โกรธหรือ?จั๋วซือหรานมองไปทางเฟิงหร่าน เหมือนในที่สุดจะมีท่าทีอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเฟิงหร่านเห็นพี่จั๋วในที่สุดก็เริ่มมีท่าทีสนใจขึ้นบ้างแล้ว มุมปากจึงยกขึ้นเป็นเส้นโค้ง ในใจก็แอบผ่อนลมหายใจออกมาเฟิงหร่านอันที่จริงก็กลัวมากมาตลอด เพราะนางมองออกว่าจั๋วซือหรานเป็นคนที่อิสระไม่ยึดติด นางกลัวมากว่าถ้าตระกูลเฟิงยังเอาแต่ทำให้มันยุ่งเหยิงเช่นนี้ พี่จั๋วจะไม่เอาพี่ชายขึ้นมาแต่ก่อน เฟิงหร่านรู้สึกแค่ว่า เป็นจั๋วซือหรานที่ใฝ่สูงต่อตัวพี่ชาย แต่ต่อมาก็ค่อยๆ รู้สึกว่า พี่จั๋วกับพี่ชาย ใครก็ไม่ได้ใฝ่สูงใส่ใครทั้งนั้น พวกเขาเข้ากันได้ดี เหมาะสมกันมากแต่เรื่องที่ตระกูลเฟิงก่อขึ้นมา!เฟิงหร่านพอพูดถึงเรื่องนี้ ก็พบว่าจั๋วซือหรานเหมือนดูสนใจอยู่ ทำให้ความเร็วในการพูดจึงเร็วขึ้นมาพอควร"เพราะในข่าวที่ลือกลับมา มีข่าวที่ว่าพี่จั๋วอาจจะถูกพระราชทานงานอภิเษกกับอ๋องเซี่ยนด้วย พวกเขาจึงด่าว่าท่านทำตัวไม่เหมาะสม แล้วพี่ชายก็เลยโกรธ บีบเก้าอี้จนป่นไปเลย"จั๋วซือหรานมุมปากยกขึ้นเบาๆเฟิงหร่านเอ่ยต่อ "แต่เพราะข้าตอนนั้นเตรียมจะหนีแล้ว ข้าเองก็เข้าไปฟังในโถงประชุมไม่ได้ว่าพวกเขาคุยอะไรกัน สรุปคือ ต่
จั๋วซือหรานได้ยินคำพูดนี้ "ถ้าเป็นลุงสาม...พ่อของเฟิงเหยียน เฟิงอวี้หรือ?"เฟิงหร่านพยักหน้า "สถานการณ์หลักๆ พ่อของข้าก็รู้มาไม่ค่อยชัดเจนนัก แต่ลุงสามตอนนั้นก็เสียวความจำไปกะทันหัน แต่มาผ่านไปกว่าครึ่งปี ท่านพี่ก็เกิดขึ้นมา"เฟิงหร่านพูดแบบไม่ค่อยชัดเจน จั๋วซือหรานรู้ว่านางไม่ใช่คิดจะปิดบัง แต่เกรงว่าสิ่งที่นางรู้ก็มีเพียงเท่านี้เพียงแต่ว่า ข้อมูลเหล่านี้ของนาง ก็ทำให้จั๋วซือหรานรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาแล้วในเมื่อเฟิงหร่านไม่รู้ จั๋วซือหรานก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ"พักผ่อนเถอะ ตอนนี้ก็อยู่ที่นี่ไปก่อน อีกเดี๋ยวจะย้ายไปบ้านที่ใหญ่หน่อยแล้ว"จั๋วซือหรานตอนนี้จึงออกจากห้องของเฟิงหร่านนางออกจากเรือน ตรงไปยังโรงเตี๊ยมโรงเตี๊ยมที่นางคิดจะทำนั้น มีเบื้องหลังเป็นตระกูลฮั่วกับหอจันทร์เงินและหอฟ้าดาว ช่วงนี้การเตรียมการก็ดำเนินไปอย่างเข้มข้นแล้วตอนที่ไปถึงโรงเตี๊ยม ฮั่วจือโจวกำลังดื่มชาอยู่กับเจี่ยงเทียนซิงด้านใน"เอ๊? ท่านโหวของพวกเรามาแล้ว" เจี่ยงเทียนซิงยิ้มทักขึ้นมาคำหนึ่งฮั่วจือโจวมองไปทางนาง "มาได้อย่างไรกัน? คิดว่าช่วงนี้เจ้าจะยุ่งมากเสียอีก""ก็ยุ่งนั่นล่ะ แต่การค้าของตัว
สายตาทั้งสองคน ทำเอาจั๋วซือหรานพูดไม่ค่อยออกนางโบกมือเอ่ยขึ้น "เอาล่ะๆๆ ก็แค่ข้าอยากรู้สถานการณ์ของเฟิงเหยียนเองได้ไหมล่ะ? พูดได้หรือเปล่า"รู้สึกว่าถ้าหากตนเองไม่ยอมรับจุดนี้ สองคนนี้ก็เอาแต่ใช้สายตาสงสัยนี้จ้องนางไม่ได้ยุ่งยากอะไร สู้ยอมรับจุดนี้ไปเลยถึงแม้จะพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ก็อดพูดไม่ได้เลย หลังจากที่ตนเองได้ยินคำพูดของเฟิงหร่านแล้ว ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเจี่ยงเทียนซิงกับฮั่วจือโจวอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ สกิลเฟิงคนนั้นมีดีอะไรกันแน่นะคนอย่างจั๋วจิ่วนี่ ใครบ้างที่ไม่คู่ควรกัน ทำไมถึงเลือกไปแขวนคอตายอยู่กับต้นไม้คดๆ อย่างเฟิงเหยียนได้เนี่ย หรือว่ามันมีไอ้สิ่งที่เรียกว่าสวรรค์ลิขิตไว้อยู่จริงๆ?เจี่ยงเทียนซิงคิดๆ เอ่ยตอบว่า "ความเข้าใจต่อตระกูลจั๋ว ก่อนหน้านี้ก็บอกกับเจ้าไปแล้ว"จั๋วซือหรานคิดถึงเรื่องที่เจี่ยงเทียนซิงเล่าว่าพ่อของเขาเคยเจอคนตระกูลเฟิงที่แดนเหนือคนนั้นตระกูลเฟิงเดิมทีก็ค่อนข้างปิดและลึกลับอยู่แล้ว โลกภายนอกรู้น้อยมากฮั่วจือโจวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "สำหรับความเข้าใจต่อตัวเฟิงเหยียน ก็มีแค่เท่านั้นล่ะ""ตระกูลฮั่วของข้า
ไม่มีความแน่นอนเท่าไร"เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่บอกสิ่งเหล่านี้กับข้า" จั๋วซือหรานพูดพลางลุกขึ้นยืน "ข้อมูลพวกนี้ข้าจะไปตรวจสอบอีกครั้ง"ฮั่วจือโจวที่ตระกูลค้าข่าวสารอยู่แล้ว สนใจช่องทมางข่าวกรองทั้งหมด ดังนั้นพอได้ยินจั๋วซือหรานเพูดเช่นนี้จึงอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา "เจ้าไปตรวจสอบที่ไหนหรือ?"จั๋วซือหรานคิดๆ "ไปถามกับเฟิงอวี้เอา?"เจี่ยงเทียนซิง "..."ฮั่วจือโจว"..."พวกเขาถึงแม้จะรู้สึกพูดไม่ออก งงงันไปบ้าง แต่เพราะอะไรพอคำนี้ออกจากปากจั๋วซือหรานกลับดู...เหมือนจะเชื่อได้อย่างประหลาดนางคงไม่ได้คิดจะไปถามเฟิงอวี้จริงๆ หรอกกระมัง?แต่ว่าจั๋วซือหรานไม่ได้พูดหัวข้อสนทนานี้อีกแค่หยิบกระดาษออกมาให้ฮั่วจือโจว "นี่ นี่คือรายการอาหารที่ข้าทำออกมา เจ้าให้พ่อครัวลองทำออกมาชิมดูก่อน ถ้าหากไม่อร่อยข้าจะกลับมาใหม่"จั๋วซือหรานพูดเสร็จก็ลุกขึ้นจะเดินเจี่ยงเทียนซิงกับฮั่วจือโจว ส่งนางไปที่ประตูเจี่ยงเทียนซิงทนไม่ไหว ถามขึ้นว่า "เจ้าคงไม่คิดจะไปถามเฟิงอวี้หรอกใช่ไหม?"จั๋วซือหรานมองเขาเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "เจ้าเดาดูสิ?"ยังไม่ทันที่จั๋วซือหรานจะออกไปที่ถนน ก็มีคนเข้ามาหาเสียแล้ว"แม่นาง
จั๋วซือหรานตามซือคงเซี่ยนเข้าไปในตำหนักวังที่เจาหมิ่นอยู่อดพูดไม่ได้เลย เจาหมิ่นอยู่ในแคว้นชาง ไม่ใช่องค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานอะไรถ้าให้พูดจริงๆ อันที่จริงแคว้นชางก็ไม่มีองค์หญิงคนไหนที่ได้รับความโปรดปรานพิเศษอยุ่แล้ว องค์จักรพรรดิเองก็มีแค่ซือคงอวี้ที่เป็นที่โปรดปรานมากที่สุดเท่านั้นองค์จักรพรรดิเฒ่าก่อนหน้านี้น่าจะคำนวณไว้เช่นนั้น ไม่อยากให้ลูกๆ มาทะเลาะกันมาก แล้วมาฆ่าล้างสังหารกันเองดังนั้นจึงวางท่าทีเอาไว้ชัดเจนตั้งแต่แรก ลำเอียงไว้อย่างเห็นได้ชัดให้ตายเถอะ ทำให้องค์ชายคนอื่นรู้ว่าตนเองไม่มีหวัง แล้วไม่เกิดความคิดก่อกบฏหรือความทะเยอทะยานมากเกินไปจากเรื่องนี้แล้วก็ทำให้ลูกชายที่ได้รับความลำเอียงคนนั้น ไม่รู้สึกว่าเหล่าพี่น้องมีพลังคุกคามอะไร จนต้องมาลงไม้ลงมือกับเหล่าพี่น้องด้วยกันตามหลักการแล้ว วิธีการเช่นนี้ขององค์จักรพรรดิเฒ่า ต้องการจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้และฆ่าฟันกันเองของเหล่าลูกๆเจรนาเริ่มต้นนั้นดีมากตามหลักการ เรื่องราวควรจะเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ใครจะรู้ว่าลูกชายที่ตนเองโปรดปรานลำเอียงนั้นไม่ใช่เชื้อสายของตนเอง เช่นนั้นเหล่าลูกๆ คนอื่นที่เดิมทีไม่มีพลัง
พวกนางเอ่ยว่า "เพราะ เพราะว่า...เพราะว่าพวกเราอยู่ในห้องของนายท่านแล้วเคยเห็นภาพของแม่นางจิ่ว...""โอ๋?" จั๋วซือหรานมองพวกนางอย่างสนใจ จากนั้นจึงกลอกตามองไปทางซือคงเซี่ยน "ที่เจ้าบอกว่าของนางสนใจ น่าจะเป็นเจ้าสิ่งนี้กระมัง?"ซือคงเซี่ยนถอนหายใจ "ไม่ใช่แค่นี้"คำพูดของสาวใช้วัง บวกกับคำพูดของซือคงเซี่ยน ก็กระตุ้นความอยากรู้ของจั๋วซือหรานขึ้นมาแล้ว "พาข้าไปดูหน่อย"ซือคงเซี่ยนนำนางเดินตรงไปที่เรือนหลังของตำหนักวัง จากนั้นก็พานางลงไปยังห้องใต้ดินห้องหนึ่งสถานที่มากมายล้วนมีห้องใต้ดิน ใช้สำหรับเก็บของ ใช้สำหรับเก็บน้ำแข็งจั๋วซือหรานจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ด้านหลังตำหนักวังเจาหมิ่นมีห้องใต้ดินเพียงแต่ว่า หลังจากลงไปห้องใต้ดินซือคงเซี่ยนก็รับจานเทียนใบหนึ่งมาจากผู้ใต้บัญชา จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาดึงมือของจั๋วซือหราน ถึงแม้จะดึงแค่ชายเสื้อนางเท่านั้นแต่ซือคงเซี่ยนยังรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ"ด้านในค่อนข้างมืด ตามข้ามา" ซือคงเซี่ยนพูดจั๋วซือหรานเดินตามเขาเข้าไปด้านหลังเงียบๆคิดไม่ถึงว่าในห้องใต้ดินจะยังมีอีกชั้น เป็นห้องลับเล็กๆ ห้องหนึ่งตอนนี้ในห้องเล็กจุดไฟสว่างไว้แล้วแต
จั๋วซือหรานบีบซากบันทึกเหล่านี้ไว้ในมือ สีหน้ายังคงไม่กลับมานางกลอกตามองซือคงเซี่ยน ถามว่า "ของพวกนี้...เจ้าเคยเห็นมาก่อนไหม?"ซือคงเซี่ยนพยักหน้า ตอนที่สายตาตกไปอยุ่บนซากบันทึกในมือ คิ้วก็ขมวดแน่น สีหน้าเองก็มองออกไม่ยากว่าเคร่งขรึมขึ้นมาซือคงเซี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่าเจาหมิ่นเหมือนกับ...เป็นโรคจิตน่ะ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เขียนอะไรแปลกๆ...พวกนี้"สายตาจั๋วซือหรานจ้องอยู่บนซากบันทึกเหล่านั้นนางรู้แน่นอน ว่าทำไมซือคงเซี่ยนถึงรู้สึกว่าเจาหมิ่นเป็นโรคจิตเพราะบนซากบันทึกเหล่านั้น เนื้อหาที่เจาหมิ่นเขียน จากที่คนอื่นเห็นก็คงรู้สึกว่าเกินความคาดหมายจริงๆสิ่งที่เขียนอยู่ด้านบน...ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นดังนั้นจึงในสายตาของซือคงเซี่ยน จึงเหมือนเจาหมิ่นเกิดโรคจิตกำเริบแล้วเขียนเนื้อหาพวกนี้ออกมาแต่จั๋วซือหรานรู้ ว่าเนื้อหาเหล่านั้นที่เขียนบนบันทึก ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นไปแล้วเพียงแต่ ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ของนาง แต่เป็นในเส้นชะตาเก่าเจ้าของร่างเดิมเนื้อนาที่เขียนในซากบันทึกนี้ของเจาหมิ่น ทั้งหมดล้วนอยู่ในเส้นชะตาเดิม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับจั๋วซือหรานเจ้าของร่
ในสายตา ก็เหมือนจะเป็นพิธีสาปแช่งอย่างหนึ่งจริงๆ ใครมาเห็น ก็น่าจะอารมณ์ไม่ดีนั่นล่ะแต่ว่าสีหน้าจั๋วซือหรานกลับเป็นปกติแล้ว เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ข้าไม่เป็นไร ความคิดนางเองก็ดูไม่เลวอยู่"ซือคงเซี่ยนกระพริบตาปริบๆ ไม่ค่อยเข้าใจจั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ "เคยได้ยินว่าเจาหมิ่นเชี่ยวชาญเรื่องการทำนายใช่ไหม?"ซือคงเซี่ยนครุ่นคิด พยักหน้า "สมัยก่อนหลังจากที่นางกลับไปดินแดนทางใต้แล้วกลับมา ก็บอกว่าความสามารถการทำนายปลุกขึ้นมาแล้ว หลังจากนั้นก็ยังทำนายแผ่นดินไหวให้กับเสด็จพ่อไปครั้งหนึ่ง และหลังจากนั้น เสด็จพ่อก็ให้ความสำคัญกับนางขึ้นมา"จั๋วซือหรานพยักหน้าอย่างเข้าใจ "มิน่า ความคิดถึงได้ไม่ไหวขนาดนั้น แต่ดวงก็ไม่ได้ดีเหมือนกับข้า""ดวง?" ซือคงเซี่ยนมองนางจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ดวงของข้าก็คือเจ้า"พอคำนี้ออกไป หน้าของซือคงเซี่ยนก็ร้อนผ่าวขึ้นมา "ซือหราน...ทำไมจึงพูดเช่นนี้?""เจ้าเห็นแล้วคงรู้สึกว่านางโรคจิตเท่านั้น แต่ถ้าหากเสด็จพอเจ้าเห็นสิ่งนี้ล่ะ?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้นบอกสมมติฐาน "ฝ่าบาทเดิมทีรู้ว่าความสามารถเจาหมิ่นทำนายได้ยอดเยี่ยม ถ้ามาเห็นเนื้อหานี้ เกรงว่าคงไม่คิด
ตอนที่ลุกขึ้นยืนก็มีข้อสรุปขึ้นมา "วิชาของสำนักเมฆาวารีหรือ"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้ว ยิ้มตาโค้ง "ดูเหมือนเจ้าจะเป็นวิชาหุ่นเชิดสินะ!"ปันอวิ๋นเอียงตาเหล่มองนาง "ที่เจ้าจงใจวางไว้แบบนี้ ไม่ใช่เพื่อจะดทสอบว่าข้าเป็นจริงหรือเปล่าไม่ใช่เรอะ"จั๋วซือหรานก็มีความหมายนี้อยู่จริงๆ ตอนนี้ถูกปันอวิ๋นจี้เข้ามา นางก็ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดนางหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า "ถ้าเจ้าไม่เป็น พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเวลาบนวิชาหุ่นเชิดอีก"แต่ในเมื่อปันอวิ๋นเป็น...จั๋วซือหรานถามขึ้น "ทำไมถึงมองออกว่าเป็นวิชาของสำนักเมฆาวารี? ข้าดึงตะปูวิญญาณกับห่วงวิญญาณทิ้งไปแล้ว...""ง่ายมาก" ปันอวิ๋นยกมุมปาก รอยยิ้มดูแล้วมีความประชดประชันอยู่ แต่ก็ไม่ได้เพ่งเป้ามาทางจั๋วซือหรานบนความรู้สึก ดูคล้ายจะเพ่งไปทางสำนักเมฆาวารีมากกว่าปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "มีแค่สำนักเมฆาวารีที่เท่านั้นจะทำได้ระดับต่ำแบบนี้ อักขระคำสาปบนตัวก็ขาดความสมบูรณ์แบบ แต่ว่านี่็เป็นลักษณะของทางสำนักเมฆาวารี พวกเขาชอบเน้นไปที่พลานุภาพของหุ่นเชิดความมืด รู้สึกแค่ว่า ถ้าให้คนอื่นมองปราดเดียวแล้วรู้ว่าเป็นหุ่นเชิดความมืด ก็สามารถข่มขู่ฝ่ายตรง
ในใจเหมือนมีเสียงที่กำลังกู่ก้องขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียงแต่หลังจากที่ในใจกู่ก้องออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียงแล้ว ตัวเขาเองก็ตกตะลึงไปทำไมในใจถึงได้มีเสียงเช่นนี้ ทั้งที่ควรจะไม่มีความรักกับความรู้สึกใดแล้วแท้ๆแต่ตอนนี้ความรู้สึกในใจมันเหมือนกับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วเจิ้นเจียงยังคงตักอาหารให้เขา แต่เขากลับกินอย่างไม่รู้รส กลืนลงไปอย่างยากลำบากส่วนอีกด้าน จั๋วซือหรานเดินมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยมแล้วร่างสูงใหญ่ของปันอวิ๋น ยังคงตามอยู่ด้านหลังนางหลังจากมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยม แม้ทั้งสองคนดูแล้ว ระยะห่างเหมือนจะไม่แตกต่างอะไรก่อนหน้าแต่อันที่จริงในพริบตานี้ ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนมีความห่างเหินกันขึ้นมาจั๋วซือหรานหมุนตัวไปทางปันอวิ๋น ขณะที่หมุนตัวหันไป เธอก็ถอยหลังออกมาครึ่งก้าวแค่ระยะห่างสั้นๆ เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น กลับเหมือนดึงกว้างห่างออกมาเท่ากับทางช้างเผือกปันอวิ๋นสังเกตถึงความห่างเหินที่นางจู่ๆ ก็ดึงออกมาแล้ว เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ช แม่นางจั๋วนี่ใช้งานเสร็จก็โยนทิ้งกันเสียแล้ว...ิ"ในเสียงของจั๋วซือหรานมีรอยยิ้มจางๆ "เจ้าหุบเขาปันพูดแล้วมัน...ข้าไปใช้ประโยชน์อะไรจากเ
คิ้วของปันอวิ๋นขมวดเบาๆ แหงนตาสบมองนาง "เจ้ไาปสัมผัสกับสิ่งเย็นมืดอะไรมา?""อื๋อ?" จั๋วซือหรานตอนนี้ก็งงงันไปหน่อยๆ นางคิดไม่ถึงว่า ปันอวิ๋นจะจับออกมาได้จริงๆนางยิ้มโบกไม้โบกมือ ตอบว่า "ไม่มีอะไร ก็แค่ชิงหุ่นเชิดความมืดมาตัวหนึ่ง คิดจะค้นคว้าดูเล่นๆ ปราณหยินเข้าสู่ร่างกายเสียแล้วหรือ? ไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็สลายหมดแล้ว"พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ปันอวิ๋นก็จ้องนาง ครู่ต่อมา ในน้ำเสียงก็เหมือนมีความจนใจหรือไม่ก็อารมณ์อะไรสักอย่างอยู่ ถอนใจเอ่ยขึ้นว่า "เจ้านี่มัน...อะไรก็กล้าแย่งมา กล้าเอามาเล่นทั้งหมดเลยจริงๆ"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็ฟังออกถึงความหมายของเขา นางตอนนั้นกระทั่งกู่ของเขาก็ยังแย่งมา ตอนนี้ยังแย่งหุ่นเชิดความมืดของคนอื่นมาอีกจั๋วซือหรานคิดๆ ถามขึ้นว่า "จริงด้วย เจ้าไม่ใช่คนพรมแดนใต้หรือ? เคยค้นควัาวิชาหุ่นเชิดบ้างไหม?""รู้นิดหน่อย ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นมองนาง ถามขึ้นว่า "อยากให้ข้าสอนหรือ?"เขายิ้มขึ้นมา ในสายตามีปราณชั่วร้ายขึ้นมา "ก็ได้นะ ข้าจะสอนเจ้า เจ้าหมั้นกับข้าสิ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดไว้แล้วหรือ..."จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ถ้าตามนิสัยของนาง น่าจะคงตอบกลับคำพูดนี้ทัน
"คุณหนูของเจ้าล่ะ อยู่ที่ไหน?"พอได้ยินคำนี้ของเขา เจิ้นเจียงก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเจิ้นเจียงคิดอยู่นานถึงคำเรียกตัวเขา จึงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า "เจ้าหุบเขาปัน คุณหนูของข้ายังไม่ได้แต่งงาน ท่านอย่าได้พูดจาส่งเดชเลย มันจะเสียหายไปถึงชื่อเสียงคุณหนูข้า"เจิ้นเจียงอันที่จริงก็สั่นเทาหน่อยๆ ถึงอย่างไรก็สามารถเดาได้ว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็นบุคคลที่ร้ายกาจแค่ไหนแต่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนู เจิ้นเจียงก็ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาทันทีและพอได้ยินคำนี้ของเจิ้นเจียง ปันอวิ๋นก็เหมือนจะโกรธแล้วคิ้วยาวเลิกขึ้น ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น เหมือนยกหางตาขึ้นบางๆ "เจ้าไม่เชื่อหรือ? อย่าไม่เชื่อเลย คุณหนูของเจ้าตกลงกับข้าไปนานแล้วว่าจะแต่งงานกับข้า"เจิ้นเจียงตกตะลึงขึ้นมา เรื่องนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน แต่เขาเองก็จะปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ดังนั้นจึงทำได้แค่นิ่งเงียบเพียงแต่ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า เจิ้นเจียงรู้สึกหนาวหน่อยๆ...เหมือนรอบตัวมีลมเย็นที่พัดออกมาจากถ้ำน้ำแข็งอะไรแบบนั้นเจิ้นเจียงยังไม่ทันมีปฏิกิริยาว่าปราณเย็นพัดมาจากไหนก็ได้ย
"ใช่แล้ว น้องชายของแม่นางเราถูกพาตัวไป เป็นฝีมือของสำนักเมฆาวารี เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของแม่นางก็คือเรื่องนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังแล้วดูกังวลหน่อยๆ"แม่นางอยู่ที่เมืองหลวงแม้จะประสบความสำเร็จในทุกที่ แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้มาอยู่ในสถานที่แปลกหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับสำนัก ดังนั้นแม่นางจึงต้องยิ่งเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง..."เจิ้นเจียงเองก็น่าจะไม่มีใครที่พูดด้วยได้ ในใจอดกลั้นไว้ไม่น้อย พวกเชลยที่คุณหนูจับมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นคนของสำนักเมฆาวารี เขาเองก็พูดอะไรด้วยไม่ได้คนคุ้มกันตระกูลเหอที่คุณหนูพากลับมาพวกนั้น ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ พูดอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นตอนนี้ พอเจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนู จึงเหมือนกับเปิดประตูน้ำออกอย่างไรอย่างนั้นขณะที่พูดแรงก็เริ่มมา ไม่วา่จะเรื่องที่คุณหนูออกจากเมืองหลวงอย่างไร รับมือกับพวกลอบโจมตีอย่างไร จัดการแก้ไขวิกฤติ รับมือกับอีกฝ่าย จับคนของสำนักเมฆาวารีมาเป็นเชลยอย่างไรหลังจากมาถึงเมืองหยางแล้วรับมือกับตระกูลเหออย่างไร เล่าออกมาจนหมดและขณะที่ 'คุณชายเยี่ยน' กำลังกินข้าวอย่างไม่รีบไม่
จั๋วซือหรานตอนที่ควรบ้าก็จะบ้า แต่อันที่จริงถ้าพูดขึ้นมา นางเองก็ไม่ได้มีนิสัยพูดจาใหญ่โตดังนั้นก่อนหน้าจึงไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกมาโดยละเอียด และเพราะตอนนี้ยังเป็นแค่ความคิดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มเขียนเส้นแรกเลยด้วยซ้ำแต่ต่อให้ในใจตนเองคิดไว้ดิบดี ต่อให้ตนเองเข้าใจวิชาหุ่นเชิดอย่างถ่องแท้ แล้วสามารถใช้ไหมกู่มาควบคุมหุ่นเชิดได้จริงล่ะก็...การจะสร้างกองกำลังหุ่นเชิดของตนเองออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้แต่ว่าเนื่องจากยังไม่ทันได้เริ่มอะไรทั้งนั้น ดังนั้นจึงแค่คิดไว้ในใจตนเอง ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดออกมาเพียงแต่สำหรับเหล่าก้อนเนื้อของตนเอง ถึงอย่างไรพวกมันก็คงไม่เอาไปบอกใครอยู่แล้ว ดังนั้นการที่นางเอ่ยขึ้นมา ปัญหาจึงไม่ได้ใหญ่โตอะไรจั๋วซือหรานใช้เวลาไปพักหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ จัดการคัดลอกอักขระคำสาปทั้งหมดบนตะปูวิญญาณ วงแหวนวิญญาณ แล้วก็บนตัวของหุ่นเชิดความมืดออกมาค้นคว้านี่เป็นงานละเอียด จำเป็นต้องใช้เวลาเว้นเรื่องความยุ่งวุ่นวายในมิติของนางไปก่อนเวลานี้ อีกด้านหนึ่งในโถงหน้าของโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังกินอาหารบนโต๊ะอย่างไ
จั๋วซือหรานมองตะปูวิญญาณสีดำในมือเล่มนั้น ตรงหน้ายังมีร่างของหุ่นเชิดความมืดนอนอยู่ตะปูวิญญาณของมันถูกจั๋วซือหรานดึงออกมาแล้ว วงแหวนสีดำบนมือกับเท้าก็ถูกจั๋วซือหรานรื้ออกมาเพื่อจะค้นคว้าดังนั้นตอนนี้มันจึงเป็นแค่ร่างเปลือกที่ไม่มีชีวิตเท่านั้นจั๋วซือหรานตรวจสอบอักขระคำสาปประหลาดซับซ้อนเหล่านั้นบนตะปูวิญญาณอย่างละเอียด ค้นคว้าอย่างตั้งใจ ดินสอในมือตวัดไม่หยุด คัดลอกอักขระคำสาปเหล่านั้นมาทั้งหมดอย่างครบถ้วนส่วนพวกก้อนเนื้อสีต่างๆ ก็นั่งเรียงกันอยู่บนไหล่นางซ้ายขวาฝั่งละสาม บนหัวยังมีอีกตัวหนึ่ง อยู่ด้วยกันกับนาง จ้องมองอักขระคำสาปบนตะปูวิญญาณเหล่านี้อย่างตั้งใจเพียงแต่พวกมันอ่านไม่เข้าใจเท่านั้นแต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็น"นายท่านจะ...ทำ ทำอะไรหรือ?" ขนมปุยเมฆถามขึ้นเสียงแผ่ว เพราะมันมันอยู่ในสภาพดังเดิมที่สุดมาตลอด ยังไม่ได้ย้อมสีอะไรเลยดังนั้นจนถึงตอนที่จั๋วซือหรานพาพวกมันไปกลืนกินแมลงกู่ของพวกปรมาจารย์กู่พรมแดนใต้ก่อนหน้านี้ ขนมปุยเมฆจึงเพิ่งได้รับการวิวัฒนาการ ถึงพูดได้ขึ้นมาก่อนหน้านี้ทำได้แค่เปล่งเสียงออกมาเป็นพยางค์ๆ ไม่ค่อยชัดเจนเท่านั้นความคิดของขนมถั่วแดงปราดเป
ความสามารถของนางถึงอย่างไรพออยู่ที่นั่น ก็ถูกลิขิตไว้แล้วไม่ให้นางเป็นคนธรรมดา สุดท้ายก็ต้องถูกจับตาอยู่ดีชาตินี้เป็นเช่นนี้ ชาติก่อนก็เช่นกันคนธรรมดาพอมีหยกก็มีความผิด นางแบกความสามารถเช่นนี้ไว้ ก็ถูกกำหนดให้คนอื่นต้องคอยจับจ้องไว้เป็นธรรมดาไม่ว่าจะโลกไหน ไม่ว่าจะเส้นทางไหน ก็ไม่เคยขาดคนหรือองค์กรที่มีความคิดที่ว่า "ถ้าไม่ได้มาก็จะทำลายทิ้ง"ที่ไหนก็มีทั้งนั้นจั๋วซือหรานชาติที่แล้วก็เจอกับสถานการณ์อันตรายมาด้วย ไม่เช่นนั้นไม่มีทางตายอย่างเวทนาจนข้ามภพมาที่นี่สรุปคือ จั๋วซือหรานเคยนำวัตถุที่ปล่อยสารกัมมันตรังสีได้เข้ามาแล้วในอันตรายจากชาติที่แล้วตอนนั้นนางสะบัดโยนเข้ามาในมิติ เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วน และไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้วนางยังคิดว่าจบเห่แล้วด้วยซ้ำ แค่รังสีของสารกัมมันตรังสีพวกนั้น ระยะเวลาในการย่อยสลายน่าสะพรึงมาก คิดว่าตนเองคงกลายเป็นฟอสซิลไปแล้ว สารกัมมันตรังสีพวกนั้นก็ยังไม่หายไปไหนด้วยซ้ำและในมิติของตนเอง ก็เป็นเหมือนแดนสวรรค์เขียวชอุ่มนอกโลก...ถ้าหากพื้นดินถูกปนเปื้อน แหล่งกำเนิดน้ำถูกปนเปื้อนล่ะก็จบเห่กันพอดีนางกอดความคิดสิ้นหวังเข้ามิติมา
"เสร็จแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ พักฟื้นไป เดี๋ยวพอพวกกองหนุนสำนักเมฆาวารีพวกนั้นของผู้เฒ่าเหอมาถึง พวกเราค่อยออกเดินทาง เรื่องนี้สำหรับข้ามันสำคัญมาก จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ดังนั้นเวลาพักฟื้นของพวกเจ้าเดิมทีก็เหลือไม่มากแล้ว อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ อีก""รับทราบ!" เหลียนเจินขานรับเสียงขรึม"ข้าจะรักษาให้พวกเขา จากนั้นเจ้าก็เอายาทาให้พวกเขาเสีย แค่อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ ทายาตามเวลา ไม่นานก็หายดีแล้ว"จั๋วซือหรานหลังจากรักษาคนคุ้มกันไปหลายคน ก็กลับมาที่ห้องตนเอง ไปค้นคว้าบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนเจ้าสิ่งนี้ล้ำค่ามากจริงๆ แต่ในเมื่อเขาให้นางมาแล้ว นางเองก็พอจะรับได้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเกรงใจเกินไปนักตอนที่จั๋วซือหรานย้ายบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไปปลูกที่ดินในมิติแล้ว ราชาแมงมุมหน้าผีกับแมงมุมหน้าผีตัวอื่นๆ แล้วก็แมงมุมกู่ ก็มาล้อมอยู่ข้างๆ นางแมงมุมที่ขนาดใหญ๋กว่าปกติหลายเท่า ล้อมนางเอาไว้ ฉากนี้ถ้าหากคนอื่นมาเห็น ก็คงรู้สึกหวาดผวาขึ้นแน่ๆแต่สีหน้าของจั๋วซือหรานก็นิ่งอย่างมาก กระทั่งบนหน้ายังยิ้มละไม หลังจากปลูกบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไว้ในดินแล