ดังนั้นสีหน้าของฉูนจวีนค่อย ๆ กลับมาเป็นปกติ และสิ่งที่ตรงกันข้ามอย่างเห็นได้ชัดคือใบหน้าของจั๋วซือหราน เริ่มซีดลงเรื่อย ๆเพราะฉูนจวีนฟื้นสติแล้ว บัดนี้เขามองจั๋วซือหรานด้วยการขอโทษ“แม่นางจิ่วยังไหวอยู่ไหมขอรับ” ฉูนจวีนมองสีหน้าของ จั๋วซือหราน “สีหน้าของแม่นางแย่มากขอรับ”"...อืม" จั๋วซือหรานตอบเสียงหนึ่ง และตอบแค่นี้ เลือดก็ไหลออกจากปากของนาง“ แม่นางจิ่ว” ฉูนจวีนตะโกนเฟิงเหยียนมีการเคลื่อนไหวและปฏิกิริยาอย่างว่องไว เขากอดไหล่ของจั๋วซือหรานอย่างรวดเร็วน้ำเสียงของเขามีความกังวลมากขึ้นเล็กน้อย " เสียวจิ่ว"เขาโอบแขนของนางไว้รอบไหล่ เขาอยากพานางไปพักผ่อนที่ข้าง ๆเพราะนางมีเลือดไหลออกจากปากและจมูกแล้วแต่นางยังคงจับข้อมือของฉูนจวีนไว้แน่น นางเม้มริมฝีปากแล้วส่ายหัวและบอกเฟิงเหยียน“หาก... เราหยุดตอนนี้ ความพยายามก่อนหน้านี้ทั้งหมด... ก็จะไร้ผล” เสียงและลมหายใจของจั๋วซือหรานไม่คล่องเล็กน้อย เหมือนมีเลือดไหลออกมาจากลำคอของนางแต่เฟิงเหยียนเห็นนางยังเม้มริมฝีปากและพยายามทนไว้ใบหน้าที่มีเลือดไหลออกสะท้อนเข้าไปในดวงตาของเขา และมีแสงวาบวับในดวงตาของเขาสุดท้ายเขาไม่อุ้มนางไปท
เมื่อได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานก็เริ่มเกิดความสนใจเล็กน้อยแต่ก่อนที่นางจะถามเฟิงเหยียนอย่างละเอียด นางก็ได้ยินเสียงที่น่ารำคาญดังมาจากด้านข้าง“เจ้าว่าเช่นนั้น จะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ หรือ จั๋วจิ่ว เจ้าจะโน้มน้าวให้คนอื่นเชื่อคำพูดของเจ้าได้อย่างไร”“ใครจะรู้ล่ะ เมื่อครู่นี้คนรับใช้คนนี้กำลังช่วยเจ้าโกงพวกเราหรือไม่ หรือเจ้าอาจใช้ยาพิษอันเจ็บปวดกับเขาแล้วจึงล้างพิษให้เขา ทำให้ดูเหมือนว่าเจ้าถอนอาคมหนอนพิษกู่ให้เขา”“หากเป็นไปตามที่เจ้าพูดจริง ๆ อาคมหนอนพิษกู่อันร้ายแรงเช่นนี้ ขนาดคนรับใช้คนนี้ยังติดเชื้อได้ ทำไมเราติดเชื้อล่ะ ทำไมเฟิงเหยียนไม่ติดเชื้อ แล้วทำไมเจ้าไม่ติดเชื้อด้วยล่ะ”“ในเมื่อเจ้าบอกว่าเป็นอาคมหนอนพิษกู่ เจ้ามีหลักฐานไหม เจ้าต้องมีหลักฐานมาอธิบายด้วยใช่ไหม ในงานแต่งระหว่างเจ้ากกับชายคนนั้นที่ไม่ได้เรื่องนั้น เจ้าอ้างว่าเจ้าถูกวางเสน่ห์หนอนพิษกู่ อย่างน้อยชายที่ไม่ได้เรื่องนั้นนั้นมีกล่องหนอนกู่อยู่เลย ตอนนี้เจ้าไม่พกกล่องอะไรเลย”จั๋วซือหรานเหลือบมองพวกเขา จริง ๆ แล้วนางทราบดี ประเภทนี้จะไม่หลั่งน้ำตาจนกว่าจะเห็นโลงศพอาจดูแข็งแกร่ง แต่จริงๆ แล้วเปราะบาง
ขณะที่พวกเขารู้สึกสับสน พวกเขาเริ่มปลอบใจตัวเองบางทีจั๋วจิ่วคนนี้อาจขายยาปลอมเพื่อหลอกลวงผู้คน ใช่สิ หากเรื่องเป็นไปตามที่นางพูด หากถูกกัดและติดเชื้ออย่างที่นางพูด พวกเขาติดเชื้อนานกว่าฉูนจวีนทำไมไม่เห็นพวกเขาเป็นอะไรเลยนางกำลังเล่นกลแน่ ๆ เลย...จั๋วซือหรานมองสีหน้าอันสับสนบนใบหน้าของผู้อาวุโสเหล่านั้น นางรู้ดีว่าพวกเขายังคงสงสัยอยู่แต่นางไม่สนใจจั๋วซือหรานถึงกับนั่งลงและโบกมือเรียกเฟิงเหยียน " ท่านอ๋องมานี่สิ"เฟิงเหยียนเดินมา และนั่งข้างกายนาง เขาเหลือบนางแล้วถามว่า "เป็นอะไร เจ้าไม่สบายตัวหรือ ข้าจะพาเจ้าออกไป"เฟิงเหยียนพูดและมองไปที่ฉูนจวีน "เดินไหวไหม"ฉูนจวีนทราบดี เจ้านายของเขาคงต้องการป้องกันไม่ให้ แม่นางจิ่วฟังคำด่าเหล่านั้น ดังนั้นแม้ว่าฉูนจวีนยังรู้สึกว่าเขายังคงเดินไม่ไหว แต่เขาก็ยังพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม "ต่อให้ข้าต้องคลานออกไป ข้าก็จะคลานออกไปให้ได้"“ไปกันเถิด” เฟิงเหยียนพูดเบา ๆ “แล้วให้คนมาปิดผนึกห้องใต้ดินเลย”“ เหยียนเอ๋อร์”"ไร้สาระ""ปล่อยเราก่อน"ผู้อาวุโสหลายคนที่ตื่นอยู่พูดกันทีละคนพวกเขาแค่มองดูผู้มีความสามารถที่ดีที่สุดของตระกูลตัวเองและ
ผู้อาวุโสหลายคนถูกมัดอยู่ที่นั่น และพวกเขาก็มองไปที่ จั๋วซือหราน บัดนี้นางกำลังนั่งอยู่ที่นั่น นางจับคางของตัวเองและยิ้มจาง ๆ ด้วยอารมณ์อย่างดีดูเหมือรคนที่มีเลือดไหลออกจากปากและจมูกในก่อนหน้านี้ไม่ใช่นางเลยไม่มีผู้อาวุโสคนใดสามารถหัวเราะได้ พวกเขาเคร่งขรึมและวิตกกังวลเพราะพวกเขาทั้งหมดถูกเฟิงเหยียนมัดอยู่ด้วยกัน แม้ว่าเขาไม่ได้ใช้เชือกเดียวกันมามัดพวกเขา แต่ตำแหน่งของพวกเขาก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนั่นหมายความว่า พวกเขา... อยู่ใกล้มากกับคนสองคนที่มีอาการการโจมตีผู้อื่นแล้วพวกเขาอยู่ใกล้กับสัตว์ประหลาดสองคนนั้นอย่างมากมาก สัตว์ประหลาดสองคนนั้นกำลังคลานอยู่บนพื้นเหมือนสัตว์เลื้อยคลาน ดูเหมือนพวกเขาจะสามารถคลานมาหาพวกเขาในไม่ช้าความรู้สึกเร่งด่วนนี้ช่างน่ากลัวแม้ว่าพวกเขาเคยประสบกับการโจมตีจากพวกเฟิงช่านและเฟิงจู้มาก่อน พวกเขาเคยประสบเรื่องเช่นนี้มาก่อนก็ตาม แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาเห็นผู้อสวุโสสองคนที่กลายพันธุ์กำลังกำลังทำท่ากัดและคลานเข้าหาพวกเขาบวกกับความรู้สึกที่ว่าพวกเขาอาจจะกลายเป็นเช่นนั้นเช่นกัน ซึ่งเป็นความเร่งด่วนและความกดดันสองเท่าจั๋วซือหรานรู้สึกนางสามารถพูดคุยก
พวกเขาหวังว่าเฟิงเหยียนจะช่วยชักชวนจั๋วจิ่ว ให้จั๋วจิ่ว เห็นแก่หน้าของพวกเขาหน่อยแต่เห็นได้ชัดว่าด้วยนิสัยของเฟิงเหยียน เขาไม่มีความตั้งใจที่จะร่วมมือกับพวกเขาตอนนี้พวกเขาทราบทัศนคติของเฟิงเหยียนอย่างชัดเจนจากคำพูดของเขาพวกเขาจึงทำได้เพียงมองจั๋วซือหรานด้วยสีหน้าแข็งทื่อเท่านั้นจั๋วซือหรานยังคงอยู่ที่เดิม นางนั่งอยู่ที่นั่นในท่าที่ค่อนข้างสบาย นางมีสีหน้าอย่างดี พวกเขามองออก นางกำลังอารมณ์ดีนางไม่รีบร้อนเลย ก่อนหน้านี้ นางทำท่านเช่นนี้เหมือนกัน นางปล่อยให้พวกเขาคุยกับเฟิงเหยียนใช่สิ ทำไมนางต้องรีบร้อนล่ะ นางไม่ใช่ผู้ที่ต้องกลายพันธุ์สักหน่อย..."จั๋ว จั๋วจิ่ว... " ผู้อาวุโสคนหนึ่งกลัวผู้อาวุโสที่กลายพันธุ์สองคนนั้นมากเกินไปพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่กลัวถูกสองคนนั้นทำร้าย แต่เขากลัวตัวจะเป็นเหมือนพวกเขาจั๋วซือหรานสามารถเข้าใจจุดนี้อย่างดีในสายตาของหลาย ๆ คน แม้ว่าความตายจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่ากลัวที่สุด การดำรงชีวิตแบบตายทั้งเป็น และการที่เสียชีวิตอย่างไม่เป็นสุขนั้นทำให้ผู้คนหวาดกลัวมากกว่าจั๋วซือหรานไม่ได้พูดอะไร แต่นางยังคงมีรอยยิ้มจาง ๆ บนริมฝีปากข
ทันทีที่พวกเขาได้ยินว่ามาคุยเงื่อนไขด้วยกัน ผู้อาวุโสก็รู้สึกโล่งใจมาก การที่มีโอกาสเจรจานั่นเป็นเรื่องที่ดี ตราบใดที่พวกเขายังสามารถเจรจาได้ แสดงว่าพวกเขายังมีโอกาสรอดชีวิตผู้อาวุโสคนนี้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาถาม"เจ้ามีเงื่อนไขอะไรบ้าง"จั๋วซือหรานชูสองนิ้วแล้วพูดว่า "เงื่อนไขสองประการ ก่อนอื่น ต่อจากนี้ไป ข้าจะต้องได้รับการเคารพมากพอในตระกูลเฟิง"ผู้อาวุโสขมวดคิ้วและพูดว่า "เจ้าไม่เคยถูกดูหมิ่นใน ตระกูลเฟิงเลย"สำหรับความสัมพันธ์ระหว่างนางกับเฟิงเหยียน แม้ว่าจริง ๆ แล้ว ตระกูลเฟิงไม่เห็นชอบมากนัก พวกเขาไม่อยากให้ผู้หญิงที่เคยเหยียบย่ำชื่อเสียงของตระกูลเฟิง อีกครั้งมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลเฟิงอีกครั้งแต่พวกเขาปฏิเสธไม่ได้ เพราะจั๋วจิ่วผู้นี้มีความสามารถมากจนพวกเขาต้องยอมรับนางดังนั้นพวกเขาจึงยอมทำตามเฟิงเหยียน นางกับเฟิงเหยียนกลับมาหมั้นกันอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้จัดพิธีหมั้นอย่างเป็นทางการแต่จริง ๆ แล้วพิธีหมั้นเป็นเพียงพิธีที่ขอไปทีเท่านั้น พวกเขาถือเป็นคู่หมั้นแล้วดังนั้นด้วยสถานะของนาง จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่นางไม่ได้รับความเคารพในตระกูลเฟิงมากเท่าใด อย่างมากพว
เพราะองค์หญิงเจาหมิ่นอุตส่าห์ติดกับดักนี้ เพื่อฉวยโอกาสที่ดีนี้มาเจรจากับตระกูลเฟิงกระมังจั๋วซือหรานคิดในใจ ในเมื่อนางทำลายแผนขององค์หญิงระหว่างครึ่งทางแล้ว อย่างไรก็ตาม นางต้องจัดกลที่ยิ่งใหญ่สักหน่อย จึงเหมาะกับกับดักนี้จั๋วซือหรานกล่าวต่อ "ผู้อาวุโส สิ่งที่ข้าต้องการคือการเคารพ ความเกรงกลัวก็ได้ พูดตรง ๆ พวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับการที่ปฏิบัติต่อผู้อาวุโสขตระกูลเฟิง หรืออย่างน้อยพวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อข้าเหมือนกับที่พวกเจ้าปฏิบัติต่อเฟิงเหยียน "เฟิงเหยียนยังคงเงียบอยู่ข้าง ๆ และเขารู้สึกได้ว่าผู้อาวุโสจ้องมองเขาเป็นครั้งคราวเหมือนพวกเขาหวังว่าเขาจะพูดอะไรสักอย่างเขาพูดอะไรได้บ้าง เขาไม่อยากพูดอะไรเลยก่อนหน้านี้เขาเคยมอบโอกาสให้พวกเขาแล้ว แต่พวกเขาพลาดไปเองก่อนหน้านี้พวกเขายังด่าว่า คนของตระกูลจั๋วโง่ทั้งนั้น นับขยะเป็นสมบัติ แต่สมบัติที่แท้จริงนี้กลับถูกละทิ้งเหมือนทิ้งขยะตอนนี้ดูเหมือนว่าตระกูลแต่ละตระกูลโง่ทั้งนั้น ตระกูลเฟิงก็ไม่ได้ดีกว่าตระกูลอื่นนะผู้ที่ต้อยความสามารถมักจะครอบงำโลก ซึ่งเขาจนปัญญาเฟิงเหยียนไม่สนใจสายตาที่เต็บไปด้วยคำร้องขอความช่วยเหลือขอ
“อะไรนะ” ผู้อาวุโสตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็เบิกตากว้างอย่างเห็นได้ชัด จากสีหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธบ้างเพราะเงื่อนไขของจั๋วซือหรานเขาอาจรู้สึกว่านางได้คืบจะเอาศอกและข่มขืนใจเห็นได้ชัดว่าพวกเขาทุกคนรู้ดีว่าสัญญาจิตวิญญาณการพูดเป็นสัญญาที่มีข้อผูกมัดอย่างสูงหากเงื่อนไขที่จั๋วซือหรานเสนอมาเป็นเงื่อนไขใด ๆ ที่บอกถึงทุกรายละเอียด ให้พวกเขาทำสัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยพวกเขาสามารถได้ยินและยืนยันได้ว่าพวกเขาทำได้หรือไม่ และเงื่อนไขของนางสมเหตุสมผลไหมแต่สิ่งที่จั๋วซือหรานพูดเป็นเพียงสัญญาที่...ภาพลวงตาใครจะรู้ว่าวันหลัง นางอยากให้พวกเขาทำอะไรเมื่อถูกผูกมัดด้วยสัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดนี้ หากนางต้องการให้พวกเขาทำสิ่งที่ทรยศต่อตระกูลในภายหลัง พวกเขาต้องผูกมัดกับสัญญาและถูกนางควบคุมหรือยิ่งไม่ต้องพูดถึง......“เจ้าเป็นผู้หญิงที่ไม่เคยฝึกฝนในลัทธิ นางจะมีโอกาสเรียนรู้สัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดได้อย่างไร อย่าบอกนะ เจ้าได้ยินจากผู้อื่น แล้วเอามาพูดเล่นกับพวกเรา…”จั๋วซือหรานแสดงฝ่ามือของนาง และมีสัญลักษณ์ที่ส่องแสงวาบอยู่บนฝ่ามือของนางแม้ว่าเหล่าผู้อาว
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน
สายตาฮั่วจือโจวมองจั๋วซือหรานอย่างลึกซึ้งตระกูลขุนนางเหล่านี้ล้วนเป็นแบบเดียวกัน จั๋วซือหรานเองก็เดินออกมาจากตระกูลขุนนาง ดังนั้นจึงเข้าใจเป็นอย่างดีต่อให้ทุกคนจะเป็นลูกหลานในตระกูลเหมือนกัน และก็จะมีพวกลูกหลานที่ได้รับการปฏิบัติกับให้ความสำคัญมากกว่า และก็จะมีลูกหลานที่ถูกมองข้ามหรือเมินเฉยแต่นี่ก็จะขึ้นอยู่กับฝีมือของรุ่นพ่อและฝีมือของตนเองดูจากจั๋วซือหรานแล้วมองออกไม่ยาก กระทั่งฝีมือของรุ่นพ่อก็ยังไม่แน่ว่าจะสำคัญ เพราะพ่อของนางนั้นไม่อยู่มานานแล้วมีเพียงฝีมือของตนเองที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุดดังนั้นในฐานะที่เป็นลูกหลานในตระกูล หากคิดจะได้รับการให้ความสำคัญของตระกูล อย่างน้อยก็ต้องทำผลงานออกมาให้ได้สถานการณ์ของฮั่วจือโจวตอนนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนี้เขามีฝีมืออยู่บ้าง และมีอุดมการณ์ของตนเองด้วยเช่นกัน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จะตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามไม่ได้เพราะในตระกูลเช่นนี้ คนมากมายล้วนเป็นแบบเดียวกัน โอกาสอาจจะมีแค่ครั้งเดียว ถ้าทำผลงานไม่ได้ หลังจากนี้ทรัพยายากรก็อาจจะไม่เอนมาทางเขาอีกแล้วจุดนี้ จั๋วซือหรานไม่ลังเลที่จะพูดออกมาสายตาฮั่วจือโจวหยุดอยู่ที่แ
จั๋วซือหรานยิ้มๆ “ก็ต้องตั้งแต่ตอนที่เจ้าตามพวกเราเข้ามาแล้วน่ะสิ”ฮั่วจือโจวลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้ามาทางนี้ นั่งลงข้างโต๊ะพวกเขา“เมื่อครู่แผนของแม่นางจิ่ว ข้าได้ยินแล้ว” ฮั่วจือโจวเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกมาตรงๆเขาพูดประโยคนี้ออกมา ก็หวังว่าจั๋วซือหรานจะไม่ต้องมาเสียเวลาคิดมากในเรื่องนี้แล้วแต่ฮั่วจือโจวคิดไม่ถึงว่าจั๋วซือหรานจะพูดว่า “ข้าจงใจพูดออกมาให้เจ้าได้ยิน”สีหน้าฮั่วจือโจวตกตะลึงไปทันที “อะไรนะ?”จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายสามฮั่วฟังแผนการของข้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?”“ไม่เลว” ฮั่วจือโจวตอบ “มิน่าสี่ตระกูลที่เหลือจึงมองเจ้าเป็นหนามยอกอก”รอยยิ้มบนหน้าจั๋วยังไม่จางหาย “ถ้าข้าไม่จงใจพูดให้เจ้าได้ยิน แล้วจะกล่อมให้เจ้ามาร่วมมือได้อย่างไรกัน?”“ร่วมมือ?” ฮั่วจือโจวตกตะลึงจั๋วซือหรานตอบ “อืม ข้าไม่มีเจตนาจะทำให้ตระกูลฮั่วต้องลำบากใจ ถ้าแค่ตระกูลฮั่วไม่ทำให้ข้าลำบากใจน่ะนะ แต่ข้าเองก็เข้าใจ บุ่มบ่ามไปแย่งธุรกิจของคนอื่น ดูแล้วยังไงก็ไม่เหมาะสม และยังเป็นในสถานการณ์ที่ข้ามั่นใจว่าข้าคว้ามันมาได้ด้วย”ฟังคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ฮั่วจือโจวก็หัวเราะขึ้นมา เขาก
“ทำให้มันคึกคักขึ้น?” เฟิงหร่านตาเป็นประกาย ความชื่นชมต่อตัวจั๋วซือหรานของนางไม่ได้แค่นิดหน่อยแล้วตอนนี้มองจั๋วซือหรานด้วยตาเป็นประกาย “พี่หญิงจั๋ว จะทำให้มันคึกคักขึ้นได้อย่างไรหรือ?”จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “วิธีการมีอยู่เยอะเลยทีเดียว ก็ให้เจ้าไปแสดงพ่นไฟ เฮยหลิงไปแสดงหน้าอกทลายหินอะไรแบบนั้น หรือไม่ข้าก็ให้พวกแมลงไปแสดงละครหุ่นกระบอก? ต้องสนุกคึกคักแน่ๆ...”“พ่น พ่น...พ่นไฟ??” ในสายตาเฟิงหร่านเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อก็จริง สำหรับนางที่เป็นคุณหนูลูกขุนนางเช่นนี้ทุกการกระทำทั้งหมดของจั๋วซือหราน กระทั่งแค่ลมหายใจของนาง ก็ดูจะผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ ในตระกูลขุนนางเหล่านั้น “พ่นไฟเป็นไหม? ถ้าไม่เป็นเดี๋ยวไว้ข้าหาเวลาสอนเจ้า” จั๋วซือหรานวางตะเกียบลง “สรุปคือ ถ้าถึงเวลาต้องเปิดกิจการ ก็หาการแสดงอะไรมา จากนั้นพอเปิดร้านก็เตรียมการให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะหลังจากที่กินอาหารเสร็จ ก็มอบอาหารเพิ่มให้อีกหนึ่งจานแบบไม่ต้องจ่ายเงินอะไรแบบนี้”“ประชาชนกินเพื่ออยู่ ขอแค่ของอร่อย ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีใครมาอีกหรือ” จั๋วซือหรานคิดคิด เอ่ยต่อว่า “ไหนจะเรื่องที่อาหารของที่นี่รสชาติแย่แค่ไหน น่าจะไ
จั๋วซือหรานตอบ “เดี๋ยวเจ้าลองชิมก็รู้แล้ว...”ผ่านไปครู่หนึ่ง อาหารก็ส่งขึ้นมา หน้าตาแย่เอามากๆเจี่ยงเทียนซิงจึงเพิ่งได้ยินประโยคหลังของจั๋วซือหราน “...ไม่ใช่ห่วยแตกแบบธรรมดาด้วย”เจี่ยงเทียนซิง “...”เฟิงหร่าน “...”ฝูซู “...”เฮยหลิง “...”ทุกคนทยอยกันพูดไม่ออกจั๋วซือหรานหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบคำหนึ่งส่งเข้าปาก หลังจากเคี้ยวไปสองคำ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “พวกเจ้าลองชิมสิ ห่วยแตกแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”เฮยหลิงยังพอไหว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตยากลำบากมาแล้ว ขยับตะเกียบ หลังจากกินคำแรกไปเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเขาเหมือนจะโกรธขึ้นแล้วเฟิงหร่านเองพอเห็นสถานการณ์ จึงวางตะเกียบลงเงียบๆเจี่ยงเทียนซิงถาม “เจ้าหิวแล้ว แต่จงใจมายังร้านอาหารที่รสชาติแย่หรือ?”จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ลองชิมดูก่อน แบบนี้ภายหลังจะได้มีความแตกต่าง”เจี่ยงเทียนซิงก็เชื่อฟังคำพูดของนาง คีบขึ้นมาพอส่งเข้าปาก จึงเพิ่งมีปฏิกิริยากับคำพูดของจั๋วซือหราน “...ภายหลัง?”ตอนนี้เอง อะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก ในที่สุดก็ทำเอาประสามรับรสของเขาถูกปะทะอย่างรุนแรง“ถุด” เจี่ยงเทียนซิงพ่นอาหารในปากออกมา รู้สึกว่าคำวิจารณ์ก่อน
พอได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จั๋วซือหรานก็เลิกคิ้ว “นั่นก็จริงอยู่”เจี่ยงเทียนซิงถามขึ้น “บาดแผลของเจ้าไม่เป็นไรหรือ?”“ถ้าเจ้าถามช้าอีกหน่อย มันก็หายสนิทแล้ว” จั๋วซือหรานมองตำแหน่งบาดแผลเหล่านั้นบนร่างกายตนเองผาดหนึ่ง“ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงบาดแผลในการประลองเมื่อครู่ แต่เป็นของเมื่อคืนนี้” เจี่ยงเทียนซิงบอกมาเฟิงหร่านอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จึงรีบกำชับขึ้นมาว่า “จริงด้วย พี่หญิงจั๋ว ท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือ? ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านเข้าไปในศาลบรรพบุรุษเมื่อคืนนี้แล้ว นั่นมันอันตรายมากเลย! ท่านไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม?”จั๋วซือหรานเหลือบมองแม่นางคนนี้ “พี่ชายของเจ้า กลับบ้านไปแล้วหรือยัง?”เฟิงหร่านตกตะลึง จากนั้นจึงพยักหน้า “กลับมาแล้ว”“เช่นนั้นเขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ?” จั๋วซือหรานถามขึ้นมาอีกเฟิงหร่านถอนหายใจอีกครั้ง “อารมณ์ของพี่ชายเหมือนไม่ค่อยดีนัก หลังจากกลับมา ผู้อาวุโสหลายคนที่อยากไปคุยกับเขา ก็ล้วนถูกไล่ออกมาหมด ข้าเองก็ไม่กล้าเข้าไปวุ่นวาย”นางมองจั๋วซือหรานตาแป๋ว “พี่หญิงจั๋ว เป็นเพราะท่านหรือเปล่า?”“หือ?” จั๋วซือหรานส่งเสียงสงสัยขึ้นมาเฟิงหร่านถามขึ้น
“ไม่มีเคล็ดวิชาอะไร กระทั่งไม่มีถุงเก็บสัตว์ด้วยซ้ำ แต่กลับเก็บแมงมุมหน้าผีระดับราชาลงไปได้ในชั่วพริบตา” ซางเชวี่ยเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ตอนที่นางอัญเชิญราชาแมงมุมหน้าผีออกมา พวกเราถูกทำให้เข้าใจผิดจนคิดว่าอีกฝ่ายอัญเชิญออกมา คู่มือของนางคนนั้น แม้ความเร็วในการอัญเชิญจะเร็ว แต่ก็ยังต้องมีเคล็ดวิชาอะไรอยู่”“ตอนนั้นถูกเบนความสนใจจนไม่ทันสังเกต ตอนนี้กลับมองเห็นชัดเจนแล้ว ไม่แน่ว่าตอนที่นางอัญเชิญมาก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีเคล็ดวิชาอะไรในการเก็บหรือเรียก” คนตระกูลซางที่ถูกจั๋วซือหรานแย่งราชาแมงมุมหน้าผีไปคนนั้นเอ่ยขึ้นเสียงขรึมเขาจู่ๆ ก็รู้สึกโชค ที่ตอนไปจัดการราชาแมงมุมหน้าผีในป่าลึกลับตอนนั้น ตนเองไม่ได้เผชิญหน้ากับจั๋วซือหรานเหมือนคนพวกนั้นตอนนั้นเขายังรู้สึกว่า ราชาแมงมุมหน้าผีถูกแย่งไปเพราะโชคดีที่ไม่ได้มาเจอกับเขา ดังนั้นจึงแย่งไปได้อย่างราบรื่นแต่พอเห็นตรงนี้ ในใจเขาก็แอบรู้สึกโชคดี ยังดีที่ตนเองโชคดี! ไม่ได้ไปเจอเข้ากับจั๋วซือหรานในตอนนั้น! ไม่เช่นนั้น เขาคงได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ในป่าลึกลับเหมือนคนอื่นๆ พวกนั้นแน่!และบนเวทีประลองตอนนี้ หลังจากจั๋วซือหรานเก็บราชาหน้
เปรี๊ยะ...! ตอนที่เสียงนี้ดังขึ้น แจ่มชัดอย่างมากต่อให้ในสถานที่ที่สับสนวุ่นวายอย่างในลานประลอง ก็ยังแจ่มชัดอย่างมาก!ทุกคนล้วนมีปฏิกิริยากันขึ้นว่ามาต้นเสียงมาจากไหนแต่เพียงไม่นาน ก็มีคนพบขึ้นแล้ว“ดู...ดูสิ! ให้ตายเถอะ...เว เวที แตก...แตกออกแล้ว!”ภายใต้การจับตามองของทุกคน ด้านใต้ร่างกายของซางถิง แตกออกมาเป็นรอยแยกรอยหนึ่ง!“นั่น...นั่นไม่ใช่เวทีที่ทำจากหินต้องห้ามหรือ? ทำ ทำไมถึง...แตกล่ะ?”ระดับความแข็งของหินต้องห้ามแค่จินตนาการก็รู้แล้ว ไหนจะคุณสมบัติพิเศษของหินต้องห้ามที่สามารถสะกดพลังวิญญาณของมนุษย์ได้ถ้าหากไม่สามารถใช้พลังวิญญาณ แล้วคิดจะสร้างรอยแตกแก่หินต้องห้าม นั่นมันฝันกลางวันชัดๆทว่าตอนนี้ กลับมีคนทำได้แล้วก็คือคนที่เดิมทีถูกทุกคนดูถูกบนเวทีประลอง ถูกทุกคนเข้าใจว่าสู้หลอกๆ เข้าใจว่านางไม่มีฝีมือการต่อสู้...คนที่เป็นแค่หญิงสาวในสายตาของทุกคนคนนั้นจัดการหั่น...เวทีประลองที่ทำจากหินต้องห้ามนี้จนแตกหลังจากที่ทุกคนตระหนักขึ้นได้ ทั่วทั้งลานก็เงียบลงมาทันทีจั๋วซือหรานมองไปทางอินเจ๋ออัน อินเจ๋ออันก็สีหน้าปั้นยากขึ้นมา กระทั่งประกาศแพ้ชนะก็ยังลืมทำ ยืนแข็งทื
เพราะบนเวทีประลอง ไม่ค่อยจะมีความยอดเยี่ยมที่พิเศษนัก หรือก็คือ การต่อสู้ที่งดงามยอดเยี่ยม คนที่เก่งกาจจริงๆ ใครก็ไม่อยากจะมาเสียเวลาบนเวทีประลองระดับต่ำๆ เช่นนี้ปกติจึงมีแต่การต่อสู้ที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนัก และเพราะเหตุนี้ ทุกคนจึงอยากจะลองเดิมพันกัน อยากจะเห็นการต่อสู้ที่เลือดสาดยิ่งขึ้น เพราะมันต้องมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดสายตาแต่ตอนนี้ การต่อสู้บนเวที ไม่จำเป็นต้องเลือดสาด แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมเพียงพอแล้วยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็มองออก!สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเคยเจอมาก่อนเพียงไม่นาน ก็มีคนมีปฏิกิริยาขึ้นมา“ไม่ใช่เหมือนกับตอนยกแรกหรือ? แค่พลิกกลับมาเท่านั้น”“จริงด้วย! ตอนยกแรก เป็นหญิงสาวถูกอีกฝ่ายใช้แส้ไล่ฟาดบีบจนเข้าไปในระยะโจมตีของสัตว์ประหลาด!”“แต่ว่าตอนนี้เหมือนนางมาไล่บี้ชายคนนี้ไปในระยะของสัตว์ประหลาด...?”“ไม่ ไม่ใช่ นางบีบชายคนนี้ ตรงไปยังจุดโจมตีถัดไปของนาง!”“พอพูดเช่นนี้ ตอนยกแรกคงไม่ใช่ว่านางยอมให้คนอื่นชนะหรอกใช่ไหม...?”จั๋วซือหรานได้ยินเสียงเหล่านี้ หางตายกโค้งนางคิดจะให้ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ พอเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีใครรู้สึกว่านางไม่มีฝีมือ เอาชนะมาได้เพราะอีกฝ