“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ แม่นางจิ่ว มีวิธีอื่นอีกไหม”“ก่อนหน้านี้ พวกเราพูดจาหยาบคายเกินไป นั่นเป็นความผิดของเรา แม่นางจิ่ว ได้โปรดอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราเลย”“เจ้าเป็นคนเก่ง เจ้าต้องมีวิธีอื่นกระมัง”จั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้น นางมองพวกเขา และนางเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ "จั๋วจิ่วไม่เก่งพอ ข้ารักษาได้แค่วันละสองคน หลัก ๆ เป็นเพราะตอนนี้ข้ายังไม่รู้จักอาคมหนอนพิษกู่นี้ ข้าจึงรักษายาก"ขนาดที่นางพูด นางมองลูกหลานของตระกูลเฟิงสองสามคนที่ถูกนางยิงที่ศีรษะ "หากให้ข้าศึกษาดี ๆ บางทีอาจมีวิธีรักษาที่ดีกว่านี้อีก แต่ข้าไม่ควรปล่อยให้ผู้อาวุโสเหล่านี้กลายเป็นเช่นนั้น ให้พวกเขารอข้าด้วยสภาพนั้นสิ อีกอย่าง ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่า หากกลายเป็นเช่นนั้นแล้ว ค่อยรักษาพวกเขา จะมีผลกระทบต่อการฝึกฝนของพวกเขาหรือไม่"เมื่อก่อนพวกเขาแค่คิดว่ามันน่าอายเกินไปที่ต้องมีสภาพนั้นแต่เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของจั๋วซือหรานในตอนนี้ นางบอกว่าอาจส่งผลกระทบต่อทักษะการฝึกฝนของพวกเขาพวกเขาไม่สนใจความไร้ยางอายอะไรอีกเลย" แม่นางจิ่ว โปรดคิดหาวิธีแก้ปัญหา"“ใช่สิ ใช่สิ แม่นางจิ่ว โปรดคิดหาทางแก้ปัญหาหน่อยเถิด เร
หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน ทุกคนทราบทันทีอาคมหนอนพิษกู่มีแม่ของพิษกู่สีหน้าของพวกเขาแย่ลงเล็กน้อย พวกเขาพากันมองไปที่ศพที่ไร้ชีวิตทั้งสี่ศพ“เจ้ากำลังบอกว่าหากมีคนคิดวิธีการอันเลวร้ายเช่นนี้เพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังตระกูลเฟิงของเรา เฟิงช่าน เฟิงจู้ และพวกเขาทั้งสี่คนนั้นคือแม่กู่”เฟิงเซินพูดอเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาดูเคร่งขรึมอย่างมาก ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมเช่นกันจั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อย "ประมาณเช่นนี้"ผู้อาวุโสเฟิงเซินส่ายหัว “ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ทำไม หากมีคนต้องการทำร้ายตระกูลเฟิงจริง ๆ ทำไมล่ะ สำนักงานใหญ่ของตระกูลเฟิงมีสมาชิกมากมาย แต่ทำไมต้องเป็นเฟิงช่าน เฟิงจู๋และศิษย์อื่น ๆ ที่ฝึกฝนในลัทธิไม่ได้กลับมาบ่อย ๆ…”“ใครจะรู้ เพราะพวกเขาแวะกลับบ้านพอดีกระมัง” จั๋วซือหรานยักไหล่ โดยบอกว่านางไม่ทราบสาเหตุหลัก นางให้เหตุผลแบบขอไปทีแต่เฟิงเซินและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้สึกนางพูดมีเหตุสม เพราะเฟิงช่าน เฟิงจู และคนอื่น ๆ ต้องเดินทางจากที่อื่นกลับมาอยู่เมืองหลวงอยู่ดีจั๋วซือหรานกล่าวว่า "อีกอย่าง เพราะพวกเขาเก่ง อีกฝ่ายจึงอาจรู้ว่าเพราะพวกเขาเก่ง พวกเจ้าจะไม่สามารถเพิกเฉยต่อเด
จู่ ๆ ตระกูลเฟิงของพวกเขาต้องสูญเสียพรสวรรค์ไปสี่คน และในสายตาของผู้ที่ลอบสังหารพวกเขานี่เป็นเพียง...อะไรนะ การสูญเสียหายที่ไม่สำคัญหรือยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน พวกเขาก็สงสัยจั๋วซือหรานเป็นคนแรกเพราะตอนนี้ในสายตาของพวกเขา พวกเขาเป็นหนี้บุญคุณของจั๋วซือหราน และติดความโปรดปรานของจั๋วซือหรานด้วยใครจะรู้ว่านี่คือแผนใหญ่ของจั๋วซือหรานหรือไม่แน่นอนว่า จั๋วซือหรานสามารถสังเกตเห็นความสงสัยในดวงตาของพวกเขาได้ แต่นางก็ไม่สนใจนางแค่พูดว่า "ข้ารู้ว่าข้าน่าสงสัยมาก แต่..."จั๋วซือหรานมองไปที่พวกเขา "ตอนนี้ข้าอยู่ภายใต้สายตาของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ"เฟิงฮ่วนคิดอยู่ครู่หนึ่ง "แม่นางจิ่วพูด...สมเหตุสมผล"จั๋วซือหรานกล่าวว่า "สรุปก็คือ พวกเจ้าปิดประตู อย่าออกไปข้างนอก แล้วกระจายข่าวไปยังโลกภายนอก โดยบอกว่าสมาชิกในตระกูลเฟิงกำลังเป็นโรคแปลก ๆ ข้าเชื่อว่าคนที่อยากให้พวกเจ้าติดหนี้ความโปรดปรานของนั้น จะปรากฏตัวในเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ "หลังจากพูดจบ จั๋วซือหรานจึงส่งพลังวิเศษเข้าไปใน ระบบเส้นลมปราณของเฟิงฮ่วนทันใดนี้ผู้อาวุโสหนุ่มคนนี้พูดไม่ออกสักคำ เขาไม่มี
ตอนแรกคนรับใช้สองคนนี้ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดเจาหมิ่นองค์หญิงเจาหมิ่นกล่าวต่อว่า "หากจั๋วจิ่วช่วยพวกเขา พวกเขาจะทราบพิษกู่ไหม นอกจากแม่กู่นั้นอันตรายกว่า อาคมหนอนพิษกู่ที่แม่กู่นั้นแพร่กระจายนั้นรับมือยากเฉย ๆ แต่ก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น สำหรับตระกูล เฟิง นั่นไม่ใช่สารพิษร้ายหรอก"“ด้วยความสามารถและความฉลาดของจั๋วจิ่ว นางต้องเดาได้อย่างรวดเร็วว่าคนที่วางยาพิษจะต้องการทำเช่นนี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากตระกูลเฟิง บางทีนางอาจจะให้ตระกูลเฟิงรอข้าไปปรากฏตัวเอง มันเป็นกับดัก ตราบใดที่ข้าไม่ปรากฏตัว จั๋วจิ่ว นางต้องเป็นแพะรับบาป"หลังจากได้ยินคำพูดขององค์หญิงเจาหมิ่น คนรับใช้หญิงสองคนนั้นจึงตระหนักได้ทันทีมีคนหนึ่งกล่าวว่า "ท่านนักปราชญ์หญิงของช่างฉลาดเหลือเกิน"อีกคนยังคงกังวลเล็กน้อย “แต่หากจั๋วจิ่วไม่แตะต้องแม่กู่เหล่านั้นเลยล่ะเพคะ”เจาหมิ่นหัวเราะเยาะหลังจากได้ยินคำพูดนี้“นางไม่แตะต้องแม่กู่เหล่านั้น นางอยากหาวิธีถอนพิษกู่ไหม นางทำไม่ได้ นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แม้ว่านางคือจั๋วจิ่วก็ตาม แต่การถอนพิษกู่ไหมนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก"เจาหมิ่นพูดและมองไปที่คนรับใช้หญิงสองคนนั้น "แม้ว
ดังนั้นแม้ว่านางไม่จำเป็นต้องขอโทษพวกเขา แต่นางก็สามารถพูดอ่อนโยนหน่อยเนื่องจากเฟิงฮ่วนเป็นคนแรกที่ได้รับการรักษา ดังนั้นตอนนี้เขาฟื้นตัวจากความเจ็บปวดแล้ว“เจ้าเหนื่อยกว่าพวกเรา” เฟิงฮ่วนกล่าวแม้ว่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ยังคงสงสัยในตัวจั๋วซือหรานแต่ที่ตลอดผ่านมา เมื่อเทียบกับประสบการณ์ เฟิงฮ่วนเชื่อในสัญชาตญาณมากกว่าดังนั้นเมื่อจั๋วซือหรานรักษาเขา เขาได้รู้สึกถึงปลายนิ้วที่สั่นเทาของจั๋วซือหราน และนางกัดริมฝีปากและฟันของนางแรง ๆ ...เฟิงฮ่วนรู้สึกว่าเขาเชื่อในแม่นางจิ่วของตระกูลจั๋วที่ดูเหมือนจะถูกโลกทอดทิ้งเขารู้สึกหากนางแสร้งทำตัว นางไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนี้นี่คือสัญชาตญาณของเขา“ส่วนการรักษาผู้อาวุโสสามสี่คน เดี๋ยวอีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้าจะมารักษาที่นี่อีก ส่วนการป้องกันชั่วคราว ข้าได้ดำเนินการให้พวกเจ้าแล้ว ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าไม่ต้องห่วง” จั๋วซือหรานกล่าวนางมองตำหนักใต้ดินแล้วพูดว่า "สถานที่แห่งนี้เหมาะสมมาก เพื่อความปลอดภัย ข้าหวังว่ผู้อาวุโสจะไม่ออกจากที่นี่จนกว่าพวกเขาจะหายขาด เนื่องจากผู้อาวุโสเฟิงฮ่วนได้รับการรักษาและหายขาดแล้ว ฝากผู้อาวุโสเฟิงฮ่วนดูแลเรื่องต่าง
ในตระกูลเฟิง แม้ว่านอกจากเฟิงฮ่วน ผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงสามสี่คนยังคงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับจั๋วซือหรานแต่ดูจากสถานการณ์ของตอนนี้ พวกเขารู้สึกพวกเขาควรรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับจั๋วซือหรานไว้ดีกว่าเพราะพวกเขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า จั๋วซือหรานมีทักษะทางการแพทย์เก่งเพียงใดยิ่งไปกว่านั้น อาคมหนอนพิษกู่บนร่างกายของพวกเขายังไม่หายขาด และพวกเขายังคงต้องอาศัยจั๋วซือหราน ล้างพิษให้พวกเขาดังนั้นไม่ว่าพวกเขาจะมีข้อสงสัยอะไรในใจ ต่อหน้าทุกคน พวกเขาต้องปฏิบัติดีต่อจั๋วซือหรานเฟิงฮ่วนเป็นผู้อาวุโสคนแรกที่ได้รับการรักษาและหายขาดเนื่องจากระหว่างการรักษา เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ตอนนี้เขาเลยยังอยู่ในสภาพค่อนข้างอ่อนแออยู่พักหนึ่งแต่ต้องยอมรับว่า ร่างกายของสมาชิกตระกูลเฟิงแข็งแรงโดยกำเนิดพวกเขาสามารถฟื้นตัวในความเร็วที่เร็วมาก เห็นได้ชัดว่าเฟิงฮ่วนได้รับการรักษาและหายขาดหลังฉูนจวีน แต่ความเร็วในการฟื้นตัวของเฟิงฮ่วนนั้นเร็วกว่าฉูนจวีนไปหลายเท่าตอนนี้เขากระโดดและมีการเคลื่อนไหวตามปกติแล้ว และความอ่อนแอในก่อนหน้านี้หายไปแล้วด้วยคุณลักษณะของพลังวิเศษโดยกำเนิดของตระกูลจั๋ว แม้ว่าตระกูลจั๋วม
ดูเหมือนทุกคนในตำหนักใต้ดินเริ่มรู้สึกทำตัวไม่ถูกจั๋วซือหรานเหลือบมองเฟิงเหยียน นางพูดว่า " ท่านอ๋อง ไม่ถูกวางอาคมหนอนพิษกู่ เจ้าไปจากตำหนักใต้ดินและไปทำเรื่องอื่นได้ ไม่เป็นไร"แต่เฟิงเหยียนไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เขายังคงนั่งข้างกายนางเขาเหลือบมองนางแล้วพูดเบา ๆ “ยังไม่มืดเลย”คำพูดของเขาเข้าใจได้ง่าย ก็คือตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะต้องออกไปข้างนอกหลังจากจั๋วซือหรานได้ยินคำพูดนี้ นางเลิกคิ้วเล็กน้อย สำหรับคนที่ปากกับใจไม่ตรงกัน นางไม่อยากเปิดเผยเขาเพราะนางได้กลิ่นพลังเย็นที่ลูกปัดวิญญาณลึกลับบนร่างกายของเขาแล้วแสดงว่าเขามีวิธีรับมือแสงแดดแล้วแต่จั๋วซือหรานไม่ได้พูดอะไรนางไม่พูดอะไร และอยู่เงียบ ๆ ผู้อาวุโสเหล่านั้นรู้สึกไม่รู้ต้องทำอย่างไรดีเล็กน้อย พวกเขาจึงถามนาง " แม่นางจิ่ว ตอนนี้เราควรทำอะไรดี"เดิมทีจั๋วซือหรานยังนั่งอยู่ แต่ตอนนี้นางปรับท่าของนาง และนอนลงนางวางศีรษะบนขาของเฟิงเหยียน และค่อย ๆ หลับตาลงนางพูดเบา ๆ “ข้าจะนอนแล้ว พวกเจ้าอยากทำอะไร เชิญเลยเจ้าค่ะ ขอแค่อย่าเดินออกจากห้องนี้”เดิมทีเฟิงเหยียนคิดว่านางหลับตาและโกหกว่า นางอยากนอน เพราะนางไม่อยากพู
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน สีหน้าของผู้อาวุโสแข็งทื่อแต่พวกเขาไม่สามารถโต้เถียงกับคำพูดของเฟิงเหยียน ได้ และแม้แต่จะพูดตามคำพูดของเฟิงเหยียน พวกเขาไม่ทราบต้องพูดต่อย่างไรพวกเขาต่างทราบรายละเอียดที่พลังศักดิ์สิทธิ์ของตระกูลเฟิงถูกผนึกบนร่างกายของเฟิงเหยียนและนั่นเป็นการตัดสินใจของพวกเขาด้วยผู้อาวุโสอีกคนไม่อยากให้เฟิงเหยียนพูดถึงเรื่องนี้ต่อ เพราะในความเป็นจริงแล้ว เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องต้องห้ามในตระกูลเฟิง และเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดถึงผู้อาวุโสจึงเปลี่ยนเรื่อง เขาถามเฟิงเหยียน “ถ้าอย่างนั้น เราจะทำอย่างไรดี ให้แม่นางจั๋วจิ่ว... หลับเลยหรือ”“ใช่สิ ก็ไม่ทราบว่ามีวิธีใดที่สามารถทำให้นางมีพลังกลับมาเร็ว ๆ หน่อยไหม นางจะได้รักษาพวกเราให้เร็ว ๆ หน่อย”แม้ว่าผู้อาวุโสทุกคนจะเป็นผู้อาวุโสของตระกูลชนชั้นสูง และพวกเขาต่างก็ให้ความสนใจกับความสง่างามและความเคารพนับถือ สำหรับจั๋วซือหรานไม่สนใจอะไร และนอนต่อหน้าคนจำนวนมากเช่นนี้...พวกเขารู้สึกนางหยาบคายเล็กน้อยแต่พวกเขาต่างทราบดี นางทำเช่นนี้เพื่อให้ฟื้นตัวเร็วขึ้นดังนั้นพวกเขาจึงไม่พูดอะไร ด้วยสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน ตราบใดที่จั๋ว
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด