ก่อนที่เหล่าผู้อาวุโสเดินออกจากตำหนักใต้ดิน พวกเขาทั้งหมดมองจั๋วซือหรานด้วยสายตาที่ซับซ้อนมากแม้ว่าพวกเขามีอายุมากกว่านางหลายปีก็ตาม แต่พวกเขายังต้องยอมรับว่า ผู้หญิงคนนี้ทำตามที่นางพูดจริง ๆก่อนที่พวกเขาเดินออกจากตำหนักใต้ดิน จั๋วซือหราน กล่าวว่า "ใช่แล้ว ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ต้องปรึกษากับผู้อาวุโส"ตอนนี้เหล่าผู้อาวุโสปฏิบัติต่อจั๋วซือหรานอย่างมีมารยาทที่พอสมควรดังนั้นเราต้องยอมรับว่า บางครั้งหากเราต้องการได้รับความเคารพจากผู้อื่น เราต้องชิงความเคารพนั้นด้วยความแข็งแกร่งและความสามารถของตัวเอง“ เชิญแม่นางจิ่วพูด” เหล่าผู้อาวุโสกล่าว“วางศพของสามคนนี้ไว้ที่นี่ มีแต่จะเพิ่มความเสี่ยง ให้ข้าจัดการจะดีกว่าไหม” จั๋วซือหรานแนะนำเหล่าผู้อาวุโสตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าสิ่งที่จั๋วซือหราน พูดถึงคือร่างศพสามคนนั้นที่แม่กู่อาศัยเหล่าผู้อาวุโสลังเลเล็กน้อย ดูเหมือนพวกเขาตัดสินใจลำบาก“ แม่นางจิ่ว ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากสัให้เจ้า เพียงแต่...”จั๋วซือหรานพยักหน้าเมื่อนางได้ยินคำพูดของพวกเขา นางพูดว่า "ข้าเข้าใจความกังวลของพวกเจ้า เพราะต้องรีบนำคนที่เสียชีวิตไปฝัง พวกเขาจะไปขึ้นสวรรค์อย่างม
คนรับใช้ที่อยู่ด้านข้างถามด้วยความเคารพ " เจ้าหุบเขา กำลังพูดถึงแม่กู่เส้นไหมที่ท่านปรับแต่งมาก่อนและจัดเตรียมส่งไปยังแคว้นชางหรือ"“ใช่” เสียงอันมีเสน่ห์นั้นตอบเบา ๆ “มันเป็นเพียงหนอนที่ปรับแต่งไม่สำเร็จ ทางนั้นต้องการ ข้าเลยเอาให้พวกเขา”“ตายแล้วหรือ” คนรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านข้างถามแม้ว่าในเวลานั้น พวกเขาเอาหินนำทางให้ทางนั้นแล้ว จากการเปลี่ยนแปลงของหินน้ำทาง ผู้ที่ถือหินนำทางสามารถรับรู้ได้ว่าแม่กู่ตายหรือไม่แต่อย่างไรก็ตาม เจ้าหุบเขาในฐานะที่เป็นผู้ปรับแต่งแม่กู่เหล่านั้นยังคงมีความสามารถระดับหนึ่งที่รับรู้การเปลี่ยนแปลงของแม่กู่เพราะเวลากลั่นพิษกู่ในระดับนี้ ต้องใช้เลือดของหัวใจดังนั้นการตอบสนองที่ผู้กลั่นมีต่อหนอนพิษกู่ไม่เหมือนหินนำทางที่รับรู้แค่ว่าหนอนกู่นั้นตายหรือไม่ ผู้กลั่นรับรู้ถึงละเอียดมากกว่า“มันยังไม่ตาย” ชายผู้มีดวงตาสองสีที่ถูกเรียกว่า เจ้าหุบเขา พูด “บางทีมันอาจจะมีชีวิตที่ดีกว่า”“เช่นนั้นทางเราต้องการส่งข้อความถึงแคว้นชางหรือไม่” คนรับใช้ถามชายผู้มีดวงตาสองสีคิดอยู่ครู่หนึ่ง รูปลักษณ์และลักษณะใบหน้าของเขาดูมิติมาก เผยให้เห็นลักษณะของคนต่างแดน เขายิ้ม
เด็กผู้หญิงบนที่นั่งไม่พูดอะไร และหลังจากนั้นครู่หนึ่ง นางจึงพูดเบา ๆ “มันยังไม่ตาย มันแค่หรี่ลงนิดหน่อย บางที... ตัวถูดแม่กู่อาศัยตายแล้ว”เจาหมิ่นยิ้มและพูดอย่างเย็นชา "อย่างไรก็ตาม พวกเขาเป็นพรสวรรค์ที่โดดเด่นของตระกูลเฟิง แต่ตระกูลเฟิงละทิ้งพวกเขาโดยไม่ลังเลใด ๆ ช่างเป็นตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองหลวงของแคว้นชางอย่างแท้จริง"“ถ้าอย่างนั้น... ตอนนี้องค์หญิงจะไปเยี่ยมจวนของตระกูลเฟิงหรือไม่” หนึ่งในนั้นถามอีกครั้งเจาหมิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มอย่างไร้ความอบอุ่น “อย่ากังวล รออีกสักสองสามวัน หากตัวที่ถูกแม่กู่อาศัยตาย เช่นนั้นเรารอให้แม่กู่ระเบิด เมื่ออาคมหนอนพิษกู่ถูกแพร่กระจายร้ายแรงในจวนของตระกูลเฟิงแล้ว ถึงเวลานั้น ข้าค่อยเสนอตัวล้างพิษให้พวกเขา จากนั้นพวกเขายิ่งขอบคุณข้า”......ในจวนเฟิง บรรยากาศเคร่งขรึมและเงียบอย่างมากผู้พิทักษ์เงาของเฟิงเหยียนได้กลับมาถึงจวนเฟิงกันแล้ว และตอนนี้พวกเขารวมตัวกันอยู่ที่ห้องโถงใหญ่ของหอพักของเฟิงเหยียน“ท่านสั่งพวกข้าเลยขอรับ”ผู้พิทักษ์เงาทุกคนแต่งกายด้วยชุดสีดำและมีอารมณ์ที่น่าเกรงขาม พวกเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึกทีละคน
หลังจากสั่งงานผู้พิทักษ์เงาเสร็จแล้ว เฟิงเหยียนเรียกพ่อดูแลเรื่องต่าง ๆ ของจวนของตระกูลเฟิง เขาสั่งงานอย่างอื่นแก่พ่อดูแลกิจกรรมของจวนเฟิงเมื่อสั่งงานเสร็จเฟิงเหยียนจึงเหลือบมองฉูนจวีน “ จั๋วเสียวจิ่วอยู่ที่ไหน”“แม่นางน่าจะกำลังทานข้าวอยู่กระมัง” ฉูนจวีนตอบ เขารู้สึกหมดคำพูดเล็กน้อยเพราะจะคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้ที่ช่วยตระกูลเฟิงพ้นตัวออกจากวิกฤติในเหตุการณ์นี้หลังจากนางแก้ไขวิกฤติต่าง ๆ เหล่านั้นและจัดการทุกเรื่องเสร็จเมื่อนางเดินออกจากตำหนักใต้ดิน เหล่าผู้อาวุโสถามนางว่า พวกเขาสามารถทำอะไรให้นางได้บ้างสิ่งที่นางพูดคือ...“ข้าหิว ข้าอยากกินของอร่อย ๆ ”จากนั้นเหล่าผู้อาวุโสรีบออกคำสั่งและเตรียมอาหารให้นางอย่างรวดเร็วฉูนจวีนกล่าวต่อ "แค่ดูเหมือนว่า แม่นางจิ่วไม่ค่อยพอใจกับอาหารที่จวนเราเตรียมให้แม่นาง"เดิมทีเฟิงเหยียนอาจจะไม่เข้าใจ แต่เฟิงเหยียนเคยลิ้มรสทักษะการทำอาหารของนางแล้วดังนั้นเขาไม่แปลกใจเลยที่จั๋วซือหรานอาจจะไม่ชอบอาหารของจวนเขา "พ่อครัวของจวนเราทำอาหารพอใช้ได้จริง ๆ นางค่อนข้างจู้จี้จุกจิกกับอาหารการกิน นางไม่ชอบกับข้าวในจวนเรา นั่นเป็นเรื่องธรรมดา"เมื่
นี่คือเหตุผลที่ฉูนจวีนค่อนข้างตกใจจั๋วซือหรานจะไม่เห็นความตกใจของเขาได้อย่างไร นางยิ้มและพูด "พวกเจ้าไม่มีความรู้สึกเลยใช่ไหม"“ข้าไม่ได้สังเกตขอรับ ส่วนเจ้านาย…” ฉูนจวีนไม่แน่ใจจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เฟิงเหยียนเฟิงเหยียนส่ายหัวแล้วพูดว่า "ข้าไม่สังเกตเลย"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จั๋วซือหรานยิ้มและพูด "เป็นเรื่องปกติที่พวกเจ้าไม่สังเกต"“จะปกติได้อย่างไร” เฟิงเหยียนมองนางจั๋วซือหรานกล่าวว่า "มันพิสูจน์ให้เห็นว่าข้ามีความเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการใช้พลังวิเศษ และ..."นางจ้องเข้าไปในดวงตาของเฟิงเหยียน แล้วพูดว่า "ข้าได้รับพลังวิเศษมากมายจากท่านอ๋อง"ทันทีที่นางพูดถึงเรื่องนี้ สมองของเฟิงเหยียนก็นึกย้อนไปถึงตอนที่เขายังอยู่ในตำหนักใต้ดินเขาจูบกับนางอย่างเร่าร้อนภายใต้สายตาของผู้อาวุโสหลายคน...“แค๊ก” เฟิงเหยียนไอด้วยน้ำเสียงเข้ม เขามองไปทางอื่นเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาทำตัวเช่นนี้ จั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะกล่าวโดยสรุป ก่อนที่นางมาที่นี่ จั๋วซือหรานจึงสังเกตพลังวิเศษของนางดูเหมือนมีความแตกต่างปเล็กน้อยเนื่องจากลักษณะของพลังทางจิตวิญญาณของนางเปลี่ยนไปบางทีอาจเป็น
เฟิงเหยียนจึงจ้องมองนางอยู่พักหนึ่ง ราวกับว่าในที่สุดเขาก็เชื่อว่านางแค่ฟุ้งซ่านเมื่อเห็นเฟิงเหยียนพยักหน้า จั๋วซือหรานจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะแม้ว่าท่านอ๋องไม่เชื่อนาง แต่นางก็ไม่ทำอะไรไม่ได้นางทำอะไรได้บ้าง จั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องรู้สึกตัวเองทำอะไรไม่ถูกเช่นกันใครก็ตามที่เห็นว่าศพทั้งสามและ 'ขนมชาม' หนึ่งตัวที่ถูกวางไว้ในพื้นที่คุ้นเคยกลายเป็นศพสามศพและ 'ขนมชาม' สี่ตัวใคร ๆ ก็ต้องตกใจใช่ไหมเดิมทีจั๋วซือหรานวางตัดสินใจรอจนกว่านางจัดการทุกเรื่องเสร็จ จากนั้นนางรีบจัดการกับศพสามศพที่ถูกแม่กู่อสศัยในพื้นที่น้ำพุวิเศษ นางจะได้คืนศพให้คนอื่น จะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลังตอนนี้ดีมาก นางสามารถข้ามขั้นตอนนี้ได้เลย“ไม่ต้องกังวล เจ้าค่อย ๆ จัดการ” เฟิงเหยียนกล่าวจั๋วซือหรานยิ้มและกล่าวว่า "พวกเขาล้วนเป็นพรสวรรค์ที่โดดเด่นของตระกูลเฟิง หากข้าค่อย ๆ จัดการ... ข้าไม่รู้ว่าข้าจะถูกกล่าวหาด้วยเรื่องอันใด แม้ว่าข้าไม่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ข้าต้องทำให้ท่านอ๋องเตือดร้อน”เฟิงเหยียนจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง มีความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาของเขา "เจ้ามองออกอะไรอีก"“
ฉูนจวีนจึงพูดต่อ "ใช่ สำหรับเรื่องที่การดำรงอยู่ของท่าน ตระกูลเฟิงมีสองเสียงเสมอ"“ประการหนึ่งคือ พวกเขาจำเป็นต้องผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์ ของตระกูลไว้ในร่างกายของท่านด้วยวิธีนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนในตระกูลเฟิงยังสามารถมีพลังวิเศษของตระกูลเฟิงเช่นเดียวกันกับพลังศักดิ์สิทธิ์ต่อไป สามารถรักษาสถานะของตระกูลเฟิงด้วยวิธีนี้ "“หากเราสามารถรักษาสถานะของตระกูลของเราได้ เราก็จะได้รับทรัพยากรมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หากเราสามารถได้รับทรัพยากรมากขึ้น ลูกหลานของเราจะมีโอกาสมากขึ้นในการก้าวหน้าและตื่นตัวมากขึ้น”“อีกฝ่ายรู้สึกว่า ควรปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ และให้ตระกูลพัฒนาเหมือนตระกูลอื่น ๆ สมาชิกในตระกูลจะสามารถก้าวไปข้างหน้าภายใต้แรงกดดัน และอาจตื่นตัวอย่างแท้จริง”“แต่ไม่ใช่ใช้ชีวิตอย่างตอนนี้ ทุกคนได้รับการดูแลจากพลังวิเศษของตระกูล ซึ่งทำให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ และไม่กล้วสิ่งใด ๆ กลับทำให้พวกเขาไม่รู้สึกความกดดันและไม่อยากก้าวหน้า”เมื่อฟังสิ่งที่ฉูนจวีนพูด จั๋วซือหรานพูดจากใจ "จากจุดยืนของพวกเขา พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่ผิด เพียงแต่ว่าจุดยืนของพวกเขาแตกต่างกัน"“ ใช่ขอรับ มันเป็นเพียงมีความคิดเห็นที
ฉูนจวีนล้มลงกับพื้น เขายังเตะเท้าบนพื้นเพื่อให้ร่างกายของเขาขยับไปด้านหลังได้ฉูนจวีนไม่ใช่คนที่ไม่เคยเปิดหูเปิดตามาก่อน เขาตกใจจนต้องเป็นสภาพนี้และสูญเสียความสงบเป็นเพราะฉากนั้นแปลกและน่ากลัวเกินไป และเรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจู่ ๆ มีศพสามศพโผล่ออกมาจากอากาศ เนื้อที่อ่อนนุ่มและเน่าเปื่อยนั้นเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายอย่างมากยิ่งไปกว่านั้น มุมที่ศพปรากฏนั้นไม่เป็นมิตรกับเขามาก ศพที่อยู่ใกล้กับฉูนจวีนมากที่สุดนั้นมีคอที่คดเคี้ยว และใบหน้าของมันหันหน้าไปทางทิศทางของฉูนจวีนพอดีดังนั้นฉูนจวีนจึงเห็นในปากที่เปิดเล็กน้อยนั้นมีลิ้นบวมได้อย่างชัดเจนและมองจากดวงตาคู่นั้น คนคนนี้ตายอย่างไม่สงบ เผยให้เห็นลูกตาสีขาวหนาอยู่ข้างใน... ใช่ ไม่ใช่เขาตายไม่สงบ แต่เป็นเพราะลูกตาโปนและเปลือกตาไม่สามารถปิดสนิทกระมังเพราะระยะห่างใกล้มาก เพียงประมาณสองก้าวเท่านั้นผลกระทบนั้นรุนแรงมากจนฉูนจวีน... แทบจะอาเจียนออกมาหลังจากความตกใจบรรเทาลง ฉูนจวีนจึงค่อย ๆ ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง... แม่นางจิ่วเอาสามคนนี้ออกมาจากที่ไหนฉูนจวีนนั่งบนพื้น เขาเงยหน้าและมองจั๋วซือหรานด้วยความรับถือเพ
ทุกคนล้วนมองออก ถ้าพูดจากด้านพลัง จั๋วซือหรานได้เปรียบอย่างสมบูรณ์ต่อให้นางไม่ต้องพูดซ้ำเกรงว่าหลังจากวันนี้ ชื่อของจั๋วซือหรานคงกลายเป็นตำนานมีชีวิตในเมืองหลวงแน่ๆถ้าจะให้พูดจริงๆ นางสู้กับตระกูลใหญ่ห้าตระกูลตามลำพัง แต่ก็ยัง...ไม่พ่ายแพ้แค่คิด ก็รู้สึกว่าเป็นแรงบันดาลใจได้แล้วรถม้าแล่นมาถึงบ้านตระกูลจั๋วรู้สึกเหมือนจากไปเสียนาน แต่พอย้อนนึกดู ก็เหมือนจะไม่ได้นานเท่าไรทว่าตอนนี้ จั๋วซือหรานไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้วนางเดินเข้าไปในโถงประชุม ไม่แม้แต่จะมองพวกเขา เดินตรงไปที่นั่งบนสุด แล้วนั่งลงทุกคนล้วนตะลึงงันไปชั่วขณะหนึ่ง ทั้งห้องนิ่งเงียบเป็นเป่าสากเหมือนมีคนรู้สึกว่าสมควรจะตำหนินาง นางขึ้นไปนั่งบนที่นั่งสูงสุดได้อย่างไรกัน?! ที่นั่งสูงสุดบนโถงประชุม มีไว้ให้เหล่าผู้อาวุโสนั่งแต่นางก็นั่งลงแล้ว กระทั่งมองออกไม่ยากด้วยว่านางจงใจยิ่งไปกว่านั้นตำแหน่งที่นางนั่ง ก็เป็นตำแหน่งของผู้อาวุโสสามพอดีแต่เห็นได้ชัด ว่าประสบการณ์ในอดีต ทำให้นางมีความรู้สึกไม่ดีกับผู้อาวุโสสามมากและเพราะการแสดงออกในเมืองหลวงของจั๋วซือหรานยิ่งยอดเยี่ยม ยิ่งโดดเด่นผู้อาวุโสสามกับผู้อาวุโ
สายตาจั๋วซือหรานมองพวกเขาอย่างจืดจางอันที่จริง คนไม่น้อยที่รอจะดูมหรสพ เพราะตอนที่เห็นคนของตระกูลจั๋วมากมายมาที่ประตู รู้สึกว่าน่าจะมีมหรสพให้ดูจึงหยุดลงมาคนไม่น้อยยังรู้สึกว่า ตระกูลจั๋วน่าจะมาหาเรื่องจั๋วซือหราน หรืออาจจะทำอะไร...สรุปคือ สิ่งที่พวกเขารอ คือฉากที่ตระกูลจั๋วกับจั๋วซือหรานไปกันไม่ได้ไม่มีคนคิดถึงภาพระหว่างจั๋วซือหรานกับตระกูลจั๋วอยู่กันด้วยดีอะไรแบบนั้นบางทีคงเพราะ...ไม่เคยมีใครคิด คนที่ทะเลาะกับครอบครัวจนแตกหักไปแล้วแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็คงรู้สึกแย่เอามากๆ นั่นล่ะจะไปมีชีวิตที่ดี แล้วกลับมาถูกตระกูลให้ความสำคัญอีกได้อย่างไรกัน?เพราะล้วนคิดเช่นนี้ ดังนั้นจึงไม่มีใครคิดว่าระหว่างจั๋วซือหรานกับตระกูลจั๋วจะอยู่กันได้ด้วยดีเพียงแต่ตอนนี้ ทุกคนกลับไม่ได้เห็นฉากที่ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากันอย่างรุนแรงจั๋วซือหรานเอ่ยเสียงเรียบให้พวกเขาหลีกทาง จ้องมองพวกเขาด้วยสายตาเฉยเมยในความเป็นจริง คนของตระกูลจั๋ว ในสายตานางไม่เห็นถึงความทะนงตนใดๆ เลยพวกเขาเดิมทีคิดว่า ตอนที่เห็นพวกเขาเข้ามาอ่อนข้อให้แล้วเชิญนางกลับไป ท่าทีของนางควรจะดูเย่อหยิ่งมากถึงจะถูกแต่กลับไม่มีเล
"โอ้ เห็นว่าคนอื่นเขามากัน ข้าก็อยากจะมาหนุนหน้าให้เจ้าเหมือนกันสิ" ฮั่วจือโจวเอ่ยขึ้น รอยยิ้มในดวงตาเปล่งประกาย "พอดีเลย เจ้านี่อยากจะมาขอบคุณเจ้าด้วยเหมือนกัน"ฮั่วจือโจวชี้ไปที่ฮั่วชิงหยวน"ขอบคุณหรือ?" จั๋วซือหรานไม่ค่อยเข้าใจ "ขอบคุณเรื่องอะไร?""เยอะเลย" ฮั่วจือโจวเอียงตาเหลือบไปทางฮั่วชิงหยวน บอกกับนางว่า "ให้เขาบอกเองดีกว่า"จั๋วซือหรานมองไปทางฮั่วชิงหยวนฮั่วชิงหยวนเกาหัวอย่างเขินๆ แต่ดวงตาก็เปล่งประกายวิบวับอยู่ตลอด คอยจ้องมาทางจั๋วซือหรานเป็นระยะ เอ่ยขึ้นตรงๆ ว่า "แม่นางจิ่ว ถ้าไม่มีท่าน ข้าคงถูกชินอ๋องอวี้หลอกใช้ไปนานแล้ว ถึงแม้ข้าจะไม่ค่อยฉลาดนัก แต่ก็ไม่ชอบถูกคนใช้ประโยชน์เท่าไร""ยิ่งไปกว่านั้น..." ฮั่วชิงหยวนหัวเราะเหอะๆ "ด้วยความช่วยเหลือของท่าน แม้ว่าทรัพยากรข้าจะไม่ได้ดีเด่อะไร แต่ก็ถือว่าเป็นทรัพยากรที่ไม่เลว"จั๋วซือหรานฟังคำพูดนี้ก็นึกๆ ก็เข้าใจว่าเขาน่าจะพูดถึงการร่วมมือของนางกับตระกูลฮั่ว ยาลูกกลอนที่มอบให้เหล่านั้นกระมัง"ดังนั้นไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องมาขอบคุณท่านด้วยตัวเองสักครั้ง ขอบคุณมาก" ฮั่วชิงหยวนเก็บรอยยิ้มบนหน้าลง เอ่ยขึ้นด้วยสายตาจริงจังจั๋ว
จั๋วซือหรานต้องการอะไร ก็จะขอออกมาตรงๆจุดนี้ ไม่ได้ทำให้องค์จักรพรรดิเฒ่ารำคาญน่าจะเพราะถูกซือคงอวี้วางแผนใส่มานาน พอโดนไปมากๆ เข้า จักรพรรดิเฒ่าตอนนี้จึงรู้สึกต่อต้านพวกคนคดเคี้ยวกับเรื่องราวที่ซับซ้อนขึ้นมาโดยสัญชาตญาณดังนั้นจั๋วซือหรานที่นิสัยตรงไปตรงมาแบบนี้ กลับยิ่งสอดคล้องกับเจตนาของเขามากขึ้นองค์จักรพรรดิเฒ่าฟังคำนี้แล้วก็นึกๆ จากนั้นก็เข้าใจขึ้นมา "ข้าจำได้แล้ว ก่อนหน้านี้เจ้าเคยไปหาไทเฮาเรื่องขอพระราชทานอภิเษกไว้ใช่ไหม?""ใช่แล้ว" จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเอ่ยขึ้น "ฝ่าบาททรงจำได้ด้วย จั๋วจิ่วรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งนัก""ทำไมหรือ? เจ้าต้องตาใครเข้าแล้วล่ะ?" ซือคงเหมี่ยนรู้สึกสนใจขึ้นมาจั๋วจิ่วคนนี้ กระทั่งน้องเจ็ดก็ยังไม่ชายตามอง...แล้วไปต้องตาใครเข้ากันนะ? คงจะไม่ใช่ซื่อจื่อเฟิงกระมัง? นี่จะซื่อตรงเกินไปแล้วซือคงเหมี่ยนครุ่นคิด ตอบว่า "ยัยหนูจั๋วจิ่ว ถ้าหากอีกฝ่ายหมั้นหมายไปแล้ว ข้าเองก็ไปทำลายงานแต่งงานคนอื่นไม่ได้หรอกนะ"พอได้ยินคำนี้ อ๋องเซี่ยนที่ขี่ม้าอยู่ข้างๆ รถองค์จักรพรรดิเฒ่ามาตลอดก็ถอนใจโล่ง แม้ว่าเขาจะไม่รู้ก็ตามว่าถอนใจโล่งทำไมและจั๋วซือหรานพอได้ยินคำน
แม้จะบอกว่า จั๋วซือหรานตอนที่ประลองกับซางถิงในตลาดมืด จะเคยใช้สัตว์เลี้ยงไปแล้วตามหลักการน่าจะมีคนไม่น้อยที่รู้จักสัตว์อสูรของนางแต่เพราะตอนนั้น ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะมองเห็นนี่ไม่ได้เหมือนในชาติที่แล้วของนาง ที่จะหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปโพสไปบนเน็ตได้นี่ล้วนเป็นการลือกันแบบปากต่อปาก คนส่วนใหญ่เคยชินกับข่าวแบบนี้ที่มักจะพูดกันเกินจริง ดังนั้นบางคนก็ไม่ค่อย หรือเชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างก็ตามทีแต่ตอนนี้ ทุกคนได้เห็นกับตาแล้ว"หรือว่า...กระทั่งตระกูลซาง...ก็ยังแพ้นางมาแล้ว"อิงเซ่าขี่ม้าเข้ามารับ เขาดูตื่นเต้น ใบหน้าแดงก่ำไปหมดพอมาอยู่ตรงหน้าจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานจึงเก็บแมงมุมลงมา ยืนอยู่บนพื้นอิงเซ่าพลิกตัวลงจากม้า "แม่นางจิ่ว! ข้ารู้อยู่แล้ว ว่าถ้าท่านออกโรงต้องสำเร็จ"จั๋วซือหรานเอียงหัวไปทางด้านหลัง "คนของท่าน พากลับมาไม่ขาดแม้แต่คนเดียว บาดเจ็บไปหลายคน แต่ก็ไม่ได้หนักหนาอะไร""ดี!" อิงเซ่าพยักหน้า พูดต่อกันว่า "ดีดีดีมาก!"ตอนนี้ อันที่จริงอย่าว่าแต่เหล่าขุนนางชนชั้นสูงกับพวกราชวงศ์ที่ออกันเต็มประตูเมืองเลยกระทั่งเหล่าประชาชนที่มามุงดูก็ยังเข้าใจ ว่าแม่
ดวงตาซือคงอวี้ถลึงโต ลูกตาค่อยๆ พร่ามัวและชายหนุ่มที่ใบหน้าหล่อเหลาชั่วร้ายนี้ ก็ปัดเศษเลือดที่กระเซ็นมาติดชายเสื้อออกไปอย่างไม่แยแสเขารูปร่างโปรง สูงเพรียว แต่ไม่ได้ดูแข็งแรงนัก ดูแล้วผอมไปบ้างแต่กระดูกรูปหน้าดี ดังนั้นใบหน้าจึงดูดีมาก บวกกับผิวที่ขาว จึงให้ความรู้สึกที่เย็นชาดูจากใบหน้าแล้ว ไม่ได้มีเอกลักษณ์ของคนแดนใต้มากนัก ถ้าหากบวกกับผิวสีขาวเข้าไป ก็ยิ่งไม่เกี่ยวกันกับผิวสีคล้ำค่อนดำที่เห็นได้บ่อยๆ ของคนแดนใต้แล้วแต่ผมสีแดงเข้มบนหัว ก็ดูไม่เหมือนกับต้าชางเลยเสื้อผ้าบนตัวเขา สีใกล้เคียงกับสีผมเขามาก ในที่ที่มีแสงน้อย ก็เหมือนจะกลืนกันจนเป็นสีดำแต่ถ้ามองในที่ที่สว่างหน่อย ก็จะดูเป็นสีแดงเข้มคล้ายเลือดและตอนนี้ เหล่าทหารเดนตายของชินอ๋องอวี้...ที่ก่อนหน้านี้ไม่รู้ถอยหนีกระจายกันไปที่ไหน กลับล้อมวงกันเข้ามา"นายท่าน"พวกเขาทยอยกันคุกเข่าข้างหนึ่งชายหนุ่มร้องอืมขึ้น จากนั้นจึงยื่นมือไปดึงคอเสื้อของซือคงอวี้ ลากเขาเดินไปด้านหน้าทหารเดนตายคนหนึ่งเอ่ยขึ้นทันที "นายท่าน ให้ข้าน้อยช่วยเถิด?"ชายหนุ่มกลับโบกไม้โบกมือไม่สนใจ "ไม่ต้อง เดี๋ยวจะทำตะปูวิญญาณข้าเสียหาย"เหล
ในใจฮาร์วีย์คิดถึงความเป็นไปได้หนึ่ง คิ้วเลิกขยับขึ้นเบาๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกจั๋วซือหรานเห็นสีหน้าเขา ยังคิดว่าเขาจะพูดอะไรอีก คิดไม่ถึงว่าจะไม่พูดอะไรออกมาเลยไม่พูดก็ไม่พูด ถึงอย่างไรก็ไม่ได้รีบร้อนที่จุดนี้จั๋วซือหรานรอการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิเฒ่า แค่ครู่เดียว รองแม่ทัพก็เข้ามารายงาน อธิบายถึงเจตนาขององค์จักรพรรดิเฒ่ารองแม่ทัพบอกว่า "ฝ่าบาทตรัสว่า ให้เดินหน้าต่อได้เลย"จั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อย ไม่ได้รู้สึกเกินคาดอะไรกับคำตอบนี้ แค่ตบลงบนตัวแมงมุมน้อยเบาๆไม่มีอะไรเกินคาด นับแต่โบราณองค์จักรพรรดินั้นปราศจากความเมตตาที่สุดมาตลอดตอนที่โปรดปรานเจ้า ก็อยากจะให้เจ้าเป็นองค์รัชทายาทจนตัวสั่น แต่พอความโปรดปรานนี้หายไป แค่ศพก็ไม่อยากจะเก็บกลับไปแมงมุมของจั๋วซือหรานนำทางอยู่ด้านหน้า ขบวนรถม้าเคลื่อนตามนางอยู่ด้านหลังซือคงอวี้แผ่อยู่บนพื้น เขาคลานไปบนพื้นสายตาจับจ้องไปยังทิศทางที่ขบวนรถม้าจากไป มองรถม้าที่คลุมด้วยสีเหลืองคันนั้นห่างออกไปเรื่อยๆมุมปากเขาขยับ แต่ก็ไม่อาจะตะโกนเรียกได้แล้ว เหลือเพียงแต่เสียงที่อ่อนแอ"เสด็จพ่อ...เสด็จพ่อ..." หางตาซือคงอวี้มีน้ำตาหลั่งอ
จากที่คนอื่นเห็นชินอ๋องคนหนึ่ง ต่อให้จะทำความผิดพลาดครั้งใหญ่แค่ไหน ก็ยังต้องให้ผู้ปกครองสูงสุดแห่งราชวงศ์ ผู้เป็นจักรพรรดิมาลงโทษแต่ไม่ใช่นางที่เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ลงมาสังหารโดยที่ตาก็ไม่กระพริบนางช่างอาจหาญเสียจริง!เหมือนกับชายหนุ่มที่เด็ดเดี่ยวซึ่งไม่เคยหันกลับไปมองฉากระเบิดด้านหลังอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานพอลงมือก็ลงมือ ขี้เกียจจะหันกลับไปมองหลายรอบนางหิ้วขลุ่ยดินเผาเลานั้น เดินกลับไปตรงหน้าราชาแมงมุมหน้าผี กระโดดขึ้นไปบนหลังมันฮาร์วีย์ที่อยู่ข้างๆ เนื่องจากเป็นเชลยของจั๋วซือหราน ดังนั้นจึงอยู่ใกล้นางมากก่อนหน้านี้เห็นขั้นตอนทั้งหมดกับตา ดังนั้นตอนนี้จึงยังคงตกตะลึงอยู่จั๋วซือหรานจ้องมองขลุ่ยดินเผาในมือพิจารณาอยู่ครู่หนึ่ง จึงแหงนตามองฮาร์วีย์ "นี่คืออาวุธกู่นั่นใช่ไหม?"ฮาร์วีย์พยักหน้า "ใช่แล้ว"จั๋วซือหรานมองสัญลักษณ์ดอกถูหมีนั่น มุมปากนางก็ยกขึ้น นิ้วมือควบพลังวิญญาณ จัดการลบสัญลักษณ์ดอกถูหมีบนขลุ่ยดินเผานั้นออกอย่างไม่ปราณีพอเห็นการกระทำที่อหังการเช่นนี้ของนาง ฮาร์วีย์ประหลาดใจหน่อยๆ แต่ก็เหมือนไม่ได้รู้สึกเกินคาดเท่าไรฮาร์วีย์เอ่ยขึ้นอย่างจนใจ "แม่นา
และนางเองก็ไม่ใช่ว่าจะไปเด็ดหัวศัตรู แต่แค่ทำเหมือนเข้าไปเด็ดดอกไม้สดดอกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้นนักรบเดนตายของซือคงอวี้เหล่านั้น ก็ไม่รู้ว่าเพราะเห็นซือคงอวี้ไม่ดิ้นรนเหมือนคนที่ใกล้จะตายแล้ว หรือว่าเพราะยังตกใจกับการโจมตีก่อนหน้าของจั๋วซือหราน จึงทำให้คนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม?สรุปคือ แม้พวกเขาจะมีท่าทีระแวดระวังอยู่ตลอด กลับไม่กล้าคิดจะทดลองลงมืออะไรกับจั๋วซือหรานแน่นอน และอาจจะเพราะรู้ว่าตนเองสู้ไม่ไหวจั๋วซือหรานเดินไปอยู่ตรงหน้าซือคงอวี้อย่างราบรื่นพอเห็นว่าเหล่าทหารเดนตายรอบๆ ทำได้แค่ระแวดระวัง ไม่มีท่าทีว่าจะโจมตีอะไร จั๋วซือหรานจึงยกริมฝีปากหัวเราะขึ้นมา "เป็นตัวเลือกที่ฉลาด"จากนั้น จั๋วซือหรานก็คุกเข่าลงมาตรงหน้าซือคงอวี้นางกอดเขานั่งยองลงมาตรงหน้าซือคงอวี้ ก้มลงมองดูเขา...ซือคงอวี้ถลึงสองตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด จ้องเขม็งยังจั๋วซือหรานแต่ตอนนี้เอง ท่าทางกับสายตาของจั๋วซือหรานก็ทำให้เขาเกิดเข้าใจผิด ราวกับว่า...นางไม่ได้กำลังมองเขา แต่ว่า...แต่ว่ากำลังมองมดปลวกบนพื้นตัวหนึ่ง"เจ้า..." ซือคงอวี้ส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก เขารู้ว่าตนเองตกที่นั่งลำบากแล้วเช่นนั้น