เพราะองค์หญิงเจาหมิ่นอุตส่าห์ติดกับดักนี้ เพื่อฉวยโอกาสที่ดีนี้มาเจรจากับตระกูลเฟิงกระมังจั๋วซือหรานคิดในใจ ในเมื่อนางทำลายแผนขององค์หญิงระหว่างครึ่งทางแล้ว อย่างไรก็ตาม นางต้องจัดกลที่ยิ่งใหญ่สักหน่อย จึงเหมาะกับกับดักนี้จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "ผู้อาวุโส สิ่งที่ข้าต้องการคือการเคารพ ความเกรงกลัวก็ได้ พูดตรง ๆ พวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับการที่ปฏิบัติต่อผู้อาวุโสขตระกูลเฟิง หรืออย่างน้อยพวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับที่พวกเจ้าปฏิบัติต่อเฟิงเหยียน "เฟิงเหยียนยังคงเงียบอยู่ข้าง ๆ และเขารู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสจ้องมองเขาเป็นครั้งคราวเหมือนพวกเขาหวังว่าเขาจะพูดอะไรสักอย่างเขาพูดอะไรได้บ้าง เขาไม่อยากพูดอะไรเลยก่อนหน้านี้เขาเคยมอบโอกาสให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาพลาดไปเองก่อนหน้านี้พวกเขายังด่าว่า คนของตระกูลจั๋วโง่ทั้งนั้น นับขยะเป็นสมบัติ แต่สมบัติที่แท้จริงนี้กลับถูกละทิ้งเหมือนทิ้งขยะตอนนี้ดูเหมือนว่าตระกูลแต่ละตระกูลโง่ทั้งนั้น ตระกูลเฟิงก็ไม่ได้ดีกว่าตระกูลอื่นนะผู้ที่ต้อยความสามารถมักจะครอบงำโลก ซึ่งเขาจนปัญญาเฟิงเหยียนไม่สนใจสายตาที่เต็บไปด้วยคำร้องขอความช่วยเหลือขอ
“อะไรนะ” ผู้อาวุโสตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เบิกตากว้างอย่างเห็นได้ชัด จากสีหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธบ้างเพราะเงื่อนไขของจั๋วซือหรานเขาอาจรู้สึกว่านางได้คืบจะเอาศอกและข่มขืนใจเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทุกคนรู้ดีว่าสัญญาจิตวิญญาณการพูดเป็นสัญญาที่มีข้อผูกมัดอย่างสูงหากเงื่อนไขที่จั๋วซือหรานเสนอมาเป็นเงื่อนไขใด ๆ ที่บอกถึงทุกรายละเอียด ให้พวกเขาทำสัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยพวกเขาสามารถได้ยินและยืนยันได้ว่าพวกเขาทำได้หรือไม่ และเงื่อนไขของนางสมเหตุสมผลไหมแต่สิ่งที่จั๋วซือหรานพูดเป็นเพียงสัญญาที่...ภาพลวงตาใครจะรู้ว่าวันหลัง นางอยากให้พวกเขาทำอะไรเมื่อถูกผูกมัดด้วยสัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดนี้ หากนางต้องการให้พวกเขาทำสิ่งที่ทรยศต่อตระกูลในภายหลัง พวกเขาต้องผูกมัดกับสัญญาและถูกนางควบคุมหรือยิ่งไม่ต้องพูดถึง......“เจ้าเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยฝึกฝนในลัทธิ นางจะมีโอกาสเรียนรู้สัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดได้อย่างไร อย่าบอกนะ เจ้าได้ยินจากผู้อื่น แล้วเอามาพูดเล่นกับพวกเรา…”จั๋วซือหรานแสดงฝ่ามือของนาง และมีสัญลักษณ์ที่ส่องแสงวาบอยู่บนฝ่ามือของนางแม้ว่าเหล่าผู้อาว
ขณะที่เขาพูดเช่นนี้ เขายังเหลือบมองคนสองคนที่กำลังคลานมา ซึ่งมีปฏิกิริยาผิดปกติเขากล่าวต่อว่า “ข้าไม่อยากเป็นแบบพวกเขา มันน่าเกลียดมาก ไม่สุภาพ ดูไม่ได้เลย”ความรังเกียจในดวงตาของเขานั้นมีอยู่จริง เหมือนเขาไม่คำนึงว่าจั๋วซือหรานเป็นคนนอก และผู้อาวุโสเหล่านี้เป็นคนของเขาเองผู้อาวุโสอีกหลายคนโกรธเขาอย่างเห็นได้ชัด“เฟิงฮ่วน เจ้าทำ…ได้อย่างไร”“เจ้าไม่ฉลาดจริง ๆ ”ผู้อาวุโสที่ชื่อเฟิงฮ่วนมองพวกเขา เขาพยักหน้าอย่างไม่จริงใจ "ใช่ ๆ พวกเจ้าฉลาด พวกเจ้าสู้ต่อเลย ข้าโง่ ข้าไม่รู้เรื่อง ข้าขอรับการรักษาก่อน"หลังจากเขาพูดอย่างนั้น เขาก็ยื่นมือออกไปตรงหน้า จั๋วซือหราน " แม่นางจิ่ว รีบหน่อย"จั๋วซือหรานไม่คาดคิดว่าจะมีผู้อาวุโสเช่นนี้ซ่อนอยู่ในท่ามกลางคนหัวโบราณของตระกูลเฟิงตอนนี้นางกลับมาคิด ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เมื่อผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ด่านางในก่อนหน้านี้ ดูเหมือนว่าผู้อาวุโส เฟิงฮ่วน ไม่เคยพูดเสริมอะไรเลยแม้ว่าเขาจะไม่ได้ช่วยนาง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าข้างพวกเขาเช่นกันเขาแค่ยืนอยู่ข้าง ๆ...และมองดูก่อนที่เขาจะเข้าใจสถานการณ์ เขาไม่แสดงความคิดเห็นและเข้าข้างฝ่ายใดฝ
ความแข็งแกร่งของระบบเส้นลมปราณของนางช่างน่าประหลาดใจจั๋วซือหรานยิ้ม "ไม่เป็นไร ข้ายังพอรักษาเจ้าได้"ดวงตาของเฟิงฮ่วนเป็นประกายดวงตาของผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็เบิกกว้างขึ้นทันทีโถ ไม่นะ อะไรนะ...นางหมายความว่าอย่างไรเป็นไปได้ไหมว่าหลังจากที่นางรักษาเฟิงฮ่วนแล้ว นางไม่มีแรงที่จะรักษาพวกเขาอีกต่อไปแล้วพอมาคิดในตอนนี้ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆก่อนหน้านี้เมื่อจั๋วจิ่วรักษาฉูนจวีน มันโหดร้ายมาก ปากและจมูกของนางมีเลือดไหลออกมา เหมือนนางกำลังจะตายในวินาทีถัดไปคงไม่ว่า...พวกเขาทั้งหมดมองไปที่ชายสองคนที่กลายพันธุ์ และหัวใจของพวกเขาก็รู้สึกเย็นชาเป็นไปได้ไหมที่ตัวเองจะกลายเป็นเช่นนั้นผู้คนได้มักจะรับผลกระทบจากจิตวิทยาจริง ๆ ยิ่งคิดเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่าพวกเขาเหลือเวลาไม่พอแล้วก่อนที่จะกลายพันธุ์พวกเขายิ่งรู้สึกว่าร่างกายเริ่มคันจากระบบเส้นลมปราณมากขึ้น พวกเขาไม่รู้ว่านี่เป็นภาพลวงตาหรือเปล่ายิ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกมากขึ้นเท่านั้นพวกเขาอดไม่ได้ที่ต้องจ้องมองที่เฟิงฮ่วน เป็นไปได้ไหมที่เฟิงฮ่วนผู้นี้รู้ล่วงหน้าแล้วนั่นเป็นเห
“ใช่ขอรับ ใช่ขอรับ แม่นางจิ่ว มีวิธีอื่นอีกไหม”“ก่อนหน้านี้ พวกเราพูดจาหยาบคายเกินไป นั่นเป็นความผิดของเรา แม่นางจิ่ว ได้โปรดอย่าคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเราเลย”“เจ้าเป็นคนเก่ง เจ้าต้องมีวิธีอื่นกระมัง”จั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้น นางมองพวกเขา และนางเลิกคิ้วแล้วพูดด้วยรอยยิ้มจาง ๆ "จั๋วจิ่วไม่เก่งพอ ข้ารักษาได้แค่วันละสองคน หลัก ๆ เป็นเพราะตอนนี้ข้ายังไม่รู้จักอาคมหนอนพิษกู่นี้ ข้าจึงรักษายาก"ขนาดที่นางพูด นางมองลูกหลานของตระกูลเฟิงสองสามคนที่ถูกนางยิงที่ศีรษะ "หากให้ข้าศึกษาดี ๆ บางทีอาจมีวิธีรักษาที่ดีกว่านี้อีก แต่ข้าไม่ควรปล่อยให้ผู้อาวุโสเหล่านี้กลายเป็นเช่นนั้น ให้พวกเขารอข้าด้วยสภาพนั้นสิ อีกอย่าง ตอนนี้ข้ายังไม่แน่ใจว่า หากกลายเป็นเช่นนั้นแล้ว ค่อยรักษาพวกเขา จะมีผลกระทบต่อการฝึกฝนของพวกเขาหรือไม่"เมื่อก่อนพวกเขาแค่คิดว่ามันน่าอายเกินไปที่ต้องมีสภาพนั้นแต่เมื่อพวกเขาได้ยินคำพูดของจั๋วซือหรานในตอนนี้ นางบอกว่าอาจส่งผลกระทบต่อทักษะการฝึกฝนของพวกเขาพวกเขาไม่สนใจความไร้ยางอายอะไรอีกเลย" แม่นางจิ่ว โปรดคิดหาวิธีแก้ปัญหา"“ใช่สิ ใช่สิ แม่นางจิ่ว โปรดคิดหาทางแก้ปัญหาหน่อยเถิด เร
หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน ทุกคนทราบทันทีอาคมหนอนพิษกู่มีแม่ของพิษกู่สีหน้าของพวกเขาแย่ลงเล็กน้อย พวกเขาพากันมองไปที่ศพที่ไร้ชีวิตทั้งสี่ศพ“เจ้ากำลังบอกว่าหากมีคนคิดวิธีการอันเลวร้ายเช่นนี้เพื่อกำหนดเป้าหมายไปยังตระกูลเฟิงของเรา เฟิงช่าน เฟิงจู้ และพวกเขาทั้งสี่คนนั้นคือแม่กู่”เฟิงเซินพูดอเช่นนี้ น้ำเสียงของเขาดูเคร่งขรึมอย่างมาก ใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมเช่นกันจั๋วซือหรานพยักหน้าเล็กน้อย "ประมาณเช่นนี้"ผู้อาวุโสเฟิงเซินส่ายหัว “ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ทำไม หากมีคนต้องการทำร้ายตระกูลเฟิงจริง ๆ ทำไมล่ะ สำนักงานใหญ่ของตระกูลเฟิงมีสมาชิกมากมาย แต่ทำไมต้องเป็นเฟิงช่าน เฟิงจู๋และศิษย์อื่น ๆ ที่ฝึกฝนในลัทธิไม่ได้กลับมาบ่อย ๆ…”“ใครจะรู้ เพราะพวกเขาแวะกลับบ้านพอดีกระมัง” จั๋วซือหรานยักไหล่ โดยบอกว่านางไม่ทราบสาเหตุหลัก นางให้เหตุผลแบบขอไปทีแต่เฟิงเซินและผู้อาวุโสคนอื่น ๆ รู้สึกนางพูดมีเหตุสม เพราะเฟิงช่าน เฟิงจู และคนอื่น ๆ ต้องเดินทางจากที่อื่นกลับมาอยู่เมืองหลวงอยู่ดีจั๋วซือหรานกล่าวว่า "อีกอย่าง เพราะพวกเขาเก่ง อีกฝ่ายจึงอาจรู้ว่าเพราะพวกเขาเก่ง พวกเจ้าจะไม่สามารถเพิกเฉยต่อเด
จู่ ๆ ตระกูลเฟิงของพวกเขาต้องสูญเสียพรสวรรค์ไปสี่คน และในสายตาของผู้ที่ลอบสังหารพวกเขานี่เป็นเพียง...อะไรนะ การสูญเสียหายที่ไม่สำคัญหรือยิ่งไปกว่านั้น เมื่อผู้อาวุโสของตระกูลเฟิงได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน พวกเขาก็สงสัยจั๋วซือหรานเป็นคนแรกเพราะตอนนี้ในสายตาของพวกเขา พวกเขาเป็นหนี้บุญคุณของจั๋วซือหราน และติดความโปรดปรานของจั๋วซือหรานด้วยใครจะรู้ว่านี่คือแผนใหญ่ของจั๋วซือหรานหรือไม่แน่นอนว่า จั๋วซือหรานสามารถสังเกตเห็นความสงสัยในดวงตาของพวกเขาได้ แต่นางก็ไม่สนใจนางแค่พูดว่า "ข้ารู้ว่าข้าน่าสงสัยมาก แต่..."จั๋วซือหรานมองไปที่พวกเขา "ตอนนี้ข้าอยู่ภายใต้สายตาของพวกเจ้าไม่ใช่หรือ"เฟิงฮ่วนคิดอยู่ครู่หนึ่ง "แม่นางจิ่วพูด...สมเหตุสมผล"จั๋วซือหรานกล่าวว่า "สรุปก็คือ พวกเจ้าปิดประตู อย่าออกไปข้างนอก แล้วกระจายข่าวไปยังโลกภายนอก โดยบอกว่าสมาชิกในตระกูลเฟิงกำลังเป็นโรคแปลก ๆ ข้าเชื่อว่าคนที่อยากให้พวกเจ้าติดหนี้ความโปรดปรานของนั้น จะปรากฏตัวในเร็ว ๆ นี้แน่ ๆ "หลังจากพูดจบ จั๋วซือหรานจึงส่งพลังวิเศษเข้าไปใน ระบบเส้นลมปราณของเฟิงฮ่วนทันใดนี้ผู้อาวุโสหนุ่มคนนี้พูดไม่ออกสักคำ เขาไม่มี
ตอนแรกคนรับใช้สองคนนี้ไม่ค่อยเข้าใจคำพูดเจาหมิ่นองค์หญิงเจาหมิ่นกล่าวต่อว่า "หากจั๋วจิ่วช่วยพวกเขา พวกเขาจะทราบพิษกู่ไหม นอกจากแม่กู่นั้นอันตรายกว่า อาคมหนอนพิษกู่ที่แม่กู่นั้นแพร่กระจายนั้นรับมือยากเฉย ๆ แต่ก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น สำหรับตระกูล เฟิง นั่นไม่ใช่สารพิษร้ายหรอก"“ด้วยความสามารถและความฉลาดของจั๋วจิ่ว นางต้องเดาได้อย่างรวดเร็วว่าคนที่วางยาพิษจะต้องการทำเช่นนี้ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์จากตระกูลเฟิง บางทีนางอาจจะให้ตระกูลเฟิงรอข้าไปปรากฏตัวเอง มันเป็นกับดัก ตราบใดที่ข้าไม่ปรากฏตัว จั๋วจิ่ว นางต้องเป็นแพะรับบาป"หลังจากได้ยินคำพูดขององค์หญิงเจาหมิ่น คนรับใช้หญิงสองคนนั้นจึงตระหนักได้ทันทีมีคนหนึ่งกล่าวว่า "ท่านนักปราชญ์หญิงของช่างฉลาดเหลือเกิน"อีกคนยังคงกังวลเล็กน้อย “แต่หากจั๋วจิ่วไม่แตะต้องแม่กู่เหล่านั้นเลยล่ะเพคะ”เจาหมิ่นหัวเราะเยาะหลังจากได้ยินคำพูดนี้“นางไม่แตะต้องแม่กู่เหล่านั้น นางอยากหาวิธีถอนพิษกู่ไหม นางทำไม่ได้ นั่นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แม้ว่านางคือจั๋วจิ่วก็ตาม แต่การถอนพิษกู่ไหมนั้นเป็นเรื่องที่ทำได้ยากมาก"เจาหมิ่นพูดและมองไปที่คนรับใช้หญิงสองคนนั้น "แม้ว
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน
สายตาฮั่วจือโจวมองจั๋วซือหรานอย่างลึกซึ้งตระกูลขุนนางเหล่านี้ล้วนเป็นแบบเดียวกัน จั๋วซือหรานเองก็เดินออกมาจากตระกูลขุนนาง ดังนั้นจึงเข้าใจเป็นอย่างดีต่อให้ทุกคนจะเป็นลูกหลานในตระกูลเหมือนกัน และก็จะมีพวกลูกหลานที่ได้รับการปฏิบัติกับให้ความสำคัญมากกว่า และก็จะมีลูกหลานที่ถูกมองข้ามหรือเมินเฉยแต่นี่ก็จะขึ้นอยู่กับฝีมือของรุ่นพ่อและฝีมือของตนเองดูจากจั๋วซือหรานแล้วมองออกไม่ยาก กระทั่งฝีมือของรุ่นพ่อก็ยังไม่แน่ว่าจะสำคัญ เพราะพ่อของนางนั้นไม่อยู่มานานแล้วมีเพียงฝีมือของตนเองที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุดดังนั้นในฐานะที่เป็นลูกหลานในตระกูล หากคิดจะได้รับการให้ความสำคัญของตระกูล อย่างน้อยก็ต้องทำผลงานออกมาให้ได้สถานการณ์ของฮั่วจือโจวตอนนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนี้เขามีฝีมืออยู่บ้าง และมีอุดมการณ์ของตนเองด้วยเช่นกัน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จะตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามไม่ได้เพราะในตระกูลเช่นนี้ คนมากมายล้วนเป็นแบบเดียวกัน โอกาสอาจจะมีแค่ครั้งเดียว ถ้าทำผลงานไม่ได้ หลังจากนี้ทรัพยายากรก็อาจจะไม่เอนมาทางเขาอีกแล้วจุดนี้ จั๋วซือหรานไม่ลังเลที่จะพูดออกมาสายตาฮั่วจือโจวหยุดอยู่ที่แ
จั๋วซือหรานยิ้มๆ “ก็ต้องตั้งแต่ตอนที่เจ้าตามพวกเราเข้ามาแล้วน่ะสิ”ฮั่วจือโจวลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้ามาทางนี้ นั่งลงข้างโต๊ะพวกเขา“เมื่อครู่แผนของแม่นางจิ่ว ข้าได้ยินแล้ว” ฮั่วจือโจวเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกมาตรงๆเขาพูดประโยคนี้ออกมา ก็หวังว่าจั๋วซือหรานจะไม่ต้องมาเสียเวลาคิดมากในเรื่องนี้แล้วแต่ฮั่วจือโจวคิดไม่ถึงว่าจั๋วซือหรานจะพูดว่า “ข้าจงใจพูดออกมาให้เจ้าได้ยิน”สีหน้าฮั่วจือโจวตกตะลึงไปทันที “อะไรนะ?”จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายสามฮั่วฟังแผนการของข้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?”“ไม่เลว” ฮั่วจือโจวตอบ “มิน่าสี่ตระกูลที่เหลือจึงมองเจ้าเป็นหนามยอกอก”รอยยิ้มบนหน้าจั๋วยังไม่จางหาย “ถ้าข้าไม่จงใจพูดให้เจ้าได้ยิน แล้วจะกล่อมให้เจ้ามาร่วมมือได้อย่างไรกัน?”“ร่วมมือ?” ฮั่วจือโจวตกตะลึงจั๋วซือหรานตอบ “อืม ข้าไม่มีเจตนาจะทำให้ตระกูลฮั่วต้องลำบากใจ ถ้าแค่ตระกูลฮั่วไม่ทำให้ข้าลำบากใจน่ะนะ แต่ข้าเองก็เข้าใจ บุ่มบ่ามไปแย่งธุรกิจของคนอื่น ดูแล้วยังไงก็ไม่เหมาะสม และยังเป็นในสถานการณ์ที่ข้ามั่นใจว่าข้าคว้ามันมาได้ด้วย”ฟังคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ฮั่วจือโจวก็หัวเราะขึ้นมา เขาก
“ทำให้มันคึกคักขึ้น?” เฟิงหร่านตาเป็นประกาย ความชื่นชมต่อตัวจั๋วซือหรานของนางไม่ได้แค่นิดหน่อยแล้วตอนนี้มองจั๋วซือหรานด้วยตาเป็นประกาย “พี่หญิงจั๋ว จะทำให้มันคึกคักขึ้นได้อย่างไรหรือ?”จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “วิธีการมีอยู่เยอะเลยทีเดียว ก็ให้เจ้าไปแสดงพ่นไฟ เฮยหลิงไปแสดงหน้าอกทลายหินอะไรแบบนั้น หรือไม่ข้าก็ให้พวกแมลงไปแสดงละครหุ่นกระบอก? ต้องสนุกคึกคักแน่ๆ...”“พ่น พ่น...พ่นไฟ??” ในสายตาเฟิงหร่านเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อก็จริง สำหรับนางที่เป็นคุณหนูลูกขุนนางเช่นนี้ทุกการกระทำทั้งหมดของจั๋วซือหราน กระทั่งแค่ลมหายใจของนาง ก็ดูจะผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ ในตระกูลขุนนางเหล่านั้น “พ่นไฟเป็นไหม? ถ้าไม่เป็นเดี๋ยวไว้ข้าหาเวลาสอนเจ้า” จั๋วซือหรานวางตะเกียบลง “สรุปคือ ถ้าถึงเวลาต้องเปิดกิจการ ก็หาการแสดงอะไรมา จากนั้นพอเปิดร้านก็เตรียมการให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะหลังจากที่กินอาหารเสร็จ ก็มอบอาหารเพิ่มให้อีกหนึ่งจานแบบไม่ต้องจ่ายเงินอะไรแบบนี้”“ประชาชนกินเพื่ออยู่ ขอแค่ของอร่อย ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีใครมาอีกหรือ” จั๋วซือหรานคิดคิด เอ่ยต่อว่า “ไหนจะเรื่องที่อาหารของที่นี่รสชาติแย่แค่ไหน น่าจะไ
จั๋วซือหรานตอบ “เดี๋ยวเจ้าลองชิมก็รู้แล้ว...”ผ่านไปครู่หนึ่ง อาหารก็ส่งขึ้นมา หน้าตาแย่เอามากๆเจี่ยงเทียนซิงจึงเพิ่งได้ยินประโยคหลังของจั๋วซือหราน “...ไม่ใช่ห่วยแตกแบบธรรมดาด้วย”เจี่ยงเทียนซิง “...”เฟิงหร่าน “...”ฝูซู “...”เฮยหลิง “...”ทุกคนทยอยกันพูดไม่ออกจั๋วซือหรานหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบคำหนึ่งส่งเข้าปาก หลังจากเคี้ยวไปสองคำ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “พวกเจ้าลองชิมสิ ห่วยแตกแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”เฮยหลิงยังพอไหว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตยากลำบากมาแล้ว ขยับตะเกียบ หลังจากกินคำแรกไปเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเขาเหมือนจะโกรธขึ้นแล้วเฟิงหร่านเองพอเห็นสถานการณ์ จึงวางตะเกียบลงเงียบๆเจี่ยงเทียนซิงถาม “เจ้าหิวแล้ว แต่จงใจมายังร้านอาหารที่รสชาติแย่หรือ?”จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ลองชิมดูก่อน แบบนี้ภายหลังจะได้มีความแตกต่าง”เจี่ยงเทียนซิงก็เชื่อฟังคำพูดของนาง คีบขึ้นมาพอส่งเข้าปาก จึงเพิ่งมีปฏิกิริยากับคำพูดของจั๋วซือหราน “...ภายหลัง?”ตอนนี้เอง อะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก ในที่สุดก็ทำเอาประสามรับรสของเขาถูกปะทะอย่างรุนแรง“ถุด” เจี่ยงเทียนซิงพ่นอาหารในปากออกมา รู้สึกว่าคำวิจารณ์ก่อน
พอได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จั๋วซือหรานก็เลิกคิ้ว “นั่นก็จริงอยู่”เจี่ยงเทียนซิงถามขึ้น “บาดแผลของเจ้าไม่เป็นไรหรือ?”“ถ้าเจ้าถามช้าอีกหน่อย มันก็หายสนิทแล้ว” จั๋วซือหรานมองตำแหน่งบาดแผลเหล่านั้นบนร่างกายตนเองผาดหนึ่ง“ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงบาดแผลในการประลองเมื่อครู่ แต่เป็นของเมื่อคืนนี้” เจี่ยงเทียนซิงบอกมาเฟิงหร่านอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จึงรีบกำชับขึ้นมาว่า “จริงด้วย พี่หญิงจั๋ว ท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือ? ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านเข้าไปในศาลบรรพบุรุษเมื่อคืนนี้แล้ว นั่นมันอันตรายมากเลย! ท่านไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม?”จั๋วซือหรานเหลือบมองแม่นางคนนี้ “พี่ชายของเจ้า กลับบ้านไปแล้วหรือยัง?”เฟิงหร่านตกตะลึง จากนั้นจึงพยักหน้า “กลับมาแล้ว”“เช่นนั้นเขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ?” จั๋วซือหรานถามขึ้นมาอีกเฟิงหร่านถอนหายใจอีกครั้ง “อารมณ์ของพี่ชายเหมือนไม่ค่อยดีนัก หลังจากกลับมา ผู้อาวุโสหลายคนที่อยากไปคุยกับเขา ก็ล้วนถูกไล่ออกมาหมด ข้าเองก็ไม่กล้าเข้าไปวุ่นวาย”นางมองจั๋วซือหรานตาแป๋ว “พี่หญิงจั๋ว เป็นเพราะท่านหรือเปล่า?”“หือ?” จั๋วซือหรานส่งเสียงสงสัยขึ้นมาเฟิงหร่านถามขึ้น
“ไม่มีเคล็ดวิชาอะไร กระทั่งไม่มีถุงเก็บสัตว์ด้วยซ้ำ แต่กลับเก็บแมงมุมหน้าผีระดับราชาลงไปได้ในชั่วพริบตา” ซางเชวี่ยเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ตอนที่นางอัญเชิญราชาแมงมุมหน้าผีออกมา พวกเราถูกทำให้เข้าใจผิดจนคิดว่าอีกฝ่ายอัญเชิญออกมา คู่มือของนางคนนั้น แม้ความเร็วในการอัญเชิญจะเร็ว แต่ก็ยังต้องมีเคล็ดวิชาอะไรอยู่”“ตอนนั้นถูกเบนความสนใจจนไม่ทันสังเกต ตอนนี้กลับมองเห็นชัดเจนแล้ว ไม่แน่ว่าตอนที่นางอัญเชิญมาก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีเคล็ดวิชาอะไรในการเก็บหรือเรียก” คนตระกูลซางที่ถูกจั๋วซือหรานแย่งราชาแมงมุมหน้าผีไปคนนั้นเอ่ยขึ้นเสียงขรึมเขาจู่ๆ ก็รู้สึกโชค ที่ตอนไปจัดการราชาแมงมุมหน้าผีในป่าลึกลับตอนนั้น ตนเองไม่ได้เผชิญหน้ากับจั๋วซือหรานเหมือนคนพวกนั้นตอนนั้นเขายังรู้สึกว่า ราชาแมงมุมหน้าผีถูกแย่งไปเพราะโชคดีที่ไม่ได้มาเจอกับเขา ดังนั้นจึงแย่งไปได้อย่างราบรื่นแต่พอเห็นตรงนี้ ในใจเขาก็แอบรู้สึกโชคดี ยังดีที่ตนเองโชคดี! ไม่ได้ไปเจอเข้ากับจั๋วซือหรานในตอนนั้น! ไม่เช่นนั้น เขาคงได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ในป่าลึกลับเหมือนคนอื่นๆ พวกนั้นแน่!และบนเวทีประลองตอนนี้ หลังจากจั๋วซือหรานเก็บราชาหน้
เปรี๊ยะ...! ตอนที่เสียงนี้ดังขึ้น แจ่มชัดอย่างมากต่อให้ในสถานที่ที่สับสนวุ่นวายอย่างในลานประลอง ก็ยังแจ่มชัดอย่างมาก!ทุกคนล้วนมีปฏิกิริยากันขึ้นว่ามาต้นเสียงมาจากไหนแต่เพียงไม่นาน ก็มีคนพบขึ้นแล้ว“ดู...ดูสิ! ให้ตายเถอะ...เว เวที แตก...แตกออกแล้ว!”ภายใต้การจับตามองของทุกคน ด้านใต้ร่างกายของซางถิง แตกออกมาเป็นรอยแยกรอยหนึ่ง!“นั่น...นั่นไม่ใช่เวทีที่ทำจากหินต้องห้ามหรือ? ทำ ทำไมถึง...แตกล่ะ?”ระดับความแข็งของหินต้องห้ามแค่จินตนาการก็รู้แล้ว ไหนจะคุณสมบัติพิเศษของหินต้องห้ามที่สามารถสะกดพลังวิญญาณของมนุษย์ได้ถ้าหากไม่สามารถใช้พลังวิญญาณ แล้วคิดจะสร้างรอยแตกแก่หินต้องห้าม นั่นมันฝันกลางวันชัดๆทว่าตอนนี้ กลับมีคนทำได้แล้วก็คือคนที่เดิมทีถูกทุกคนดูถูกบนเวทีประลอง ถูกทุกคนเข้าใจว่าสู้หลอกๆ เข้าใจว่านางไม่มีฝีมือการต่อสู้...คนที่เป็นแค่หญิงสาวในสายตาของทุกคนคนนั้นจัดการหั่น...เวทีประลองที่ทำจากหินต้องห้ามนี้จนแตกหลังจากที่ทุกคนตระหนักขึ้นได้ ทั่วทั้งลานก็เงียบลงมาทันทีจั๋วซือหรานมองไปทางอินเจ๋ออัน อินเจ๋ออันก็สีหน้าปั้นยากขึ้นมา กระทั่งประกาศแพ้ชนะก็ยังลืมทำ ยืนแข็งทื
เพราะบนเวทีประลอง ไม่ค่อยจะมีความยอดเยี่ยมที่พิเศษนัก หรือก็คือ การต่อสู้ที่งดงามยอดเยี่ยม คนที่เก่งกาจจริงๆ ใครก็ไม่อยากจะมาเสียเวลาบนเวทีประลองระดับต่ำๆ เช่นนี้ปกติจึงมีแต่การต่อสู้ที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนัก และเพราะเหตุนี้ ทุกคนจึงอยากจะลองเดิมพันกัน อยากจะเห็นการต่อสู้ที่เลือดสาดยิ่งขึ้น เพราะมันต้องมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดสายตาแต่ตอนนี้ การต่อสู้บนเวที ไม่จำเป็นต้องเลือดสาด แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมเพียงพอแล้วยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็มองออก!สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเคยเจอมาก่อนเพียงไม่นาน ก็มีคนมีปฏิกิริยาขึ้นมา“ไม่ใช่เหมือนกับตอนยกแรกหรือ? แค่พลิกกลับมาเท่านั้น”“จริงด้วย! ตอนยกแรก เป็นหญิงสาวถูกอีกฝ่ายใช้แส้ไล่ฟาดบีบจนเข้าไปในระยะโจมตีของสัตว์ประหลาด!”“แต่ว่าตอนนี้เหมือนนางมาไล่บี้ชายคนนี้ไปในระยะของสัตว์ประหลาด...?”“ไม่ ไม่ใช่ นางบีบชายคนนี้ ตรงไปยังจุดโจมตีถัดไปของนาง!”“พอพูดเช่นนี้ ตอนยกแรกคงไม่ใช่ว่านางยอมให้คนอื่นชนะหรอกใช่ไหม...?”จั๋วซือหรานได้ยินเสียงเหล่านี้ หางตายกโค้งนางคิดจะให้ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ พอเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีใครรู้สึกว่านางไม่มีฝีมือ เอาชนะมาได้เพราะอีกฝ