จากระยะไกล ๆ นางเห็นร่างที่สวยงามกำลังมาที่สวนหลังบ้าน นั่นคือคุณหนูเจ็ดของตระกูลเหยียน เหยียนหยี่หลิงและคนที่เดินตามนางอย่างใกล้ชิดคือฉวนคูนฉวนคูนพูดซ้ำ ๆ "คุณหนูท่านนี้ คุณหนูไม่ควรเข้ามาโดยไม่ได้รับอนุญาตขอรับ โปรดหยุดฝีเท้าขอรับ"แต่ดูเหมือนหยี่หลิงไม่สนใจฉวนคูนเป็นคนเลย นางสะบัดมือ และผลักฉวนคูนออกไปฉวนคูนเป็นเพียงคนรับใช้ในบ้านโดยไม่มีการฝึกฝนใด ๆ เขาเป็นเพียงคนรับใช้ในบ้านธรรมดา ๆ เขาทนแรงผลักเช่นนี้ได้อย่างไร เขาบินออกและล้มลงกับพื้นอย่างแรงจั๋วซือหรานจ้องมองไปในทิศทางของฉวนคูน ทันทีที่ฉวนคูนกำลังจะล้มบนพื้น จู่ ๆ หญ้าบนพื้นสูงขึ้นและหนาขึ้นอย่างมากหญ้าเหล่านั้นช่วยรับฉวนคูนไว้ เพื่อไม่ให้เขาล้มบนพื้นอย่างแรงเหยียนหยี่หลิงมุ่งความสนใจไปที่จั๋วซือหราน นางไม่ได้สนใจคนรับใช้ที่ถูกนางโยนออกไปในก่อนหน้านี้มากนัก ใครกันแน่กล้าห้ามนางแต่เหยียนฉีสังเกตการกระทำของจั๋วซือหรานแล้ว ฉากสั้น ๆ นั้นทำให้เขาตกใจอย่างมากเหยียนหยี่หลิงเดินเข้ามาด้วยการเยาะเย้ย นางมองไปที่ จั๋วซือหราน " จั๋วจิ่ว ทำไม เจ้ากล้าให้ท่านพี่ของข้ามาขอโทษเจ้าได้อย่างไร เจ้าเป็นผู้ทรยศต่อตระกูลของตัวเอง
เสียงที่คมชัดขัดจังหวะเสียงของเหยียนหยี่หลิงเสียงของนางหยุดอย่างกะทันหัน สีหน้าของนางแข็งทื่อ ดวงตาของนางตกใจจนต้องเบิกกว้าง และนางไม่กระพริบตาเลยด้วยซ้ำ ดูเหมือนนางมืนงงอย่างมากผมยาวของนางปลิวไปตามสายลมและปลิวไสวบนใบหน้าของนางปิ่นปักผมที่หักหลุดออกจากศีรษะ และชิ้นส่วนนั้นทำบาดบนใบหน้าของนางเบา ๆใบหน้าของเหยียนหยี่หลิงซีดลง และนางก็นิ่งเฉย นางไม่ทราบด้วยซ้ำว่า จั๋วซือหรานลงมือเมื่อใดและลงมืออย่างไรจากนั้นนางได้ยินเสียงปัง และปิ่นปักผมของนางก็แตกเป็นชิ้น ๆ และหลุดบนพื้นผมของนางถูกปล่อยทันทีกระบวนการนี้ทำให้นางหวาดกลัว นางกลัวเพราะนางไม่ทราบเรื่องเกิดขึ้นได้อย่างไรจั๋วซือหรานไม่ได้มองเหยียนหยี่หลิง แต่มองเหยียนฉี อย่างไร้ความรู้สึก นางพูด "หากนางไม่ไปจากนี้อีก การโจมตีครั้งต่อไปจะตกใส่หัวนางโดยตรง"เหยียนฉีตกตะลึงอย่างมากเช่นกัน เขารู้สึกคอแห้งเพราะเขาตกใจอย่างมาก“เจ้าอย่าโกรธเลย ข้าจะพานางไปเดี๋ยวนี้” เหยียนฉีพูดจบ แล้วรีบดึงเหยียนหยี่หลิงไว้ก่อนหน้านี้ เหยียนหยี่หลิงยังค่อนข้างจะหยิ่งเล็กน้อย นางทำตัวหยิ่งเพราะนางทราบจั๋วซือหรานถูกสั่งสอนแล้ว แต่ตอนนี้... ดูเหมือนน
ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดีจริง ๆ ตระกูลจั๋วอาจมีการกระทำใด ๆ ในอนาคตแต่ในขณะนี้ เหยียนฉีไม่มีเวลาลึกว่านี้อีกต่อไปเพราะจั๋วซือหรานไม่อยากพูดเรื่องไร้สาระกับพวกเขาอีกแล้ว เนางพูดอย่างไร้ความรู้สึก "ข้านับถึงสาม เหยียนหยี่หลิง หากเจ้ายังไม่หายไปจากสายตาของข้า กะโหลกของเจ้าจะแตกสลายเหมือนปิ่นปักผมอันเมื่อครู่นี้"เหยียนหยี่หลิงหวาดกลัว นางรีบลากเหยียนฉีออกไปก่อนที่เหยียนฉีจะจากไป เขาเพียงมองจั๋วซือหรานอย่างลึกซึ้งและซับซ้อนเพียงแต่ว่าจั๋วซือหรานไม่สังเกตสายตาอันซับซ้อนนี้เลย นางเพียงแค่หลับตาและหาวหลังจากพวกเขาจากไป ฉวนคูนก็รีบวิ่งเข้ามา เขาปัดฝุ่นบนร่างกายของเขา "คุณหนู คุณหนูขอรับ ขอบคุณคุณที่ช่วยข้าไว้ขอรับ"จั๋วซือหรานเหลือบมองเขาฉวนคูนยิ้มและพูดต่อ "ข้ายังสงสัยอยู่เลยว่า ทำไมจู่ ๆ หญ้าก็หนาขึ้น และข้าล้มบนนั้นก็ไม่เจ็บอีกเลย ปรากฎว่าคุณหนูปกป้องข้าอยู่ขอรับ"จั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "เจ้าทำงานให้ข้า แน่นอนว่าข้าต้องปกป้องเจ้า แต่นี่ เจ้า..." จั๋วซือหรานขมวดคิ้ว "ชายร่างใหญ่ช่างอ่อนแอเหลือเกิน วันหลัง เจ้าฝึกฝนกับจั๋วหวาย และฝูซูเลย"“ฮะ” ฉวนคูนพริบตา“โอ้ ใช่แล้ว พาเด็กฉลา
จั๋วซือหรานสั่งฉวนคูนทุกเรื่อง จากนั้นนางไม่ได้กลับไปนอนที่ห้องขนางคิดครู่หนึ่ง จากนั้นไปที่ห้องของท่านแม่ดวงตาของอวิ๋นเหนียงกระพริบ เห็นได้ชัดว่านางอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่นางไม่ทราบจะพูดอย่างไรจั๋วซือหรานไม่รีบร้อน นางรออย่างเงียบ ๆหลังจากนั้นไม่นาน อวิ๋นเหนียงจึงอ้าปากพูด " หรานหราน เมื่อครู่นี้ คนของตระกูลเหยียนมาหาเรื่องลูก แม่ได้ยินหมดแล้ว"“เจ้าค่ะ” จั๋วซือหรานนั่งเตียงนอน นางยิ้มและมองท่านแม่ของนาง จริง ๆ แล้วนางทราบท่านแม่ของนางจะพูดอะไร แต่นางแค่อยากรอท่านแม่ของนางอ้าปากพูดเองจั๋วซือหรานไม่กลัวท่านแม่ขออะไรกับนาง ยิ่งกว่านั้น นางรู้สึกดีใจอย่างมากหากท่านแม่ของนางขออะไรจากนาง นางยินดีที่จะให้ท่านแม่ของนางสมปรารถนานางรู้สึกนี่อาจเป็นความเห็นแก่ตัวในส่วนของนาง เพราะได้ยึดครองร่างของลูกสาวของอวิ๋นเหนียง ดังนั้นโดยธรรมชาติแล้วนางจึงต้องดแลอวิ๋นเหนียงในฐานะลูกสาวของอวิ๋นเหนียง ซึ่งถือเป็นการชดเชยสำหรับเจ้าของร่างเดิมเอาเป็นว่านี่เป็นผลตอบแทนสำหรับการดูแลของอวิ๋นเหนียงแต่อวิ๋นเหนียงไม่ได้พูดอะไรมาเป็นเวลานาน นางไม่กล้าเรียกร้องอะไรจากลูกสาวของนางจริง ๆ เพราะนางทราบดี
อวิ๋นเหนียงรู้สึกเจ็บใจ นางตอบเบา ๆ “เอาล่ะ แม่รู้ หากลูกง่วง นอนเลยลูก แม่จะเฝ้าลูก”จั๋วซือหรานฮัมด้วยความงุนงง นางหลับไปอย่างรวดเร็วโดยไม่พลิกตัวเลยสักนิดนางต้องยอมรับการที่ให้ท่านแม่ค่อย ๆ สัมผัสศีรษะของนาง และเกลี้ยกล่อมนางด้วยคำพูดที่อ่อนโยนนั้นช่างถูกสะกดจิตจริง ๆแม้ในขณะที่นางหลับ จั๋วซือหรานก็ไม่ได้เกียจคร้านทันทีที่นางหลับตา นางก็เข้าไปในพื้นที่ของแหวนเสวียนเหยียน นางถือถุงผ้าอยู่ในมือ นี่คือทรัพสินท์อุดหนุนที่ สำนักงานใหญ่ของตระกูลมอบให้นางเมื่อนางถอนตัวออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูล และของขวัญหมั้นบางชิ้นที่ที่ตระกูลเฟิงส่งมา นางค้นหาในรายการของของขวัญพวกมันล้วนเป็นเมล็ดพันธุ์สมุนไพรวิเศษ เมื่อนางได้รับพวกมัน จั๋วซือหรานก็โยนพวกมันเข้าไปในพื้นที่ของแหวนเสวียนเหยียนเป็นเพราะนางรู้สึกว่าหลังจากนางได้พบเจอเฟิงเหยียน แล้ว แหวนเสวียนเหยียนก็ตามข้ามมายังโลกใบนี้ และพื้นที่เก็บของของแหวนเสวียนเหยียนก็ถูกเปิดออก และคลังพลังก็ปรากฏขึ้นเช่นกันตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จั๋วซือหรานรู้สึกว่าสักวันหนึ้ง พื้นที่น้ำพุวิเศษต้องถูกเปิดแน่ ๆตามที่คาดไว้ ตอนที่นางอยู่จวนจั๋ว เพื่อเต่อสู
จั๋วซือหรานใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาอันสั้นที่นางนอนเพื่อเฝ้าดูเมล็ดพืชที่กระจัดกระจายแบบสุ่มในพื้นที่น้ำพุวิเศษของนาง นางเห็นเมล็ดที่นางโบรยลงดินเติบโตไปเรื่อย ๆการเจริญเติบโตนั้นน่ายินดีจริง ๆจั๋วซือหรานนั่งอยู่ที่นั่นและเฝ้าดู นางอดไม่ได้ที่ต้องพึมพำกับตัวเองว่า "ลืมไปเถิด ทำไมต้องเป็นคุณหมอ ทำงานหนักมากและไม่มีเงินเลย และหากรักษาไม่หาย ยังถูกคนไข้ด่าอีก...เป็นพ่อค้าขายวัสดุยา ทำธุรกิจค้าวัสดุยาละกัน เงินเยอะ ไม่ยุ่งยากด้วย"ในเวลาเดียวกันฉวนคูนยืนอยู่บนดินที่เขาเพิ่งขุดออกในเมื่อสองสามวันก่อน เขาได้พลิกกลับและคลายดินเมื่อเขาเห็นพืชอันสีเขียวโตขึ้นสูงมาก เขาตกใจอย่างมากเขาไม่สามารถแม้แต่จะยืนนิ่งได้ เขาสะดุดกลับและล้มลงกับพื้นในที่สุดฉวนคูนจึงเข้าใจว่าก่อนหน้านี้ ทำไมคุณหนูถึงพูดเช่นนั้นกล่าวคือไก่ไม่มีมือ มิฉะนั้น ไก่ก็สามารถทำงานประเภทนี้ได้แม้ว่าแค่โบรยข้าวกำหนึ่งก็ตามตอนที่ฉวนคูนได้ยินคำพูดนี้ เขายังคิดอยู่คุณหนูล้อเขา แต่เขาไม่คาดคิด...“คุณหนูไม่ได้โกหกจริง ๆ ไม่ได้โกหกสักคำเลย...” ฉวนคูนเอามือจิกตรงกลางของริมฝีปากชั้นบนของตัวเอง หากเขาไม่ทำเช่นนั้น เขาจะรู้สึกต
เมื่อพูดถึงจุดนี้ จั๋วซือหรานไม่ได้พูดต่อนางไม่ได้ขึ้นรถม้า แต่นำม้าออกมาโดยตรง นางขี่ม้าและมุ่งหน้าไปยังหอหลวงหอหลวงเป็นตำหนักหลวงที่ตั้งอยู่ในชานเมืองทางตอนเหนือของเมืองหลวง หอหลวงมีพื้นค่อนข้างใหญ่ในนี้มีศาลาต่าง ๆ และมีสวนทุกประเภท ไม่เพียงแต่มีครูที่คอยสอนนักเรียนเท่านั้น แต่ยังมีผู้เชี่ยวชาญในการสอนศิลปะการต่อสู้อีกด้วยผู้ที่สามารถเรียนที่นี่ได้อาจเป็นลูกหลานของสมาชิกราชวงศ์ คุณชายหรือคุณหนูแห่งตระกูลขุนนางต่าง ๆแต่จริง ๆ แล้วลูกหลานของตระกูลต่าง ๆ ไม่โอกาศน้อยมากที่สามารถเข้ามาเรียนที่นี่ได้ อาจพูดได้ว่า มีจำนวนน้อยมาก ด้วยเหตุนี้เมื่อ เมื่อจั๋วซือหรานได้สิทธิ์ที่เข้ามาเรียนในหอหลวงจากไทเฮา ผู้อาวุโสของตระกูลจั๋วจึงบังคับนางสละสิทธิ์แม้ว่ามีลูกหลานไม่กี่คนของตระกูลต่าง ๆ มาเรียนที่นี่ แต่พวกเขาต่างมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับลูกหลานของขุนนางและราชวงศ์ดังนั้นคุณชายและคุณหนูเหล่านี้ที่กำลังศึกษาอยู่ในหอหลวงจึงทราบเหตุการณ์ล่าสุดของจั๋วซือหรานและตระกูลจั๋วเป็นอย่างดีพวกเขารู้อยู่แล้วว่าจั๋วซือหรานได้สิทธิ์ที่เข้ามาศึกษาที่หอหลวง เดิมทีพวกเขากำลังรอผู้หญิงที่หยิ่งยโสและป
เมื่อจั๋วซือหรานมาถึงหอหลวง จั๋วหวายกำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นอกห้องเรียน เขากำลังยกมือขึ้นสูงเพื่อไตร่ตรองใบหน้าของเขายังคงมีรอยฟกช้ำอยู่บ้าง แต่สีหน้าของเขาไม่มีความน้อใจใด ๆในทางกลับกัน ในห้องเรียนด้านข้าง ใบหน้าของลูกหลานของราชวงศ์และขุนนางหลายคนช้ำและบวม น่าสังเวชมากกว่าของจั๋วหวายหลายเท่าชิ่งหมิงยืนอยู่ข้าง ๆ จั๋วหวาย คิ้วอันบอบบางของเขาขมวดแน่น เขาถามด้วยเสียงต่ำ " เสี่ยวหวาย ทำไมเจ้าไม่ให้ข้า... ลงมือจัดการพวกเขา"จั๋วหวายยิ้มแม้จะมีรอยช้ำเล็กน้อยบนใบหน้าก็ตาม" ชิ่งหมิง เจ้าต่อสู้เก่ง หากเจ้าลงมือจัดการพวกเขา พวกเขาต้องรับบาดเจ็บสาหัส แล้วเราจะไม่เป็นฝ่ายที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ตัวตนภายนอกของเจ้าในปัจจุบันยังเป็นเด็กรับใช้เมื่อคุณชายเรียนหนังสือ หากเด็กรับใช้อลงมือและทำร้ายพวกเขา จะถือเป็นล่วงเกินตัว สถานการณ์ของเราคงจะลำบากกว่าตอนนี้อีกขอรับ”“แต่ตข้าสู้กับพวกเขา จะเป็นคนละเรื่อง อย่างมากก็เป็นแค่ความขัดแย้งระหว่างเพื่อนร่วมชั้น ประการแรก คำพูดของพวกเขาไม่เป็นที่พอใจ อีกอย่าง พวดเราแค่ใช้หมัดกัน จะชนะหรือแพ้ มันไม่สำคัญ และข้ามองออก พวกเขาสู้ข้าไม่ได้หรอก”“เชอะ พวกเขา
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด