นี่คือเหตุผลที่ฉูนจวีนค่อนข้างตกใจจั๋วซือหรานจะไม่เห็นความตกใจของเขาได้อย่างไร นางยิ้มและพูด "พวกเจ้าไม่มีความรู้สึกเลยใช่ไหม"“ข้าไม่ได้สังเกตขอรับ ส่วนเจ้านาย…” ฉูนจวีนไม่แน่ใจจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงมองไปที่เฟิงเหยียนเฟิงเหยียนส่ายหัวแล้วพูดว่า "ข้าไม่สังเกตเลย"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จั๋วซือหรานยิ้มและพูด "เป็นเรื่องปกติที่พวกเจ้าไม่สังเกต"“จะปกติได้อย่างไร” เฟิงเหยียนมองนางจั๋วซือหรานกล่าวว่า "มันพิสูจน์ให้เห็นว่าข้ามีความเชี่ยวชาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ในการใช้พลังวิเศษ และ..."นางจ้องเข้าไปในดวงตาของเฟิงเหยียน แล้วพูดว่า "ข้าได้รับพลังวิเศษมากมายจากท่านอ๋อง"ทันทีที่นางพูดถึงเรื่องนี้ สมองของเฟิงเหยียนก็นึกย้อนไปถึงตอนที่เขายังอยู่ในตำหนักใต้ดินเขาจูบกับนางอย่างเร่าร้อนภายใต้สายตาของผู้อาวุโสหลายคน...“แค๊ก” เฟิงเหยียนไอด้วยน้ำเสียงเข้ม เขามองไปทางอื่นเล็กน้อยเมื่อเห็นเขาทำตัวเช่นนี้ จั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะกล่าวโดยสรุป ก่อนที่นางมาที่นี่ จั๋วซือหรานจึงสังเกตพลังวิเศษของนางดูเหมือนมีความแตกต่างปเล็กน้อยเนื่องจากลักษณะของพลังทางจิตวิญญาณของนางเปลี่ยนไปบางทีอาจเป็น
เฟิงเหยียนจึงจ้องมองนางอยู่พักหนึ่ง ราวกับว่าในที่สุดเขาก็เชื่อว่านางแค่ฟุ้งซ่านเมื่อเห็นเฟิงเหยียนพยักหน้า จั๋วซือหรานจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกเพราะแม้ว่าท่านอ๋องไม่เชื่อนาง แต่นางก็ไม่ทำอะไรไม่ได้นางทำอะไรได้บ้าง จั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องรู้สึกตัวเองทำอะไรไม่ถูกเช่นกันใครก็ตามที่เห็นว่าศพทั้งสามและ 'ขนมชาม' หนึ่งตัวที่ถูกวางไว้ในพื้นที่คุ้นเคยกลายเป็นศพสามศพและ 'ขนมชาม' สี่ตัวใคร ๆ ก็ต้องตกใจใช่ไหมเดิมทีจั๋วซือหรานวางตัดสินใจรอจนกว่านางจัดการทุกเรื่องเสร็จ จากนั้นนางรีบจัดการกับศพสามศพที่ถูกแม่กู่อสศัยในพื้นที่น้ำพุวิเศษ นางจะได้คืนศพให้คนอื่น จะได้ไม่เกิดปัญหาภายหลังตอนนี้ดีมาก นางสามารถข้ามขั้นตอนนี้ได้เลย“ไม่ต้องกังวล เจ้าค่อย ๆ จัดการ” เฟิงเหยียนกล่าวจั๋วซือหรานยิ้มและกล่าวว่า "พวกเขาล้วนเป็นพรสวรรค์ที่โดดเด่นของตระกูลเฟิง หากข้าค่อย ๆ จัดการ... ข้าไม่รู้ว่าข้าจะถูกกล่าวหาด้วยเรื่องอันใด แม้ว่าข้าไม่ตกเป็นเป้าหมาย แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ข้าต้องทำให้ท่านอ๋องเตือดร้อน”เฟิงเหยียนจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง มีความประหลาดใจแวบขึ้นมาในดวงตาของเขา "เจ้ามองออกอะไรอีก"“
ฉูนจวีนจึงพูดต่อ "ใช่ สำหรับเรื่องที่การดำรงอยู่ของท่าน ตระกูลเฟิงมีสองเสียงเสมอ"“ประการหนึ่งคือ พวกเขาจำเป็นต้องผนึกพลังศักดิ์สิทธิ์ ของตระกูลไว้ในร่างกายของท่านด้วยวิธีนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนในตระกูลเฟิงยังสามารถมีพลังวิเศษของตระกูลเฟิงเช่นเดียวกันกับพลังศักดิ์สิทธิ์ต่อไป สามารถรักษาสถานะของตระกูลเฟิงด้วยวิธีนี้ "“หากเราสามารถรักษาสถานะของตระกูลของเราได้ เราก็จะได้รับทรัพยากรมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย หากเราสามารถได้รับทรัพยากรมากขึ้น ลูกหลานของเราจะมีโอกาสมากขึ้นในการก้าวหน้าและตื่นตัวมากขึ้น”“อีกฝ่ายรู้สึกว่า ควรปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ และให้ตระกูลพัฒนาเหมือนตระกูลอื่น ๆ สมาชิกในตระกูลจะสามารถก้าวไปข้างหน้าภายใต้แรงกดดัน และอาจตื่นตัวอย่างแท้จริง”“แต่ไม่ใช่ใช้ชีวิตอย่างตอนนี้ ทุกคนได้รับการดูแลจากพลังวิเศษของตระกูล ซึ่งทำให้พวกเขาอยู่เฉย ๆ และไม่กล้วสิ่งใด ๆ กลับทำให้พวกเขาไม่รู้สึกความกดดันและไม่อยากก้าวหน้า”เมื่อฟังสิ่งที่ฉูนจวีนพูด จั๋วซือหรานพูดจากใจ "จากจุดยืนของพวกเขา พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่ผิด เพียงแต่ว่าจุดยืนของพวกเขาแตกต่างกัน"“ ใช่ขอรับ มันเป็นเพียงมีความคิดเห็นที
ฉูนจวีนล้มลงกับพื้น เขายังเตะเท้าบนพื้นเพื่อให้ร่างกายของเขาขยับไปด้านหลังได้ฉูนจวีนไม่ใช่คนที่ไม่เคยเปิดหูเปิดตามาก่อน เขาตกใจจนต้องเป็นสภาพนี้และสูญเสียความสงบเป็นเพราะฉากนั้นแปลกและน่ากลัวเกินไป และเรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไปจู่ ๆ มีศพสามศพโผล่ออกมาจากอากาศ เนื้อที่อ่อนนุ่มและเน่าเปื่อยนั้นเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายอย่างมากยิ่งไปกว่านั้น มุมที่ศพปรากฏนั้นไม่เป็นมิตรกับเขามาก ศพที่อยู่ใกล้กับฉูนจวีนมากที่สุดนั้นมีคอที่คดเคี้ยว และใบหน้าของมันหันหน้าไปทางทิศทางของฉูนจวีนพอดีดังนั้นฉูนจวีนจึงเห็นในปากที่เปิดเล็กน้อยนั้นมีลิ้นบวมได้อย่างชัดเจนและมองจากดวงตาคู่นั้น คนคนนี้ตายอย่างไม่สงบ เผยให้เห็นลูกตาสีขาวหนาอยู่ข้างใน... ใช่ ไม่ใช่เขาตายไม่สงบ แต่เป็นเพราะลูกตาโปนและเปลือกตาไม่สามารถปิดสนิทกระมังเพราะระยะห่างใกล้มาก เพียงประมาณสองก้าวเท่านั้นผลกระทบนั้นรุนแรงมากจนฉูนจวีน... แทบจะอาเจียนออกมาหลังจากความตกใจบรรเทาลง ฉูนจวีนจึงค่อย ๆ ตระหนักได้ถึงบางเรื่อง... แม่นางจิ่วเอาสามคนนี้ออกมาจากที่ไหนฉูนจวีนนั่งบนพื้น เขาเงยหน้าและมองจั๋วซือหรานด้วยความรับถือเพ
จั๋วซือหรานไม่รู้ว่านางรู้สึกผิดหรือเปล่า นางรู้สึก...จากคำพูดของเฟิงเหยียน ดูเหมือนว่าเขาไม่เพียงแต่รู้เกี่ยวกับภาชนะอวกาศเท่านั้น แต่ยังรู้เกี่ยวกับพื้นที่น้ำพุวิเศษด้วย หรือดูเหมือนเขาได้คาดเดาถึงของสองอย่างนี้จั๋วซือหรานรู้ตัวเองฉลาด ท่านอ๋องนี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่นางไม่คาดถึงว่าชายผู้นี้อยู่เงียบ ๆ แต่เฉียบแหลมขนาดนี้แม้ว่าจั๋วซือหรานจะไม่แสดงความในใจบนใบหน้าของนาง แต่ในใจของนาง นางได้จินตนาการหลายเรื่องแล้วและเพราะว่าสมองของนางหมุนเร็วมาก แม้ว่านางจินตนาการไปหลายเรื่องแล้ว แต่ใบหน้าของนางหยุดเพียงชั่วครู่เท่านั้นดังนั้นนางโค้งริมฝีปากทันที นางยิ้มและพูด" ท่านอ๋องพูดเล่น ตอนที่ข้าอยู่ในตำหนักใต้ดิน ข้าได้จัดการพวกเขาเรียบร้อยแล้ว แต่ข้าจงใจไม่รีบคืน เพราะอยากให้เหล่าผู้อาวุโสคิดว่าข้าเหนื่อยเหลือเกิน"แม้ว่านางไม่ได้จัดการศพในตำหนักใต้ดินก็จริง แต่นางก็ไม่ได้กำจัดศพเหล่านั้นอย่างที่เฟิงเหยียนพูดถึง เขาบอกว่านางจัดการศพเหล่านั้นในยามที่นางคิดฟุ่งซ่านไม่ต้องรอให้นางจัดการ'ขนมชาม' สามตัวนั้น พวกมันออกจากตัวที่ถูกอาศัยด้วยตัวเองนางไม่รู้ว่าเป็นเพราะแม่กู้เหล่านั้นสัมผัสได้ว
“แค๊ก” จั๋วซือหรานไอเบา ๆ ความจริงนางรู้สึกคำนี้ไม่เหมาะสมเช่นกัน จากนั้นนางคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางเปลี่ยนใช้คำใหม่ "เช่นนั้น...ดูดซับ ดูดซับ"เมื่อเห็นท่าทางที่ค่อนข้างไม่มั่นใจของนาง ใบหน้าของ เฟิงเหยียน ซึ่งยังคงแข็งทื่อเล็กน้อย จึงค่อย ๆ ผ่อนคลายอีกครั้งเขาเหลือบมองจั๋วซือหราน "เพราะพลังศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลถูกผนึกบนร่างกายของข้า แต่นั่นไม่ใช่วิธีการทั่วไป ดังนั้นในความเป็นจริงแล้ว ข้าไม่สามารถควบคุมพลังเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ จึงมีพลังบางส่วนต้องไหลออกมาโดยเปล่า ๆ "เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานเข้าใจ "นี่คือส่วนที่ฉันได้รับใช่ไหม"เฟิงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อยและฟังจากคำพูดของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานเดาออกว่า พลังศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฟิงที่ถูกผนึกไว้ในตัวเขานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ใช่พลังที่ใช้หมดได้ แต่เหมือนเป็นแกนกลางแห่งพลังบางอย่างแม้ว่าจะพลังเหล่านั้นถูกใช้จนหมด ตราบใดที่ยังมีแกนกลางของพลังศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ ก็สามารถพลิตพลังใหม่อย่างต่อเนื่องแต่จั๋วซือหรานรู้สึก... มีบางอย่างผิดปกตินักทันใดนั้นนางไม่ทันจับความรู้สึกผิดปกติในสมอง ดังนั้นนางจึงไม่พูดอะไรต่อ หล
“ใช่แล้ว” เฟิงเหยียนพยักหน้าจั๋วซือหรานยังคงจ้องตาเขาอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ” ฉูนจวีน บอกว่า สำหรับการดำรงอยู่ของเจ้า ตระกูลเฟิงมีสองเสียงที่แตกต่างกัน และมีจุดยืนที่แต่ต่งกันสองฝ่าย ดังนั้นในการฝึกฝนของตระกูล เจ้าถูกคนทำลายและทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บสาหัส จนกระทั่งขาของเจ้าเกือบสูญเสียไปแล้ว ผู้ก่อเรื่องเหล่านี้คือผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการดำรงชีวิตของเจ้าใช่หรือไม่ "“ใช่” เฟิงเหยียนยังคงตอบรับอย่างไร้ความรู้สึก“เป็นพวกเขาจริง ๆ หรือ” จั๋วซือหรานถาม “พวกเขาไม่อยากให้เจ้ามีชีวิตอยู่ พวกเขาหวังว่าตระกูลจะพัฒนาได้อย่างเป็นธรรมชาติ และพวกเขาหวังว่าสมาชิกในตระกูลมีแรงกดดันมากขึ้น เพื่อบุกทะลวงและตื่นตัว คนเหล่านั้นเหตุผลพอสมควรที่ต้องทำลายเจ้าจริง ๆ ”“แต่ผู้คนที่มีจุดยืนไม่เหมือนกันไม่อยากให้เจ้าแสดงทัดษณะกันเก่งในการฝึกฝนของตระกูล ไม่อยากให้ลัทธิเลือกเจ้า พวกเขาเล่นงานเจ้าในระหว่างการฝึกฝนก็ได้ และพวกเขามีเหตุผลที่จะทำลายเจ้าไม่ใช่หรือ”หลังจากได้ยินนางพูดเช่นนี้ เฟิงเหยียนมองนางและไม่พูดอะไรเลยเขาเงียบเช่นนี้ แสดงถึงทัศนคติของเขา เขาเห็นด้วยกับคำพูดของจั๋วซือหราน จั๋วซือหรานยิ่งมั่
จั๋วซือหรานฟังคำพูดของเฟิงเหยียน นางรู้สึกว่าคำพูดเหล่านั้นสมเหตุสมผลนางเอื้อมมือออกไปและเอามือของเฟิงเหยียนออกจากศีรษะของนาง แต่นางคิดออกเรื่องหนึ่ง...นางขมวดคิ้วเล็กน้อย ราวกับว่านางนึกถึงอะไรบางอย่าง และแม้แต่การเคลื่อนไหวเพื่อปล่อยมือของเฟิงเหยียนก็หยุดลง“แต่” จั๋วซือหรานพูดและขมวดคิ้วแน่นขึ้น “แล้ววันนี้ข้าทำผิดมากเลยไม่ใช่หรือ”จั๋วซือหรานคิดถึงภาพที่นางเดิมเต็มพลังต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโส แม้ว่าเหล่าผู้อาวุโสไม่ทันตอบสนองเนื่องจากสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนั้นแต่หากพวกเขากลับไปคิดอีกที พวกเขาอาจจะสามารถเข้าใจเหตุผลได้“ไม่เป็นไร” ดูเหมือนเฟิงเหยียนไม่กังวลเรื่องนี้“จริงหรือ” จั๋วซือหรานมองเขาเมื่อเห็นชายผู้นี้ซึ่งไม่แยแสมาโดยตลอด ตอนนี้เขายิ้มเล็กน้อย “ใช่ ข้าบอกไปแล้วน่ะ ข้าไม่ได้เย็นชา”จั๋วซือหรานจำคำพูดของเขาในก่อนหน้านี้ได้ ดังนั้นนางจึงไม่ถามต่อนางรู้มาโดยตลอดว่า ท่านอ๋องนี้ไม่ใช่ธรรมดา ตราบใดที่เขาไม่เย็นชาจนไม่สนใจว่าจะถูกเอารัดเอาเปรียบ ก็ไม่ควรเป็นปัญหาใหญ่“เช่นนั้นก็ดี” จั๋วซือหรานพยักหน้าเฟิงเหยียนกล่าวว่า "ตอนนี้ดึกมาแล้ว ข้าจะให้คนพาเจ้าไปพักผ่อน ส่วนส
เขาสัมผัสได้ว่าบนบาดแผลทั้งสองที่ถูกดาบของนางแทงไว้ จนทำให้หินต้องห้ามยังแตกก่อนหน้านี้เวลานี้มันคันยุบยิบ ราวกัยว่า...กำลังผสานอย่างรวดเร็วจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "รักษาให้เจ้าก่อน อีกเดี๋ยวถ้าสู้ขึ้นมา จะได้ไม่ขี้เกียจ"ซางถิงเกือบจะโมโหจนหัวเราะขึ้นมายังไม่ทันที่เขาจะได้พูด ในกลุ่มคนเหล่านั้นที่ล้อมเข้ามา ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น"จั๋วซือหราน เจ้าสังหารลูกหลานตระกูลข้าไป แอบเรียนวิชาลับตระกูลข้า โทษนี้สมควรตาย แต่เห็นแก่ว่าเจ้าไม่ใช่คนในตระกูลเรา ไม่เข้าใจกฏเกณฑ์ของตระกูล จะไว้ชีวิตเจ้า แล้วจะพาเจ้ากลับไปช่วยอธิบายให้หน่อย ว่าไปร่ำเรียนวิชาลับตระกูลเรามาจากที่ไหน"จั๋วซือหรานพอได้ยินเนื้อหานี้ "เข้ามาเพราะความสามารถข้าจริงๆ ด้วย"ซางถิงหัวเราะเฮอะขึ้นมา เอ่ยเสียงต่ำกับจั๋วซือหรานว่า " ข้าก็บอกว่าแล้วไม่ได้มาหาข้า ในเมื่อมันไม่เกี่ยวกับข้า ข้าไปได้แล้วใช่ไหม?"จั๋วซือหรานหัวเราะเหอะๆ " อย่าสิ ข้ารักษาให้เจ้าแล้วนะ รับแล้วก็ตอบแทนกันหน่อยมันเป็นมารยาท"ซางถิงกัดฟัน "แล้วทำไมเจ้าไม่พูดเสียหน่อยว่าบาดแผลพวกนั้นมันมายังไง..."ตอนนี้เอง เสียง 'คาดโทษ' จั๋วซือหรานก่อนหน้านี้ก
เพราะเวลาค่อนข้างดึกแล้ว กระทั่งสนามประลองทางนี้ก็ยังเงียบสงบ ดังนั้นที่นี่ต่อให้สู้กันขึ้นมาตอนนี้ ก็ไม่ได้ดึงดูดสายตาใครยิ่งไปกว่านั้น ตลาดมืดก็มีกฏของตลาดมืด คนของตลาดมืดก็มีวิถีการดำรงชีวิตของตนเองเช่นกันในนี้กฏที่ใช้ได้ทั่วไปข้อหนึ่งคือ...อย่ายุ่งเรื่องชาวบ้านดังนั้นพวกเขาต่อให้ตายกันที่นี่ ก็น่าจะไม่ส่งผลกระทบอะไรมากนักตลาดมืดฝังศพเอาไว้แทบทุกที่ นี่คือที่มาของคำพูดนี้ดังนั้นในกลุ่มคนเหล่านี้ หลังจากเข้ามาล้อมซางถิงกับจั๋วซือหรานแล้ว เดิมทีรอบๆ ก็ยังมีคนอยู่อีกส่วนหนึ่งดูจากท่าทางแล้วไม่ธรรมดาเลย ทยอยกันกระจายตัวออกเหมือนสัตว์ ตอนนี้ที่นี่จึงสงบมาก...แทบไม่มีคนเลยคืนเดือนมืดลมพัดแรง ค่ำคืนแห่งการสังหารดูจากเสื้อผ้าคนเหล่านี้ อันที่จริงยังมองไม่ออกถึงตัวตนฐานะแท้จริงของพวกเขาแตว่า ขอแค่คนรู้จริงเรื่องกลุ่มอย่างซางถิง ก็จะมองออกถึงกลุ่มได้อย่างรวดเร็วซางถิงมองกลุ่มออกจากเครื่องมือควบคุมสัตว์ของพวกเขาอย่างรวดเร็วซางถิงเอียงหน้าเล็กน้อย บอกกับจั๋วซือหรานด้านหลังว่า "ระวังด้วย คนพวกนี้ ทั้งหมดเป็นคนของโถงตัดหัวตระกูลซาง"โถงตัดหัว?" จั๋วซือรหานฟังคำนี้แล้วก็เอ่ย
แต่ยังไม่ทันได้แตะไหล่ของจั๋วซือหราน นางก็มีปฏิกิริยากลับมาอย่างรวดเร็ว“เจ้า” จั๋วซือหรานเห็นหน้าคนด้านหลังอย่างชัดเจนผมสีขาวรุงรังกับดวงตาสีฟ้าทึมที่เป็นเอกลักษณ์ แสดงชัดถึงตัวตนฐานะของเขา นี่คือคู่มือที่ประลองกับนางบนเวทีเมื่อครู่นี้นั่นเองดวงตาสีฟ้าทึมของเขาจ้องมองจั๋วซือหราน “ข้ายังคิดว่าเจ้าไปแล้วเสียอีก ทำไม? กำลังรอข้าหรือ?”จั๋วซือหรานมองเขา “เจ้านี่...มั่นใจในตัวเองเสียจริงนะ”“ใช่สิ” รอยยิ้มในดวงตาสีฟ้าทึมของเขายิ่งเพิ่มมากขึ้น “ข้ากับเจ้ามันคนประเภทเดียวกัน เป็นพวกที่มั่นใจในตนเองแบบนั้น”จั๋วซือหรานหัวเราะ จากนั้นจึงเห็นแขนที่ห้อยอยู่ข้างตัวเขา ยังมีเลือดสดไหลอาบลงมา กลิ่นคาวเลือดบนตัวเขายังไม่หายไป“เจ้าน่าจะรักษาแผลก่อนแล้วค่อยมาพูดจาคุยโตนะ” จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น“เรื่องเล็กน่า” ซางถิงเอ่ยตอบจั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อครู่เจ้าออมมือไว้ ไม่งั้นคงไม่เจ็บขนาดนี้”“ใช่เลย ข้าออมมือไว้ ก็เลยลดความยุ่งยากลงไปได้พอควร” ซางถิงตอบจั๋วซือหรานยิ้ม “อินเจ๋ออันไม่ใช่ความยุ่งยากหรือ?”“เขา? เขาจะไปยุ่งยากอะไร...” ซางถิงดูไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้ เอ่ยต่อว่า “ข้าออมมือ
ได้ยินคำนี้ ฮั่วจือโจวยกมุมปากขึ้น “คุณหนูเฟิงสือ เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว ข้าก็แค่อยากร่วมมือกับแม่นางจิ่วเท่านั้น”เฟิงหร่านมองเขา แม้บนปากจะไม่คัดค้าน แต่ในใจก็แอบคิด นั่นก็เพราะเจ้ายังสัมผัสไม่ได้ถึงเสน่ห์ของพี่หญิงจั๋วเท่านั้นส่วนเจี่ยงเทียนซิงที่อยู่ข้างๆ พอได้ยินคำพูดของเฟิงหร่าน ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไร เพียงแต่รอยยิ้มในดวงตาค่อยลดลงมาเท่านั้นครู่ต่อมา จึงเอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “แต่ว่าตระกูลเฟิงของพวกเจ้า ไม่ใช่ว่าดูถูกซือหรานหรอกหรือ เพราะอะไรกัน? พวกเจ้าเห็นสิ่งนี้เป็นของไร้ค่า แต่ก็ไม่ยอมให้คนอื่นได้ครอบครองหรือ? ใหญ่โตเสียจริง”สำหรับคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง เฟิงหรานกระทั่งโต้แย้งก็ยังแย้งออกมาไม่ได้นางริมฝีปากสั่นระริก ครึ่งมาจึงบอกว่า “สรุปคือ หลังจากนี้จะมีวิธีเอง”ฝูซูมองจากข้างๆ เขารู้แน่นอนว่าคุณหนูของตนเองยอดเยี่ยมแค่ไหนทำให้คนหลงใหลได้แค่ไหนและก็รู้ว่าคุณหนูเฟิงสือถูกคุณหนูทำให้หลงไปแล้ว การที่พูดแบบนี้ออกมาก็ไม่ได้ผิดอะไรแต่ปฏิกิริยาของเจี่ยงเทียนซิงนี่ กลับทำให้ฝูซูอดเหลือบมองเขาขึ้นมากหน่อยไม่ได้ในใจฝูซูก่อนหน้านี้ก็รู้สึกว่าเจี่ยงเทียนซิงคนนี้เหมือนจะ...รู้สึก
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน
สายตาฮั่วจือโจวมองจั๋วซือหรานอย่างลึกซึ้งตระกูลขุนนางเหล่านี้ล้วนเป็นแบบเดียวกัน จั๋วซือหรานเองก็เดินออกมาจากตระกูลขุนนาง ดังนั้นจึงเข้าใจเป็นอย่างดีต่อให้ทุกคนจะเป็นลูกหลานในตระกูลเหมือนกัน และก็จะมีพวกลูกหลานที่ได้รับการปฏิบัติกับให้ความสำคัญมากกว่า และก็จะมีลูกหลานที่ถูกมองข้ามหรือเมินเฉยแต่นี่ก็จะขึ้นอยู่กับฝีมือของรุ่นพ่อและฝีมือของตนเองดูจากจั๋วซือหรานแล้วมองออกไม่ยาก กระทั่งฝีมือของรุ่นพ่อก็ยังไม่แน่ว่าจะสำคัญ เพราะพ่อของนางนั้นไม่อยู่มานานแล้วมีเพียงฝีมือของตนเองที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุดดังนั้นในฐานะที่เป็นลูกหลานในตระกูล หากคิดจะได้รับการให้ความสำคัญของตระกูล อย่างน้อยก็ต้องทำผลงานออกมาให้ได้สถานการณ์ของฮั่วจือโจวตอนนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนี้เขามีฝีมืออยู่บ้าง และมีอุดมการณ์ของตนเองด้วยเช่นกัน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จะตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามไม่ได้เพราะในตระกูลเช่นนี้ คนมากมายล้วนเป็นแบบเดียวกัน โอกาสอาจจะมีแค่ครั้งเดียว ถ้าทำผลงานไม่ได้ หลังจากนี้ทรัพยายากรก็อาจจะไม่เอนมาทางเขาอีกแล้วจุดนี้ จั๋วซือหรานไม่ลังเลที่จะพูดออกมาสายตาฮั่วจือโจวหยุดอยู่ที่แ
จั๋วซือหรานยิ้มๆ “ก็ต้องตั้งแต่ตอนที่เจ้าตามพวกเราเข้ามาแล้วน่ะสิ”ฮั่วจือโจวลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้ามาทางนี้ นั่งลงข้างโต๊ะพวกเขา“เมื่อครู่แผนของแม่นางจิ่ว ข้าได้ยินแล้ว” ฮั่วจือโจวเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกมาตรงๆเขาพูดประโยคนี้ออกมา ก็หวังว่าจั๋วซือหรานจะไม่ต้องมาเสียเวลาคิดมากในเรื่องนี้แล้วแต่ฮั่วจือโจวคิดไม่ถึงว่าจั๋วซือหรานจะพูดว่า “ข้าจงใจพูดออกมาให้เจ้าได้ยิน”สีหน้าฮั่วจือโจวตกตะลึงไปทันที “อะไรนะ?”จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายสามฮั่วฟังแผนการของข้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?”“ไม่เลว” ฮั่วจือโจวตอบ “มิน่าสี่ตระกูลที่เหลือจึงมองเจ้าเป็นหนามยอกอก”รอยยิ้มบนหน้าจั๋วยังไม่จางหาย “ถ้าข้าไม่จงใจพูดให้เจ้าได้ยิน แล้วจะกล่อมให้เจ้ามาร่วมมือได้อย่างไรกัน?”“ร่วมมือ?” ฮั่วจือโจวตกตะลึงจั๋วซือหรานตอบ “อืม ข้าไม่มีเจตนาจะทำให้ตระกูลฮั่วต้องลำบากใจ ถ้าแค่ตระกูลฮั่วไม่ทำให้ข้าลำบากใจน่ะนะ แต่ข้าเองก็เข้าใจ บุ่มบ่ามไปแย่งธุรกิจของคนอื่น ดูแล้วยังไงก็ไม่เหมาะสม และยังเป็นในสถานการณ์ที่ข้ามั่นใจว่าข้าคว้ามันมาได้ด้วย”ฟังคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ฮั่วจือโจวก็หัวเราะขึ้นมา เขาก
“ทำให้มันคึกคักขึ้น?” เฟิงหร่านตาเป็นประกาย ความชื่นชมต่อตัวจั๋วซือหรานของนางไม่ได้แค่นิดหน่อยแล้วตอนนี้มองจั๋วซือหรานด้วยตาเป็นประกาย “พี่หญิงจั๋ว จะทำให้มันคึกคักขึ้นได้อย่างไรหรือ?”จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “วิธีการมีอยู่เยอะเลยทีเดียว ก็ให้เจ้าไปแสดงพ่นไฟ เฮยหลิงไปแสดงหน้าอกทลายหินอะไรแบบนั้น หรือไม่ข้าก็ให้พวกแมลงไปแสดงละครหุ่นกระบอก? ต้องสนุกคึกคักแน่ๆ...”“พ่น พ่น...พ่นไฟ??” ในสายตาเฟิงหร่านเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อก็จริง สำหรับนางที่เป็นคุณหนูลูกขุนนางเช่นนี้ทุกการกระทำทั้งหมดของจั๋วซือหราน กระทั่งแค่ลมหายใจของนาง ก็ดูจะผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ ในตระกูลขุนนางเหล่านั้น “พ่นไฟเป็นไหม? ถ้าไม่เป็นเดี๋ยวไว้ข้าหาเวลาสอนเจ้า” จั๋วซือหรานวางตะเกียบลง “สรุปคือ ถ้าถึงเวลาต้องเปิดกิจการ ก็หาการแสดงอะไรมา จากนั้นพอเปิดร้านก็เตรียมการให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะหลังจากที่กินอาหารเสร็จ ก็มอบอาหารเพิ่มให้อีกหนึ่งจานแบบไม่ต้องจ่ายเงินอะไรแบบนี้”“ประชาชนกินเพื่ออยู่ ขอแค่ของอร่อย ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีใครมาอีกหรือ” จั๋วซือหรานคิดคิด เอ่ยต่อว่า “ไหนจะเรื่องที่อาหารของที่นี่รสชาติแย่แค่ไหน น่าจะไ
จั๋วซือหรานตอบ “เดี๋ยวเจ้าลองชิมก็รู้แล้ว...”ผ่านไปครู่หนึ่ง อาหารก็ส่งขึ้นมา หน้าตาแย่เอามากๆเจี่ยงเทียนซิงจึงเพิ่งได้ยินประโยคหลังของจั๋วซือหราน “...ไม่ใช่ห่วยแตกแบบธรรมดาด้วย”เจี่ยงเทียนซิง “...”เฟิงหร่าน “...”ฝูซู “...”เฮยหลิง “...”ทุกคนทยอยกันพูดไม่ออกจั๋วซือหรานหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบคำหนึ่งส่งเข้าปาก หลังจากเคี้ยวไปสองคำ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “พวกเจ้าลองชิมสิ ห่วยแตกแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”เฮยหลิงยังพอไหว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตยากลำบากมาแล้ว ขยับตะเกียบ หลังจากกินคำแรกไปเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเขาเหมือนจะโกรธขึ้นแล้วเฟิงหร่านเองพอเห็นสถานการณ์ จึงวางตะเกียบลงเงียบๆเจี่ยงเทียนซิงถาม “เจ้าหิวแล้ว แต่จงใจมายังร้านอาหารที่รสชาติแย่หรือ?”จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ลองชิมดูก่อน แบบนี้ภายหลังจะได้มีความแตกต่าง”เจี่ยงเทียนซิงก็เชื่อฟังคำพูดของนาง คีบขึ้นมาพอส่งเข้าปาก จึงเพิ่งมีปฏิกิริยากับคำพูดของจั๋วซือหราน “...ภายหลัง?”ตอนนี้เอง อะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก ในที่สุดก็ทำเอาประสามรับรสของเขาถูกปะทะอย่างรุนแรง“ถุด” เจี่ยงเทียนซิงพ่นอาหารในปากออกมา รู้สึกว่าคำวิจารณ์ก่อน