จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว ทำงานแล้วหรือ?ซือคงเซี่ยนที่อยู่ข้างๆ พอเห็นฉากนี้ ก็กลั้นหายใจ จ้องเขม็งมองอักขระที่เปล่งแสงสีแดงหม่นนั่นเดิมทีอักขระสีเลือดเหล่านี้ดูแล้วก็รู้สึกแปลกประหลาดมาก เวลานี้พอเปล่งแสงแดงหม่นออกมา ก็ยิ่งแปลกประหลาดขึ้นไปอีกดูเต็มไปด้วยความอันตรายในอากาศอัดแน่นไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กระตุ้นประสาทของซือคงเซี่ยนขึ้นบาดแผลน่ากลัวบนข้อมือจั๋วซือหราน กระตุ้นประสาทเขายิ่งกว่าซือคงเซี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา คิดจะขึ้นไปพันแผลให้นาง แต่เมื่อครู่พอเดินขึ้นไปก้าวหนึ่ง ก็เห็นซือหรานขมวดคิ้ว สายตาเย็นวาบไปนางดีดนิ้วจนเกิดลมขึ้นวูบหนึ่ง ผลักซือคงเซี่ยนกลับไปซือคงเซี่ยนเดิมทียังถลึงตาด้วยความไม่เข้าใจ จากนั้นจึงมองไปทางปลายจมูกตนเองอย่างไม่รู้ตัว ปลายเท้ามีอาการแสบร้อนแล่นขึ้นมาเมื่อครู่ตอนที่ตนเองจะเข้าไปพันแผลให้นาง ปลายรองเท้าต้นเองก็ถูกเผาไปแล้วเมื่อครู่เขาแค่...คิดจะเดินเข้าไปในอาณาเขตค่ายกลที่อักขระคำสาปนั่นสร้างขึ้นเท่านั้นปลายรองเท้ากลับถูกอักขระคำสาปที่อยู่วงนอกสุดเผาเสียแล้ว จนปลายเท้าเองก็ยังโดนผลกระทบไปด้วย ยังดีที่ไม่รุนแรงนักยังดีที่ซือหรานปฏิก
และจากนั้น ไม่รอให้จั๋วซือหรานถามละเอียด แสงแดงหม่นของค่ายกลคำสาปนั่นก็มอดดับลงจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว หมายความว่าอย่างไร?ไม่คิดจะตอบก็วางสายทิ้งหรือ? หน้าไม่อายเกินไปไหม?ซือคงเซี่ยนพอเห็นแสงหม่นของค่ายกลคำสาปดับไปก็ร้อนรนขึ้นมา คิดจะเดินเข้ามา จึงลองยื่นเท้าเข้าไปในชายขอบคำสาปเพื่อทดสอบและพบว่าค่ายกลคำสาปไม่ได้มีผลแผดเผาแบบก่อนหน้าแล้ว ซือคงเซี่ยนจึงพุ่งเข้าไปในค่ายกลคำสาป ไม่สนใจอะไรอีก อุ้มตัวจั๋วซือหรานออกมาทันทีจั๋วซือหรานรู้สึกจนใจ "ท่านอ๋อง..."ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้น "ขอโทษนะซือหราน สถานการณ์มันเร่งด่วนจนมาสนเรื่องชายหญิงไม่ได้แล้ว ค่ายกลคำสาปนี้ประหลาดเกินไป อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนมาทำลายห้องลับนี้ทิ้งเสีย ค่ายกลคำสาปนี้คงถูกทำลายไปด้วยกัน""ไม่ต้องนะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ข้าอยากจะค้นคว้าค่ายกลคำสาปนี้เสียหน่อย"ซือคงเซี่ยนยังรู้สึกกังวล เขาขมวดคิ้วขึ้น "ซือหราน เมื่อกี้เจ้าพูดจริงหรือ? ที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสภาผู้อาวุโส?""ถ้าเขาไม่ใช่แล้วจะประหม่าทำไมกัน" จั๋วซือหรานเบ้ปาก ยังคงรู้สึกหงุดหงิดกับการ 'วางสาย' ของอีกฝ่ายอยู่จานกั้นจึงชี้ไปที่ค่ายกลคำสาปนั่น "ยิ่งไปกว่านั้น
และเป็นอย่างที่จั๋วซือหรานพูดไว้ สามวันต่อมา ราชโองการขององค์จักรพรรดิเฒ่าก็ประกาศไปทั้งฟ้าดินประกาศว่าสุขภาพไม่อำนวย ต้องการใช้ชีวิตบั้นปลาย จึงมอบเรื่องงานทั้งหมดให้องค์ชายเจ็ดซือคงเซี่ยนจัดการองค์ชายเจ็ดซือคงเซี่ยนถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องสำเร็จราชการแทน ยศชินอ๋อง แม้จะไม่ค่อยตรงกับกฏหมายนัก แต่ก็ยังให้อ๋องสำเร็จราชการแทนเข้าอยู่ในวังตะวันออก แม้จะไม่ค่อยเข้ากับกฏแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ถึงอย่างไรก็เข้าวังตะวันออกไปแล้ว ใครมองออกถึงเจตนาขององค์จักรพรรดิเฒ่าได้ไม่ยากยิ่งไปกว่านั้นยังสำเร็จราชการแทนด้วย ใครอยากจะไปขัดใจกับคนที่จะเป็นใหญ่ในอนาคตกัน?จนถึงตอนนี้ ความวุ่นวายของอ๋องอวี้จึงยุติลงขณะข่าวที่ซือคงเซี่ยนถูกแต่งตั้งลือกระจายทั่วเมืองหลวง จั๋วซือหรานกำลังวุ่นอยู่ในกรมสืบสวนพิเศษมาแล้วหลายวัน"ซือหราน ไม่ร้อนแล้ว ดื่มเถอะ" ชายหนุ่มหล่อเหล่ามีสายตาอ่อนโยน นำถ้วนในมือส่งไปตรงหน้าจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานรับแล้วดื่มลงไปอึกอัก หลังจากที่ดื่มลงไปเหมือนวัวเคี้ยวบัว จึงถอนใจยาวออกมา"โล่งเสียที" จั๋วซือหรานถอนหายใจ นางกลอกตามองชายหนุ่มหล่อเหลาข้างๆ อดยื่นมือไปหยิกแก้มเขาแล้วดึงเบ
ชิ่งหมิงยื่นมือไปหยิบเผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาผืนหนึ่ง เช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นางเช็ดไปด้วยพลางพูดว่า "ปกติตอนเพิ่งเรียนหลอมวัตถุไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ควรค่อยๆ เรียนรู้ไปตามลำดับจึงจะถูก แต่เจ้าเป็นสถานการณ์พิเศษ ดังนั้นก็คงจะเหนื่อยไปจริงๆ"จั๋วซือหรานรู้ความหมายของชิ่งหมิง คนอื่นถ้าเรียนการหลอมสกัด ล้วนเริ่มจากการหลอมสกัดของชิ้นเล็กๆ ก่อนเหมือนนางเสียที่ไหน ตอนเริ่มก็เริ่มจากหลอมวัตถุซ้ำใหม่เลยการหลอมวัตถุเดิมทีก็ไม่ใช่งานที่ง่ายอะไร การหลอมซ้ำยิ่งยากขึ้นไปอีกนี่มันเหมือนกับยังไม่ทันจะเดินเป็น แต่ก็เรียนวิ่งข้ามคานเสียแล้ว...จั๋วซือหรานถอนหายใจยาวออกมา เอ่ยขึ้นว่า "ไม่มีทางเลือก จงกระหายและทำตัวให้โง่ตลอดเวลา...เลยทำได้แค่ทำอะไรให้เห็นผลได้ไวขึ้นเท่านั้น ยังดีที่มีน้ำยาโอสถของป๋อยวนอยู่"หรือก็คือของเหลวขมๆในแก้วที่ดื่มลงไปในปากเมื่อครู่นั่นเองแม้จะขม แต่กลับเย็นโล่งมาก ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ร้อนเช่นนี้ ดื่มลงไปกลับสบายขึ้นมากเลย"เอาล่ะ เริ่มเถอะ" จั๋วซือหรานมองขลุ่ยเลานั้นในเตาสำริดไม่ได้เป็นขลุ่ยดินเผารูปร่างอ้วนกลมแบบก่อนหน้าแล้วชิ่งหมิงบอกว่าถึงอย่างไรก็ต้องหลอมซ้ำ นา
มองกระบอกน้ำชาโอสถสามใบที่ว่างเปล่าตรงมุมกำแพงจั๋วซือหรานก็ยกมุมปากขึ้น ว่ายังไงดีล่ะ?พูดได้แค่ว่าใต้เท้าซือหลี่ตันติ่งของพวกเรา ปากไม่ตรงกับใจเลยจริงๆถึงอย่างไร ดูจากสภาพสบายๆ ที่ผิดปกติของชิ่งหมิงซึ่งไม่มีเหงื่อสักหยด น้ำชาโอสถในกระบอกน้ำชาโอสถที่มุมกำแพงเหล่านั้น ไม่ต้องคิดเลยว่าใครเป็นคนเตรียมเอาไว้เพลิงห้าสีเผาเข้าไปในเตาสำริด อุณหภูมิของห้องหลอมก็เพิ่มสูงขึ้นทันทีจั๋วซือหรานถึงแม้จะเพิ่งหลอมวัตถุชั้นต้น แต่เนื่องจากเดิมทีพลังความเข้าใจค่อนข้างโดดเด่นอยู่แล้ว บวกกับมีทักษะการหลอมยาอยู่แล้วด้วยพลังควบคุมการหลอมสกัดก็ค่อนข้างโดดเด่น ดังนั้นอีกสองวันข้างหน้าก็ต้องทุ่มเทเสร็จสิ้นเรื่องนี้ตอนนี้ก็ดูเชี่ยวชาญมากแล้วด้วย กระทั่งสามารถหันมาคุยเล่นกับชิ่งหมิงได้บ้างแล้ว"...ดังนั้นข้าเองก็ถือว่าผิดใจกับพรมแดนใต้ไปทั่วแล้วด้วย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ครั้งนี้ที่ข้าจัดการไปตั้งมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกดินแดนทางใต้ ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงเจาหมิ่นนั่น..."ชิ่งหมิงกลอกตามองนาง "เจ้าของกล่องกู่พวกนั้นที่เจ้าเอามาน่ะหรือ? คนที่ใช้เสน่ห์หนอนพิษกู่เล่นงานเจ้าเมื่อตอนนั้นน่ะนะ?""อืม
นางยกมือขึ้นตบไปที่หลังของชิ่งหมิงเบาๆ "เจ้าติดอ่างโตแล้วสินะ"ข้าเดิมทีโตกว่าเจ้าเสียอีก" ชิ่งหมิงเอ่ยต่อ "เดี๋ยวตอนที่เจ้าไปพื้นที่ศักดินา ข้าจัดการงานในมือเสร็จแล้วจะไปหาเจ้าที่หลวนหนาน"จั๋วซือหรานตกตะลึง "เจ้า...ซือหลี่ไม่ไปทำงานตามใจชอบได้ด้วยหรือ?""ไม่ได้" ชิ่งหมิงตอบ "แต่ข้าไม่สนใจ อย่างมากก็แค่เลิกทำ ยิ่งไปกว่านั้น ใต้เท้าซือเจิ้งก่อนหน้าก็ไม่ได้ไปทำงานตั้งนานแล้ว ข้าก็แค่ทำตามคนอื่นเขา"จั๋วซือหรานพอได้ยินชิ่งหมิงเอ่ยถึงใต้เท้าซือเจิ้ง นางก็เม้มปาก สีหน้าชะงักไปถามขึ้นเบาๆ "ใต้เท้าซือเจิ้งไม่ได้ไปทำงานนานแค่ไหนแล้ว?""อืม ก็ซักพักก่อนหน้านี้แล้วล่ะ จู่ๆ ก็ไปทำงานเมื่อไม่กี่วันก่อน" ชิ่งหมิงบอกทุกเรื่องที่รู้จนหมดเปลือกจั๋วซือหรานยังคิดจะถามอะไรอีก ก็ได้ยินเสียงติ๋งดังขึ้นมานางมองกลับไปทางเตาสำริดทันที แล้วจึงเห็น ว่าขลุ่ยเลานั้นที่นอนนิ่งอยู่ในเตา ตัวขลุ่ยมีแสงประกายระยิบระยับ เปล่งแสงห้าสี ราวกับน้ำมันบนผิวน้ำอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานตาเป็นประกาย "สำเร็จแล้ว!"นางดับเพลิงห้าสีของตนเองลงทันที จากนั้นมือก็คลุมด้วยสีหยกชั้นหนึ่ง ใช้งานหัตถ์เสวียนอวี้ ยื่นเข้าไป
ผู้ใต้บัญชาของชายหนุ่มเหมือนจะลังเลหน่อยๆ เอ่ยเตือนเสียงต่ำว่า "นายท่าน บางทีคงไม่ต้องรีบในตอนนี้กระมัง? ถึงอย่างไร พระราชโองการพระราชทานรางวัลให้หญิงสาวคนนี้ก็เพิ่งจะออกมาเอง"คิ้วชายหนุ่มเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า "เจ้าหมายถึงเรื่องที่พื้นที่ศักดินาของนางถูกแต่งตั้งไว้ที่มณฑลหลวนหนานน่ะหรือ?""ขอรับ" ผู้ใต้บัญชาขานรับเสียงหนักแน่น "เช่นนี้ก็เห็นได้ว่า จะช้าเร็วนางก็ต้องไปที่หลวนหนาน ส่วนหลวนหนาน..."ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก มณฑลหลวนหนานมีเส้นชายแดนของแคว้นชางกับพรมแดนใต้ทั้งสามแคว้นยาวๆ อยู่เส้นหนึ่งและเพราะอยู่ใกล้กับพรมแดนใต้ เทียบกับหญิงสาวชั้นสูงที่เข้าไปมีอำนาจในเมืองหลวงแคว้นชางแล้ว คนพรมแดนใต้ทางนั้นบางทีอาจจะคุ้นเคยกับสถานที่นั้นมากกว่าคนใต้บัญชาเอ่ยต่อว่า "นางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ต่อให้เป็นหญิงชั้นสูงจากแคว้นชางแล้วทำไมกัน ถึงตอนนั้นพอนางไปถึงหลวนหนาน ไม่คุ้นคนไม่คุ้นที่ จะทำอะไรได้? มีแต่ให้นายท่านบังคับควบคุมเท่านั้นล่ะ..."ชายหนุ่มได้ยินผู้ใต้บัญชาพูดเช่นนี้ มุมปากก็ยกขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "ถ้านางบีบง่ายแบบที่เจ้าพูด ข้าคงไม่สนใจตัวนางหรอก"นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่
จะเป็นก็ไม่เป็น จะตายก็ไม่ตายอยู่ในแบบที่ไม่เป็นไม่ตาย"ซือคงอวี้" ปากชายหนุ่มเอ่ยออกมาเรียบๆ สามคำร่างกายที่แช่ในอ่างสั่นไปทั้งตัวทันที ดวงตายังคงขุ่นมัว แต่ในตาที่ขุ่นมัว เริ่มปรับภาพขึ้นมาแล้วในคอเองก็เริ่มมีพยางค์ความหมาย "ฆ่า...ฆ่าข้า...ซะ!"เสียงฟังแล้วแหบพร่าสุดๆใครจะนึกออก ว่าชินอ๋องอวี้ที่เคยยิ่งใหญ่ทรงอำนาจในเมืองหลวง จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ถูกคนสับแขนขาแช่ไว้ในถัง กลายมาเป็นมนุษย์ท่อนไม้ ทนทุกข์ทรมานแบบที่จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้เขาคำรามอีกว่า "ฆ่า...ปัน...ปันอวิ๋น...ฆ่าข้า...ซะ!"ผู้ใต้บัญชาข้างๆ ตะคอกขึ้นมา "เป็นแค่หุ่นเชิด ยังกล้ามาเรียกชื่อนายท่านอีกเรอะ!"ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเจ้าเล่ห์ข้างๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือปันอวิ๋น...ปรมาจารย์กู่ที่หลอมสกัด 'ลูกแก้วมังกรทั้งเจ็ด' ของจั๋วซือหรานออกมา และเป็นเจ้าหุบเขาของหุบเขาหมื่นพิษพรมแดนใต้นั่นเองเทียบกับการตะคอกไม่อย่างชอบใจของผู้ใต้บัญชาแล้ว ปันอวิ๋นไม่ได้มีอารมณ์อะไรนักกับการที่ซือคงอวี้เรียกชื่อจริงเขาแต่กลับเดินวนรอบถังอย่างสนใจ เอ่ยขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "เจ้าไม่ใช่อยากจะมีชีวิตเรอะ? เจ้าไม่ใช่อย
แต่พอออกมาจากปากของนาง ก็ทำให้เขาไม่มีความคิดเช่นนั้นขึ้นมาอย่างประหลาดและปันอวิ๋นเองก็ทำตามสิ่งที่จั๋วซือหรานคาดหวัง ชี้แนะถึงระบบของวิชากู่และวิชาหุ่นเชิดแก่นางจั๋วซือหรานเองก็ฉลาดเฉลียว เรียนอะไรก็เข้าใจไปหมดคนเราไม่ควรเปรียบเทียบกับคนอื่นมากเกินไปพอเทียบมาเช่นนี้ แล้วคิดไปถึงศิษย์พวกนั้นในหุบเขาหมื่นพิษ ก็เหมือนมีแต่พวกหัวแข็งออกมาคนแล้วคนเล่าและคืนนี้ ตอนที่จั๋วซือหรานพักผ่อน เงาดำร่างหนึ่ง ก็แอบเข้ามาในห้องการเคลื่อนไหวก็ดูลึกลับผิดปกติ ทักษะการเคลื่อนไหวใช้งานถึงขีดสุด กระทั่งคนระดับจั๋วซือหราน ก็ยังไม่อาจสังเกตได้ในทันทีและขณะเดียวกัน จั๋วซือหรานก็กำลังยุ่งอยู่กับเรื่องหุ่นเชิดความมืดในมิติของนางพวกก้อนเนื้อกับเหล่าสัตว์ประหลาด ก็ล้วนสังเกตได้ ว่าหุ่นเชิดความมืดนี้มีกลิ่นอายที่เย็นเยียบมากจริงๆถ้าแค่ชั่วขณะหนึ่งก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าสัมผัสกับมันอยู่ตลอดเวลา สภาพของจั๋วซือหรานเองก็ต้องถูกผลกระทบไปบ้าง"...นายท่าน ช่างมันดีกว่าไหม ไม่น่าจะต้องรีบร้อนในตอนนี้ ท่านควรจะพักผ่อนได้แล้ว" ราชาแมงมุมหน้าผีเตือนเสียงต่ำขึ้นมาข้างๆจั๋วซือหรานพอได้ยินก็แหงนตายิ้มให้มัน จา
ที่จั๋วซือหรานไม่รู้ก็คือ การคงอยู่ของพิษกู่ร้อยไหม จุดเริ่มต้นของมัน คือปันอวิ๋นคิดจะเสริมแกร่งการควบคุมของวิชาหุ่นเชิดหวังว่าจะค้นคว้าสิ่งที่มีพลังมากกว่าหุ่นเชิดความมืดออกมาได้แต่ว่า...กลับล้มเหลว"...พิษกู่ร้อยไหมเป็นแค่สิ่งที่เกิดขึ้นจากความล้มเหลวเท่านั้น" ปันอวิ๋นเอ่ย "ตั้งแต่แรกเริ่ม เป้าหมายของข้าคือหวังว่าจะสามารถทำให้วิชากู่กับวิชาหุ่นเชิดรวมกันได้ในระดับหนึ่ง เกื้อกูลกันจนยกระดับพลังการควบคุมได้"และไม่ต้องไปเอาคนเป็นมาหลอมเป็นหุ่นเชิดอีก เอาจริงๆ กระบวนการนั้นมันค่อนข้างแย่เลยทีเดียวถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเสพสุขกับการสังหารเพียงแต่สิ่งเหล่านี้ ไม่ต้องจงใจนำออกมาพูดก็ได้ กลับจะดูใจแคบจนเกินไปจั๋วซือหรานหลังจากได้ยินคำพูดนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้น เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม "สิ่งล้มเหลวที่เจ้าหุบเขาพูด คงไม่ได้หมายถึงพวกหนอนกู่ร้อยไหมหลายตัวนั้นของข้าหรอกใช่ไหม?"ปันอวิ๋นแหงนตามองนาง "พวกมันนั่นล่ะ""เจ้าพูดถึงพวกมันแบบนี้ พวกมันจะรู้สึกแย่เอานะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นไม่ค่อยจะใส่ใจกับเรื่องนี้ เอ่ยต่อว่า "พวกมันมีคุณสมบัติที่พิเศษ ข้าหลอมสกัดออกมาจากแมลงกู่ใยไหม เ
"นั่นเพราะความทรงจำที่ไม่สมประกอบของเขาล้วนเคียดแค้นชิงชังเจ้ากระมัง ดังนั้นพอได้ยินเสียงของเจ้าถึงได้ทนไม่ไหว" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "ข้าเห็นหน้าเขาแล้วก็เข็ดฟันสุดๆ ดังนั้นก็เหมือนกันนั่นล่ะ" จากนั้นนางก็ยิ้มตาโค้งให้ปันอวิ๋น "ดังนั้นเจ้าหุบเขาโปรดให้อภัยด้วย"นางวางดาบยาวลงข้างๆ แล้วจึงนั่งยองลงมา มองไปยังหุ่นเชิดความมืดบนพื้น"ดูแล้ว...ก็ไม่ได้น่าเกลียดจริงๆ" จั๋วซือหรานเข้าใจความหมายที่ปันอวิ๋นพูดไว้ว่าพอเห็นหุ่นเชิดความมืดก็ดูออกว่าเป็นของสำนักเมฆาวารีขึ้นมาแล้วเพราะว่า...พูดแบบนี้แล้วกันหุ่นเชิดความมืดร่างนี้ของสำนักเมฆาวารี มองแล้วก็เหมือนกับผีดิบแต่หุ่นเชิดความมืดร่างนี้ของปันอวิ๋น มองแล้วคล้ายกับซือคงอวี้ที่ป่วยหนักจั๋วซือหรานยิ่งรู้สึกสนใจกับวิชาหุ่นเชิดขึ้นไปอีกนางหยิบอักขระคำสาปหุ่นเชิดความมืดสำนักเมฆาวารีที่ตนเองคัดลอกออกมา นำมาเปรียบเทียบอย่างละเอียดกับอักขระคำสาปบนตลับหุ่นเชิดของปันอวิ๋น"เหมือนจะมีรายละเอียดเล็กน้อยที่ไม่เหมือนกันจริงๆ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นปันอวิ๋นตอบ "อักขระคำสาปของปรมาจารย์วิชาเหยี่ยนทุกคนล้วนมีจุดที่แตกต่าง แต่แกนกลางนั
ใบหน้านี้ จั๋วซือหรานยังสามารถมองออกได้ในทันทียิ่งไปกว่านั้น ตอนที่นางเรียกชื่อเขาออกมา...แม้ว่าเขาจะเป็นหุ่นเชิดความมืดไปแล้ว แต่ก็เหมือนว่ายังมีปฏิกิริยากับชื่อนี้อยู่...หรืออาจจะ มีปฏิกิริยากับเสียงของนางอาจจะเพราะชิงชังนางอย่างมากกระมัง?สรุปคือ จั๋วซือหรานสัมผัสได้ ว่าการโจมตีของเขาเฉียบคมขึ้นจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว พลิกข้อมือ ดาบยาวในมือชักออกดังเสียงดัง "เคร้ง..."จากนั้นแสงดาบก็แทบจะจ้าแยงตา!นี่เป็นสิ่งที่ปันอวิ๋นคาดการณ์ไม่ถึงเพราะปันอวิ๋นคิดอยู่ตลอด ว่าวิชาแพทย์วิชาพิษวิชากู่ กระทั่งการควบคุมสัตว์ของนางนั้นโดดเด่นมาก แต่ในด้านทักษะยุทธ์ แม้จะไม่ถึงกับอ่อนแอแต่บางทีอาจจะยังด้อยกว่าทักษะด้านอื่นๆ อยู่ถึงอย่างไร มนุษย์ก็ย่อมมีจุดอ่อนเสมอสายอาชีพอย่างแพทย์ ปรมาจารย์พิษ ปรมาจารย์กู่ ปรมาจารย์เชิดหุ่นต่อให้จะรุนแรงแค่ไหน การต่อสู้ระยะประชิดก็ยังเป็นจุดอ่อนอยู่แต่ที่คิดไม่ถึงคือ จั๋วซือหรานในตอนนี้กลับไม่ได้มีความอ่อนแอแบบที่แพทย์คนหนึ่งควรมีเลยหลังจากที่เห็นนางพลิกข้อมือ แล้วมีดาบยาวส่งเสียงวูมขึ้นมาพลังของนางก็เปลี่ยนไปฉับพลัน!หญิงสาวงดงามที่ดูไม่มีพิษภัย
ตอนที่ลุกขึ้นยืนก็มีข้อสรุปขึ้นมา "วิชาของสำนักเมฆาวารีหรือ"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็เลิกคิ้ว ยิ้มตาโค้ง "ดูเหมือนเจ้าจะเป็นวิชาหุ่นเชิดสินะ!"ปันอวิ๋นเอียงตาเหล่มองนาง "ที่เจ้าจงใจวางไว้แบบนี้ ไม่ใช่เพื่อจะดทสอบว่าข้าเป็นจริงหรือเปล่าไม่ใช่เรอะ"จั๋วซือหรานก็มีความหมายนี้อยู่จริงๆ ตอนนี้ถูกปันอวิ๋นจี้เข้ามา นางก็ไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิดนางหัวเราะเอ่ยขึ้นว่า "ถ้าเจ้าไม่เป็น พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องมาเสียเวลาบนวิชาหุ่นเชิดอีก"แต่ในเมื่อปันอวิ๋นเป็น...จั๋วซือหรานถามขึ้น "ทำไมถึงมองออกว่าเป็นวิชาของสำนักเมฆาวารี? ข้าดึงตะปูวิญญาณกับห่วงวิญญาณทิ้งไปแล้ว...""ง่ายมาก" ปันอวิ๋นยกมุมปาก รอยยิ้มดูแล้วมีความประชดประชันอยู่ แต่ก็ไม่ได้เพ่งเป้ามาทางจั๋วซือหรานบนความรู้สึก ดูคล้ายจะเพ่งไปทางสำนักเมฆาวารีมากกว่าปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "มีแค่สำนักเมฆาวารีที่เท่านั้นจะทำได้ระดับต่ำแบบนี้ อักขระคำสาปบนตัวก็ขาดความสมบูรณ์แบบ แต่ว่านี่็เป็นลักษณะของทางสำนักเมฆาวารี พวกเขาชอบเน้นไปที่พลานุภาพของหุ่นเชิดความมืด รู้สึกแค่ว่า ถ้าให้คนอื่นมองปราดเดียวแล้วรู้ว่าเป็นหุ่นเชิดความมืด ก็สามารถข่มขู่ฝ่ายตรง
ในใจเหมือนมีเสียงที่กำลังกู่ก้องขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียงแต่หลังจากที่ในใจกู่ก้องออกมาอย่างไร้ซุ่มเสียงแล้ว ตัวเขาเองก็ตกตะลึงไปทำไมในใจถึงได้มีเสียงเช่นนี้ ทั้งที่ควรจะไม่มีความรักกับความรู้สึกใดแล้วแท้ๆแต่ตอนนี้ความรู้สึกในใจมันเหมือนกับไม่ได้เป็นเช่นนั้นแล้วเจิ้นเจียงยังคงตักอาหารให้เขา แต่เขากลับกินอย่างไม่รู้รส กลืนลงไปอย่างยากลำบากส่วนอีกด้าน จั๋วซือหรานเดินมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยมแล้วร่างสูงใหญ่ของปันอวิ๋น ยังคงตามอยู่ด้านหลังนางหลังจากมาถึงเรือนหลังโรงเตี๊ยม แม้ทั้งสองคนดูแล้ว ระยะห่างเหมือนจะไม่แตกต่างอะไรก่อนหน้าแต่อันที่จริงในพริบตานี้ ระหว่างทั้งสองคนก็เหมือนมีความห่างเหินกันขึ้นมาจั๋วซือหรานหมุนตัวไปทางปันอวิ๋น ขณะที่หมุนตัวหันไป เธอก็ถอยหลังออกมาครึ่งก้าวแค่ระยะห่างสั้นๆ เพียงครึ่งก้าวเท่านั้น กลับเหมือนดึงกว้างห่างออกมาเท่ากับทางช้างเผือกปันอวิ๋นสังเกตถึงความห่างเหินที่นางจู่ๆ ก็ดึงออกมาแล้ว เขาเอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ช แม่นางจั๋วนี่ใช้งานเสร็จก็โยนทิ้งกันเสียแล้ว...ิ"ในเสียงของจั๋วซือหรานมีรอยยิ้มจางๆ "เจ้าหุบเขาปันพูดแล้วมัน...ข้าไปใช้ประโยชน์อะไรจากเ
คิ้วของปันอวิ๋นขมวดเบาๆ แหงนตาสบมองนาง "เจ้ไาปสัมผัสกับสิ่งเย็นมืดอะไรมา?""อื๋อ?" จั๋วซือหรานตอนนี้ก็งงงันไปหน่อยๆ นางคิดไม่ถึงว่า ปันอวิ๋นจะจับออกมาได้จริงๆนางยิ้มโบกไม้โบกมือ ตอบว่า "ไม่มีอะไร ก็แค่ชิงหุ่นเชิดความมืดมาตัวหนึ่ง คิดจะค้นคว้าดูเล่นๆ ปราณหยินเข้าสู่ร่างกายเสียแล้วหรือ? ไม่เป็นไร ไม่กี่วันก็สลายหมดแล้ว"พอได้ยินนางพูดเช่นนี้ ปันอวิ๋นก็จ้องนาง ครู่ต่อมา ในน้ำเสียงก็เหมือนมีความจนใจหรือไม่ก็อารมณ์อะไรสักอย่างอยู่ ถอนใจเอ่ยขึ้นว่า "เจ้านี่มัน...อะไรก็กล้าแย่งมา กล้าเอามาเล่นทั้งหมดเลยจริงๆ"จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็ฟังออกถึงความหมายของเขา นางตอนนั้นกระทั่งกู่ของเขาก็ยังแย่งมา ตอนนี้ยังแย่งหุ่นเชิดความมืดของคนอื่นมาอีกจั๋วซือหรานคิดๆ ถามขึ้นว่า "จริงด้วย เจ้าไม่ใช่คนพรมแดนใต้หรือ? เคยค้นควัาวิชาหุ่นเชิดบ้างไหม?""รู้นิดหน่อย ทำไมหรือ?" ปันอวิ๋นมองนาง ถามขึ้นว่า "อยากให้ข้าสอนหรือ?"เขายิ้มขึ้นมา ในสายตามีปราณชั่วร้ายขึ้นมา "ก็ได้นะ ข้าจะสอนเจ้า เจ้าหมั้นกับข้าสิ ก่อนหน้านี้ไม่ใช่พูดไว้แล้วหรือ..."จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ถ้าตามนิสัยของนาง น่าจะคงตอบกลับคำพูดนี้ทัน
"คุณหนูของเจ้าล่ะ อยู่ที่ไหน?"พอได้ยินคำนี้ของเขา เจิ้นเจียงก็มีปฏิกิริยาขึ้นมาเจิ้นเจียงคิดอยู่นานถึงคำเรียกตัวเขา จึงเอ่ยขึ้นอย่างนอบน้อมว่า "เจ้าหุบเขาปัน คุณหนูของข้ายังไม่ได้แต่งงาน ท่านอย่าได้พูดจาส่งเดชเลย มันจะเสียหายไปถึงชื่อเสียงคุณหนูข้า"เจิ้นเจียงอันที่จริงก็สั่นเทาหน่อยๆ ถึงอย่างไรก็สามารถเดาได้ว่าคนตรงหน้าคนนี้เป็นบุคคลที่ร้ายกาจแค่ไหนแต่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณหนู เจิ้นเจียงก็ไม่มีลังเลแม้แต่น้อย พูดออกมาอย่างตรงไปตรงมาทันทีและพอได้ยินคำนี้ของเจิ้นเจียง ปันอวิ๋นก็เหมือนจะโกรธแล้วคิ้วยาวเลิกขึ้น ดวงตาเรียวยาวคู่นั้น เหมือนยกหางตาขึ้นบางๆ "เจ้าไม่เชื่อหรือ? อย่าไม่เชื่อเลย คุณหนูของเจ้าตกลงกับข้าไปนานแล้วว่าจะแต่งงานกับข้า"เจิ้นเจียงตกตะลึงขึ้นมา เรื่องนี้ เขาไม่เคยรู้มาก่อน แต่เขาเองก็จะปฏิเสธว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นไม่ได้ เพราะเขาเองก็ไม่รู้ดังนั้นจึงทำได้แค่นิ่งเงียบเพียงแต่ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า เจิ้นเจียงรู้สึกหนาวหน่อยๆ...เหมือนรอบตัวมีลมเย็นที่พัดออกมาจากถ้ำน้ำแข็งอะไรแบบนั้นเจิ้นเจียงยังไม่ทันมีปฏิกิริยาว่าปราณเย็นพัดมาจากไหนก็ได้ย
"ใช่แล้ว น้องชายของแม่นางเราถูกพาตัวไป เป็นฝีมือของสำนักเมฆาวารี เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของแม่นางก็คือเรื่องนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังแล้วดูกังวลหน่อยๆ"แม่นางอยู่ที่เมืองหลวงแม้จะประสบความสำเร็จในทุกที่ แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้มาอยู่ในสถานที่แปลกหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับสำนัก ดังนั้นแม่นางจึงต้องยิ่งเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง..."เจิ้นเจียงเองก็น่าจะไม่มีใครที่พูดด้วยได้ ในใจอดกลั้นไว้ไม่น้อย พวกเชลยที่คุณหนูจับมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นคนของสำนักเมฆาวารี เขาเองก็พูดอะไรด้วยไม่ได้คนคุ้มกันตระกูลเหอที่คุณหนูพากลับมาพวกนั้น ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ พูดอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นตอนนี้ พอเจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนู จึงเหมือนกับเปิดประตูน้ำออกอย่างไรอย่างนั้นขณะที่พูดแรงก็เริ่มมา ไม่วา่จะเรื่องที่คุณหนูออกจากเมืองหลวงอย่างไร รับมือกับพวกลอบโจมตีอย่างไร จัดการแก้ไขวิกฤติ รับมือกับอีกฝ่าย จับคนของสำนักเมฆาวารีมาเป็นเชลยอย่างไรหลังจากมาถึงเมืองหยางแล้วรับมือกับตระกูลเหออย่างไร เล่าออกมาจนหมดและขณะที่ 'คุณชายเยี่ยน' กำลังกินข้าวอย่างไม่รีบไม่