พวกเขาหวังว่าเฟิงเหยียนจะช่วยชักชวนจั๋วจิ่ว ให้จั๋วจิ่ว เห็นแก่หน้าของพวกเขาหน่อยแต่เห็นได้ชัดว่าด้วยนิสัยของเฟิงเหยียน เขาไม่มีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับพวกเขาตอนนี้พวกเขาทราบทัศนคติของเฟิงเหยียนอย่างชัดเจนจากคำพูดของเขาพวกเขาจึงทำได้เพียงมองจั๋วซือหรานด้วยสีหน้าแข็งทื่อเท่านั้นจั๋วซือหรานยังคงอยู่ที่เดิม นางนั่งอยู่ที่นั่นในท่าที่ค่อนข้างสบาย นางมีสีหน้าอย่างดี พวกเขามองออก นางกำลังอารมณ์ดีนางไม่รีบร้อนเลย ก่อนหน้านี้ นางทำท่านเช่นนี้เหมือนกัน นางปล่อยให้พวกเขาคุยกับเฟิงเหยียนใช่สิ ทำไมนางต้องรีบร้อนล่ะ นางไม่ใช่ผู้ที่ต้องกลายพันธุ์สักหน่อย..."จั๋ว จั๋วจิ่ว... " ผู้อาวุโสคนหนึ่งกลัวผู้อาวุโสที่กลายพันธุ์สองคนนั้นมากเกินไปพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่กลัวถูกสองคนนั้นทำร้าย แต่เขากลัวตัวจะเป็นเหมือนพวกเขาจั๋วซือหรานสามารถเข้าใจจุดนี้อย่างดีในสายตาของหลาย ๆ คน แม้ว่าความตายจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด การดำรงชีวิตแบบตายทั้งเป็น และการที่เสียชีวิตอย่างไม่เป็นสุขนั้นทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากกว่าจั๋วซือหรานไม่ได้พูดอะไร แต่นางยังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากข
ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามาคุยเงื่อนไขด้วยกัน ผู้อาวุโสก็รู้สึกโล่งใจมาก การที่มีโอกาสเจรจานั่นเป็นเรื่องที่ดี ตราบใดที่พวกเขายังสามารถเจรจาได้ แสดงว่าพวกเขายังมีโอกาสรอดชีวิตผู้อาวุโสคนนี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาถาม"เจ้ามีเงื่อนไขอะไรบ้าง"จั๋วซือหรานชูสองนิ้วแล้วพูดว่า "เงื่อนไขสองประการ ก่อนอื่น ต่อจากนี้ไป ข้าจะต้องได้รับการเคารพมากพอในตระกูลเฟิง"ผู้อาวุโสขมวดคิ้วและพูดว่า "เจ้าไม่เคยถูกดูหมิ่นใน ตระกูลเฟิงเลย"สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฟิงเหยียน แม้ว่าจริง ๆ แล้ว ตระกูลเฟิงไม่เห็นชอบมากนัก พวกเขาไม่อยากให้ผู้หญิงที่เคยเหยียบย่ำชื่อเสียงของตระกูลเฟิง อีกครั้งมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิงอีกครั้งแต่พวกเขาปฏิเสธไม่ได้ เพราะจั๋วจิ่วผู้นี้มีความสามารถมากจนพวกเขาต้องยอมรับนางดังนั้นพวกเขาจึงยอมทำตามเฟิงเหยียน นางกับเฟิงเหยียนกลับมาหมั้นกันอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้จัดพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการแต่จริง ๆ แล้วพิธีหมั้นเป็นเพียงพิธีที่ขอไปทีเท่านั้น พวกเขาถือเป็นคู่หมั้นแล้วดังนั้นด้วยสถานะของนาง จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่นางไม่ได้รับความเคารพในตระกูลเฟิงมากเท่าใด อย่างมากพว
เพราะองค์หญิงเจาหมิ่นอุตส่าห์ติดกับดักนี้ เพื่อฉวยโอกาสที่ดีนี้มาเจรจากับตระกูลเฟิงกระมังจั๋วซือหรานคิดในใจ ในเมื่อนางทำลายแผนขององค์หญิงระหว่างครึ่งทางแล้ว อย่างไรก็ตาม นางต้องจัดกลที่ยิ่งใหญ่สักหน่อย จึงเหมาะกับกับดักนี้จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "ผู้อาวุโส สิ่งที่ข้าต้องการคือการเคารพ ความเกรงกลัวก็ได้ พูดตรง ๆ พวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับการที่ปฏิบัติต่อผู้อาวุโสขตระกูลเฟิง หรืออย่างน้อยพวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับที่พวกเจ้าปฏิบัติต่อเฟิงเหยียน "เฟิงเหยียนยังคงเงียบอยู่ข้าง ๆ และเขารู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสจ้องมองเขาเป็นครั้งคราวเหมือนพวกเขาหวังว่าเขาจะพูดอะไรสักอย่างเขาพูดอะไรได้บ้าง เขาไม่อยากพูดอะไรเลยก่อนหน้านี้เขาเคยมอบโอกาสให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาพลาดไปเองก่อนหน้านี้พวกเขายังด่าว่า คนของตระกูลจั๋วโง่ทั้งนั้น นับขยะเป็นสมบัติ แต่สมบัติที่แท้จริงนี้กลับถูกละทิ้งเหมือนทิ้งขยะตอนนี้ดูเหมือนว่าตระกูลแต่ละตระกูลโง่ทั้งนั้น ตระกูลเฟิงก็ไม่ได้ดีกว่าตระกูลอื่นนะผู้ที่ต้อยความสามารถมักจะครอบงำโลก ซึ่งเขาจนปัญญาเฟิงเหยียนไม่สนใจสายตาที่เต็บไปด้วยคำร้องขอความช่วยเหลือขอ
“อะไรนะ” ผู้อาวุโสตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เบิกตากว้างอย่างเห็นได้ชัด จากสีหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธบ้างเพราะเงื่อนไขของจั๋วซือหรานเขาอาจรู้สึกว่านางได้คืบจะเอาศอกและข่มขืนใจเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทุกคนรู้ดีว่าสัญญาจิตวิญญาณการพูดเป็นสัญญาที่มีข้อผูกมัดอย่างสูงหากเงื่อนไขที่จั๋วซือหรานเสนอมาเป็นเงื่อนไขใด ๆ ที่บอกถึงทุกรายละเอียด ให้พวกเขาทำสัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยพวกเขาสามารถได้ยินและยืนยันได้ว่าพวกเขาทำได้หรือไม่ และเงื่อนไขของนางสมเหตุสมผลไหมแต่สิ่งที่จั๋วซือหรานพูดเป็นเพียงสัญญาที่...ภาพลวงตาใครจะรู้ว่าวันหลัง นางอยากให้พวกเขาทำอะไรเมื่อถูกผูกมัดด้วยสัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดนี้ หากนางต้องการให้พวกเขาทำสิ่งที่ทรยศต่อตระกูลในภายหลัง พวกเขาต้องผูกมัดกับสัญญาและถูกนางควบคุมหรือยิ่งไม่ต้องพูดถึง......“เจ้าเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยฝึกฝนในลัทธิ นางจะมีโอกาสเรียนรู้สัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดได้อย่างไร อย่าบอกนะ เจ้าได้ยินจากผู้อื่น แล้วเอามาพูดเล่นกับพวกเรา…”จั๋วซือหรานแสดงฝ่ามือของนาง และมีสัญลักษณ์ที่ส่องแสงวาบอยู่บนฝ่ามือของนางแม้ว่าเหล่าผู้อาว
ขณะที่เขาพูดเช่นนี้ เขายังเหลือบมองคนสองคนที่กำลังคลานมา ซึ่งมีปฏิกิริยาผิดปกติเขากล่าวต่อว่า “ข้าไม่อยากเป็นแบบพวกเขา มันน่าเกลียดมาก ไม่สุภาพ ดูไม่ได้เลย”ความรังเกียจในดวงตาของเขานั้นมีอยู่จริง เหมือนเขาไม่คำนึงว่าจั๋วซือหรานเป็นคนนอก และผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นคนของเขาเองผู้อาวุโสอีกหลายคนโกรธเขาอย่างเห็นได้ชัด“เฟิงฮ่วน เจ้าทำ…ได้อย่างไร”“เจ้าไม่ฉลาดจริง ๆ ”ผู้อาวุโสที่ชื่อเฟิงฮ่วนมองพวกเขา เขาพยักหน้าอย่างไม่จริงใจ "ใช่ ๆ พวกเจ้าฉลาด พวกเจ้าสู้ต่อเลย ข้าโง่ ข้าไม่รู้เรื่อง ข้าขอรับการรักษาก่อน"หลังจากเขาพูดอย่างนั้น เขาก็ยื่นมือออกไปตรงหน้า จั๋วซือหราน " แม่นางจิ่ว รีบหน่อย"จั๋วซือหรานไม่คาดคิดว่าจะมีผู้อาวุโสเช่นนี้ซ่อนอยู่ในท่ามกลางคนหัวโบราณของตระกูลเฟิงตอนนี้นางกลับมาคิด ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ด่านางในก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าผู้อาวุโส เฟิงฮ่วน ไม่เคยพูดเสริมอะไรเลยแม้ว่าเขาจะไม่ได้ช่วยนาง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าข้างพวกเขาเช่นกันเขาแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ...และมองดูก่อนที่เขาจะเข้าใจสถานการณ์ เขาไม่แสดงความคิดเห็นและเข้าข้างฝ่ายใดฝ
ความแข็งแกร่งของระบบเส้นลมปราณของนางช่างน่าประหลาดใจจั๋วซือหรานยิ้ม "ไม่เป็นไร ข้ายังพอรักษาเจ้าได้"ดวงตาของเฟิงฮ่วนเป็นประกายดวงตาของผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็เบิกกว้างขึ้นทันทีโถ ไม่นะ อะไรนะ...นางหมายความว่าอย่างไรเป็นไปได้ไหมว่าหลังจากที่นางรักษาเฟิงฮ่วนแล้ว นางไม่มีแรงที่จะรักษาพวกเขาอีกต่อไปแล้วพอมาคิดในตอนนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆก่อนหน้านี้เมื่อจั๋วจิ่วรักษาฉูนจวีน มันโหดร้ายมาก ปากและจมูกของนางมีเลือดไหลออกมา เหมือนนางกำลังจะตายในวินาทีถัดไปคงไม่ว่า...พวกเขาทั้งหมดมองไปที่ชายสองคนที่กลายพันธุ์ และหัวใจของพวกเขาก็รู้สึกเย็นชาเป็นไปได้ไหมที่ตัวเองจะกลายเป็นเช่นนั้นผู้คนได้มักจะรับผลกระทบจากจิตวิทยาจริง ๆ ยิ่งคิดเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาเหลือเวลาไม่พอแล้วก่อนที่จะกลายพันธุ์พวกเขายิ่งรู้สึกว่าร่างกายเริ่มคันจากระบบเส้นลมปราณมากขึ้น พวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือเปล่ายิ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นเท่านั้นพวกเขาอดไม่ได้ที่ต้องจ้องมองที่เฟิงฮ่วน เป็นไปได้ไหมที่เฟิงฮ่วนผู้นี้รู้ล่วงหน้าแล้วนั่นเป็นเห
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ แม่นางจิ่ว มีวิธีอื่นอีกไหม”“ก่อนหน้านี้ พวกเราพูดจาหยาบคายเกินไป นั่นเป็นความผิดของเรา แม่นางจิ่ว ได้โปรดอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราเลย”“เจ้าเป็นคนเก่ง เจ้าต้องมีวิธีอื่นกระมัง”จั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้น นางมองพวกเขา และนางเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ "จั๋วจิ่วไม่เก่งพอ ข้ารักษาได้แค่วันละสองคน หลัก ๆ เป็นเพราะตอนนี้ข้ายังไม่รู้จักอาคมหนอนพิษกู่นี้ ข้าจึงรักษายาก"ขนาดที่นางพูด นางมองลูกหลานของตระกูลเฟิงสองสามคนที่ถูกนางยิงที่ศีรษะ "หากให้ข้าศึกษาดี ๆ บางทีอาจมีวิธีรักษาที่ดีกว่านี้อีก แต่ข้าไม่ควรปล่อยให้ผู้อาวุโสเหล่านี้กลายเป็นเช่นนั้น ให้พวกเขารอข้าด้วยสภาพนั้นสิ อีกอย่าง ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่า หากกลายเป็นเช่นนั้นแล้ว ค่อยรักษาพวกเขา จะมีผลกระทบต่อการฝึกฝนของพวกเขาหรือไม่"เมื่อก่อนพวกเขาแค่คิดว่ามันน่าอายเกินไปที่ต้องมีสภาพนั้นแต่เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของจั๋วซือหรานในตอนนี้ นางบอกว่าอาจส่งผลกระทบต่อทักษะการฝึกฝนของพวกเขาพวกเขาไม่สนใจความไร้ยางอายอะไรอีกเลย" แม่นางจิ่ว โปรดคิดหาวิธีแก้ปัญหา"“ใช่สิ ใช่สิ แม่นางจิ่ว โปรดคิดหาทางแก้ปัญหาหน่อยเถิด เร
หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน ทุกคนทราบทันทีอาคมหนอนพิษกู่มีแม่ของพิษกู่สีหน้าของพวกเขาแย่ลงเล็กน้อย พวกเขาพากันมองไปที่ศพที่ไร้ชีวิตทั้งสี่ศพ“เจ้ากำลังบอกว่าหากมีคนคิดวิธีการอันเลวร้ายเช่นนี้เพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังตระกูลเฟิงของเรา เฟิงช่าน เฟิงจู้ และพวกเขาทั้งสี่คนนั้นคือแม่กู่”เฟิงเซินพูดอเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาดูเคร่งขรึมอย่างมาก ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมเช่นกันจั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อย "ประมาณเช่นนี้"ผู้อาวุโสเฟิงเซินส่ายหัว “ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ทำไม หากมีคนต้องการทำร้ายตระกูลเฟิงจริง ๆ ทำไมล่ะ สำนักงานใหญ่ของตระกูลเฟิงมีสมาชิกมากมาย แต่ทำไมต้องเป็นเฟิงช่าน เฟิงจู๋และศิษย์อื่น ๆ ที่ฝึกฝนในลัทธิไม่ได้กลับมาบ่อย ๆ…”“ใครจะรู้ เพราะพวกเขาแวะกลับบ้านพอดีกระมัง” จั๋วซือหรานยักไหล่ โดยบอกว่านางไม่ทราบสาเหตุหลัก นางให้เหตุผลแบบขอไปทีแต่เฟิงเซินและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้สึกนางพูดมีเหตุสม เพราะเฟิงช่าน เฟิงจู และคนอื่น ๆ ต้องเดินทางจากที่อื่นกลับมาอยู่เมืองหลวงอยู่ดีจั๋วซือหรานกล่าวว่า "อีกอย่าง เพราะพวกเขาเก่ง อีกฝ่ายจึงอาจรู้ว่าเพราะพวกเขาเก่ง พวกเจ้าจะไม่สามารถเพิกเฉยต่อเด
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด