ฟู่เฉินหวนมิได้ตอบกลับ ภายในใจเต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายอาจเป็นเพราะแผ่นดินอันกว้างใหญ่และใต้หล้าที่อิสระของเผ่านอกด่านเหมาะสมกับนางมากกว่า มิกลับมาก็มิเป็นอะไร จู่ ๆ ฟู่เฉินหวนก็เจ็บแปลบขึ้นในอกจนต้องเอามือกุมหน้าอกไว้ “ท่านอ๋อง เจ็บแผลอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ? รีบพักผ่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ” “กระหม่อมจะคอยเฝ้าอยู่พ่ะย่ะค่ะ” ทันใดนั้นทหารก็มาแจ้งว่า “ท่านอ๋อง มหาราชาจารย์เหยียนมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เซียวชูได้ยินดังนั้นก็ตกใจ ส่วนฟู่เฉินหวนขมวดคิ้วและอยากจะลุกขึ้น แต่กลับลุกมิไหวเพราะความเจ็บปวดแสนสาหัส “ท่านอ๋อง หากมหาราชาจารย์เหยียนรู้ว่าท่านบาดเจ็บ ย่อมจะหาทางทำร้ายท่านเป็นแน่พ่ะย่ะค่ะ!” เซียวชูบอกทหารว่า “ไปเถอะ! บอกไปว่าขณะนี้ท่านอ๋องมิอยู่ในเมืองผิงหนิง” “เตรียมที่พักให้มหาราชาจารย์เหยียนก่อน” ฟู่เฉินหวนกุมหน้าอกพลางพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “มหาราชาจารย์เหยียนมาถึงเมืองผิงหนิงโดยมิแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ย่อมมีเจตนาร้ายบางอย่าง” “สั่งลงไป อย่าให้เขาพบกับซือซิงและหล่างชิ่น” มหาราชาจารย์เหยียนเดินทางไกลมาด้วยตัวเอง ย่อมเป็นเพราะเกรงว่าฟู่เฉินหวนจะจับได้ว่า เขาสมคบคิดกั
“ข้าน้อยอยู่ตรงนี้ขอรับ!”“มิว่าฟู่เฉินหวนจะอยู่ในเมืองผิงหนิงหรือไม่ เขาก็มิกล้าที่จะมิมาพบหน้าข้า ย่อมมีความผิดปกติ เจ้าจงรีบไปตามซือซิงมาโดยด่วน ข้าต้องการพบเขา”“รับทราบขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียนจึงอยู่ในเมืองนานขึ้นอีกระยะหนึ่ง หนึ่งชั่วโมงต่อมา ถิงกวงก็มาอยู่ตรงหน้ามหาราชาจารย์เหยียน “ท่านมหาราชาจารย์ พบที่คุมขังซือซิงแล้วขอรับ”มหาราชาจารย์เหยียนลุกขึ้น ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธแค้น เมื่อประตูห้องเปิดออก ซือซิงก็เห็นมหาราชาจารย์เหยียนเดินเข้ามาด้วยท่าทางน่าเกรงขาม“ท่านมหาราชาจารย์...” ซือซิงรู้สึกตื่นตระหนกทันใดดวงตาของมหาราชาจารย์เหยียนเฉียบคม “ฟู่เฉินหวนให้สิ่งใดแก่เจ้าจึงทำให้เจ้าทรยศข้า?”ซือซิงอธิบายด้วยความตื่นตระหนก “ท่านมหาราชาจารย์ เป็นเพราะลั่วชิงยวนใช้ป้ายของท่านหลอกลวงข้า! ข้าจึงหลงคิดว่าเป็นคำสั่งของท่านขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียนตกใจเมื่อได้ฟังดังนั้น ป้ายของเขาหายไปเมื่อมินานมานี้ แต่หายไปตอนอยู่ที่จวนมหาราชาจารย์ เหตุใดจึงตกไปอยู่ในมือลั่วชิงยวนได้?“เจ้าเห็นชัดหรือไม่ว่านั่นคือป้ายของข้า?”ซือซิงตอบอย่างมั่นใจ “แน่นอนขอรับ!”มหาราชาจารย์เหยียน
ฉินไป๋หลี่ตกใจมาก “ซีหลาน! ซีหลาน!”เขารีบวิ่งตามไปด้วยความตื่นตระหนก ลูกแก้วหลิงหลงกลิ้งไปไกลจนตกลงไปในคลองฉินไป๋หลี่ร้อนใจรีบเอื้อมมือไปคว้าไว้ แต่ลูกแก้วหลิงหลงกลับลอยไปตามน้ำเสียแล้วฉินไป๋หลี่บ้าคลั่ง เขาลุกขึ้นวิ่งออกจากจวนไปตามหาลูกแก้วหลิงหลงที่ไหลไปตามคลองเขาร้อนใจมากจนคุมสติมิได้ แต่เนื่องจากดวงตายังมิหายดีจึงมองมิชัด ทำให้เขาเดินสะดุดและชนเข้ากับสิ่งต่าง ๆ มากมายระหว่างทางนั่นมิใช่เพียงลูกแก้วหลิงหลง นั่นคือภรรยาและบุตรชายที่ตายไปแล้วของเขา! เขายังมิสามารถมองเห็นแสงเดือนแสงตะวันได้และยังมิได้เห็นภรรยาและบุตรชายเลยจะสูญเสียไปมิได้! สูญเสียไปมิได้เด็ดขาด!ฉินไป๋หลี่วิ่งออกจากจวนแม่ทัพใหญ่ แล้วมองไปตามคลองเพื่อตามหาลูกแก้วหลิงหลงจากนั้นก็วิ่งกะโผลกกะเผลกเข้าไปในตลาด เนื่องจากมองมิชัดจึงชนคนไปมากมายแล้วบังเอิญไปชนกับอันธพาล อีกฝ่ายมีสีหน้ามิพอใจขณะผลักเขา “ตาบอดหรืออย่างไร!”“ขออภัย ขออภัยขอรับ” ฉินไป๋หลี่รีบขอโทษอีกฝ่ายมองเขาแล้วกระชากตัวเขาเข้ามา“เฮ้ย นี่มันฉินไป๋หลี่ น้องชายของคนทรยศแผ่นดินมิใช่รึ?”เมื่อพูดจบ ผู้คนรอบข้างต่างก็หันมามองกันเป็นตา
“ข้าบอกแล้วว่าอย่ามายุ่งกับข้า!” หลี่เซียวม่านกัดฟันแน่น แล้วหันหลังเตรียมจะเดินจากไปแต่แล้วก็หยุดชะงักก่อนหันกลับมา “เรื่องลูกแก้วหลิงหลง ขออภัย...”“รอให้คุณชายใหญ่กลับมา จะลงโทษข้าอย่างไรก็ได้”พูดจบ หลี่เซียวม่านก็รีบจากไปอย่างรวดเร็ว ฉินไป๋หลี่ก็กลับไปตามหาลูกแก้วหลิงหลงของเขาต่อพวกซีหลานอาศัยอยู่ในลูกแก้วหลิงหลง บัดนี้ลูกแก้วหลิงหลงตกลงไปในคลองแล้วไหลไปตามท่อ มิรู้ว่าไปอยู่ที่ใดแล้วพวกเขาคงหนาวเหน็บกันน่าดูเขาต้องรีบไปหาให้เจอ!ตามหาไปตามท่อระบายน้ำต้องหาเจอแน่!ฉินไป๋หลี่ตามหาไปเรื่อย ๆ แต่กลับมิทันสังเกตเห็นว่ามีพวกอันธพาลหลายคนกำลังแอบตามเขาอยู่เมื่อมาถึงริมทะเลสาบที่ไม่มีผู้คนจู่ ๆ พวกอันธพาลก็กรูกันเข้ามาใช้กระสอบคลุมหัว แล้วใช้ไม้ทุบตีฉินไป๋หลี่อย่างรุนแรง“คนทรยศแผ่นดิน! สมควรตาย!”“ตีให้ตาย!”ฉินไป๋หลี่ดิ้นรนอย่างไรก็มิหลุด เขาถูกกระสอบคลุมหัวแล้วถูกทุบตีอย่างหนักทันใดนั้นเอง ฟู่จิ่งหลีเห็นเหตุการณ์นี้จึงตะโกนขึ้นทันที “หยุด! กำลังทำอะไรกัน!”เมื่อเห็นว่ามีคนมาแล้ว พวกอันธพาลก็รีบวิ่งหนีไปฟู่จิ่งหลีรีบเข้าไปช่วยคนในกระสอบออกมา เมื่อเห็นว่าเป็
ณ เมืองผิงหนิงเซียวชูเดินทางกลับไปที่ห้องอย่างเหนื่อยล้า“ท่านอ๋อง การสกัดกั้นล้มเหลวพ่ะย่ะค่ะ! คนของมหาราชาจารย์เหยียนแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มเพื่อซ่อนหล่างชิ่นไว้ กระหม่อมพาคนไปตามหล่างชิ่น กลับเจอคนลึกลับที่เคยอยู่ในซีหยางมาก่อน”“ป่าแห่งนั้นมีบรรยากาศลึกลับแปลกประหลาด กระหม่อมมิกล้าพาคนเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ”เซียวชูพูดจบก็คุกเข่าลง“กระหม่อมปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ขอท่านอ๋องโปรดลงโทษด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ฟู่เฉินหวนในชุดขาวมีใบหน้าซีดเผือด เขาค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างสายลมแรงพัดเข้ามา ราวกับจะพัดร่างของเขาให้ปลิวไปได้“นี่คือสิ่งต่อรองที่มหาราชาจารย์เหยียนจะใช้กลับไป แน่นอนว่าเขาจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องหล่างชิ่น”“แต่สิ่งที่เขาต้องการน่าจะเป็นเพียงคำสารภาพของหล่างชิ่นเท่านั้น ส่วนคนอาจต้องตาย”ตราบใดที่หล่างชิ่นมิตกอยู่ในมือพวกเขา มหาราชาจารย์เหยียนก็จะสบายใจดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่เขาได้รับคำสารภาพที่เอื้อประโยชน์ต่อเขาจากหล่างชิ่น เขาก็จะกำจัดหล่างชิ่นทันที“แล้วตอนนี้จะทำอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”“ออกเดินทางกลับเมืองหลวง” ฟู่เฉินหวนพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเซียวชูเป็นห่วงอ
นางมิลังเล รีบลงจากเขาไปทันที สายตาของหล่างชิ่นดุร้ายขณะกัดฟันแน่น “ลั่วชิงยวน รอข้าก่อนเถอะ!”......เมื่อมหาราชาจารย์เหยียนกลับถึงเมืองหลวง สิ่งแรกที่ทำคือนำคำให้การของหล่างชิ่นขึ้นทูลเกล้าฯ ในราชสำนักทั้งการสมรู้ร่วมคิดกับเผ่านอกด่าน แผนการโจมตีเมืองผิงหนิง ทั้งหมดถูกกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของลั่วชิงยวนเขากล่าวโทษลั่วชิงยวนในราชสำนัก บีบบังคับให้จักรพรรดิออกคำสั่งจับกุมลั่วชิงยวน ปิดผนึกจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการและประหารตระกูลฉินทั้งตระกูลฟู่จิ่งหานรู้ดีว่าเป็นไปมิได้ที่ลั่วชิงยวนจะสมรู้ร่วมคิดกับเผ่านอกด่าน เพราะนางถือตราประทับของจักรพรรดิสูงสุดไปช่วยเหลือเมืองผิงหนิง แต่บัดนี้ลั่วชิงยวนหายตัวไป อ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังมิกลับมา ฟู่จิ่งหานรับมือกับแรงกดดันจากมหาราชาจารย์เหยียนมิไหวหลังจากพยายามใช้ทุกวิถีทางเพื่อยื้อเวลาก็ต่อรองจนสามารถออกคำสั่งจับกุมลั่วชิงยวนไปก่อนมิเช่นนั้นจะถูกบีบให้ประหารตระกูลฉินทั้งตระกูลฟู่เฉินหวนเดินทางอย่างยากลำบากด้วยเส้นทางทุรกันดาร มิสนกลางวันกลางคืน ทันทีที่เข้ามาในเมืองหลวงก็ล้มลงไปมิสามารถทนจนถึงวังหลวงได้จึงถูกนำตัวกลับจวนอ๋องผู้สำเร็จ
ฟู่เฉินหวนกำหมัดแน่นจนเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมา เพื่อสะกดกลั้นความเจ็บปวดอันแสนสาหัส ไทเฮาเห็นสีหน้าเช่นนั้นก็เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเพราะความโศกเศร้าและความโกรธแค้น กอปรกับอาการบาดเจ็บทางร่างกายจึงทำให้ใบหน้าของเขาซีดเซียว“อ๋องผู้สำเร็จราชการ ถึงคราวนี้แล้วก็มิจำเป็นต้องแสร้งทำกับตัวข้าอีกต่อไปแล้ว มิว่าใครก็รู้ว่าเจ้าห่วงใยลั่วเยวี่ยอิง ส่วนลั่วชิงยวนจะเป็นหรือตายก็มิใช่เรื่องสำคัญนักสำหรับเจ้าแล้ว”“ทิ้งนางไว้คนเดียว สถานการณ์ของพวกเราจึงจะกลับคืนสู่ความสงบสุขได้ชั่วคราว”“มิดีหรืออย่างไร?”เพียงแค่ผลักไสความผิดทั้งหมดไปให้ลั่วชิงยวน ตระกูลเหยียนก็จะพ้นจากข้อกล่าวหาและสามารถอยู่อย่างสงบสุขได้เล็บของฟู่เฉินหวนจิกเข้าไปลึกในฝ่ามือ เขาไม่มีเวลาคิดเรื่องนี้มากนัก เสียงร้องของลั่วเยวี่ยอิงทรมานเขาอย่างแสนสาหัสทุกวินาที“ก็ได้พ่ะย่ะค่ะ หากพวกท่านจะออกหมายจับลั่วชิงยวน กระหม่อมก็จะมิขัดขวาง”“ปล่อยลั่วเยวี่ยอิงเถิดพ่ะย่ะค่ะ!”ไทเฮายกยิ้มแล้วพูดว่า “ยามนี้ยังมิสามารถมอบคนผู้นั้นให้เจ้าได้หรอก รอให้เรื่องทุกอย่างสงบลงก่อน แล้วลั่วเยวี่ยอิงก็จะได้กลับไปอยู่เคียงข้างเจ้าอย่างปลอดภัย”
“พี่หญิง ท่านออกมาแล้ว” หล่างมู่รีบลุกขึ้นจากพื้น“เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ตลอดเลยหรือ?”หล่างมู่ตอบว่า “ข้ามาดูทุกวันเลยขอรับ”“ผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว พี่หญิง ท่านทำอะไรอยู่ข้างในกันแน่ขอรับ?”ใช่แล้ว มิรู้ตัวเลยว่าเวลาผ่านมาครึ่งเดือนแล้วลั่วชิงยวนตบไหล่เขาเบา ๆ แล้วมอบตำรับยาให้เขา “ต่อไปนี้เห็ดใส ๆ พวกนั้นสามารถใช้เป็นยาเช่นนี้ได้”“สามารถรักษาโรคและบาดแผลได้มากมาย ดังนั้นเลิกเอาไปผัดกินกันได้แล้ว”หล่างมู่ตกตะลึง แล้วค่อย ๆ อ่านตำรับยาแต่ละใบ ในตำรับยาแต่ละใบมีการระบุสรรพคุณทางยาไว้อย่างชัดเจน“พี่หญิง นี่ท่านเขียนทั้งหมดนี้เลยหรือขอรับ?”หล่างมู่รู้สึกตกตะลึงและซาบซึ้งใจอย่างยิ่ง ที่แท้พี่หญิงอยู่ในนั้นครึ่งเดือนเพื่อเขียนตำรับยาเหล่านี้ลั่วชิงยวนพยักหน้า “ตำรับยานี้ครบถ้วน เจ้าต้องท่องจำให้ได้ ห้ามใช้ผิดตำรับ”“ข้าคง… ต้องกลับแล้ว” นี่คือสิ่งที่นางสามารถมอบให้พวกเขาก่อนจากไปได้เมื่อหล่างมู่ได้ฟังดังนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแววผิดหวัง “พี่หญิง มิอยู่พักอีกสักสองสามวันหรือขอรับ?”“ยังมีหลายสิ่งที่ข้ายังจัดการมิเสร็จในแคว้นเทียนเชวีย หล่างมู่ ต่อไปนี้เผ่านอกด่านก็ต้องพึ่งพาเ
“พ่ะย่ะค่ะ!”ศพถูกนำออกจากตำหนักอ๋องเฉินชีที่กำลังรีบมาที่ตำหนักอ๋องบังเอิญเห็นเข้า จึงรีบเข้าไปในตำหนักอ๋อง แล้วตรงไปยังเรือนที่ลั่วชิงยวนพักอาศัยก็เห็นเรือนที่ถูกไฟไหม้จนหมดสิ้นเฉินชีตกใจมาก รีบคว้าคอเสื้อคนรับใช้คนหนึ่งมาถามเสียงดัง “ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ท่าทางดุร้ายนั้นทำให้ทุกคนหวาดกลัว“พระชายา... ถูกไฟคลอกสิ้นไปแล้ว!”ได้ยินดังนั้น สีหน้าของเฉินชีก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันทีก่อนจะรีบไปที่เรือนด้านหน้า ปรากฏตัวต่อหน้าฟู่เฉินหวน จิตสังหารแผ่ซ่านจนทำให้องครักษ์ในเรือนชักดาบขึ้นมาด้วยความระมัดระวังแล้วเข้าล้อมเฉินชีไว้“ฟู่เฉินหวน ลั่วชิงยวนอยู่ที่ใด!”ฟู่เฉินหวนที่มีสีหน้าเย็นชากล่าวอย่างใจเย็น “ตายแล้ว”เฉินชีโกรธจัด กระโจนเข้าใส่ฟู่เฉินหวน “ไฟไหม้เป็นฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่?!”ถึงแม้จะมิใช่เขาที่จุดไฟ ก็ต้องเป็นเขาที่สั่งให้คนจุด!มิเช่นนั้นทั้งตำหนักอ๋อง เหตุใดจึงมีเพียงเรือนของลั่วชิงยวนที่ถูกไฟไหม้!คนในตำหนักมากมาย เหตุใดจึงมีเพียงลั่วชิงยวนคนเดียวที่ตาย!แต่ฟู่เฉินหวนหาได้ปฏิเสธไม่ เขามองเฉินชีด้วยแววตาดุดัน เต็มไปด้วยความเป็นศัตรู“นางทรยศข้า ต่อให้ข้าต้อง
สุดท้ายเหลือเพียงช่องเล็ก ๆ ที่มีแผ่นไม้ตอกปิดไว้ กลายเป็นหน้าต่างที่เปิดปิดได้ในตอนนั้นลั่วชิงยวนยังรู้สึกโชคดีที่เขามิได้ปิดตายนางไว้หลังกำแพงแต่หลังจากที่ปิดหน้าต่างนั้นแล้วก็ถูกลงกลอนจากด้านนอก บริเวณโดยรอบตกอยู่ในความมืดมิดได้ยินเสียงฝีเท้าที่เดินจากไปห่างไกลออกไปเรื่อย ๆลั่วชิงยวนพิงกำแพงพลางทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงเมื่อมองค่ายกลขนาดใหญ่แล้วก็รู้สึกหดหู่ใจครั้งนั้นนางช่างรู้เท่ามิถึงการณ์ กลับเป็นผู้สร้างกรงขังตนเองเสียได้เมื่อนานมาแล้ว เพื่อแลกชีวิตของลั่วหลางหลางคืนมานางจึงได้ตั้งค่ายกลผนึกห้องนี้เอาไว้เดิมทีที่นี่ควรจะเป็นเรือนเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้และต้นไม้ตอนนั้นนางมิเคยคิดเลยว่าสุดท้ายตนเองจะถูกขังไว้ที่นี่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกมึนหัวและล้มลงกับพื้นอย่างอ่อนแรง......จือเฉาซื้อของมากมายและกลับมายังตำหนักอ๋องนางถือสมุนไพรเดินไปที่เรือนครั้งนี้ซื้อสมุนไพรมามากมาย ต้องทำให้แผลของพระชายาหายดีได้อย่างแน่นอนแต่เมื่อเข้าไปในเรือนด้านในก็ได้ยินเสียงดังโวยวายมีแต่ความวุ่นวายสับสนจือเฉาตกใจเล็กน้อย เงยหน้าขึ้นมองจึงเห็นแสงไฟลุกไหม้มาจากทางเรือนพระช
และสองคือช่วยจือเฉาขนของสิ่งที่ทำให้จือเฉาตกใจคือ เดิมทีนางคิดว่าจะไปที่หอฝูเสวี่ยเพื่อเบิกเงิน แต่กลับพบว่าองครักษ์ช่วยจ่ายเงินให้นางจือเฉางุนงงตลอดทาง มิเข้าใจว่าท่านอ๋องต้องการทำอะไรกันแน่ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ร้านค้าที่เปิดมีมิมาก ดังนั้นจือเฉาจึงต้องวิ่งไปหลายที่โดยเฉพาะการหาสมุนไพร นางแทบจะต้องเคาะประตูโรงหมอและร้านขายยาทั่วเมืองหลวง......ในคืนนั้นลั่วชิงยวนนอนซมอยู่บนเตียง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกผลักเปิดออกลมหนาวพัดโชยเข้ามา ทำให้ลั่วชิงยวนไอออกมา“แค่กแค่กแค่ก... จือเฉา ดูสิว่าหน้าต่างถูกลมพัดเปิดออกหรือไม่... แค่กแค่กแค่กแค่กแค่ก...”ลั่วชิงยวนไอมิหยุด ได้แต่มุดเข้าไปในผ้าห่มแต่ทันใดนั้น ผ้าห่มก็ถูกกระชากออกลั่วชิงยวนสะดุ้งตื่น เงยหน้าขึ้นจึงเห็นฟู่เฉินหวนนางพยายามพยุงตัวเองลุกขึ้นนั่ง “ท่านจะทำอะไร?”นางอ่อนแอจนแม้แต่การถามในตอนนี้ก็ยังไร้เรี่ยวแรงแต่ฟู่เฉินหวนกลับมิพูดอะไรสักคำจากนั้นองครักษ์ก็กรูกันเข้ามาในห้อง จับแขนของลั่วชิงยวนและลากนางออกจากห้องความหนาวเหน็บถาโถมเข้ามา ลั่วชิงยวนอ้าปากจะพูด แต่กลับถูกองครักษ์ปิดปากไว้แน่นลั่วชิงยวนที่บาด
“หากต้องการแก้ไข มีเพียงการที่หม่อมฉันต้องไปซีหลิงด้วยตัวเอง”ลั่วชิงยวนกล่าวอย่างหนักแน่นนี่เป็นหนทางรอดเดียวของนางเมื่อฟู่เฉินหวนได้ยิน สีหน้าก็เปลี่ยนไปเขามองนางด้วยความสงสัย “นี่เป็นผลลัพธ์เดียวหรือ?”“เพคะ”แต่ฟู่เฉินหวนกลับมิค่อยเชื่อ มองนางด้วยแววตาดุดัน “ไม่มีเข็มทิศอาณัติสวรรค์ จะทำนายได้แม่นยำหรือ?”“แม่นยำเพคะ”“เข็มทิศอาณัติสวรรค์เป็นเพียงตัวช่วย มิใช่สิ่งจำเป็น”“ทิศทางหลักจะมิผิดพลาด”แท้จริงแล้วนางทำนายหนทางรอดของตัวเองการทำนายโชคชะตาบ้านเมือง มีเพียงเข็มทิศอาณัติสวรรค์เท่านั้นที่ทำนายได้กองทัพแคว้นหลีบุกประชิด เป็นนางเองที่บอกให้เฉินชีทำ สิ่งที่นางต้องการทำนายคือเส้นทางของตัวเองหลังจากที่ฟู่เฉินหวนฟังแล้วก็มิได้ตอบ เพียงแค่หันหลังเดินจากไป......ลั่วฉิงกำลังรอข่าวจากฟู่เฉินหวนอย่างกระวนกระวาย เดินวนไปมาด้วยความร้อนใจเมื่อเห็นฟู่เฉินหวนมาแล้ว จึงรีบเข้าไปถาม “เป็นอย่างไรบ้าง? ผลลัพธ์คืออะไร?”ฟู่เฉินหวนตอบ “เป็นภัยพิบัติของซีหลิง”ได้ยินดังนั้น ลั่วฉิงก็ตกใจเล็กน้อย “ภัยพิบัติของซีหลิงหรือ? หมายความว่าอย่างไร? แคว้นหลีต้องการยึดครองซีหลิงงั้นหรื
สายลมหนาวพัดผ่านมา ปอยผมของลั่วชิงยวนปลิวไสวตัดกับผ้าคลุมสีขาว ทำให้ร่างบางของนางดูราวกับจะปลิวหายไปกับสายลมในตอนนั้นก็มีขบวนคนเดินมาเมื่อเห็นบุคคลที่อยู่ข้างหน้าในชั่วขณะที่สบตากันก็เกิดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อเฉินชีเห็นฟู่เฉินหวน เขายกยิ้มอย่างเย็นชา โอบนางไว้แน่นขึ้นลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะขัดขืน“เฉินชี! เจ้ายังกล้ามาอีกรึ!” ฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง โทสะปะทุในใจองครักษ์รีบเข้ามาล้อมเฉินชีและลั่วชิงยวนไว้เฉินชีจำใจปล่อยลั่วชิงยวนแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อาเหลา ข้าจะรอเจ้า”กล่าวจบ เขาก็ใช้วิชาตัวเบากระโดดหนีไปองครักษ์รีบไล่ตามส่วนลั่วชิงยวนยืนนิ่งอยู่กับที่ มองฟู่เฉินหวนที่ค่อย ๆ เดินเข้ามาหาฟู่เฉินหวนมีสีหน้าบึ้งตึง แววตาซับซ้อนนั้นแฝงไปด้วยความโกรธ“บทเรียนเมื่อวานคงยังมิเพียงพอ เจ้ายังกล้าแอบออกจากตำหนักมาพบเฉินชีอีกรึ?!”ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะอธิบาย ได้แต่ยิ้มอย่างเศร้าสร้อย “หากท่านคิดเช่นนั้น หม่อมฉันก็มิมีทางเลือก”“เหตุใดหม่อมฉันจึงมาอยู่ที่นี่ ในใจของท่านน่าจะรู้ดีกว่าหม่อมฉัน”เมื่อคืนฟู่เฉินหวนมิสามารถเค้นวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์จากนางได้ จึงส่งนา
ทั้งสองหันไปมองจึงเห็นเฉินชีที่แผ่รังสีอำมหิตเดินเข้ามาอย่างเชื่องช้าเฉินชีมองลั่วฉิงด้วยสายตาเย็นชา “เจ้ากำลังทำอะไร?”ลั่วฉิงถอยหลังด้วยความตื่นตระหนก “ข้าสิต้องถามเจ้า เหตุใดจึงส่งกองทัพมากะทันหัน? นี่มิได้อยู่ในแผนของเรา และเจ้าก็มิได้บอกข้าล่วงหน้า”เฉินชีหรี่ตาลง “ข้าจะทำอะไรต้องรายงานเจ้าด้วยรึ? เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรมาขัดขวางข้า?”ลั่วฉิงรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย นางรีบคว้าเข็มทิศอาณัติสวรรค์มาถือไว้ เพราะกลัวว่าของล้ำค่าที่ได้มาจะหายไป“เฉินชี! ข้าแค่ต้องการสิ่งที่เราตกลงกันไว้ตั้งแต่แรก!”เฉินชีมองลั่วชิงยวน ใบหน้าเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ก่อนจะพุ่งเข้าไปบีบคอของลั่วฉิงแล้วต่อยเข้าที่หน้าอกของลั่วฉิงลั่วฉิงกระอักเลือด ร่างกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างลั่วชิงยวนได้ยินเสียงร่างตกกระทบพื้นจากที่สูง จึงรู้ว่าที่นี่คือชั้นสองน่าจะเป็นโรงเตี๊ยมเฉินชีเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไป เห็นเพียงร่างของลั่วฉิงวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนหายไปในฝูงชนเดิมทีเฉินชีอยากจะตามไป แต่ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็มิได้ตามไปหากลั่วฉิงตาย ลั่วชิงยวนก็จะไม่มีภัยคุกคาม นางอาจจะมิยอมไปแคว้นหลีกับเขาเช่นนั
นางเอ่ยปากอย่างอ่อนแรง “ได้”ลั่วฉิงพยุงนางขึ้น แล้วโยนนางลงบนเก้าอี้ลั่วชิงยวนไร้เรี่ยวแรงจะพูด “ข้าต้องการสมุนไพร”มือทั้งสองข้างของนางวางอยู่บนที่วางแขน แท่งเหล็กยังคงปักอยู่ เลือดไหลอาบมิหยุด ขยับร่างกายมิได้เลยลั่วฉิงมองนางอย่างเย็นชา ก่อนจะกดมือของนางไว้แล้วดึงแท่งเหล็กออกอย่างรวดเร็ว“กรี๊ด”ลั่วชิงยวนร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดลั่วฉิงโน้มตัวลงมองนางด้วยสายตาเย็นชา “ก่อนหน้านี้เจ้ามิเคยกลัวความเจ็บปวดเช่นนี้ ลั่วเหลา”ลั่วชิงยวนตัวสั่น มองนางด้วยความตกใจ“นี่ก็เป็นสิ่งที่ฟู่เฉินหวนบอกเจ้าเช่นนั้นหรือ?” ลั่วชิงยวนรู้สึกทั้งโกรธและสิ้นหวังในใจลั่วฉิงนำยามาทำแผลให้พลางหัวเราะอย่างดูถูก “มินึกเลยว่านักบวชระดับสูงลั่วเหลาผู้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เด็ก ถูกอาจารย์เอ็นดูทะนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายกลับพ่ายแพ้ให้กับบุรุษ”ในน้ำเสียงของลั่วฉิงแฝงไปด้วยความอิจฉาริษยาลั่วชิงยวนมองนางด้วยแววตาเย็นชา “ข้ากับเจ้ามิเคยมีเรื่องบาดหมางกันมิใช่หรือ”แววตาของลั่วฉิงเต็มไปด้วยความเกลียดชัง มองนางอย่างเย็นชา “ในสายตาของเจ้า อาจจะไม่มีเรื่องบาดหมาง”“แต่สำหรับข้า เรื่องบาดหมางนั้นใหญ่หลวงนัก
“กรี๊ด” ลั่วชิงยวนกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ได้แต่ขดตัวอยู่บนพื้น ตัวสั่นเทาด้วยความเจ็บปวดรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า แท่งเหล็กถูกแทงลึกลงไปอีก ความรู้สึกที่กระดูกถูกแยกออกจากกันนั้นทำให้เจ็บปวดจนอยากตาย“ดี ยังมิยอมบอกอีกใช่หรือไม่”ลั่วฉิงหยิบแท่งเหล็กอีกอันแทงเข้าไปในมืออีกข้างของลั่วชิงยวนอย่างแรงตลอดทั้งคืน ลั่วชิงยวนถูกทรมานจนเหมือนตายแล้วเกิดขึ้นใหม่ หลายครั้งที่สลบไปเพราะความเจ็บปวด แล้วก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยความเจ็บปวดจนในที่สุด คอของนางก็แหบแห้งจนส่งเสียงร้องมิได้ด้วยซ้ำฟ้าสางแล้ว แสงแดดสาดส่องเข้ามา ลั่วชิงยวนนอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับแอ่งโคลนเปียก มิขยับเขยื้อนเลยแม้แต่น้อยเลือดเปรอะเปื้อนอาภรณ์ของนางจนเป็นสีแดงฉาน แสงแดดส่องกระทบกองเลือดจนเป็นประกาย......ตำหนักอ๋องมีเสียงคำรามด้วยความโกรธดังมาจากห้องตำรา“ยังไม่มีใครมารายงานข้าสักคน! รีบไปหา! ออกไปหาให้หมด!”ฟู่เฉินหวนโกรธจัด มึนหัวจนต้องเอามือยันโต๊ะไว้ถึงแม้จะนั่งลงเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังมิสามารถสงบสติอารมณ์ได้ ร้อนรุ่มใจยิ่งนักได้แต่หวังว่านางจะออกจากตำหนักไปเองจือเฉายังคงอยู่ที่หน้าประ
ในชั่วขณะนั้น นางเกือบจะคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป เหตุใดนางจึงเห็นลั่วฉิงแต่คำพูดของลั่วฉิงในวินาทีต่อมา ทำให้นางรู้สึกราวกับตกอยู่ในหุบเหวลึก“แม้แต่ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการก็ยังจัดการคนดื้อรั้นเช่นเจ้ามิได้ ต้องให้ข้ามาเองเลยหรือ”ร่างของลั่วชิงยวนสั่นเทามิหยุด หนาวเหน็บจนแทบจะไร้ความรู้สึกน้ำตาที่ไหลอาบใบหน้าซีดเซียวหยดลงบนพื้นทีละหยดลั่วชิงยวนมองไปรอบ ๆ แล้วพบว่าที่นี่คือห้องห้องหนึ่งแต่มิใช่ในตำหนักอ๋อง“เหตุใดข้าจึงมาอยู่ที่นี่” นางจำได้ว่าหลังจากที่จือเฉาทายาให้แล้วนางก็หลับไปลั่วฉิงหัวเราะเบา ๆ “แน่นอนว่าฟู่เฉินหวนส่งเจ้ามาให้ข้า”“เขาเค้นคำตอบจากเจ้ามิได้ จึงต้องให้ข้ามาจัดการเอง”ได้ยินดังนั้น หัวใจของลั่วชิงยวนก็แตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ อีกครั้งเขายังคิดว่าตัวเองยังโหดร้ายมิพออีกหรือ จึงส่งนางให้ลั่วฉิงเช่นนี้นี่ต้องการทรมานนางจนตายจึงจะหายแค้นหรืออย่างไรลั่วฉิงหยิบกล่องใบหนึ่งมาเปิดออก ข้างในเต็มไปด้วยแท่งเหล็กขนาดเท่าหัวแม่มือแล้วกล่าวอย่างแผ่วเบา “เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าต้องการอะไร”“หากตอนนี้เจ้าบอกวิธีใช้เข็มทิศอาณัติสวรรค์ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”“หากพลาดโอกาสนี้