้หนึ่งวัน นางก็เปลี่ยนอาภรณ์เป็นชุดท่องราตรีนางแอบเปิดประตูห้องแล้วอาศัยจังหวะที่บริเวณรอบ ๆ ไม่มีคน มุ่งหน้าไปยังหอปรุงโอสถทั้งยังปล่อยเตี่ยฉุยออกมาเพื่อช่วยนางดูคนที่ผ่านไปมาให้อีกแรงหอปรุงโอสถเป็นสถานที่สำคัญของสำนักนักบวช บุคคลทั่วไปมิได้รับอนุญาตให้เข้าไปตามใจชอบ หากนางถูกจับได้ จะต้องตายสถานเดียวทว่าหากมิขโมยโอสถ วันพรุ่งก็ต้องตายในการประลองที่หอรักษ์ดาราอยู่ดีดังนั้นนางจึงทำได้เพียงยอมเสี่ยงดูสักครั้งลั่วชิงยวนอาศัยความที่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ได้อย่างรวดเร็ว ทำการหลบเลี่ยงจุดที่อาจจะมีคนและมาถึงด้านนอกของหอปรุงโอสถขณะนี้ หอปรุงโอสถเงียบสงบและไม่มีใครเฝ้ายามลั่วชิงยวนเดินเข้ามาในลานจนถึงประตูที่ลงกลอนเอาไว้นางดึงปิ่นปักผมออกมาปลดกลอนประตูอย่างชำนาญจากนั้นก
“ใครให้เจ้าใช้กลิ่นกล้วยไม้? คิดว่าตัวเองคู่ควรกับมันรึ?”แววตาอันชั่วร้ายและกลิ่นอายสังหารทั่วร่างที่แผ่ออกมาทำให้หลานจีหวาดกลัวจนต้องดิ้นรนอย่างสุดชีวิต“ท่าน… ท่านแม่ทัพ ท่านเป็นให้ข้าใช้มันเองนะเจ้าคะ”ดวงตาของเฉินชีเปลี่ยนเป็นเยือกเย็น เขาโยนหลานจีออกจากห้องอย่างโหดร้าย“นับตั้งแต่วันนี้ห้ามใช้น้ำหอมกลิ่นกล้วยไม้อีก ไสหัวไป!”หลานจีล้มออกมานอกห้องอย่างแรงจนกลิ้งตกขั้นบันไดและกระอักเลือดออกมา ทำให้ตกอยู่ในสภาพที่ดูมิได้อย่างยิ่งนางเงยหน้าขึ้นด้วยความมิอยากเชื่อ มิเข้าใจว่าเหตุใดอารมณ์ของท่านแม่ทัพถึงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหันเมื่อก่อนเขาชอบดูนางร่ายรำเป็นที่สุด และชอบกลิ่นหอมของกล้วยไม้บนตัวของนางด้วยเช่นกันเหตุใดจู่ ๆ ถึง…หลานจีพยายามลุกขึ้นจากพื้นพลางมองไปที่เฉินชีที่ยังคงดื่มอยู่ในห้อง “ท่านแม่ทัพมีเรื่องอันใดมิสบายใจใช่หรือไม่เจ้าคะ หลานจียินดีช่วยแบ่งเบาความกังวลให้ท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ!”ทันใดนั้นก็มีบุคคลหนึ่งก้าวออกมาจากด้านหลัง ร่างนั้นเดินผ่านหน้านาง และได้ตบนางอย่างแรงทำให้หลานจีล้มลงกับพื้นอีกครั้ง“ไล่ให้เจ้าไสหัวไปแต่กลับมิทำ จะรอข้ามาถลกหนังรึไร?” ดวงตาของเก