ฝูซูกลอกตา จากนั้นจึงประจันเข้ากับดวงตาดำขลับขนาดระฆังทองสัมฤทธิ์คู่หนึ่ง“อ๊า...!”ฝูซูกรีดร้องแหลม กระทั่งหมุนตัวถึงสองรอบ ลากเสียงเย้ายวนใจออกมา!จั๋วซือหรานแทบจะได้ยินเส้นคลื่นเสียงในน้ำเสียงเขาจึงขมวดคิ้ว “จะร้องทำไมกัน”“คุณหนู!” ฝูซูถลึงตามองฉากตรงหน้า “ท่าน ท่านท่านท่าน...” จั๋วซือหรานนั่งอยู่บนหลังราขาแมงป่องหน้าผี มองจากมุมสูงลงมายังตัวฝูซู “เลิกพูดมากได้แล้ว รีบขึ้นมา”“ข้าข้าข้าข้า...” ฝูซูแต่พูดแต่ละคำออกมาอย่างยากลำบากเจ้าไม่ใช่บอกว่าชอบขนนุ่มฟูหรอกหรือ? ขนมันนุ่มฟูมากเลยนะ” จั๋วซือหรานมุมปากยกขึ้นเย้าแหย่เป็นเส้นโค้งฝูซูรู้สึกเสียใจขึ้นมา!แต่เขาก็ยังกัดฟัน ขึ้นไปนั่งบนหลังราชาแมงมุมหน้าผีด้านล่างของก้น แผ่นหลังของราชาแมงมุมหน้าผี ยังมีลายสีขาวที่ดูเหมือนหน้าผีอยู่แต่ความรู้สึกที่แท้จริง กลับพิเศษอย่างมาก ขนพวกนั้นไม่แข็งไม่นิ่ม ปกคลุมอยู่ชั้นหนึ่ง พอลูบลงไปยังลื่นมือดีด้วย ลื่นสลวยเป็นพิเศษเอาจริงๆ ยังให้สัมผัสที่ดีกว่าขนของราชาหมาป่าน้ำแข็งเสียอีกแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเล็กคิดน้อยว่าฝั่งไหนสัมผัสดีกว่า!“คุณหนูกล่อมมันได้ไวขนาดนี้เชียว!” ฝูซูก
ถุงเก็บสัตว์จากปากของฝูซู เป็นภาชนะที่เหล่านักควบคุมสัตว์เอาไว้ใช้เก็บสัตว์ประหลาดของตนเองอันที่จริงแล้วดูโหดร้ายอยู่ เพราะถุงเก็บสัตว์กับภาชนะมิตินั้นเหมืนอกัน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับมิติ ดังนั้นต้นทุนจึงสูงมาก กระทั่งมีแค่นักกลั่นอาวุธเท่านั้นที่สามารถทำออกมาได้แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ยังคงดูโหดร้ายมาก เพราะต้องนำสัตว์ประหลาดที่เก็บมา ขังเอาไว้ในมิติที่คับแคบสุดๆ แห่งหนึ่งนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักควบคุมสัตว์ จึงมักจะเอาสัตว์ที่ตนเองรัก เอาไว้ข้างกายพาไปไหนมาไหน ไม่ใส่เข้าไปในถุงเก็บสัตว์ เพราะไม่อยากให้เหล่าสัตว์ประหลาดที่ตนรักต้องลำบากแต่ถ้าเป็นพวกที่ไม่ได้รักเหล่านั้น...ก็ไม่ต้องสนใจอะไรมาก สัตว์เลี้ยงที่ถูกใส่ไว้ในถุงเก็บของเป็นเวลานาน ความซื่อสัตย์ต่อนักควบคุมสัตว์ก็จะลดต่ำลงนี่เป็นเรื่องปกติ เอาใจแลกใจ ใครที่ถูกขังเอาไว้ในห้องมืดแคบๆ ที่แค่จะขยับก้นหันตัวก็ยังลำบาก เฝ้ารอไม่เห็นเดือนเห็นตะวันวันแล้ววันเล่า ก็ล้วนบ้าคลั่งกันได้ทั้งนั้นแค่ไม่ล้างแค้นกับโลกก็นับว่าดีแล้ว นับประสาอะไรจะให้มาซื่อสัตย์ด้วย?ภาชนะมิติเช่นนี้ เป็นคนละแบบกับมิติน้ำพุวิเศษแหวนเสวียนเหยียนขอ
ขณะเดียวกัน“ฮัดชิ่ว...!” จั๋วซือรหานนั่งอยู่บนราชาแมงมุมหน้าผี หนาวจนจามออกมาทีหนึ่ง“คุณหนูเป็นหวัดหรือ?” ฝูซูถามขึ้นอย่างเป็นห่วงจั๋วซือหรานยิ้มๆ ร่างกายของนาง การเป็นหวัดสำหรับนางแล้ว น่าจะเป็นเรื่องที่ยากที่สุดแล้ว“ไม่หรอก แค่คันจมูกหน่อยๆ” จั๋วซือหรานตอบ “น่าจะมีคนกำลังด่าข้าอยู่”“ใครมาด่าคุณหนูกัน...” ฝูซูหลังจากพูดคำนี้ เสียงก็อ่อนลงมา แอบคิดในใจ ก็น่าจะมีคนแอบด่าอยู่มากจริงๆ นั่นล่ะเอาแค่คิด ในใจฝูซูก็สั่นระริก ตระกูลใหญ่ๆ ในเมืองหลวง คุณหนูเองก็ไปผิดใจกับเขาจนเกือบครบแล้ว....ตระกูลจั๋ว ตระกูลเฟิง ตระกูลเหยียนก็ไม่ต้องพูดแล้ว ตอนนี้ขนาดตระกูลซาง! ก็ยังไปผิดใจด้วยแล้ว จั๋วซือหรานพอได้ยินเสียงของฝูซูแผ่วลงมา รอยยิ้มที่มุมปากก็กว้างขึ้นอีก“คนที่ด่าข้าหรือ? เยอะแยะไปหมดเลย” จั๋วซือหรานตอบมาและฝูซูก็เอ่ยเสียงแผ่วกลับมา “ยังดีที่พวกตระกูลซางเมื่อครู่ตายกันหมด ไม่อย่างนั้นล่ะก็ คุณหนูคงได้เจอศัตรูเข้าอีกตระกูลแน่...”จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยกลับมาเสียงต่ำ “ข้ารู้สึกว่า คนของตระกูลซางเมื่อครู่ยังไม่ได้ตายทั้งหมด” ดวงตาของซูฝูกลมโตขึ้นทันที “อะ อะไรนะ?! เป็นไปไม่ได้! พ
“แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้นี้ด้วย” จั๋วซือหรานยกมุมปากแต่ฝูซูเองก็ถือว่าเข้าใจคุณหนูของตนเองอยู่ พอได้ยินคำพูดนี้ของคุณหนูบวกกับเห็นสีหน้าของคุณหนู ฝูซูก็รู้สึกว่า คุณหนูน่าจะไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น ไม่ คุณหนูจะต้องไม่คิดเช่นนี้แน่ฝูซูกระพริบตาปริบๆ มองจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานยิ้มๆ “แต่ว่านะ ความคิดของคุณหนูเจ้าไม่ได้บื้อๆ ใส่ซื่อบริสุทธิ์แบบของเจ้าหรอก คุณหนูของเจ้าน่ะ ผ่านเรื่องเลวๆ คนเลวๆ มาเยอะ ดังนั้นจึงชอบคิดไปในทางร้ายๆ ก่อน”จั๋วซือหรานเอ่ยต่อว่า “เอาจริงๆ ตอนที่พวกเราไปถึง อันที่จริงก็เป็นช่วงที่ช่วงชิงผลประโยชน์จริงๆ ข้าคิดว่าไม่แน่นะ เจ้าเพื่อนที่ร้ายกาจของพวกเขาคนนั้น ก็น่าจะคิดแบบเดียวกันไหม? แค่ข้าโชคดี ชิงตัดหน้าเขาไปก่อนเท่านั้น”ฝูซูตาถลึงกว้างฉับพลันเขารู้สึกว่า ความคิดนี้ของคุณหนูเป็นไปได้เอามากๆ !จั๋วซือหรานกดลงบนบ่าเขา “ไม่ต้องลนลานไป กลับเมืองหลวงก่อนค่อยว่ากัน”ฝูซูกังวลจั๋วซือหรานหน่อยๆ “คุณหนู! ถ้าหากท่านบนการประลองไกล่เกลี่ยการตัดสินใช้ราชาแมงมุมหน้าผีขึ้นมาล่ะก็ เพื่อนที่ร้ายกาจของพวกเขาคนนี้นบางที คงจะรู้ว่าท่านเป็นคนที่ชิงผลประโยชน์ที่เดิมทีเป็นขอ
จั๋วซือหรานเองก็สนใจจริงๆถ้าหากถึงตอนนั้น ลูกหลานที่ร้ายกาจตระกูลซาง ที่ซ่อนในความมืดและตนเองไม่ได้เจอเข้าในวันนี้คนนั้น รู้ว่าคนที่แย่งผลประโยชน์ของเขาวันนี้ไปคือจั๋วซือหรานก็คงจะใช้เรื่องนี้สาดน้ำสกปรกใส่นางต่อหน้าระดับสูงของตระกูลซางส่วนนางก็จะบอกระดับสูงของตระกูลซางว่าตนเองมีพรสวรรค์นักภาษาสัตว์ และตอนนี้เป็นคนที่ไม่มีพันธะไม่มีที่พึ่งพาล่ะก็...แว้งกัดย้อนไปอีกสักคำ บอกว่าคนผู้นี้สังหารคนในตระกูลเดียวกันเหล่านั้น แล้วยังคิดจะสาดน้ำสกปรกใส่นางให้นางต้องมาแบกรับความผิดนี้แล้วระดับสูงตระกูลซางจะเลือกไม่พอใจนางเพราะคนนั้นใส่ร้ายใส่ หรือจะเลือกไม่พอใจคนผู้นั้นเพราะการกระทำของนางกันแน่ตระกูลเน่าเฟะพวกนี้ ระดับสูงของพวกเขา จะมีท่าทีอะไร จะมีพฤติกรรมแบบไหนกันแน่...จั๋วซือหรานอยากจะรู้จริงๆ ฝูซูยังคงกังวลอยู่หน่อยๆ ดังนั้นจึงรู้สึกกังวลใจและเตือนสติจั๋วซือหราน ว่าศัตรูอยในที่มืด นางนั้นอยู่ในที่แจ้ง ต้องระวังตัวไว้ก่อนเป็นดีจั๋วซือหรานเลิกคิ้วเล็กน้อย ไม่ได้ตอบอะไรใครจะอยู่ในที่แจ้งมันก็ยังไม่แน่หรอกนะ......ต่อมาไม่นานนัก ที่หอฟ้าดาวเจี่ยงเทียนซิงขมวดคิ้วถามขึ้น “ข
เจี่ยงเทียนซิงมองนาง “เจ้าคิดจะทำอะไร?”จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง “ก็แค่ถามดู”“ข้าไม่เคยเห็นเจ้าถามอะไรส่งเดชเสียที!” เจี่ยงเทียนซิงเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานกระพริบตาปริบๆ “ดังนั้นมันตอนไหนกัน?”“พรุ่งนี้” เจี่ยงเทียนซิงถอนใจ “เจ้าคิดจะทำอะไรก็ระวังหน่อย”“อืม รู้แล้ว” จั๋วซือหรานเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “เช่นนั้นไม่ต้องพูดเรื่องตระกูลซางแล้ว พูดเรื่องอื่นดูบ้าง”“อะไรล่ะ?” เจี่ยงเทียนซิงถามจั๋วซือหรานครุ่นคิด มองเจี่ยงเทียนซิง “เจ้ารู้เรื่องสวนหลอมกระบี่ของตระกูลเฟิงไหม?”เจี่ยงเทียนซิงพอได้ยิน หางตาก็เลิกขึ้นเล็กน้อย “นั่นเป็นความลับของตระกูลเฟิง เจ้านี่กล้าถามไปเรื่อยจริงๆ”จั๋วซือหรานจุ๊ปากขึ้นทีหนึ่ง “ความลับตระกูลเฟิงเองข้าก็รู้มาไม่น้อย ตระกูลเฟิงเองก็มีความลับที่หน้าตาดีอยู่ด้วยนะ ตอนนี้ยังถูกข้าเลี้ยงดูในห้องทองอย่างดีที่กรมสอบสวนพิเศษอยู่เลย”“เจ้า...” เจี่ยงเทียนซิงอดมองบนขึ้นมาไม่ได้จั๋วซือหรานรู้สึกว่าถ้าการมองบนของเจี่ยงเทียนซิงพูดได้ คงจะเขียนคำว่า...ข้ายอมเจ้าแล้วจริงๆ เอาไว้แน่เจี่ยงเทียนซิงคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “สำหรับเรื่องของตระกูลเฟิงที่สืบทอดกันมาก็มีอยู่มากมายจริงๆ
แดนเหนือที่หนาวเหน็บ การไม่กลัวต่อความเหน็บหนาว...คือเหตุผลของพลังแห่งหงส์แดงที่เอวมีกระบี่ยาวเล่มหนึ่งแขวนไว้ตลอด...กระบี่ประจำตระกูลเฟิงไม่มีเครื่องมือแต่กลับจับปลาได้...กระโจนลงไปจับปลาในน้ำทะเลน้ำแข็ง สำหรับคนปกติแล้ว ทะเลน้ำแข็งนั้นทำเอาคนตายได้เลยแต่จั๋วซือหรานคิดๆ ตอนแรกที่ตนเองเข้าไปสำรวจจวนตระกูลเฟิงกลางดึกครั้งแรก ก็เจอกับเฟิงเหยียนที่มีอักขระคำสาปสีดำแปลกประหลาดอยู่เต็มตัว แช่อยู่ในบ่อน้ำที่เย็นจัดและด้วยอุณหภูมิของบ่อน้ำเย็นนั่น ก็ไม่แน่ว่าจะอุ่นกว่าทะเลน้ำแข็งที่เย็นจัดของแดนเหนือสักเท่าไรใครจะรู้ล่ะ? ไม่แน่สำหรับคนธรรมแล้วทะเลน้ำแข็งที่พร้อมจะเอาชีวิตคน สำหรับคนของตระกูลเฟิงแล้วอาจจะเหมือนกับว่ายน้ำอย่างสบายอุรากลางวันที่ร้อนระอุก็เป็นได้ยิ่งไปกว่านั้น ก็เข้าใจได้ไม่ยาก เพราะอะไรคนของตระกูลเฟิงจึงปรากฎตัวที่แดนเหนือในใจจั๋วซือหรานร้อยเรียงกันเป็นเส้นเดียวเจี่ยงเทียนซิงยังพูดต่อว่า “พ่อของข้าตอนนั้นก็ยังหนุ่ม แล้วยังเป็นคุณชายน้อยที่มีเงินอีกด้วย แล้วงานอดิเรกของพวกคุณชายน้อยเศรษฐีที่ไม่ขัดสนเรื่องเงิน นั่นก็คือชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้าน”“เขาอยู่ที่ท่าเรือแด
“ดังนั้นเจ้าจะถามว่าข้ารู้ข้อมูลอะไรของตระกูลเฟิงบ้าง? ข้าบอกไม่ได้ว่าข้ารู้ แต่ข้าบอกได้แค่ ข้ารู้ถึงเรื่องราวในช่วงนี้เท่านั้น ส่วนหลังจากนั้น ถ้าหากคนในเรื่องราวนี้ เป็นคนของตระกูลเฟิงจริงๆ ล่ะก็ คงพูดได้แค่ว่า...”เจี่ยงเทียนซิงจ้องมองจั๋วซือหราน เอ่ยต่อว่า “คงอธิบายได้ถึงอันตรายของตระกูลนี้ เพราะพวกเขาน่าจะมีวิธีการบางอย่างในการควบคุมคนในตระกูล”เจี่ยงเทียนซิงเสนอขึ้นมา “ดังนั้นเจ้าลองพิจารณาดูไหม...ว่าจะไม่ไปยั่วโมโหตระกูลนี้? คนที่เล่นกับไฟมันเป็นคนบ้า เจ้าก็ดูเอาแล้วกันว่าตระกูลนี้ถึงกับเอาคำว่าสบ้าคลั่ง(เฟิง)เขียนไว้ในสกุลตนเองเลยทีเดียว”จั๋วซือหรานฟังถึงจุดนี้ ก็หัวเราะขึ้นมาเบาๆ “มองไม่ออกเลย ว่าเจี่ยงเทียนซิงอย่างเจ้าก็มีอารมณ์ขันด้วย”“ข้ากำลังพูดอย่างตั้งใจกับเจ้านะ!” เจี่ยงเทียนซิงขมวดคิ้วจั๋วซือหรานพยักหน้า “ได้ๆๆ รู้แล้ว วางใจเถอะ ข้าไม่ทำอะไรมั่วซั่วหรอก”“ถ้าเจ้าทำอะไรมั่วซั่วขึ้นมา ก็รีบส่งตัวความลับของตระกูลเฟิงหน้าตาดีที่เจ้าเลี้ยงดูเอาไว้ในหน่วยสืบสวนพะเศษคนนั้นกลับไปเสีย!!!” เจี่ยงเทียนซิงเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานรู้สึกว่าตนเองแทบจะได้ยินเสียงถอนหายใจในน้ำเส
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด
จะเหมือนว่าตบหน้าใส่ตนเองอย่างแรง ทั้งที่เดิมทีก็อยู่บนโชคชะตาที่ขมขื่นอยู่แล้ว กระทั่งยังเป็นการตบหน้าตนเองในตอนนั้นอีกด้วยแบบนั้น...มันขมขื่นเกินไป พวกเขาเดิมทีก็ยากลำบากอยู่แล้วปันอวิ๋นนิ่งงันไปพักหนึ่ง อันที่จริงรู้สึกเหมือนไม่รู้จะเริ่มพูดจากตรงไหนดีอยู่หน่อยๆความเงียบงันดำเนินต่อไประยะหนึ่งยังคงเป็นเฟิงเหยียนที่เอ่ยเสียงต่ำขึ้นมาก่อน "ขอบคุณมาก"ปันอวิ๋นได้ยินคำนี้ ก็รู้สึกแปลกประหลาด อารมณ์เองก็ไม่ค่อยมั่นคงทั้งที่มั่นคงมาตลอดแท้ๆหลังผ่านไปพักหนึ่ง ปันอวิ๋นจึงเอ่ยตอบว่า "เรื่องเล็กน้อย"ตอนที่ได้ยินคำนี้ สายตาของเฟิงเหยียนก็เหมือนขยับนิดๆยังจำได้ว่า ตอนยังเด็กถ้าปันอวิ๋นช่วยเขาทำอะไร ขอแค่เขาขอบคุณ ปันอวิ๋นก็จะพูดคำว่า 'เรื่องเล็กน้อย' ออกมาเสมอต่อให้บางครั้ง จะไม่ใช่เรื่องเล็กเลยก็ตาม แต่ก็ยังทำให้เขารู้สึกว่า ไม่ต้องเกรงใจ ยังมีพี่น้องคนนี้ช่วยแบกอยู่เฟิงเหยียนหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสียงเรียบขึ้นว่า "ก่อนหน้านี้ ข้าเจอกับหลงเฉินมา"พอได้ยินชื่อนี้ที่คุ้นเคย ม่านตาปันอวิ๋นก็หดลงเล็กน้อยเฟิงเหยียนเอ่ยต่อว่า "เขามีชีวิตไม่ค่อยดีนัก เหมือนตอนนั้นหลังจากที่เขาท
ท่าทีของเฟิงเหยียน ไม่ถือว่ากระตือรือร้นมากนัก กระทั่งค่อนข้างเย็นชาด้วยซ้ำแต่ก็เป็นเรื่องปกติ หลังจากที่เขาออกจากสำนักในตอนนั้น ก็ไม่ได้มีความฮึกเหิมเหมือนสมัยครั้งยังเด็กอีกมักจะเย็นชา และมักจะเฉยเมยปันอวิ๋นเม้มริมฝีปาก เข้าใจถึงสาเหตุนั้นสภาพการณ์ตอนที่เฟิงเหยียนออกจากสำนักครั้งนั้น เขาเองก็รู้เป็นอย่างดีต่อให้จนถึงตอนนี้ ก็ยังจดจำได้อย่างชัดเจนเพราะเฟิงเหยียนถูกทรยศเป็นคนแรก ดังนั้น ตอนนั้นพวกเขาก็อยู่ในฐานะคนที่ยังไม่ถูกทรยศอันที่จริง จะมากน้อยก็ยังมีความสงสัยว่าถ้าไม่อยู่ในสถานการณ์เดียวกันก็คงไม่เข้าใจอยู่พวกเขารู้สึกว่าเฟิงเหยียนทำเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ เป็นเฟิงเหยียนที่ไม่รู้จักบุญคุณพวกเขารู้สึกว่า เป็นเฟิงเหยียนที่ทำไม่ถูกเฟิงเหยียนเป็นคนอกตัญญูจนต่อมา ต่อมาของต่อมา ทุกคนทยอยกันเดินบนเส้นทางของเฟิงเหยียน ใครก็หนีไม่พ้นการทรยศหรือใช้ประโยชน์ทั้งนั้นตามหลักแล้วควรจะยอมรับชะตากรรมอย่างที่เคยเตือนเฟิงเหยียนเอาไว้ในตอนนั้น และมองว่าสิ่งนั้นเป็นการบ่มเพาะและการให้ความสำคัญจากสำนักแต่เพระาอะไร...ถึงได้ดีใจกันขึ้นมาไม่ได้เลยและหลังจากนั้นอีก แต่ละคนก็ทร