พวกนางเอ่ยว่า "เพราะ เพราะว่า...เพราะว่าพวกเราอยู่ในห้องของนายท่านแล้วเคยเห็นภาพของแม่นางจิ่ว...""โอ๋?" จั๋วซือหรานมองพวกนางอย่างสนใจ จากนั้นจึงกลอกตามองไปทางซือคงเซี่ยน "ที่เจ้าบอกว่าของนางสนใจ น่าจะเป็นเจ้าสิ่งนี้กระมัง?"ซือคงเซี่ยนถอนหายใจ "ไม่ใช่แค่นี้"คำพูดของสาวใช้วัง บวกกับคำพูดของซือคงเซี่ยน ก็กระตุ้นความอยากรู้ของจั๋วซือหรานขึ้นมาแล้ว "พาข้าไปดูหน่อย"ซือคงเซี่ยนนำนางเดินตรงไปที่เรือนหลังของตำหนักวัง จากนั้นก็พานางลงไปยังห้องใต้ดินห้องหนึ่งสถานที่มากมายล้วนมีห้องใต้ดิน ใช้สำหรับเก็บของ ใช้สำหรับเก็บน้ำแข็งจั๋วซือหรานจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ด้านหลังตำหนักวังเจาหมิ่นมีห้องใต้ดินเพียงแต่ว่า หลังจากลงไปห้องใต้ดินซือคงเซี่ยนก็รับจานเทียนใบหนึ่งมาจากผู้ใต้บัญชา จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาดึงมือของจั๋วซือหราน ถึงแม้จะดึงแค่ชายเสื้อนางเท่านั้นแต่ซือคงเซี่ยนยังรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ"ด้านในค่อนข้างมืด ตามข้ามา" ซือคงเซี่ยนพูดจั๋วซือหรานเดินตามเขาเข้าไปด้านหลังเงียบๆคิดไม่ถึงว่าในห้องใต้ดินจะยังมีอีกชั้น เป็นห้องลับเล็กๆ ห้องหนึ่งตอนนี้ในห้องเล็กจุดไฟสว่างไว้แล้วแต
จั๋วซือหรานบีบซากบันทึกเหล่านี้ไว้ในมือ สีหน้ายังคงไม่กลับมานางกลอกตามองซือคงเซี่ยน ถามว่า "ของพวกนี้...เจ้าเคยเห็นมาก่อนไหม?"ซือคงเซี่ยนพยักหน้า ตอนที่สายตาตกไปอยุ่บนซากบันทึกในมือ คิ้วก็ขมวดแน่น สีหน้าเองก็มองออกไม่ยากว่าเคร่งขรึมขึ้นมาซือคงเซี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่าเจาหมิ่นเหมือนกับ...เป็นโรคจิตน่ะ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เขียนอะไรแปลกๆ...พวกนี้"สายตาจั๋วซือหรานจ้องอยู่บนซากบันทึกเหล่านั้นนางรู้แน่นอน ว่าทำไมซือคงเซี่ยนถึงรู้สึกว่าเจาหมิ่นเป็นโรคจิตเพราะบนซากบันทึกเหล่านั้น เนื้อหาที่เจาหมิ่นเขียน จากที่คนอื่นเห็นก็คงรู้สึกว่าเกินความคาดหมายจริงๆสิ่งที่เขียนอยู่ด้านบน...ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นดังนั้นจึงในสายตาของซือคงเซี่ยน จึงเหมือนเจาหมิ่นเกิดโรคจิตกำเริบแล้วเขียนเนื้อหาพวกนี้ออกมาแต่จั๋วซือหรานรู้ ว่าเนื้อหาเหล่านั้นที่เขียนบนบันทึก ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นไปแล้วเพียงแต่ ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ของนาง แต่เป็นในเส้นชะตาเก่าเจ้าของร่างเดิมเนื้อนาที่เขียนในซากบันทึกนี้ของเจาหมิ่น ทั้งหมดล้วนอยู่ในเส้นชะตาเดิม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับจั๋วซือหรานเจ้าของร่
ในสายตา ก็เหมือนจะเป็นพิธีสาปแช่งอย่างหนึ่งจริงๆ ใครมาเห็น ก็น่าจะอารมณ์ไม่ดีนั่นล่ะแต่ว่าสีหน้าจั๋วซือหรานกลับเป็นปกติแล้ว เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ข้าไม่เป็นไร ความคิดนางเองก็ดูไม่เลวอยู่"ซือคงเซี่ยนกระพริบตาปริบๆ ไม่ค่อยเข้าใจจั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ "เคยได้ยินว่าเจาหมิ่นเชี่ยวชาญเรื่องการทำนายใช่ไหม?"ซือคงเซี่ยนครุ่นคิด พยักหน้า "สมัยก่อนหลังจากที่นางกลับไปดินแดนทางใต้แล้วกลับมา ก็บอกว่าความสามารถการทำนายปลุกขึ้นมาแล้ว หลังจากนั้นก็ยังทำนายแผ่นดินไหวให้กับเสด็จพ่อไปครั้งหนึ่ง และหลังจากนั้น เสด็จพ่อก็ให้ความสำคัญกับนางขึ้นมา"จั๋วซือหรานพยักหน้าอย่างเข้าใจ "มิน่า ความคิดถึงได้ไม่ไหวขนาดนั้น แต่ดวงก็ไม่ได้ดีเหมือนกับข้า""ดวง?" ซือคงเซี่ยนมองนางจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ดวงของข้าก็คือเจ้า"พอคำนี้ออกไป หน้าของซือคงเซี่ยนก็ร้อนผ่าวขึ้นมา "ซือหราน...ทำไมจึงพูดเช่นนี้?""เจ้าเห็นแล้วคงรู้สึกว่านางโรคจิตเท่านั้น แต่ถ้าหากเสด็จพอเจ้าเห็นสิ่งนี้ล่ะ?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้นบอกสมมติฐาน "ฝ่าบาทเดิมทีรู้ว่าความสามารถเจาหมิ่นทำนายได้ยอดเยี่ยม ถ้ามาเห็นเนื้อหานี้ เกรงว่าคงไม่คิด
จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว ทำงานแล้วหรือ?ซือคงเซี่ยนที่อยู่ข้างๆ พอเห็นฉากนี้ ก็กลั้นหายใจ จ้องเขม็งมองอักขระที่เปล่งแสงสีแดงหม่นนั่นเดิมทีอักขระสีเลือดเหล่านี้ดูแล้วก็รู้สึกแปลกประหลาดมาก เวลานี้พอเปล่งแสงแดงหม่นออกมา ก็ยิ่งแปลกประหลาดขึ้นไปอีกดูเต็มไปด้วยความอันตรายในอากาศอัดแน่นไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กระตุ้นประสาทของซือคงเซี่ยนขึ้นบาดแผลน่ากลัวบนข้อมือจั๋วซือหราน กระตุ้นประสาทเขายิ่งกว่าซือคงเซี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา คิดจะขึ้นไปพันแผลให้นาง แต่เมื่อครู่พอเดินขึ้นไปก้าวหนึ่ง ก็เห็นซือหรานขมวดคิ้ว สายตาเย็นวาบไปนางดีดนิ้วจนเกิดลมขึ้นวูบหนึ่ง ผลักซือคงเซี่ยนกลับไปซือคงเซี่ยนเดิมทียังถลึงตาด้วยความไม่เข้าใจ จากนั้นจึงมองไปทางปลายจมูกตนเองอย่างไม่รู้ตัว ปลายเท้ามีอาการแสบร้อนแล่นขึ้นมาเมื่อครู่ตอนที่ตนเองจะเข้าไปพันแผลให้นาง ปลายรองเท้าต้นเองก็ถูกเผาไปแล้วเมื่อครู่เขาแค่...คิดจะเดินเข้าไปในอาณาเขตค่ายกลที่อักขระคำสาปนั่นสร้างขึ้นเท่านั้นปลายรองเท้ากลับถูกอักขระคำสาปที่อยู่วงนอกสุดเผาเสียแล้ว จนปลายเท้าเองก็ยังโดนผลกระทบไปด้วย ยังดีที่ไม่รุนแรงนักยังดีที่ซือหรานปฏิก
และจากนั้น ไม่รอให้จั๋วซือหรานถามละเอียด แสงแดงหม่นของค่ายกลคำสาปนั่นก็มอดดับลงจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว หมายความว่าอย่างไร?ไม่คิดจะตอบก็วางสายทิ้งหรือ? หน้าไม่อายเกินไปไหม?ซือคงเซี่ยนพอเห็นแสงหม่นของค่ายกลคำสาปดับไปก็ร้อนรนขึ้นมา คิดจะเดินเข้ามา จึงลองยื่นเท้าเข้าไปในชายขอบคำสาปเพื่อทดสอบและพบว่าค่ายกลคำสาปไม่ได้มีผลแผดเผาแบบก่อนหน้าแล้ว ซือคงเซี่ยนจึงพุ่งเข้าไปในค่ายกลคำสาป ไม่สนใจอะไรอีก อุ้มตัวจั๋วซือหรานออกมาทันทีจั๋วซือหรานรู้สึกจนใจ "ท่านอ๋อง..."ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้น "ขอโทษนะซือหราน สถานการณ์มันเร่งด่วนจนมาสนเรื่องชายหญิงไม่ได้แล้ว ค่ายกลคำสาปนี้ประหลาดเกินไป อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนมาทำลายห้องลับนี้ทิ้งเสีย ค่ายกลคำสาปนี้คงถูกทำลายไปด้วยกัน""ไม่ต้องนะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ข้าอยากจะค้นคว้าค่ายกลคำสาปนี้เสียหน่อย"ซือคงเซี่ยนยังรู้สึกกังวล เขาขมวดคิ้วขึ้น "ซือหราน เมื่อกี้เจ้าพูดจริงหรือ? ที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสภาผู้อาวุโส?""ถ้าเขาไม่ใช่แล้วจะประหม่าทำไมกัน" จั๋วซือหรานเบ้ปาก ยังคงรู้สึกหงุดหงิดกับการ 'วางสาย' ของอีกฝ่ายอยู่จานกั้นจึงชี้ไปที่ค่ายกลคำสาปนั่น "ยิ่งไปกว่านั้น
และเป็นอย่างที่จั๋วซือหรานพูดไว้ สามวันต่อมา ราชโองการขององค์จักรพรรดิเฒ่าก็ประกาศไปทั้งฟ้าดินประกาศว่าสุขภาพไม่อำนวย ต้องการใช้ชีวิตบั้นปลาย จึงมอบเรื่องงานทั้งหมดให้องค์ชายเจ็ดซือคงเซี่ยนจัดการองค์ชายเจ็ดซือคงเซี่ยนถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องสำเร็จราชการแทน ยศชินอ๋อง แม้จะไม่ค่อยตรงกับกฏหมายนัก แต่ก็ยังให้อ๋องสำเร็จราชการแทนเข้าอยู่ในวังตะวันออก แม้จะไม่ค่อยเข้ากับกฏแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ถึงอย่างไรก็เข้าวังตะวันออกไปแล้ว ใครมองออกถึงเจตนาขององค์จักรพรรดิเฒ่าได้ไม่ยากยิ่งไปกว่านั้นยังสำเร็จราชการแทนด้วย ใครอยากจะไปขัดใจกับคนที่จะเป็นใหญ่ในอนาคตกัน?จนถึงตอนนี้ ความวุ่นวายของอ๋องอวี้จึงยุติลงขณะข่าวที่ซือคงเซี่ยนถูกแต่งตั้งลือกระจายทั่วเมืองหลวง จั๋วซือหรานกำลังวุ่นอยู่ในกรมสืบสวนพิเศษมาแล้วหลายวัน"ซือหราน ไม่ร้อนแล้ว ดื่มเถอะ" ชายหนุ่มหล่อเหล่ามีสายตาอ่อนโยน นำถ้วนในมือส่งไปตรงหน้าจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานรับแล้วดื่มลงไปอึกอัก หลังจากที่ดื่มลงไปเหมือนวัวเคี้ยวบัว จึงถอนใจยาวออกมา"โล่งเสียที" จั๋วซือหรานถอนหายใจ นางกลอกตามองชายหนุ่มหล่อเหลาข้างๆ อดยื่นมือไปหยิกแก้มเขาแล้วดึงเบ
ชิ่งหมิงยื่นมือไปหยิบเผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาผืนหนึ่ง เช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นางเช็ดไปด้วยพลางพูดว่า "ปกติตอนเพิ่งเรียนหลอมวัตถุไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ควรค่อยๆ เรียนรู้ไปตามลำดับจึงจะถูก แต่เจ้าเป็นสถานการณ์พิเศษ ดังนั้นก็คงจะเหนื่อยไปจริงๆ"จั๋วซือหรานรู้ความหมายของชิ่งหมิง คนอื่นถ้าเรียนการหลอมสกัด ล้วนเริ่มจากการหลอมสกัดของชิ้นเล็กๆ ก่อนเหมือนนางเสียที่ไหน ตอนเริ่มก็เริ่มจากหลอมวัตถุซ้ำใหม่เลยการหลอมวัตถุเดิมทีก็ไม่ใช่งานที่ง่ายอะไร การหลอมซ้ำยิ่งยากขึ้นไปอีกนี่มันเหมือนกับยังไม่ทันจะเดินเป็น แต่ก็เรียนวิ่งข้ามคานเสียแล้ว...จั๋วซือหรานถอนหายใจยาวออกมา เอ่ยขึ้นว่า "ไม่มีทางเลือก จงกระหายและทำตัวให้โง่ตลอดเวลา...เลยทำได้แค่ทำอะไรให้เห็นผลได้ไวขึ้นเท่านั้น ยังดีที่มีน้ำยาโอสถของป๋อยวนอยู่"หรือก็คือของเหลวขมๆในแก้วที่ดื่มลงไปในปากเมื่อครู่นั่นเองแม้จะขม แต่กลับเย็นโล่งมาก ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ร้อนเช่นนี้ ดื่มลงไปกลับสบายขึ้นมากเลย"เอาล่ะ เริ่มเถอะ" จั๋วซือหรานมองขลุ่ยเลานั้นในเตาสำริดไม่ได้เป็นขลุ่ยดินเผารูปร่างอ้วนกลมแบบก่อนหน้าแล้วชิ่งหมิงบอกว่าถึงอย่างไรก็ต้องหลอมซ้ำ นา
มองกระบอกน้ำชาโอสถสามใบที่ว่างเปล่าตรงมุมกำแพงจั๋วซือหรานก็ยกมุมปากขึ้น ว่ายังไงดีล่ะ?พูดได้แค่ว่าใต้เท้าซือหลี่ตันติ่งของพวกเรา ปากไม่ตรงกับใจเลยจริงๆถึงอย่างไร ดูจากสภาพสบายๆ ที่ผิดปกติของชิ่งหมิงซึ่งไม่มีเหงื่อสักหยด น้ำชาโอสถในกระบอกน้ำชาโอสถที่มุมกำแพงเหล่านั้น ไม่ต้องคิดเลยว่าใครเป็นคนเตรียมเอาไว้เพลิงห้าสีเผาเข้าไปในเตาสำริด อุณหภูมิของห้องหลอมก็เพิ่มสูงขึ้นทันทีจั๋วซือหรานถึงแม้จะเพิ่งหลอมวัตถุชั้นต้น แต่เนื่องจากเดิมทีพลังความเข้าใจค่อนข้างโดดเด่นอยู่แล้ว บวกกับมีทักษะการหลอมยาอยู่แล้วด้วยพลังควบคุมการหลอมสกัดก็ค่อนข้างโดดเด่น ดังนั้นอีกสองวันข้างหน้าก็ต้องทุ่มเทเสร็จสิ้นเรื่องนี้ตอนนี้ก็ดูเชี่ยวชาญมากแล้วด้วย กระทั่งสามารถหันมาคุยเล่นกับชิ่งหมิงได้บ้างแล้ว"...ดังนั้นข้าเองก็ถือว่าผิดใจกับพรมแดนใต้ไปทั่วแล้วด้วย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ครั้งนี้ที่ข้าจัดการไปตั้งมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกดินแดนทางใต้ ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงเจาหมิ่นนั่น..."ชิ่งหมิงกลอกตามองนาง "เจ้าของกล่องกู่พวกนั้นที่เจ้าเอามาน่ะหรือ? คนที่ใช้เสน่ห์หนอนพิษกู่เล่นงานเจ้าเมื่อตอนนั้นน่ะนะ?""อืม
ตอนที่ลุกขึ้นยืนก็มีข้อสรุปขึ้นมา "วิชาของสำนักเมฆาวารีหรือ"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้ว ยิ้มตาโค้ง "ดูเหมือนเจ้าจะเป็นวิชาหุ่นเชิดสินะ!"ปันอวิ๋นเอียงตาเหล่มองนาง "ที่เจ้าจงใจวางไว้แบบนี้ ไม่ใช่เพื่อจะดทสอบว่าข้าเป็นจริงหรือเปล่าไม่ใช่เรอะ"จั๋วซือหรานก็มีความหมายนี้อยู่จริงๆ ตอนนี้ถูกปันอวิ๋นจี้เข้ามา นางก็ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดนางหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า "ถ้าเจ้าไม่เป็น พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเวลาบนวิชาหุ่นเชิดอีก"แต่ในเมื่อปันอวิ๋นเป็น...จั๋วซือหรานถามขึ้น "ทำไมถึงมองออกว่าเป็นวิชาของสำนักเมฆาวารี? ข้าดึงตะปูวิญญาณกับห่วงวิญญาณทิ้งไปแล้ว...""ง่ายมาก" ปันอวิ๋นยกมุมปาก รอยยิ้มดูแล้วมีความประชดประชันอยู่ แต่ก็ไม่ได้เพ่งเป้ามาทางจั๋วซือหรานบนความรู้สึก ดูคล้ายจะเพ่งไปทางสำนักเมฆาวารีมากกว่าปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "มีแค่สำนักเมฆาวารีที่เท่านั้นจะทำได้ระดับต่ำแบบนี้ อักขระคำสาปบนตัวก็ขาดความสมบูรณ์แบบ แต่ว่านี่็เป็นลักษณะของทางสำนักเมฆาวารี พวกเขาชอบเน้นไปที่พลานุภาพของหุ่นเชิดความมืด รู้สึกแค่ว่า ถ้าให้คนอื่นมองปราดเดียวแล้วรู้ว่าเป็นหุ่นเชิดความมืด ก็สามารถข่มขู่ฝ่ายตรง
ในใจเหมือนมีเสียงที่กำลังกู่ก้องขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียงแต่หลังจากที่ในใจกู่ก้องออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียงแล้ว ตัวเขาเองก็ตกตะลึงไปทำไมในใจถึงได้มีเสียงเช่นนี้ ทั้งที่ควรจะไม่มีความรักกับความรู้สึกใดแล้วแท้ๆแต่ตอนนี้ความรู้สึกในใจมันเหมือนกับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วเจิ้นเจียงยังคงตักอาหารให้เขา แต่เขากลับกินอย่างไม่รู้รส กลืนลงไปอย่างยากลำบากส่วนอีกด้าน จั๋วซือหรานเดินมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยมแล้วร่างสูงใหญ่ของปันอวิ๋น ยังคงตามอยู่ด้านหลังนางหลังจากมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยม แม้ทั้งสองคนดูแล้ว ระยะห่างเหมือนจะไม่แตกต่างอะไรก่อนหน้าแต่อันที่จริงในพริบตานี้ ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนมีความห่างเหินกันขึ้นมาจั๋วซือหรานหมุนตัวไปทางปันอวิ๋น ขณะที่หมุนตัวหันไป เธอก็ถอยหลังออกมาครึ่งก้าวแค่ระยะห่างสั้นๆ เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น กลับเหมือนดึงกว้างห่างออกมาเท่ากับทางช้างเผือกปันอวิ๋นสังเกตถึงความห่างเหินที่นางจู่ๆ ก็ดึงออกมาแล้ว เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ช แม่นางจั๋วนี่ใช้งานเสร็จก็โยนทิ้งกันเสียแล้ว...ิ"ในเสียงของจั๋วซือหรานมีรอยยิ้มจางๆ "เจ้าหุบเขาปันพูดแล้วมัน...ข้าไปใช้ประโยชน์อะไรจากเ
คิ้วของปันอวิ๋นขมวดเบาๆ แหงนตาสบมองนาง "เจ้ไาปสัมผัสกับสิ่งเย็นมืดอะไรมา?""อื๋อ?" จั๋วซือหรานตอนนี้ก็งงงันไปหน่อยๆ นางคิดไม่ถึงว่า ปันอวิ๋นจะจับออกมาได้จริงๆนางยิ้มโบกไม้โบกมือ ตอบว่า "ไม่มีอะไร ก็แค่ชิงหุ่นเชิดความมืดมาตัวหนึ่ง คิดจะค้นคว้าดูเล่นๆ ปราณหยินเข้าสู่ร่างกายเสียแล้วหรือ? ไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็สลายหมดแล้ว"พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ปันอวิ๋นก็จ้องนาง ครู่ต่อมา ในน้ำเสียงก็เหมือนมีความจนใจหรือไม่ก็อารมณ์อะไรสักอย่างอยู่ ถอนใจเอ่ยขึ้นว่า "เจ้านี่มัน...อะไรก็กล้าแย่งมา กล้าเอามาเล่นทั้งหมดเลยจริงๆ"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็ฟังออกถึงความหมายของเขา นางตอนนั้นกระทั่งกู่ของเขาก็ยังแย่งมา ตอนนี้ยังแย่งหุ่นเชิดความมืดของคนอื่นมาอีกจั๋วซือหรานคิดๆ ถามขึ้นว่า "จริงด้วย เจ้าไม่ใช่คนพรมแดนใต้หรือ? เคยค้นควัาวิชาหุ่นเชิดบ้างไหม?""รู้นิดหน่อย ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นมองนาง ถามขึ้นว่า "อยากให้ข้าสอนหรือ?"เขายิ้มขึ้นมา ในสายตามีปราณชั่วร้ายขึ้นมา "ก็ได้นะ ข้าจะสอนเจ้า เจ้าหมั้นกับข้าสิ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดไว้แล้วหรือ..."จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ถ้าตามนิสัยของนาง น่าจะคงตอบกลับคำพูดนี้ทัน
"คุณหนูของเจ้าล่ะ อยู่ที่ไหน?"พอได้ยินคำนี้ของเขา เจิ้นเจียงก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเจิ้นเจียงคิดอยู่นานถึงคำเรียกตัวเขา จึงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า "เจ้าหุบเขาปัน คุณหนูของข้ายังไม่ได้แต่งงาน ท่านอย่าได้พูดจาส่งเดชเลย มันจะเสียหายไปถึงชื่อเสียงคุณหนูข้า"เจิ้นเจียงอันที่จริงก็สั่นเทาหน่อยๆ ถึงอย่างไรก็สามารถเดาได้ว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็นบุคคลที่ร้ายกาจแค่ไหนแต่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนู เจิ้นเจียงก็ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาทันทีและพอได้ยินคำนี้ของเจิ้นเจียง ปันอวิ๋นก็เหมือนจะโกรธแล้วคิ้วยาวเลิกขึ้น ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น เหมือนยกหางตาขึ้นบางๆ "เจ้าไม่เชื่อหรือ? อย่าไม่เชื่อเลย คุณหนูของเจ้าตกลงกับข้าไปนานแล้วว่าจะแต่งงานกับข้า"เจิ้นเจียงตกตะลึงขึ้นมา เรื่องนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน แต่เขาเองก็จะปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ดังนั้นจึงทำได้แค่นิ่งเงียบเพียงแต่ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า เจิ้นเจียงรู้สึกหนาวหน่อยๆ...เหมือนรอบตัวมีลมเย็นที่พัดออกมาจากถ้ำน้ำแข็งอะไรแบบนั้นเจิ้นเจียงยังไม่ทันมีปฏิกิริยาว่าปราณเย็นพัดมาจากไหนก็ได้ย
"ใช่แล้ว น้องชายของแม่นางเราถูกพาตัวไป เป็นฝีมือของสำนักเมฆาวารี เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของแม่นางก็คือเรื่องนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังแล้วดูกังวลหน่อยๆ"แม่นางอยู่ที่เมืองหลวงแม้จะประสบความสำเร็จในทุกที่ แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้มาอยู่ในสถานที่แปลกหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับสำนัก ดังนั้นแม่นางจึงต้องยิ่งเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง..."เจิ้นเจียงเองก็น่าจะไม่มีใครที่พูดด้วยได้ ในใจอดกลั้นไว้ไม่น้อย พวกเชลยที่คุณหนูจับมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นคนของสำนักเมฆาวารี เขาเองก็พูดอะไรด้วยไม่ได้คนคุ้มกันตระกูลเหอที่คุณหนูพากลับมาพวกนั้น ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ พูดอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นตอนนี้ พอเจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนู จึงเหมือนกับเปิดประตูน้ำออกอย่างไรอย่างนั้นขณะที่พูดแรงก็เริ่มมา ไม่วา่จะเรื่องที่คุณหนูออกจากเมืองหลวงอย่างไร รับมือกับพวกลอบโจมตีอย่างไร จัดการแก้ไขวิกฤติ รับมือกับอีกฝ่าย จับคนของสำนักเมฆาวารีมาเป็นเชลยอย่างไรหลังจากมาถึงเมืองหยางแล้วรับมือกับตระกูลเหออย่างไร เล่าออกมาจนหมดและขณะที่ 'คุณชายเยี่ยน' กำลังกินข้าวอย่างไม่รีบไม่
จั๋วซือหรานตอนที่ควรบ้าก็จะบ้า แต่อันที่จริงถ้าพูดขึ้นมา นางเองก็ไม่ได้มีนิสัยพูดจาใหญ่โตดังนั้นก่อนหน้าจึงไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกมาโดยละเอียด และเพราะตอนนี้ยังเป็นแค่ความคิดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มเขียนเส้นแรกเลยด้วยซ้ำแต่ต่อให้ในใจตนเองคิดไว้ดิบดี ต่อให้ตนเองเข้าใจวิชาหุ่นเชิดอย่างถ่องแท้ แล้วสามารถใช้ไหมกู่มาควบคุมหุ่นเชิดได้จริงล่ะก็...การจะสร้างกองกำลังหุ่นเชิดของตนเองออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้แต่ว่าเนื่องจากยังไม่ทันได้เริ่มอะไรทั้งนั้น ดังนั้นจึงแค่คิดไว้ในใจตนเอง ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดออกมาเพียงแต่สำหรับเหล่าก้อนเนื้อของตนเอง ถึงอย่างไรพวกมันก็คงไม่เอาไปบอกใครอยู่แล้ว ดังนั้นการที่นางเอ่ยขึ้นมา ปัญหาจึงไม่ได้ใหญ่โตอะไรจั๋วซือหรานใช้เวลาไปพักหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ จัดการคัดลอกอักขระคำสาปทั้งหมดบนตะปูวิญญาณ วงแหวนวิญญาณ แล้วก็บนตัวของหุ่นเชิดความมืดออกมาค้นคว้านี่เป็นงานละเอียด จำเป็นต้องใช้เวลาเว้นเรื่องความยุ่งวุ่นวายในมิติของนางไปก่อนเวลานี้ อีกด้านหนึ่งในโถงหน้าของโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังกินอาหารบนโต๊ะอย่างไ
จั๋วซือหรานมองตะปูวิญญาณสีดำในมือเล่มนั้น ตรงหน้ายังมีร่างของหุ่นเชิดความมืดนอนอยู่ตะปูวิญญาณของมันถูกจั๋วซือหรานดึงออกมาแล้ว วงแหวนสีดำบนมือกับเท้าก็ถูกจั๋วซือหรานรื้ออกมาเพื่อจะค้นคว้าดังนั้นตอนนี้มันจึงเป็นแค่ร่างเปลือกที่ไม่มีชีวิตเท่านั้นจั๋วซือหรานตรวจสอบอักขระคำสาปประหลาดซับซ้อนเหล่านั้นบนตะปูวิญญาณอย่างละเอียด ค้นคว้าอย่างตั้งใจ ดินสอในมือตวัดไม่หยุด คัดลอกอักขระคำสาปเหล่านั้นมาทั้งหมดอย่างครบถ้วนส่วนพวกก้อนเนื้อสีต่างๆ ก็นั่งเรียงกันอยู่บนไหล่นางซ้ายขวาฝั่งละสาม บนหัวยังมีอีกตัวหนึ่ง อยู่ด้วยกันกับนาง จ้องมองอักขระคำสาปบนตะปูวิญญาณเหล่านี้อย่างตั้งใจเพียงแต่พวกมันอ่านไม่เข้าใจเท่านั้นแต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็น"นายท่านจะ...ทำ ทำอะไรหรือ?" ขนมปุยเมฆถามขึ้นเสียงแผ่ว เพราะมันมันอยู่ในสภาพดังเดิมที่สุดมาตลอด ยังไม่ได้ย้อมสีอะไรเลยดังนั้นจนถึงตอนที่จั๋วซือหรานพาพวกมันไปกลืนกินแมลงกู่ของพวกปรมาจารย์กู่พรมแดนใต้ก่อนหน้านี้ ขนมปุยเมฆจึงเพิ่งได้รับการวิวัฒนาการ ถึงพูดได้ขึ้นมาก่อนหน้านี้ทำได้แค่เปล่งเสียงออกมาเป็นพยางค์ๆ ไม่ค่อยชัดเจนเท่านั้นความคิดของขนมถั่วแดงปราดเป
ความสามารถของนางถึงอย่างไรพออยู่ที่นั่น ก็ถูกลิขิตไว้แล้วไม่ให้นางเป็นคนธรรมดา สุดท้ายก็ต้องถูกจับตาอยู่ดีชาตินี้เป็นเช่นนี้ ชาติก่อนก็เช่นกันคนธรรมดาพอมีหยกก็มีความผิด นางแบกความสามารถเช่นนี้ไว้ ก็ถูกกำหนดให้คนอื่นต้องคอยจับจ้องไว้เป็นธรรมดาไม่ว่าจะโลกไหน ไม่ว่าจะเส้นทางไหน ก็ไม่เคยขาดคนหรือองค์กรที่มีความคิดที่ว่า "ถ้าไม่ได้มาก็จะทำลายทิ้ง"ที่ไหนก็มีทั้งนั้นจั๋วซือหรานชาติที่แล้วก็เจอกับสถานการณ์อันตรายมาด้วย ไม่เช่นนั้นไม่มีทางตายอย่างเวทนาจนข้ามภพมาที่นี่สรุปคือ จั๋วซือหรานเคยนำวัตถุที่ปล่อยสารกัมมันตรังสีได้เข้ามาแล้วในอันตรายจากชาติที่แล้วตอนนั้นนางสะบัดโยนเข้ามาในมิติ เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วน และไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้วนางยังคิดว่าจบเห่แล้วด้วยซ้ำ แค่รังสีของสารกัมมันตรังสีพวกนั้น ระยะเวลาในการย่อยสลายน่าสะพรึงมาก คิดว่าตนเองคงกลายเป็นฟอสซิลไปแล้ว สารกัมมันตรังสีพวกนั้นก็ยังไม่หายไปไหนด้วยซ้ำและในมิติของตนเอง ก็เป็นเหมือนแดนสวรรค์เขียวชอุ่มนอกโลก...ถ้าหากพื้นดินถูกปนเปื้อน แหล่งกำเนิดน้ำถูกปนเปื้อนล่ะก็จบเห่กันพอดีนางกอดความคิดสิ้นหวังเข้ามิติมา
"เสร็จแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ พักฟื้นไป เดี๋ยวพอพวกกองหนุนสำนักเมฆาวารีพวกนั้นของผู้เฒ่าเหอมาถึง พวกเราค่อยออกเดินทาง เรื่องนี้สำหรับข้ามันสำคัญมาก จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ดังนั้นเวลาพักฟื้นของพวกเจ้าเดิมทีก็เหลือไม่มากแล้ว อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ อีก""รับทราบ!" เหลียนเจินขานรับเสียงขรึม"ข้าจะรักษาให้พวกเขา จากนั้นเจ้าก็เอายาทาให้พวกเขาเสีย แค่อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ ทายาตามเวลา ไม่นานก็หายดีแล้ว"จั๋วซือหรานหลังจากรักษาคนคุ้มกันไปหลายคน ก็กลับมาที่ห้องตนเอง ไปค้นคว้าบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนเจ้าสิ่งนี้ล้ำค่ามากจริงๆ แต่ในเมื่อเขาให้นางมาแล้ว นางเองก็พอจะรับได้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเกรงใจเกินไปนักตอนที่จั๋วซือหรานย้ายบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไปปลูกที่ดินในมิติแล้ว ราชาแมงมุมหน้าผีกับแมงมุมหน้าผีตัวอื่นๆ แล้วก็แมงมุมกู่ ก็มาล้อมอยู่ข้างๆ นางแมงมุมที่ขนาดใหญ๋กว่าปกติหลายเท่า ล้อมนางเอาไว้ ฉากนี้ถ้าหากคนอื่นมาเห็น ก็คงรู้สึกหวาดผวาขึ้นแน่ๆแต่สีหน้าของจั๋วซือหรานก็นิ่งอย่างมาก กระทั่งบนหน้ายังยิ้มละไม หลังจากปลูกบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไว้ในดินแล