ฉูนจวีนล้มลงกับพื้น เขายังเตะเท้าบนพื้นเพื่อให้ร่างกายของเขาขยับไปด้านหลังได้ฉูนจวีนไม่ใช่คนที่ไม่เคยเปิดหูเปิดตามาก่อน เขาตกใจจนต้องเป็นสภาพนี้และสูญเสียความสงบเป็นเพราะฉากนั้นแปลกและน่ากลัวเกินไป และเรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจู่ ๆ มีศพสามศพโผล่ออกมาจากอากาศ เนื้อที่อ่อนนุ่มและเน่าเปื่อยนั้นเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายอย่างมากยิ่งไปกว่านั้น มุมที่ศพปรากฏนั้นไม่เป็นมิตรกับเขามาก ศพที่อยู่ใกล้กับฉูนจวีนมากที่สุดนั้นมีคอที่คดเคี้ยว และใบหน้าของมันหันหน้าไปทางทิศทางของฉูนจวีนพอดีดังนั้นฉูนจวีนจึงเห็นในปากที่เปิดเล็กน้อยนั้นมีลิ้นบวมได้อย่างชัดเจนและมองจากดวงตาคู่นั้น คนคนนี้ตายอย่างไม่สงบ เผยให้เห็นลูกตาสีขาวหนาอยู่ข้างใน... ใช่ ไม่ใช่เขาตายไม่สงบ แต่เป็นเพราะลูกตาโปนและเปลือกตาไม่สามารถปิดสนิทกระมังเพราะระยะห่างใกล้มาก เพียงประมาณสองก้าวเท่านั้นผลกระทบนั้นรุนแรงมากจนฉูนจวีน... แทบจะอาเจียนออกมาหลังจากความตกใจบรรเทาลง ฉูนจวีนจึงค่อย ๆ ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง... แม่นางจิ่วเอาสามคนนี้ออกมาจากที่ไหนฉูนจวีนนั่งบนพื้น เขาเงยหน้าและมองจั๋วซือหรานด้วยความรับถือเพ
จั๋วซือหรานไม่รู้ว่านางรู้สึกผิดหรือเปล่า นางรู้สึก...จากคำพูดของเฟิงเหยียน ดูเหมือนว่าเขาไม่เพียงแต่รู้เกี่ยวกับภาชนะอวกาศเท่านั้น แต่ยังรู้เกี่ยวกับพื้นที่น้ำพุวิเศษด้วย หรือดูเหมือนเขาได้คาดเดาถึงของสองอย่างนี้จั๋วซือหรานรู้ตัวเองฉลาด ท่านอ๋องนี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่นางไม่คาดถึงว่าชายผู้นี้อยู่เงียบ ๆ แต่เฉียบแหลมขนาดนี้แม้ว่าจั๋วซือหรานจะไม่แสดงความในใจบนใบหน้าของนาง แต่ในใจของนาง นางได้จินตนาการหลายเรื่องแล้วและเพราะว่าสมองของนางหมุนเร็วมาก แม้ว่านางจินตนาการไปหลายเรื่องแล้ว แต่ใบหน้าของนางหยุดเพียงชั่วครู่เท่านั้นดังนั้นนางโค้งริมฝีปากทันที นางยิ้มและพูด" ท่านอ๋องพูดเล่น ตอนที่ข้าอยู่ในตำหนักใต้ดิน ข้าได้จัดการพวกเขาเรียบร้อยแล้ว แต่ข้าจงใจไม่รีบคืน เพราะอยากให้เหล่าผู้อาวุโสคิดว่าข้าเหนื่อยเหลือเกิน"แม้ว่านางไม่ได้จัดการศพในตำหนักใต้ดินก็จริง แต่นางก็ไม่ได้กำจัดศพเหล่านั้นอย่างที่เฟิงเหยียนพูดถึง เขาบอกว่านางจัดการศพเหล่านั้นในยามที่นางคิดฟุ่งซ่านไม่ต้องรอให้นางจัดการ'ขนมชาม' สามตัวนั้น พวกมันออกจากตัวที่ถูกอาศัยด้วยตัวเองนางไม่รู้ว่าเป็นเพราะแม่กู้เหล่านั้นสัมผัสได้ว
“แค๊ก” จั๋วซือหรานไอเบา ๆ ความจริงนางรู้สึกคำนี้ไม่เหมาะสมเช่นกัน จากนั้นนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางเปลี่ยนใช้คำใหม่ "เช่นนั้น...ดูดซับ ดูดซับ"เมื่อเห็นท่าทางที่ค่อนข้างไม่มั่นใจของนาง ใบหน้าของ เฟิงเหยียน ซึ่งยังคงแข็งทื่อเล็กน้อย จึงค่อย ๆ ผ่อนคลายอีกครั้งเขาเหลือบมองจั๋วซือหราน "เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลถูกผนึกบนร่างกายของข้า แต่นั่นไม่ใช่วิธีการทั่วไป ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว ข้าไม่สามารถควบคุมพลังเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ จึงมีพลังบางส่วนต้องไหลออกมาโดยเปล่า ๆ "เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานเข้าใจ "นี่คือส่วนที่ฉันได้รับใช่ไหม"เฟิงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อยและฟังจากคำพูดของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานเดาออกว่า พลังศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฟิงที่ถูกผนึกไว้ในตัวเขานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พลังที่ใช้หมดได้ แต่เหมือนเป็นแกนกลางแห่งพลังบางอย่างแม้ว่าจะพลังเหล่านั้นถูกใช้จนหมด ตราบใดที่ยังมีแกนกลางของพลังศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ ก็สามารถพลิตพลังใหม่อย่างต่อเนื่องแต่จั๋วซือหรานรู้สึก... มีบางอย่างผิดปกตินักทันใดนั้นนางไม่ทันจับความรู้สึกผิดปกติในสมอง ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรต่อ หล
“ใช่แล้ว” เฟิงเหยียนพยักหน้าจั๋วซือหรานยังคงจ้องตาเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ” ฉูนจวีน บอกว่า สำหรับการดำรงอยู่ของเจ้า ตระกูลเฟิงมีสองเสียงที่แตกต่างกัน และมีจุดยืนที่แต่ต่งกันสองฝ่าย ดังนั้นในการฝึกฝนของตระกูล เจ้าถูกคนทำลายและทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส จนกระทั่งขาของเจ้าเกือบสูญเสียไปแล้ว ผู้ก่อเรื่องเหล่านี้คือผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการดำรงชีวิตของเจ้าใช่หรือไม่ "“ใช่” เฟิงเหยียนยังคงตอบรับอย่างไร้ความรู้สึก“เป็นพวกเขาจริง ๆ หรือ” จั๋วซือหรานถาม “พวกเขาไม่อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ พวกเขาหวังว่าตระกูลจะพัฒนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ และพวกเขาหวังว่าสมาชิกในตระกูลมีแรงกดดันมากขึ้น เพื่อบุกทะลวงและตื่นตัว คนเหล่านั้นเหตุผลพอสมควรที่ต้องทำลายเจ้าจริง ๆ ”“แต่ผู้คนที่มีจุดยืนไม่เหมือนกันไม่อยากให้เจ้าแสดงทัดษณะกันเก่งในการฝึกฝนของตระกูล ไม่อยากให้ลัทธิเลือกเจ้า พวกเขาเล่นงานเจ้าในระหว่างการฝึกฝนก็ได้ และพวกเขามีเหตุผลที่จะทำลายเจ้าไม่ใช่หรือ”หลังจากได้ยินนางพูดเช่นนี้ เฟิงเหยียนมองนางและไม่พูดอะไรเลยเขาเงียบเช่นนี้ แสดงถึงทัศนคติของเขา เขาเห็นด้วยกับคำพูดของจั๋วซือหราน จั๋วซือหรานยิ่งมั่
จั๋วซือหรานฟังคำพูดของเฟิงเหยียน นางรู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นสมเหตุสมผลนางเอื้อมมือออกไปและเอามือของเฟิงเหยียนออกจากศีรษะของนาง แต่นางคิดออกเรื่องหนึ่ง...นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่านางนึกถึงอะไรบางอย่าง และแม้แต่การเคลื่อนไหวเพื่อปล่อยมือของเฟิงเหยียนก็หยุดลง“แต่” จั๋วซือหรานพูดและขมวดคิ้วแน่นขึ้น “แล้ววันนี้ข้าทำผิดมากเลยไม่ใช่หรือ”จั๋วซือหรานคิดถึงภาพที่นางเดิมเต็มพลังต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสไม่ทันตอบสนองเนื่องจากสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนั้นแต่หากพวกเขากลับไปคิดอีกที พวกเขาอาจจะสามารถเข้าใจเหตุผลได้“ไม่เป็นไร” ดูเหมือนเฟิงเหยียนไม่กังวลเรื่องนี้“จริงหรือ” จั๋วซือหรานมองเขาเมื่อเห็นชายผู้นี้ซึ่งไม่แยแสมาโดยตลอด ตอนนี้เขายิ้มเล็กน้อย “ใช่ ข้าบอกไปแล้วน่ะ ข้าไม่ได้เย็นชา”จั๋วซือหรานจำคำพูดของเขาในก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้นนางจึงไม่ถามต่อนางรู้มาโดยตลอดว่า ท่านอ๋องนี้ไม่ใช่ธรรมดา ตราบใดที่เขาไม่เย็นชาจนไม่สนใจว่าจะถูกเอารัดเอาเปรียบ ก็ไม่ควรเป็นปัญหาใหญ่“เช่นนั้นก็ดี” จั๋วซือหรานพยักหน้าเฟิงเหยียนกล่าวว่า "ตอนนี้ดึกมาแล้ว ข้าจะให้คนพาเจ้าไปพักผ่อน ส่วนส
"จี๊ด--!"หนอนกู่ที่นอนอย่างอ่อนนุ่มเพื่อให้นางบีบเล่น จู่ ๆ ก็ยกกรงเล็บของมันขึ้นมาหนวดทุกอันบนร่างกายยืนตรงราวกับเข็มแหลมคมโปร่งแสงที่มีหนามแหลมบาง ๆ อยู่บนนั้นแถมยังอ้าปากค้างอีกด้วยเผยวงกลมฟันโปร่งแสงแต่แหลมคมคล้ายหนวดบนลำตัว“ฮะ” จั๋วซือหรานจับมันเข้าใกล้ นางมองที่ปากของมันและสังเกตอย่างละเอียด “เก่งสินะ มันมีฟันจริง ๆ หรือ ข้าไม่ได้สังเกตเลย…”และเห็นได้ชัดว่าเมื่อจั๋วซือหรานบีบตัวมันโดยตรงและยกมันขึ้นมาที่ดวงตาของนาง มันให้ความรู้สึกเหมือนแมวหรือสุนัขที่ถูกบังคับด้วยชีวิตมันดูอ่อนแอ น่าสงสาร และทำอะไรไม่ถูก ซึ่งแตกต่างจากตอนที่มันแสดงฟัน ยื่นหนวดขึ้น และส่งเสียงเตือนเมื่อเผชิญหน้ากับเฟิงเหยียน“ดังนั้นมันไม่ใช่อารมณ์ไม่ดี แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าทำไม…” เฟิงเหยียนพูดและมองไปที่จั๋วซือหราน และดูเหมือนว่าจะมีอารมณ์ที่มีความหมายบางอย่างแวบขึ้นมาในดวงตาของเขาจากนั้นเขาพูดต่อ "มันแค่เชื่อฟังเจ้า"หลังจากจั๋วซือหรานได้ยินเขาพูดเช่นนี้ แม้ว่าการสีหน้าของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลงด ๆ แต่นางมีความคิดแวบขึ้นมาในใจ เป็นเพราะมันชอบพื้นที่น้ำพุวิเศษหรือไม่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันจึงเชื่
หลังจากเฟิงเหยียนได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาเลิกคิ้วขึ้นและมองหนอนพิษกู่ในมือของเขาเห็นได้ชัดว่ามันเป็นเพียงหนอนพิษกู่ตัวหนึ่ง แต่ทำไมเขาถึงมองอะไรในดวงตาพวกนั้นล่ะแต่มันน่าทึ่งมาก แม้แต่เฟิงเหยียนก็ยังมองเห็นความสมเพชเล็กน้อยในดวงตาของมันอย่างอธิบายไม่ถูกดูเหมือนมันกำลังขอความช่วยเหลือจากจั๋วซือหรานจริง ๆ“เป็นไปได้” เฟิงเหยียนกล่าวจั๋วซือหรานยื่นมือไปหาขนมชาม อย่างที่นางคิดไว้จริง ๆ ทันทีที่นางยื่นมือไปหาขนมชาม ทันใดนั้นขนมชามก็เริ่มบิดตัวและต่อสู้อย่างรุนแรงในมือของเฟิงเหยียนพลังนั้นแข็งแกร่งมากจนเฟิงเหยียนแทบจะจับมันไม่ไหวเฟิงเหยียนไม่มีเจตนาที่จะทำร้ายมัน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บีบมันแรง ๆ ดังนั้นมันจึงหลุดออกจากนิ้วของเฟิงเหยียน อย่างรวดเร็วหลังจากหลุดออกมา ในกลางอากาศ หนวดโปร่งใสบนร่างกายของมันก็พองขึ้นทันทีแต่มันไม่ได้กลายเป็นหนามแหลมคมเหมือนที่มันเคยเตือนเฟิงเหยียนมาก่อนแต่มันกลับกลายเป็นหนวดที่อ่อนนุ่ม และทันใดนั้นก็เกี่ยวมือของจั๋วซือหรานจากนั้นมันก็สั้นลงอย่างรวดเร็ว ปิดระยะห่างระหว่างตัวมันกับจั๋วซือหรานอย่างรวดเร็วหนวดเหล่านั้นนิ่มมาก และไม่เพียงแต่นา
“ฮะ” จั๋วซือหรานได้ยินเสียงของเขา นางจึงเงยหน้าขึ้นและมองเขา จากนั้นนางส่ายหัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าแค่รู้สึกว่าในใต้หล้านี้มีสิ่งมหัศจรรย์ทุกประเภท หนอนพิษกู่ที่ดุเช่นนี้กลับชอบข้ามากจริง ๆ บางทีข้าอาจจะสามารถประสบความสำเร็จในทักษะการเล่นพิษกู่ได้นะ”เฟิงเหยียนมองไปที่จั๋วซือหราน "หากเจ้าประสบความสำเร็จในทักษะการเล่นพิษกู่ แล้วเจ้าจะทำอย่างไรต่อ"“แน่นอนว่าข้าต้องล้างแค้นด้วยวิธีที่อีกฝ่ายใช้สิ ใครกล้าใช้หนอนพิษกู่มาใส่ร้ายข้า ข้าก็จะไม่ยอมให้มันใส่ร้ายข้าแน่นอน แต่...หากข้าได้ใช้เรื่องที่นางถนัดมาตบหน้านาง ข้าต้องสะใจแน่ ๆ”จั๋วซือหรานยิ้ม "เพราะนี่คือสิ่งที่ข้าทำมตลอด"นางไม่อยากอยู่ที่นี่ต่อ เพราะนางเข้าใจได้ว่า เฟิงเหยียน ซึ่งเป็นซื่อจื่อของตระกูลเฟิง ตระกูลของเขาประสบเรื่องเช่นนี้ แม้ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างการเอาผลประโยชน์ของผู้อื่นหรือการที่ถูกผู้อื่นเอาผลประโยชน์ก็ตามแต่เขาไม่เหมือนจั๋วซือหราน เขาไม่ได้เลิกกับตระกูลโดยสิ้นเชิงดังนั้นเขากับตระกูลยังคงต้องประสบความรุ่งเรืองด้วยกันและความสูญเสียพร้อมกัน ดังนั้นในฐานะที่เป็นซื่อจื่อของตระกูล ตอนนี้เฟิงเหยียน
"ใช่แล้ว น้องชายของแม่นางเราถูกพาตัวไป เป็นฝีมือของสำนักเมฆาวารี เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของแม่นางก็คือเรื่องนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้น น้ำเสียงฟังแล้วดูกังวลหน่อยๆ"แม่นางอยู่ที่เมืองหลวงแม้จะประสบความสำเร็จในทุกที่ แต่ถึงอย่างไรครั้งนี้มาอยู่ในสถานที่แปลกหน้า ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องเผชิญหน้ากับสำนัก ดังนั้นแม่นางจึงต้องยิ่งเตรียมตัวอย่างระมัดระวัง..."เจิ้นเจียงเองก็น่าจะไม่มีใครที่พูดด้วยได้ ในใจอดกลั้นไว้ไม่น้อย พวกเชลยที่คุณหนูจับมาก่อนหน้านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ล้วนเป็นคนของสำนักเมฆาวารี เขาเองก็พูดอะไรด้วยไม่ได้คนคุ้มกันตระกูลเหอที่คุณหนูพากลับมาพวกนั้น ก็ยังได้รับบาดเจ็บอยู่ พูดอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกันดังนั้นตอนนี้ พอเจอกับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตคุณหนู จึงเหมือนกับเปิดประตูน้ำออกอย่างไรอย่างนั้นขณะที่พูดแรงก็เริ่มมา ไม่วา่จะเรื่องที่คุณหนูออกจากเมืองหลวงอย่างไร รับมือกับพวกลอบโจมตีอย่างไร จัดการแก้ไขวิกฤติ รับมือกับอีกฝ่าย จับคนของสำนักเมฆาวารีมาเป็นเชลยอย่างไรหลังจากมาถึงเมืองหยางแล้วรับมือกับตระกูลเหออย่างไร เล่าออกมาจนหมดและขณะที่ 'คุณชายเยี่ยน' กำลังกินข้าวอย่างไม่รีบไม่
จั๋วซือหรานตอนที่ควรบ้าก็จะบ้า แต่อันที่จริงถ้าพูดขึ้นมา นางเองก็ไม่ได้มีนิสัยพูดจาใหญ่โตดังนั้นก่อนหน้าจึงไม่คิดจะพูดเรื่องนี้ออกมาโดยละเอียด และเพราะตอนนี้ยังเป็นแค่ความคิดเริ่มต้นเท่านั้น ยังไม่ได้เริ่มเขียนเส้นแรกเลยด้วยซ้ำแต่ต่อให้ในใจตนเองคิดไว้ดิบดี ต่อให้ตนเองเข้าใจวิชาหุ่นเชิดอย่างถ่องแท้ แล้วสามารถใช้ไหมกู่มาควบคุมหุ่นเชิดได้จริงล่ะก็...การจะสร้างกองกำลังหุ่นเชิดของตนเองออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เป็นไปไม่ได้แต่ว่าเนื่องจากยังไม่ทันได้เริ่มอะไรทั้งนั้น ดังนั้นจึงแค่คิดไว้ในใจตนเอง ยังไม่ถึงเวลาที่จะพูดออกมาเพียงแต่สำหรับเหล่าก้อนเนื้อของตนเอง ถึงอย่างไรพวกมันก็คงไม่เอาไปบอกใครอยู่แล้ว ดังนั้นการที่นางเอ่ยขึ้นมา ปัญหาจึงไม่ได้ใหญ่โตอะไรจั๋วซือหรานใช้เวลาไปพักหนึ่งอย่างตั้งอกตั้งใจ จัดการคัดลอกอักขระคำสาปทั้งหมดบนตะปูวิญญาณ วงแหวนวิญญาณ แล้วก็บนตัวของหุ่นเชิดความมืดออกมาค้นคว้านี่เป็นงานละเอียด จำเป็นต้องใช้เวลาเว้นเรื่องความยุ่งวุ่นวายในมิติของนางไปก่อนเวลานี้ อีกด้านหนึ่งในโถงหน้าของโรงเตี๊ยม ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังกินอาหารบนโต๊ะอย่างไ
จั๋วซือหรานมองตะปูวิญญาณสีดำในมือเล่มนั้น ตรงหน้ายังมีร่างของหุ่นเชิดความมืดนอนอยู่ตะปูวิญญาณของมันถูกจั๋วซือหรานดึงออกมาแล้ว วงแหวนสีดำบนมือกับเท้าก็ถูกจั๋วซือหรานรื้ออกมาเพื่อจะค้นคว้าดังนั้นตอนนี้มันจึงเป็นแค่ร่างเปลือกที่ไม่มีชีวิตเท่านั้นจั๋วซือหรานตรวจสอบอักขระคำสาปประหลาดซับซ้อนเหล่านั้นบนตะปูวิญญาณอย่างละเอียด ค้นคว้าอย่างตั้งใจ ดินสอในมือตวัดไม่หยุด คัดลอกอักขระคำสาปเหล่านั้นมาทั้งหมดอย่างครบถ้วนส่วนพวกก้อนเนื้อสีต่างๆ ก็นั่งเรียงกันอยู่บนไหล่นางซ้ายขวาฝั่งละสาม บนหัวยังมีอีกตัวหนึ่ง อยู่ด้วยกันกับนาง จ้องมองอักขระคำสาปบนตะปูวิญญาณเหล่านี้อย่างตั้งใจเพียงแต่พวกมันอ่านไม่เข้าใจเท่านั้นแต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็น"นายท่านจะ...ทำ ทำอะไรหรือ?" ขนมปุยเมฆถามขึ้นเสียงแผ่ว เพราะมันมันอยู่ในสภาพดังเดิมที่สุดมาตลอด ยังไม่ได้ย้อมสีอะไรเลยดังนั้นจนถึงตอนที่จั๋วซือหรานพาพวกมันไปกลืนกินแมลงกู่ของพวกปรมาจารย์กู่พรมแดนใต้ก่อนหน้านี้ ขนมปุยเมฆจึงเพิ่งได้รับการวิวัฒนาการ ถึงพูดได้ขึ้นมาก่อนหน้านี้ทำได้แค่เปล่งเสียงออกมาเป็นพยางค์ๆ ไม่ค่อยชัดเจนเท่านั้นความคิดของขนมถั่วแดงปราดเป
ความสามารถของนางถึงอย่างไรพออยู่ที่นั่น ก็ถูกลิขิตไว้แล้วไม่ให้นางเป็นคนธรรมดา สุดท้ายก็ต้องถูกจับตาอยู่ดีชาตินี้เป็นเช่นนี้ ชาติก่อนก็เช่นกันคนธรรมดาพอมีหยกก็มีความผิด นางแบกความสามารถเช่นนี้ไว้ ก็ถูกกำหนดให้คนอื่นต้องคอยจับจ้องไว้เป็นธรรมดาไม่ว่าจะโลกไหน ไม่ว่าจะเส้นทางไหน ก็ไม่เคยขาดคนหรือองค์กรที่มีความคิดที่ว่า "ถ้าไม่ได้มาก็จะทำลายทิ้ง"ที่ไหนก็มีทั้งนั้นจั๋วซือหรานชาติที่แล้วก็เจอกับสถานการณ์อันตรายมาด้วย ไม่เช่นนั้นไม่มีทางตายอย่างเวทนาจนข้ามภพมาที่นี่สรุปคือ จั๋วซือหรานเคยนำวัตถุที่ปล่อยสารกัมมันตรังสีได้เข้ามาแล้วในอันตรายจากชาติที่แล้วตอนนั้นนางสะบัดโยนเข้ามาในมิติ เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วน และไม่มีตัวเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้วนางยังคิดว่าจบเห่แล้วด้วยซ้ำ แค่รังสีของสารกัมมันตรังสีพวกนั้น ระยะเวลาในการย่อยสลายน่าสะพรึงมาก คิดว่าตนเองคงกลายเป็นฟอสซิลไปแล้ว สารกัมมันตรังสีพวกนั้นก็ยังไม่หายไปไหนด้วยซ้ำและในมิติของตนเอง ก็เป็นเหมือนแดนสวรรค์เขียวชอุ่มนอกโลก...ถ้าหากพื้นดินถูกปนเปื้อน แหล่งกำเนิดน้ำถูกปนเปื้อนล่ะก็จบเห่กันพอดีนางกอดความคิดสิ้นหวังเข้ามิติมา
"เสร็จแล้ว พวกเจ้าค่อยๆ พักฟื้นไป เดี๋ยวพอพวกกองหนุนสำนักเมฆาวารีพวกนั้นของผู้เฒ่าเหอมาถึง พวกเราค่อยออกเดินทาง เรื่องนี้สำหรับข้ามันสำคัญมาก จะล่าช้าไม่ได้เด็ดขาด"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาผาดหนึ่ง "ดังนั้นเวลาพักฟื้นของพวกเจ้าเดิมทีก็เหลือไม่มากแล้ว อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ อีก""รับทราบ!" เหลียนเจินขานรับเสียงขรึม"ข้าจะรักษาให้พวกเขา จากนั้นเจ้าก็เอายาทาให้พวกเขาเสีย แค่อย่าไปทำอะไรบ้าๆ บอๆ ทายาตามเวลา ไม่นานก็หายดีแล้ว"จั๋วซือหรานหลังจากรักษาคนคุ้มกันไปหลายคน ก็กลับมาที่ห้องตนเอง ไปค้นคว้าบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนเจ้าสิ่งนี้ล้ำค่ามากจริงๆ แต่ในเมื่อเขาให้นางมาแล้ว นางเองก็พอจะรับได้อยู่ ดังนั้นจึงไม่ต้องเกรงใจเกินไปนักตอนที่จั๋วซือหรานย้ายบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไปปลูกที่ดินในมิติแล้ว ราชาแมงมุมหน้าผีกับแมงมุมหน้าผีตัวอื่นๆ แล้วก็แมงมุมกู่ ก็มาล้อมอยู่ข้างๆ นางแมงมุมที่ขนาดใหญ๋กว่าปกติหลายเท่า ล้อมนางเอาไว้ ฉากนี้ถ้าหากคนอื่นมาเห็น ก็คงรู้สึกหวาดผวาขึ้นแน่ๆแต่สีหน้าของจั๋วซือหรานก็นิ่งอย่างมาก กระทั่งบนหน้ายังยิ้มละไม หลังจากปลูกบัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนไว้ในดินแล
ด้วยนิสัยซื่อสัตย์ภักดีของพวกเขา ถ้าหากจั๋วซือหรานคิดจะตั้งชื่อเหล่านี้ให้พวกเขาจริงๆไม่แน่พวกเขาอาจจะต้องบีบจมูกยอมรับไปจริงๆแต่ชื่อเหล่านี้มันดูจะ...ดังนั้นจึงคิดวิธีที่จะดิ้นรนต่ออีกหน่อย"กลัวหรือ?" จั๋วซือหรานเลิกคิ้วมองพวกเขาหัวหน้าคนคุ้มกันพยักหน้าหงึกหงักจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พวกเจ้าบาดเจ็บขนาดนี้ยังกล้าตักน้ำมาเช็ดมาล้างได้ ข้าคิดว่าพวกเจ้าจะกล้าจนไม่กลัวอะไรแล้วเสียอีก ทำไมแค่ชื่อผลไม้แค่นี้ก็ยังกลัวกัน?"หัวหน้าคนคุ้มกันฟังไม่เข้าใจเสียที่ไหน แม่นางจงใจทำให้พวกเขาตกใจ เพื่อจะลงโทษพวกเขาที่เมื่อครู่พูดกันว่าจะจัดการแผลแบบขอไปทีหัวหน้าคนคุ้มกันรีบเอ่ยขึ้นมา "แม่นาง พวกเราไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว แค่กังวลว่าท่านอยู่ในเมืองหยางจะมีภาระหน้าที่เยอะอยู่แล้ว แต่ยังต้องมาคอยห่วงเรื่องยิบย่อยของพวกเราอีก..."จั๋วซือหรานยกมือตบลงไปที่หนึ่งที่หลังเขาหัวหน้าคนคุ้มกันร้องอั่กออกมา แต่ก็รีบอดทนเอาไว้เดิมทียังคิดว่านี่คือการลงโทษเสียอีก คิดไม่ถึงเลย...ตอนที่แม่นางฟาดมือลงมา รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาก่อน จากนั้นก็รู้สึกเหมือนมีพลังที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับนุ่มนวลละมุนละไมลูบผ่าน
"นายท่านอารมณ์ดีก็ดีแล้ว" เจิ้นเจียงพอเห็นจั๋วซือหรานอารมณ์ดี เขาเองก็อารมณ์ดีตามขึ้นมา จึงได้พูดว่า "จัดแจงคนคุ้มกันเหล่านี้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาล้วนบาดเจ็บกันหมด"จั๋วซือหรานร้องอืม "ดี ข้าจะไปดูหน่อย เดี๋ยวจะตั้งชื่อให้พวกเขาด้วย อยู่ในตระกูลเหอไม่มีชื่อเลยมีแต่หมายเลข เจ้าไปที่โรงเตี๊ยมแล้วหาของกินมาให้พวกเขาหน่อย""ขอรับ" เจิ้นเจียงรับคำสั่ง คิดๆ แล้วจึงเอ่ยถามขึ้นว่า "...อาหารนี่น่าจะไม่ถูกทำอะไรลงไปหรอกกระมัง?"จั๋วซือหรานพอได้ยิน ก็ยกมุมปากขึ้น "พวกเจ้าจะลองดูก็ได้นี่"พอได้ยินนายท่านพูดหยามขึ้นเช่นนี้ เจิ้นเจียงก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว"เช่นนั้นข้าจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"เจิ้นเจียงเพิ่งเตรียมจะเดินไปโถงหน้า จั๋วซือหรานคิดๆ แล้วก็เรียกเขาขึ้นมา "จริงด้วย""อื๋อ? แม่นางยังมีอะไรกำชับอีกหรือ?""คุณชายเยี่ยนที่โถงหน้าคนนั้น เป็นคนที่มีบุญคุณกับข้า ถ้าหากเขายังไม่ไป เจ้าเองก็ช่วยดูแลหน่อย""รับทราบ!" เจิ้นเจียงรับคำสั่งแล้วออกไปและระหว่างทางที่จั๋วซือหรานตรงไปเรือนหลัง ในสมองก็มีภาพตอนที่ชายหนุ่มหักตะเกียบก่อนหน้านี้ปรากฏออกมา แก้มที่ตึงกับสายตาที่มีแววตาแบบนั้นจั๋วซือหราน
สัมผัสได้ถึงความอ่อนนุ่มของปลายนิ้วหญิงสาวที่แตะลงมาบนริมฝีปากและได้ยินเสียงอ่อนโยนพูดคำที่ว่าต้องแต่งงานด้วยคิ้วของ 'เยี่ยนหราน' ขมวดแน่นขึ้นมากระทั่งตนเองยังไม่ทันตระหนักถึง ว่าทำไมต้องออกแรงที่นิ้ว แล้วทำไมที่น้ิวต้องออกแรงแล้วท้ายสุด เสียง 'กร๊อบ' ก็ดังขึ้นมาอย่างกะทันหันตะเกียบไม้ในมือเขาหักครึ่งเป็นสองท่อน!แก้มของชายหนุ่มตึงเป็นเส้นโค้ง เขาเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "แม่นางก็ดูแลตัวเองด้วย"จั๋วซือหรานหัวเราะขึ้นเบาๆ "คุณชายขี้อายขนาดนี้เชียว? หน้าตาก็หล่อเหลาดี ไม่คิดว่า...จะใสซื่อขนาดนี้"เสียงของชายหนุ่มดังลอดออกมาจากไรฟัน ฟังแล้วรู้สึกกระด้างหน่อยๆ "แล้วก็ออกไปด้านนอก การบุ่มบ่ามลดความสงสัยต่อตัวคนอื่นลง มันคือความประมาทเลินเล่อ"มุมปากจั๋วซือหรานเหมือนมีรอยยิ้มบางๆ ดูแล้วเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้มไม่ได้ปฏิเสธคำพูดเขา เพียงเอ่ยขึ้นว่า "ขอบคุณคุณชายเยี่ยนที่เตือน หลังจากนี้ข้าจะระวังให้มาก เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน..."ในที่สุดนางก็หมุนตัวจากไปหลังจากเห็นแผ่นหลังนางเดินห่างไปแล้ว'เยี่ยนหราน'...หรือบางทีควรจะเรียกว่าเฟิงเหยียนตอนนี้จึงมองมายังมือตนเอง บนปลายหัวแม่มือ มีแผ
รอยยิ้มบนใบหน้าจั๋วซือหรานไม่เปลี่ยน "เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก""ไม่เป็นไร" 'เยี่ยนหราน' เอ่ยขึ้นเสียงเรียบจั๋วซือหรานยังคงยิ้มบาง "บัวเจ็ดดอกเจ็ดใบแกนกลางเทียนนี้เป็นสิ่งมีพิษกระมัง?""อืม" เขาไม่ได้ตระหนักถึงว่าอะไรผิดปกติ พยักหน้าตอบกลับ "เป็นสิ่งมีพิษที่มีอยู่ไม่มากนัก สามารถสร้างหมอกพิษขึ้นในป่าได้ ต้นของมันเดิมทีก็มีพิษร้ายแรงอยู่"อาหารรสชาติไม่เลวเลย น้ำแกงทำเอาตัวคนผ่อนคลายลงมาเลยทีเดียวเขาค่อนข้างผ่อนคลาย...หรือบางที สิ่งที่ทำให้เขาผ่อนคลายไม่ใช่น้ำแกงร้อน แต่เป็นเสียงอ่อนโยนของนาง...เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันดังนั้น ตอนนี้เขาจึงไม่ได้สังเกตถึงอะไรที่ผิดปกติพอได้ยินคำถามที่จั๋วซือหรานเพิ่งถาม ก็ตอบกลับนางมาตรงๆหลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงหญิงสาวใสเย็น เพียงแต่ว่า ไม่ได้อ่อนโยนแบบก่อนหน้านี้แล้วเพียงแค่เอ่ยขึ้นเรียบๆ ว่า "เป็นของดีจริงๆ เพียงแต่ว่า..." นางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา "ไม่รู้ว่าคุณชายเยี่ยนรู้ได้อย่างไร...หรือทำไมจึงรู้สึกว่า ข้าสามารถทนทานต่อธาตุพิษได้โดยไม่ต้องเกรงกลัวอะไร?"มือที่จับตะเกียบของชายหนุ่ม หยุดนิ่งไปในชั่วพริบตาเขาแหงนตา มองไปยังสีหน้าของหญิงสาว อั