สายตาทั้งสองคน ทำเอาจั๋วซือหรานพูดไม่ค่อยออกนางโบกมือเอ่ยขึ้น "เอาล่ะๆๆ ก็แค่ข้าอยากรู้สถานการณ์ของเฟิงเหยียนเองได้ไหมล่ะ? พูดได้หรือเปล่า"รู้สึกว่าถ้าหากตนเองไม่ยอมรับจุดนี้ สองคนนี้ก็เอาแต่ใช้สายตาสงสัยนี้จ้องนางไม่ได้ยุ่งยากอะไร สู้ยอมรับจุดนี้ไปเลยถึงแม้จะพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ก็อดพูดไม่ได้เลย หลังจากที่ตนเองได้ยินคำพูดของเฟิงหร่านแล้ว ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาเจี่ยงเทียนซิงกับฮั่วจือโจวอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ สกิลเฟิงคนนั้นมีดีอะไรกันแน่นะคนอย่างจั๋วจิ่วนี่ ใครบ้างที่ไม่คู่ควรกัน ทำไมถึงเลือกไปแขวนคอตายอยู่กับต้นไม้คดๆ อย่างเฟิงเหยียนได้เนี่ย หรือว่ามันมีไอ้สิ่งที่เรียกว่าสวรรค์ลิขิตไว้อยู่จริงๆ?เจี่ยงเทียนซิงคิดๆ เอ่ยตอบว่า "ความเข้าใจต่อตระกูลจั๋ว ก่อนหน้านี้ก็บอกกับเจ้าไปแล้ว"จั๋วซือหรานคิดถึงเรื่องที่เจี่ยงเทียนซิงเล่าว่าพ่อของเขาเคยเจอคนตระกูลเฟิงที่แดนเหนือคนนั้นตระกูลเฟิงเดิมทีก็ค่อนข้างปิดและลึกลับอยู่แล้ว โลกภายนอกรู้น้อยมากฮั่วจือโจวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "สำหรับความเข้าใจต่อตัวเฟิงเหยียน ก็มีแค่เท่านั้นล่ะ""ตระกูลฮั่วของข้า
ไม่มีความแน่นอนเท่าไร"เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่บอกสิ่งเหล่านี้กับข้า" จั๋วซือหรานพูดพลางลุกขึ้นยืน "ข้อมูลพวกนี้ข้าจะไปตรวจสอบอีกครั้ง"ฮั่วจือโจวที่ตระกูลค้าข่าวสารอยู่แล้ว สนใจช่องทมางข่าวกรองทั้งหมด ดังนั้นพอได้ยินจั๋วซือหรานเพูดเช่นนี้จึงอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา "เจ้าไปตรวจสอบที่ไหนหรือ?"จั๋วซือหรานคิดๆ "ไปถามกับเฟิงอวี้เอา?"เจี่ยงเทียนซิง "..."ฮั่วจือโจว"..."พวกเขาถึงแม้จะรู้สึกพูดไม่ออก งงงันไปบ้าง แต่เพราะอะไรพอคำนี้ออกจากปากจั๋วซือหรานกลับดู...เหมือนจะเชื่อได้อย่างประหลาดนางคงไม่ได้คิดจะไปถามเฟิงอวี้จริงๆ หรอกกระมัง?แต่ว่าจั๋วซือหรานไม่ได้พูดหัวข้อสนทนานี้อีกแค่หยิบกระดาษออกมาให้ฮั่วจือโจว "นี่ นี่คือรายการอาหารที่ข้าทำออกมา เจ้าให้พ่อครัวลองทำออกมาชิมดูก่อน ถ้าหากไม่อร่อยข้าจะกลับมาใหม่"จั๋วซือหรานพูดเสร็จก็ลุกขึ้นจะเดินเจี่ยงเทียนซิงกับฮั่วจือโจว ส่งนางไปที่ประตูเจี่ยงเทียนซิงทนไม่ไหว ถามขึ้นว่า "เจ้าคงไม่คิดจะไปถามเฟิงอวี้หรอกใช่ไหม?"จั๋วซือหรานมองเขาเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "เจ้าเดาดูสิ?"ยังไม่ทันที่จั๋วซือหรานจะออกไปที่ถนน ก็มีคนเข้ามาหาเสียแล้ว"แม่นาง
จั๋วซือหรานตามซือคงเซี่ยนเข้าไปในตำหนักวังที่เจาหมิ่นอยู่อดพูดไม่ได้เลย เจาหมิ่นอยู่ในแคว้นชาง ไม่ใช่องค์หญิงที่ได้รับความโปรดปรานอะไรถ้าให้พูดจริงๆ อันที่จริงแคว้นชางก็ไม่มีองค์หญิงคนไหนที่ได้รับความโปรดปรานพิเศษอยุ่แล้ว องค์จักรพรรดิเองก็มีแค่ซือคงอวี้ที่เป็นที่โปรดปรานมากที่สุดเท่านั้นองค์จักรพรรดิเฒ่าก่อนหน้านี้น่าจะคำนวณไว้เช่นนั้น ไม่อยากให้ลูกๆ มาทะเลาะกันมาก แล้วมาฆ่าล้างสังหารกันเองดังนั้นจึงวางท่าทีเอาไว้ชัดเจนตั้งแต่แรก ลำเอียงไว้อย่างเห็นได้ชัดให้ตายเถอะ ทำให้องค์ชายคนอื่นรู้ว่าตนเองไม่มีหวัง แล้วไม่เกิดความคิดก่อกบฏหรือความทะเยอทะยานมากเกินไปจากเรื่องนี้แล้วก็ทำให้ลูกชายที่ได้รับความลำเอียงคนนั้น ไม่รู้สึกว่าเหล่าพี่น้องมีพลังคุกคามอะไร จนต้องมาลงไม้ลงมือกับเหล่าพี่น้องด้วยกันตามหลักการแล้ว วิธีการเช่นนี้ขององค์จักรพรรดิเฒ่า ต้องการจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้และฆ่าฟันกันเองของเหล่าลูกๆเจรนาเริ่มต้นนั้นดีมากตามหลักการ เรื่องราวควรจะเป็นไปตามที่เขาคิดไว้ใครจะรู้ว่าลูกชายที่ตนเองโปรดปรานลำเอียงนั้นไม่ใช่เชื้อสายของตนเอง เช่นนั้นเหล่าลูกๆ คนอื่นที่เดิมทีไม่มีพลัง
พวกนางเอ่ยว่า "เพราะ เพราะว่า...เพราะว่าพวกเราอยู่ในห้องของนายท่านแล้วเคยเห็นภาพของแม่นางจิ่ว...""โอ๋?" จั๋วซือหรานมองพวกนางอย่างสนใจ จากนั้นจึงกลอกตามองไปทางซือคงเซี่ยน "ที่เจ้าบอกว่าของนางสนใจ น่าจะเป็นเจ้าสิ่งนี้กระมัง?"ซือคงเซี่ยนถอนหายใจ "ไม่ใช่แค่นี้"คำพูดของสาวใช้วัง บวกกับคำพูดของซือคงเซี่ยน ก็กระตุ้นความอยากรู้ของจั๋วซือหรานขึ้นมาแล้ว "พาข้าไปดูหน่อย"ซือคงเซี่ยนนำนางเดินตรงไปที่เรือนหลังของตำหนักวัง จากนั้นก็พานางลงไปยังห้องใต้ดินห้องหนึ่งสถานที่มากมายล้วนมีห้องใต้ดิน ใช้สำหรับเก็บของ ใช้สำหรับเก็บน้ำแข็งจั๋วซือหรานจึงไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่ด้านหลังตำหนักวังเจาหมิ่นมีห้องใต้ดินเพียงแต่ว่า หลังจากลงไปห้องใต้ดินซือคงเซี่ยนก็รับจานเทียนใบหนึ่งมาจากผู้ใต้บัญชา จากนั้นจึงหมุนตัวกลับมาดึงมือของจั๋วซือหราน ถึงแม้จะดึงแค่ชายเสื้อนางเท่านั้นแต่ซือคงเซี่ยนยังรู้สึกใจเต้นไม่เป็นส่ำ"ด้านในค่อนข้างมืด ตามข้ามา" ซือคงเซี่ยนพูดจั๋วซือหรานเดินตามเขาเข้าไปด้านหลังเงียบๆคิดไม่ถึงว่าในห้องใต้ดินจะยังมีอีกชั้น เป็นห้องลับเล็กๆ ห้องหนึ่งตอนนี้ในห้องเล็กจุดไฟสว่างไว้แล้วแต
จั๋วซือหรานบีบซากบันทึกเหล่านี้ไว้ในมือ สีหน้ายังคงไม่กลับมานางกลอกตามองซือคงเซี่ยน ถามว่า "ของพวกนี้...เจ้าเคยเห็นมาก่อนไหม?"ซือคงเซี่ยนพยักหน้า ตอนที่สายตาตกไปอยุ่บนซากบันทึกในมือ คิ้วก็ขมวดแน่น สีหน้าเองก็มองออกไม่ยากว่าเคร่งขรึมขึ้นมาซือคงเซี่ยนเอ่ยเสียงต่ำ "ดังนั้นข้าถึงบอกว่าเจาหมิ่นเหมือนกับ...เป็นโรคจิตน่ะ ไม่เช่นนั้นนางคงไม่เขียนอะไรแปลกๆ...พวกนี้"สายตาจั๋วซือหรานจ้องอยู่บนซากบันทึกเหล่านั้นนางรู้แน่นอน ว่าทำไมซือคงเซี่ยนถึงรู้สึกว่าเจาหมิ่นเป็นโรคจิตเพราะบนซากบันทึกเหล่านั้น เนื้อหาที่เจาหมิ่นเขียน จากที่คนอื่นเห็นก็คงรู้สึกว่าเกินความคาดหมายจริงๆสิ่งที่เขียนอยู่ด้านบน...ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้นดังนั้นจึงในสายตาของซือคงเซี่ยน จึงเหมือนเจาหมิ่นเกิดโรคจิตกำเริบแล้วเขียนเนื้อหาพวกนี้ออกมาแต่จั๋วซือหรานรู้ ว่าเนื้อหาเหล่านั้นที่เขียนบนบันทึก ทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นไปแล้วเพียงแต่ ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ของนาง แต่เป็นในเส้นชะตาเก่าเจ้าของร่างเดิมเนื้อนาที่เขียนในซากบันทึกนี้ของเจาหมิ่น ทั้งหมดล้วนอยู่ในเส้นชะตาเดิม เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับจั๋วซือหรานเจ้าของร่
ในสายตา ก็เหมือนจะเป็นพิธีสาปแช่งอย่างหนึ่งจริงๆ ใครมาเห็น ก็น่าจะอารมณ์ไม่ดีนั่นล่ะแต่ว่าสีหน้าจั๋วซือหรานกลับเป็นปกติแล้ว เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "ข้าไม่เป็นไร ความคิดนางเองก็ดูไม่เลวอยู่"ซือคงเซี่ยนกระพริบตาปริบๆ ไม่ค่อยเข้าใจจั๋วซือหรานยิ้มเรียบๆ "เคยได้ยินว่าเจาหมิ่นเชี่ยวชาญเรื่องการทำนายใช่ไหม?"ซือคงเซี่ยนครุ่นคิด พยักหน้า "สมัยก่อนหลังจากที่นางกลับไปดินแดนทางใต้แล้วกลับมา ก็บอกว่าความสามารถการทำนายปลุกขึ้นมาแล้ว หลังจากนั้นก็ยังทำนายแผ่นดินไหวให้กับเสด็จพ่อไปครั้งหนึ่ง และหลังจากนั้น เสด็จพ่อก็ให้ความสำคัญกับนางขึ้นมา"จั๋วซือหรานพยักหน้าอย่างเข้าใจ "มิน่า ความคิดถึงได้ไม่ไหวขนาดนั้น แต่ดวงก็ไม่ได้ดีเหมือนกับข้า""ดวง?" ซือคงเซี่ยนมองนางจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม "ดวงของข้าก็คือเจ้า"พอคำนี้ออกไป หน้าของซือคงเซี่ยนก็ร้อนผ่าวขึ้นมา "ซือหราน...ทำไมจึงพูดเช่นนี้?""เจ้าเห็นแล้วคงรู้สึกว่านางโรคจิตเท่านั้น แต่ถ้าหากเสด็จพอเจ้าเห็นสิ่งนี้ล่ะ?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วขึ้นบอกสมมติฐาน "ฝ่าบาทเดิมทีรู้ว่าความสามารถเจาหมิ่นทำนายได้ยอดเยี่ยม ถ้ามาเห็นเนื้อหานี้ เกรงว่าคงไม่คิด
จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว ทำงานแล้วหรือ?ซือคงเซี่ยนที่อยู่ข้างๆ พอเห็นฉากนี้ ก็กลั้นหายใจ จ้องเขม็งมองอักขระที่เปล่งแสงสีแดงหม่นนั่นเดิมทีอักขระสีเลือดเหล่านี้ดูแล้วก็รู้สึกแปลกประหลาดมาก เวลานี้พอเปล่งแสงแดงหม่นออกมา ก็ยิ่งแปลกประหลาดขึ้นไปอีกดูเต็มไปด้วยความอันตรายในอากาศอัดแน่นไปด้วยกลิ่นคาวเลือด กระตุ้นประสาทของซือคงเซี่ยนขึ้นบาดแผลน่ากลัวบนข้อมือจั๋วซือหราน กระตุ้นประสาทเขายิ่งกว่าซือคงเซี่ยนหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมา คิดจะขึ้นไปพันแผลให้นาง แต่เมื่อครู่พอเดินขึ้นไปก้าวหนึ่ง ก็เห็นซือหรานขมวดคิ้ว สายตาเย็นวาบไปนางดีดนิ้วจนเกิดลมขึ้นวูบหนึ่ง ผลักซือคงเซี่ยนกลับไปซือคงเซี่ยนเดิมทียังถลึงตาด้วยความไม่เข้าใจ จากนั้นจึงมองไปทางปลายจมูกตนเองอย่างไม่รู้ตัว ปลายเท้ามีอาการแสบร้อนแล่นขึ้นมาเมื่อครู่ตอนที่ตนเองจะเข้าไปพันแผลให้นาง ปลายรองเท้าต้นเองก็ถูกเผาไปแล้วเมื่อครู่เขาแค่...คิดจะเดินเข้าไปในอาณาเขตค่ายกลที่อักขระคำสาปนั่นสร้างขึ้นเท่านั้นปลายรองเท้ากลับถูกอักขระคำสาปที่อยู่วงนอกสุดเผาเสียแล้ว จนปลายเท้าเองก็ยังโดนผลกระทบไปด้วย ยังดีที่ไม่รุนแรงนักยังดีที่ซือหรานปฏิก
และจากนั้น ไม่รอให้จั๋วซือหรานถามละเอียด แสงแดงหม่นของค่ายกลคำสาปนั่นก็มอดดับลงจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว หมายความว่าอย่างไร?ไม่คิดจะตอบก็วางสายทิ้งหรือ? หน้าไม่อายเกินไปไหม?ซือคงเซี่ยนพอเห็นแสงหม่นของค่ายกลคำสาปดับไปก็ร้อนรนขึ้นมา คิดจะเดินเข้ามา จึงลองยื่นเท้าเข้าไปในชายขอบคำสาปเพื่อทดสอบและพบว่าค่ายกลคำสาปไม่ได้มีผลแผดเผาแบบก่อนหน้าแล้ว ซือคงเซี่ยนจึงพุ่งเข้าไปในค่ายกลคำสาป ไม่สนใจอะไรอีก อุ้มตัวจั๋วซือหรานออกมาทันทีจั๋วซือหรานรู้สึกจนใจ "ท่านอ๋อง..."ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้น "ขอโทษนะซือหราน สถานการณ์มันเร่งด่วนจนมาสนเรื่องชายหญิงไม่ได้แล้ว ค่ายกลคำสาปนี้ประหลาดเกินไป อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนมาทำลายห้องลับนี้ทิ้งเสีย ค่ายกลคำสาปนี้คงถูกทำลายไปด้วยกัน""ไม่ต้องนะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ข้าอยากจะค้นคว้าค่ายกลคำสาปนี้เสียหน่อย"ซือคงเซี่ยนยังรู้สึกกังวล เขาขมวดคิ้วขึ้น "ซือหราน เมื่อกี้เจ้าพูดจริงหรือ? ที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสภาผู้อาวุโส?""ถ้าเขาไม่ใช่แล้วจะประหม่าทำไมกัน" จั๋วซือหรานเบ้ปาก ยังคงรู้สึกหงุดหงิดกับการ 'วางสาย' ของอีกฝ่ายอยู่จานกั้นจึงชี้ไปที่ค่ายกลคำสาปนั่น "ยิ่งไปกว่านั้น
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด
จะเหมือนว่าตบหน้าใส่ตนเองอย่างแรง ทั้งที่เดิมทีก็อยู่บนโชคชะตาที่ขมขื่นอยู่แล้ว กระทั่งยังเป็นการตบหน้าตนเองในตอนนั้นอีกด้วยแบบนั้น...มันขมขื่นเกินไป พวกเขาเดิมทีก็ยากลำบากอยู่แล้วปันอวิ๋นนิ่งงันไปพักหนึ่ง อันที่จริงรู้สึกเหมือนไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดีอยู่หน่อยๆความเงียบงันดำเนินต่อไประยะหนึ่งยังคงเป็นเฟิงเหยียนที่เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาก่อน "ขอบคุณมาก"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกแปลกประหลาด อารมณ์เองก็ไม่ค่อยมั่นคงทั้งที่มั่นคงมาตลอดแท้ๆหลังผ่านไปพักหนึ่ง ปันอวิ๋นจึงเอ่ยตอบว่า "เรื่องเล็กน้อย"ตอนที่ได้ยินคำนี้ สายตาของเฟิงเหยียนก็เหมือนขยับนิดๆยังจำได้ว่า ตอนยังเด็กถ้าปันอวิ๋นช่วยเขาทำอะไร ขอแค่เขาขอบคุณ ปันอวิ๋นก็จะพูดคำว่า 'เรื่องเล็กน้อย' ออกมาเสมอต่อให้บางครั้ง จะไม่ใช่เรื่องเล็กเลยก็ตาม แต่ก็ยังทำให้เขารู้สึกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ยังมีพี่น้องคนนี้ช่วยแบกอยู่เฟิงเหยียนหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า "ก่อนหน้านี้ ข้าเจอกับหลงเฉินมา"พอได้ยินชื่อนี้ที่คุ้นเคย ม่านตาปันอวิ๋นก็หดลงเล็กน้อยเฟิงเหยียนเอ่ยต่อว่า "เขามีชีวิตไม่ค่อยดีนัก เหมือนตอนนั้นหลังจากที่เขาท
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร