“แม้หลายปีที่ผ่านมา แม่ก็ไม่นับตัวเองเป็นลูกสาวของตระกูลเซี่ย แม่ไม่ใช่หยุนซี ลูกสาวของตระกูลเซี่ย แต่เป็นเพียงอวิ๋นเหนียง ลูกสะใภ้ของตระกูลจั๋ว จนถึงวันนี้ ”อวิ๋นเหนียงกล่าวพร้อมกับน้ำตาที่ส่องประกายในดวงตาของนางจั๋วซือหรานเห็นน้ำตาของท่านแม่ นางจึงเอื้อมมือออกไปจับมือของอวิ๋นเหนียงเบาๆ "ท่านแม่"อวิ๋นเหนียงสูดจมูกและกลั้นน้ำตาแล้วพูดต่อ "จนถึงวันนี้ เมื่อคนเหล่านั้นของตระกูลจั๋วอยากลงโทษแม่ พวกเขายังจำได้ว่าแม่เป็นลูกสาวของตระกูลเซี่ย แม่เป็นคนที่พวกเขาไม่กล้าทำร้าย"“ไม่เพียงแค่นั้น ก่อนที่ลูกมาช่วยแม่ แม่ได้ยินพวกเขาพูดว่า...”ก่อนที่อวิ๋นเหนียงจะพูดจบ น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตาของนางแล้ว น้ำตาตกลงไปที่หลังมือของจั๋วซือหรานด้วยเสียงกระทบกันอวิ๋นเหนียงหายใจเข้าลึก ๆ และสงบสติอารมณ์ก่อน ค่อยพูดต่อ "...แม่ได้ยินพวกเขาบอกว่า เมื่อก่อน เคยมีคนของบ้านคุณตามาหาแม่ แม้ว่าแม่ไม่รู้เรื่องนี้ก็จริง แต่ก็มีคนคอยหนุนหลังแม่จริง ๆ "อวิ๋นเหนียงยกมือขึ้น นางเช็ดน้ำตาและพูดต่อ "ไม่น่าแปลกใจเลย แม่แต่งเข้าตระกูลจั๋ว แม่มากับท่านพ่อขเงเจ้าลำพังโดยไม่มีสินสอด แต่หลายปีที่ผ่านมา แม่ไม่เคยได้รับ
เขาอยู่ในตอนนั้น การกระทำของเขาในตอนนั้น เขาไร้ประโยชน์มากจนตัวเองยังดูถูกตัวเองเลยจั๋วซือหรานจะไม่ทราบได้อย่างไรว่าชายหนุ่มคนนี้กำลังเป็นห่วงเขาล่ะนางเม้มมุมปาก เลิกคิ้วแล้วถาม "จริงหรือ"“จริงขอรับ” จั๋วหวายพยักหน้าราวกับไก่จิกข้าว“เอาล่ะ เช่นนั้นพรุ่งนี้เจ้าไปเรียนที่หอหลวงเลย” จั๋วซือหรานกล่าวทันทีที่คำพูดเหล่านี้หลุดออกมา ใบหน้าของจั๋วหวายก็แข็งค้างทันที “เรียน เรียนหรือ”“ไหนบอกว่าจะตั้งใจเรียนไม่ใช่หรือ” จั๋วซือหรานถามจั๋วหวายพูดด้วยสีหน้าอันโศกเศร้า “แต่ แต่เรียน...”“นี่คือโอกาสที่ข้าชิงมาอย่างอยาก หลาย ๆ คนของตระกูลจั๋ว อยากไป แต่พวกเขาไปไม่ได้” จั๋วซือหรานกล่าวเมื่อจั๋วหวายได้ยินคำพูดนี้ เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ เขาทำได้เพียงพยักหน้าอย่างฝืนใจ "เอา...เอาล่ะ ข้าไปเรียนก็ได้"“จ้ะ เด็กดี ไปเก็บข้อมูลก่อน ข้าเสร็จธุระเมื่อไร ข้าจะไปโรงเรียนกับเจ้า” จั๋วซือหรานตบไหล่ของจั๋วหวายเบา ๆ “เอาล่ะ รีบไปนอนเถิด” พรุ่งนี้ไปเรียน อย่าสายไปสายล่ะ..."จั๋วซือหรานยังไม่ทันพูดจบ มีการเคลื่อนไหวที่มีเสียงดังมาจากทิศทางของประตูมีร่างหนึ่งเคลื่อนเข้ามาหาพวกเขาอย่างรวดเร็ว และฉวนคูนหอ
คำพูดของชิ่งหมิงทำให้จั๋วซือหรานประหลาดใจ “ใช่หรือ”นางเลิกคิ้ว “เจ้าหมายความว่า เจ้าอยากไปช่วยข้าที่จวนจั๋วหรือ”ชิ่งหมิงเป็นห่วงอย่างมาก จนใบหน้าของเขาแดงก่ำ เขาพยักหน้าอย่างแรงและพูดซ้ำว่า " ป๋อยวน ไม่ให้"จั๋วซือหรานยังคงเม้มมุมปากอยู่ แต่นางก็ไม่มีอะไรต้องโกรธด้วยเหตุนี้จั๋วซือหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า " จากมุมมองของซือหลี่ตันติ่งและหน่วยสืบสวนพิเศษ นี่เป็นเรื่องปกติที่พวกเขาไม่อนุญาตเจ้าไปหาข้าอย่างประมาทเช่นนี้"ไม่ต้องพูดถึงหน่วยสืบสวนพิเศษ แม้แต่เมื่อราชวงศ์และฝ่ายราชการต้องเพชิญหน้าต่อเรื่องความขัดแย้งภายในตระกูลชนชั้นสูง พวกเขาก็จะไม่ พวกเขาไม่ยุ่งเรื่องของตระกูลชนชั้นสูง พวกเขาแค่พูดขอไปทีหลังจากทุกเรื่องจบกันมิฉะนั้น เมื่อพ่อแม่ของจั๋วหยุนเฟิงเสียชีวิตอย่างอนาถ คงไม่จบง่าย ๆ ที่ให้จั๋วหยุนฉีไปจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลหรอกนี่อาจถือได้ว่าเป็นการลงโทษที่ร้ายแรงมากสำหรับลูกหลานของสำนักงานใหญ่ของตระกูลของชนชั้นสูง เพราะหากถอนตัวจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลแล้ว โดยพื้นฐานแล้วจะไม่มีโอกาสเใช้ทรัพยากรของตระกูลแล้วแต่ในสายตาของคนนอก นี่เป็นเพียงการลงโทษอย่างขอไปที ถึงข
ชิ่งหมิงยังคงดูโกรธอยู่ แต่มองจากดวงตาของเขา เห็นได้ชัดว่า เขาเริ่มลังเลแล้ว เขาเงียบ ๆ อยู่พักหนึ่งสุดท้ายอดไม่ได้ที่ต้องถาม “ของ...อร่อยอะไร”จริง ๆ แล้วก็ไม่ใช่ของอะไรที่โดดเด่น มีเพียงอาหารเหลือที่ตอนที่นางทำกับข้าวให้ท่านแม่และน้องชายในตอนเย็น เช่น ผักตุ๋น และอื่น ๆของเหล่านี้เหมาะนำมาใช้เป็นอาหารจานหลัก เครื่องเคียง หรือแม้แต่เป็นของว่างคู่กับเครื่องดื่ม ดังนั้นจั๋วซือหรานจึงทำไว้ให้เยอะ ๆเดิมทีนางวเก็บบางส่วนไว้ให้ชิ่งหมิง และส่งบางส่วนไปให้เฟิงเหยียนเช่นกันจั๋วซือหรานยืนขึ้นและเดินไปที่ห้องครัว ด้านหลังนาง ชายหนุ่มที่ยังคงนั่งอยู่บนบันไดด้วยความโกรธเล็กน้อย บัดนี้ เขาลุกขึ้นและเดินตามนางอย่างกระตือรือร้นจั๋วซือหรานทำบะหมี่ให้เขา เทน้ำแกงจากหม้อปรุงอาหารลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ จากนั้นใส่เนื้อตุ๋นที่หั่นบาง ๆ ปีกไก่ตุ๋น 2 อัน และไข่ตุ๋น 1 ฟอง จากนั้นใส่ผักลวกสองสามชิ้นบะหมี่เนื้อตุ๋นที่มีส่วนผสมมากมายก็ทำเสร็จแล้วเดิมทีจั๋วหวายยังยืนข้าง ๆ และไม่กล้าพูดอะไรเลย แม้ว่าเขาเคยเจอชิ่งหมิงมาก่อน ถือว่ารู้จักกันแล้วแต่ชิ่งหมิงเป็นผู้ที่มีนิสัยอ่อนโยนมากมาโดยตลอด และเขาไม่เ
ชิ่งหมิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย และใบหน้าของเขาแสดงความเขินอายที่จั๋วซือหรานคุ้นเคยในความเป็นจริง เขารู้อยู่ในใจว่าเหตุผลที่เขาพูดกับจั๋วซือหราน ได้คล่องเรื่อย ๆ ไม่ใช่เพราะเขาอิ่ม แต่เพราะการป้องกันของเขาต่อนางเริ่มลดลงเรื่อย ๆ นั่นคือสาเหตุที่เขาเป็นเช่นนี้เช่นเดียวกับตอนที่เขาคุยกับป๋อยวน ป็นการส่วนตัว เขาไม่ได้สะดุดมากนัก“พูดจริง ๆ นะ วันนี้หากข้ามาได้ เจ้าก็ไม่ต้อง ออกหน้าออกตาเลย และเจ้าก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บ”ชิ่งหมิงขมวดคิ้ว และใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามีความกังวลเล็กน้อยในคำพูดของเขามีส่วนที่โทษตัวเองไม่ได้ไปช่วยเหลือจั๋วซือหราน และยังมีการดูถูกเรื่องของวันนี้ด้วย พูดให้ถูกคือ เขาดูถูกทั้ง ตระกูลจั๋วและจั๋วหยุนเฟิง "มันเป็นเพียงศิษย์ภายในของลัทธิเสวียนหมิง ไม่ใช่คนสำคัญอะไรเลย"จั๋วหวายกำลังกินเนื้อตุ๋นอยู่ เขาเกือบสำลัก เขาเลยรีบดื่มแกงก๋วยเตี๋ยวสองคำแล้วกลืนลงเขาตบหน้าอกของเขาด้วยความกลัว และหันไปมองชิ่งหมิง อย่างระมัดระวัง เดิมทีเขาคิดว่าชิ่งหมิงเป็นคนอารมณ์อ่อนไหวและพูดไม่คล่อง... เป็นคนที่โหดเหี้ยมที่แม้แต่ลัทธิเสวียนหมิงก็ยังดูถูกจั๋วซือหรานทราบว่า หน่วยสืบสวนพิเ
จะพูดอย่างไรดี นางไม่เคยกลัวใครเลยไม่ต้องสนใจมันเป็นโรคอะไรก็ตาม แม้ว่านางต้องแย่งชีวิตคนกับราชาแห่งนรก นางก็ต้องลองดูโดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับดวงตาอันบริสุทธิ์และโปร่งใสของ ชิ่งหมิง ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเศร้า จั๋วซือหรานรู้สึกไม่ว่าอย่างไร นางต้องลองดูนางคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "อย่าไปฟังเขา เขาเป็นแค่แพทย์กลั่นยา เขาเก่งเรื่องการวางยาพิษคนจริง ๆ แต่เขาอาจจะไม่สามารถรักษาคนได้ ดังนั้นเรื่องการแพทย์ เจ้าต้องฟังข้า ข้าจะลองดูก่อน "ดวงตาของชิ่งหมิงกระพริบตา แม้ว่าจะเห็นได้ชัดว่าเขายอมรับความเจ็บป่วยที่รักษาไม่หายแล้วแต่เขายังคงมีความสุขเพราะทัศนคติของจั๋วซือหราน เขาพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า "ดีจัง"“กล้าพูดนัก” ทันใดนั้นเสียงทุ้มก็ดังขึ้นวินาทีต่อมา ร่างสูงร่างหนึ่งก็รีบเข้ามาหาจั๋วซือหรานอย่างกะทันหัน ในมือนั้นมีแสงเย็นชาด้วยดวงตาของชิ่งหมิงเป็นประกาย"เฉียง——" เสียงบางอย่างดังขึ้นมีเสียงปะทะกันที่คมชัด และระหว่างสายฟ้ากับหินเหล็กไฟ มีดยาวสีดำทองได้ปิดกั้นการโจมตีที่เข้ามาคนคนนั้นปิดกั้นอาวุธของเขาห่างจากจั๋วซือหรานระยะหนึ่งจั๋วซือหรานนั่งที่ที่เดิมอยู่ นา
ดาบยาวที่เวินป๋อยวนถืออยู่ถูกดาบยาวสีดำทองของชิ่งหมิงกั้นไว้จากท่านี้ สองคนนี้ดูเหมือนต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันแต่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ดังนั้นในขณะนี้ เมื่อเวินป๋อยวนพูดคำเหล่านี้ออก ดาบยาวในมือของเขาสั่น และดาบของชิ่งหมิง ก็ถูกเขย่าออกไปในความเป็นจริง ดูจากทักาะที่ชิ่งหมิงยกดาบขึ้นเพื่อป้องกันการโจมตีของเวินป๋อยวน ก็ไม่ยากที่ทราบว่า ทักษะการต่อสู้ของชิ่งหมิงยังคงด้อยกว่าเวินป๋อยวนเล็กน้อยแค่ว่าเวินป๋อยวนไม่ได้จริงจังเกินไป แต่ในขณะนี้ เขาเริ่มจริงจังแล้วจากนั้น ในวินาทีถัดมา มีเสียงของการถูกปลดออกจากฝักจั๋วซือหรานรู้สึกถึงความเย็นชาที่คอของนางนางมองไปด้านข้าง เหลือบมองที่ใบดาบที่ด้านข้างคอของนาง สีหน้าของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก และแม้แต่น้ำชาในถ้วยชาที่ถือในระหว่างนิ้วของนางก็ไม่มีระลอกคลื่น“ข้าไม่เข้าใจทำไมท่านซือหลี่ถึงบอกว่าข้ามีท่านซือเจิ้งหนุนหลังให้” จั๋วซือหรานโค้งริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยนางรู้อยู่ในใจว่าสิ่งที่เวินป๋อยวนกำลังพูดถึงก็คือครั้งสุดท้ายที่นางไปตลาดมืด นางบังเอิญพบกับซือเจิ้ง และซือเจิ้งช่วยนางแก้ปัญหาระหว่างนางและเจ้าสำนักที่หอฟ้าดาวแม้ว่าจั๋วซื
มือที่สะอาดซึ่งมีนิ้วที่คมและเพรียวบางอย่างที่ชายหนุ่มควรมี ยื่นออกมาจากด้านข้างแล้วจับดาบของเวินป๋อยวนโดยตรงเขาคว้ามันไว้ในคราวเดียว ทำให้ดาบของเวินป๋อยวนไม่สามารถขยับไปข้างหน้าได้แม้แต่นิ้วเดียวเวลาเพียงกระพิบตาเดียว เลือดก็เริ่มหยดลงจากนิ้วเวินป๋อยวนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้ไมเกินการคาดคิดของเขา เขาขมวดคิ้วและพูดว่า "เจ้า... ปล่อยมือเลย"ชิ่งหมิงไม่พูดอะไร เขาจ้องมองเวินป๋อยวนครู่หนึ่ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญและความแน่วแน่“ ชิ่งหมิง” ม่านตาของจั๋วซือหรานกระชับขึ้น “ ชิ่งหมิง รีบปล่อยมือ”นางรีบเหยียดมือออกและแยกนิ้วมือของชิ่งหมิงออกจากดาบ"ปล่อยเร็วเข้า เชื่อฟัง"เมื่อเห็นจั๋วซือหรานรีบดึงนิ้วของเขาออก ชิ่งหมิงกลัวดาบจะทำร้ายนาง เขาจึงปล่อยมือ ขณะที่เขาปล่อยมือ เขาก็จับดาบไว้แล้วโยนมันทิ้งไป“เจ้านี่มัน…!” จั๋วซือหรานดูบาดแผลที่เปื้อนเลือดบนฝ่ามือของเขา นางโกรธและเป็นกังวล “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ จับดาบด้วยมือเปล่า”“ข้า…” ชิ่งหมิงกำลังจะพูดอะไร จั๋วซือหรานจ้องเขาชายหนุ่มที่แต่เดิมกล้าเผชิญหน้ากับวินป๋อยวน กล้าใช้ดาบปะทะเวินป๋อยวนโดยตรง และกล้าจับดาบด้วยมื
“นี่ฝูซูกับเฮยหลิงยังไว้หน้าพวกเจ้าอยู่นะ ถึงยังไม่จับตะเกียบ ไม่อย่างนั้นพวกเจ้าแค่น้ำแกงก็ไม่ได้ชิมด้วยซ้ำ” เจี่ยงเทียนซิงวางตะเกียบลงหัวเราะฮั่วจือโจวไม่อยากเชื่อ ถามขึ้นว่า “นี่คือของที่แม่นางจั๋วจิ่วทำหรือ? จริงหรือเปล่า?”“เป็นของที่คุณหนูข้าทำเอง” ฝูซูพยักหน้าอินเจ๋ออันมองเขา ถามขึ้นว่า “คุณชายฮั่ว ยอมรับแล้วหรือยัง?”ฮั่วจือโจวถอนหายใจเบาๆ พยักหน้าเจี่ยงเทียนซิงเห็นท่าทางแขกยึดครองตำแหน่งเจ้าภาพของอินเจ๋ออันแล้วก็หัวเราะพรวดขึ้นมา “เปาน้อย เจ้าเองก็ไว้หน้าตัวเองหน่อยดีไหม คำพูดนี้ข้าต่างหากที่ควรถาม? เจ้าน่ะยอมรับแล้วหรือยัง?”“ถ้าข้าไม่ยอมรับ แล้วข้าจะเอาเงินมาให้พวกเจ้าด้วยตัวเองทำไมกัน?!” อินเจ๋ออันจ้องอย่างมาดร้ายไปทางเจี่ยงเทียนซิงตัวเขาเองอาจจะไม่ทันสังเกต ว่าตนเองกระทั่งลืมไปแล้วว่าต่อต้านชื่อเรีย ‘เปาน้อย’ อยู่เฟิงหร่านนั่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรมาตลอด สนใจแค่การกินอาหารบนโต๊ะอย่างรวดเร็วราวพายุดูดเท่านั้นนางกินไปด้วย พิจารณาชายหนุ่มสามคนนี้ไปด้วยในใจจู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาเฟิงหร่านเกิดวิตกกังวลขึ้นมาแทนพี่ชายตนเอง นางชื่นชมในใจ พี่หญิงจั๋วน
สายตาฮั่วจือโจวมองจั๋วซือหรานอย่างลึกซึ้งตระกูลขุนนางเหล่านี้ล้วนเป็นแบบเดียวกัน จั๋วซือหรานเองก็เดินออกมาจากตระกูลขุนนาง ดังนั้นจึงเข้าใจเป็นอย่างดีต่อให้ทุกคนจะเป็นลูกหลานในตระกูลเหมือนกัน และก็จะมีพวกลูกหลานที่ได้รับการปฏิบัติกับให้ความสำคัญมากกว่า และก็จะมีลูกหลานที่ถูกมองข้ามหรือเมินเฉยแต่นี่ก็จะขึ้นอยู่กับฝีมือของรุ่นพ่อและฝีมือของตนเองดูจากจั๋วซือหรานแล้วมองออกไม่ยาก กระทั่งฝีมือของรุ่นพ่อก็ยังไม่แน่ว่าจะสำคัญ เพราะพ่อของนางนั้นไม่อยู่มานานแล้วมีเพียงฝีมือของตนเองที่ถูกให้ความสำคัญมากที่สุดดังนั้นในฐานะที่เป็นลูกหลานในตระกูล หากคิดจะได้รับการให้ความสำคัญของตระกูล อย่างน้อยก็ต้องทำผลงานออกมาให้ได้สถานการณ์ของฮั่วจือโจวตอนนี้ก็น่าจะเป็นเช่นนี้เขามีฝีมืออยู่บ้าง และมีอุดมการณ์ของตนเองด้วยเช่นกัน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ จะตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามไม่ได้เพราะในตระกูลเช่นนี้ คนมากมายล้วนเป็นแบบเดียวกัน โอกาสอาจจะมีแค่ครั้งเดียว ถ้าทำผลงานไม่ได้ หลังจากนี้ทรัพยายากรก็อาจจะไม่เอนมาทางเขาอีกแล้วจุดนี้ จั๋วซือหรานไม่ลังเลที่จะพูดออกมาสายตาฮั่วจือโจวหยุดอยู่ที่แ
จั๋วซือหรานยิ้มๆ “ก็ต้องตั้งแต่ตอนที่เจ้าตามพวกเราเข้ามาแล้วน่ะสิ”ฮั่วจือโจวลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้ามาทางนี้ นั่งลงข้างโต๊ะพวกเขา“เมื่อครู่แผนของแม่นางจิ่ว ข้าได้ยินแล้ว” ฮั่วจือโจวเองก็ไม่ปิดบัง พูดออกมาตรงๆเขาพูดประโยคนี้ออกมา ก็หวังว่าจั๋วซือหรานจะไม่ต้องมาเสียเวลาคิดมากในเรื่องนี้แล้วแต่ฮั่วจือโจวคิดไม่ถึงว่าจั๋วซือหรานจะพูดว่า “ข้าจงใจพูดออกมาให้เจ้าได้ยิน”สีหน้าฮั่วจือโจวตกตะลึงไปทันที “อะไรนะ?”จั๋วซือหรานยิ้มตาโค้งเอ่ยขึ้นว่า “คุณชายสามฮั่วฟังแผนการของข้าแล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง?”“ไม่เลว” ฮั่วจือโจวตอบ “มิน่าสี่ตระกูลที่เหลือจึงมองเจ้าเป็นหนามยอกอก”รอยยิ้มบนหน้าจั๋วยังไม่จางหาย “ถ้าข้าไม่จงใจพูดให้เจ้าได้ยิน แล้วจะกล่อมให้เจ้ามาร่วมมือได้อย่างไรกัน?”“ร่วมมือ?” ฮั่วจือโจวตกตะลึงจั๋วซือหรานตอบ “อืม ข้าไม่มีเจตนาจะทำให้ตระกูลฮั่วต้องลำบากใจ ถ้าแค่ตระกูลฮั่วไม่ทำให้ข้าลำบากใจน่ะนะ แต่ข้าเองก็เข้าใจ บุ่มบ่ามไปแย่งธุรกิจของคนอื่น ดูแล้วยังไงก็ไม่เหมาะสม และยังเป็นในสถานการณ์ที่ข้ามั่นใจว่าข้าคว้ามันมาได้ด้วย”ฟังคำพูดนี้ของจั๋วซือหรานแล้ว ฮั่วจือโจวก็หัวเราะขึ้นมา เขาก
“ทำให้มันคึกคักขึ้น?” เฟิงหร่านตาเป็นประกาย ความชื่นชมต่อตัวจั๋วซือหรานของนางไม่ได้แค่นิดหน่อยแล้วตอนนี้มองจั๋วซือหรานด้วยตาเป็นประกาย “พี่หญิงจั๋ว จะทำให้มันคึกคักขึ้นได้อย่างไรหรือ?”จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “วิธีการมีอยู่เยอะเลยทีเดียว ก็ให้เจ้าไปแสดงพ่นไฟ เฮยหลิงไปแสดงหน้าอกทลายหินอะไรแบบนั้น หรือไม่ข้าก็ให้พวกแมลงไปแสดงละครหุ่นกระบอก? ต้องสนุกคึกคักแน่ๆ...”“พ่น พ่น...พ่นไฟ??” ในสายตาเฟิงหร่านเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อก็จริง สำหรับนางที่เป็นคุณหนูลูกขุนนางเช่นนี้ทุกการกระทำทั้งหมดของจั๋วซือหราน กระทั่งแค่ลมหายใจของนาง ก็ดูจะผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ ในตระกูลขุนนางเหล่านั้น “พ่นไฟเป็นไหม? ถ้าไม่เป็นเดี๋ยวไว้ข้าหาเวลาสอนเจ้า” จั๋วซือหรานวางตะเกียบลง “สรุปคือ ถ้าถึงเวลาต้องเปิดกิจการ ก็หาการแสดงอะไรมา จากนั้นพอเปิดร้านก็เตรียมการให้ลูกค้าแต่ละโต๊ะหลังจากที่กินอาหารเสร็จ ก็มอบอาหารเพิ่มให้อีกหนึ่งจานแบบไม่ต้องจ่ายเงินอะไรแบบนี้”“ประชาชนกินเพื่ออยู่ ขอแค่ของอร่อย ยังต้องกลัวว่าจะไม่มีใครมาอีกหรือ” จั๋วซือหรานคิดคิด เอ่ยต่อว่า “ไหนจะเรื่องที่อาหารของที่นี่รสชาติแย่แค่ไหน น่าจะไ
จั๋วซือหรานตอบ “เดี๋ยวเจ้าลองชิมก็รู้แล้ว...”ผ่านไปครู่หนึ่ง อาหารก็ส่งขึ้นมา หน้าตาแย่เอามากๆเจี่ยงเทียนซิงจึงเพิ่งได้ยินประโยคหลังของจั๋วซือหราน “...ไม่ใช่ห่วยแตกแบบธรรมดาด้วย”เจี่ยงเทียนซิง “...”เฟิงหร่าน “...”ฝูซู “...”เฮยหลิง “...”ทุกคนทยอยกันพูดไม่ออกจั๋วซือหรานหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบคำหนึ่งส่งเข้าปาก หลังจากเคี้ยวไปสองคำ ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “พวกเจ้าลองชิมสิ ห่วยแตกแบบไม่ธรรมดาจริงๆ”เฮยหลิงยังพอไหว ถึงอย่างไรก่อนหน้านี้ก็ใช้ชีวิตยากลำบากมาแล้ว ขยับตะเกียบ หลังจากกินคำแรกไปเห็นได้อย่างชัดเจน ว่าเขาเหมือนจะโกรธขึ้นแล้วเฟิงหร่านเองพอเห็นสถานการณ์ จึงวางตะเกียบลงเงียบๆเจี่ยงเทียนซิงถาม “เจ้าหิวแล้ว แต่จงใจมายังร้านอาหารที่รสชาติแย่หรือ?”จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น “ลองชิมดูก่อน แบบนี้ภายหลังจะได้มีความแตกต่าง”เจี่ยงเทียนซิงก็เชื่อฟังคำพูดของนาง คีบขึ้นมาพอส่งเข้าปาก จึงเพิ่งมีปฏิกิริยากับคำพูดของจั๋วซือหราน “...ภายหลัง?”ตอนนี้เอง อะไรบางอย่างที่อยู่ในปาก ในที่สุดก็ทำเอาประสามรับรสของเขาถูกปะทะอย่างรุนแรง“ถุด” เจี่ยงเทียนซิงพ่นอาหารในปากออกมา รู้สึกว่าคำวิจารณ์ก่อน
พอได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จั๋วซือหรานก็เลิกคิ้ว “นั่นก็จริงอยู่”เจี่ยงเทียนซิงถามขึ้น “บาดแผลของเจ้าไม่เป็นไรหรือ?”“ถ้าเจ้าถามช้าอีกหน่อย มันก็หายสนิทแล้ว” จั๋วซือหรานมองตำแหน่งบาดแผลเหล่านั้นบนร่างกายตนเองผาดหนึ่ง“ที่ข้าพูดไม่ได้หมายถึงบาดแผลในการประลองเมื่อครู่ แต่เป็นของเมื่อคืนนี้” เจี่ยงเทียนซิงบอกมาเฟิงหร่านอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดของเจี่ยงเทียนซิง จึงรีบกำชับขึ้นมาว่า “จริงด้วย พี่หญิงจั๋ว ท่านไม่เป็นอะไรแล้วหรือ? ข้าได้ยินเรื่องที่ท่านเข้าไปในศาลบรรพบุรุษเมื่อคืนนี้แล้ว นั่นมันอันตรายมากเลย! ท่านไม่ได้บาดเจ็บใช่ไหม?”จั๋วซือหรานเหลือบมองแม่นางคนนี้ “พี่ชายของเจ้า กลับบ้านไปแล้วหรือยัง?”เฟิงหร่านตกตะลึง จากนั้นจึงพยักหน้า “กลับมาแล้ว”“เช่นนั้นเขาไม่ได้บอกเจ้าหรือ?” จั๋วซือหรานถามขึ้นมาอีกเฟิงหร่านถอนหายใจอีกครั้ง “อารมณ์ของพี่ชายเหมือนไม่ค่อยดีนัก หลังจากกลับมา ผู้อาวุโสหลายคนที่อยากไปคุยกับเขา ก็ล้วนถูกไล่ออกมาหมด ข้าเองก็ไม่กล้าเข้าไปวุ่นวาย”นางมองจั๋วซือหรานตาแป๋ว “พี่หญิงจั๋ว เป็นเพราะท่านหรือเปล่า?”“หือ?” จั๋วซือหรานส่งเสียงสงสัยขึ้นมาเฟิงหร่านถามขึ้น
“ไม่มีเคล็ดวิชาอะไร กระทั่งไม่มีถุงเก็บสัตว์ด้วยซ้ำ แต่กลับเก็บแมงมุมหน้าผีระดับราชาลงไปได้ในชั่วพริบตา” ซางเชวี่ยเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ “ก่อนหน้านี้ตอนที่นางอัญเชิญราชาแมงมุมหน้าผีออกมา พวกเราถูกทำให้เข้าใจผิดจนคิดว่าอีกฝ่ายอัญเชิญออกมา คู่มือของนางคนนั้น แม้ความเร็วในการอัญเชิญจะเร็ว แต่ก็ยังต้องมีเคล็ดวิชาอะไรอยู่”“ตอนนั้นถูกเบนความสนใจจนไม่ทันสังเกต ตอนนี้กลับมองเห็นชัดเจนแล้ว ไม่แน่ว่าตอนที่นางอัญเชิญมาก็เป็นเช่นนี้ ไม่มีเคล็ดวิชาอะไรในการเก็บหรือเรียก” คนตระกูลซางที่ถูกจั๋วซือหรานแย่งราชาแมงมุมหน้าผีไปคนนั้นเอ่ยขึ้นเสียงขรึมเขาจู่ๆ ก็รู้สึกโชค ที่ตอนไปจัดการราชาแมงมุมหน้าผีในป่าลึกลับตอนนั้น ตนเองไม่ได้เผชิญหน้ากับจั๋วซือหรานเหมือนคนพวกนั้นตอนนั้นเขายังรู้สึกว่า ราชาแมงมุมหน้าผีถูกแย่งไปเพราะโชคดีที่ไม่ได้มาเจอกับเขา ดังนั้นจึงแย่งไปได้อย่างราบรื่นแต่พอเห็นตรงนี้ ในใจเขาก็แอบรู้สึกโชคดี ยังดีที่ตนเองโชคดี! ไม่ได้ไปเจอเข้ากับจั๋วซือหรานในตอนนั้น! ไม่เช่นนั้น เขาคงได้กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่ในป่าลึกลับเหมือนคนอื่นๆ พวกนั้นแน่!และบนเวทีประลองตอนนี้ หลังจากจั๋วซือหรานเก็บราชาหน้
เปรี๊ยะ...! ตอนที่เสียงนี้ดังขึ้น แจ่มชัดอย่างมากต่อให้ในสถานที่ที่สับสนวุ่นวายอย่างในลานประลอง ก็ยังแจ่มชัดอย่างมาก!ทุกคนล้วนมีปฏิกิริยากันขึ้นว่ามาต้นเสียงมาจากไหนแต่เพียงไม่นาน ก็มีคนพบขึ้นแล้ว“ดู...ดูสิ! ให้ตายเถอะ...เว เวที แตก...แตกออกแล้ว!”ภายใต้การจับตามองของทุกคน ด้านใต้ร่างกายของซางถิง แตกออกมาเป็นรอยแยกรอยหนึ่ง!“นั่น...นั่นไม่ใช่เวทีที่ทำจากหินต้องห้ามหรือ? ทำ ทำไมถึง...แตกล่ะ?”ระดับความแข็งของหินต้องห้ามแค่จินตนาการก็รู้แล้ว ไหนจะคุณสมบัติพิเศษของหินต้องห้ามที่สามารถสะกดพลังวิญญาณของมนุษย์ได้ถ้าหากไม่สามารถใช้พลังวิญญาณ แล้วคิดจะสร้างรอยแตกแก่หินต้องห้าม นั่นมันฝันกลางวันชัดๆทว่าตอนนี้ กลับมีคนทำได้แล้วก็คือคนที่เดิมทีถูกทุกคนดูถูกบนเวทีประลอง ถูกทุกคนเข้าใจว่าสู้หลอกๆ เข้าใจว่านางไม่มีฝีมือการต่อสู้...คนที่เป็นแค่หญิงสาวในสายตาของทุกคนคนนั้นจัดการหั่น...เวทีประลองที่ทำจากหินต้องห้ามนี้จนแตกหลังจากที่ทุกคนตระหนักขึ้นได้ ทั่วทั้งลานก็เงียบลงมาทันทีจั๋วซือหรานมองไปทางอินเจ๋ออัน อินเจ๋ออันก็สีหน้าปั้นยากขึ้นมา กระทั่งประกาศแพ้ชนะก็ยังลืมทำ ยืนแข็งทื
เพราะบนเวทีประลอง ไม่ค่อยจะมีความยอดเยี่ยมที่พิเศษนัก หรือก็คือ การต่อสู้ที่งดงามยอดเยี่ยม คนที่เก่งกาจจริงๆ ใครก็ไม่อยากจะมาเสียเวลาบนเวทีประลองระดับต่ำๆ เช่นนี้ปกติจึงมีแต่การต่อสู้ที่ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรนัก และเพราะเหตุนี้ ทุกคนจึงอยากจะลองเดิมพันกัน อยากจะเห็นการต่อสู้ที่เลือดสาดยิ่งขึ้น เพราะมันต้องมีอะไรสักอย่างที่ดึงดูดสายตาแต่ตอนนี้ การต่อสู้บนเวที ไม่จำเป็นต้องเลือดสาด แค่นี้ก็ยอดเยี่ยมเพียงพอแล้วยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาก็มองออก!สถานการณ์ตอนนี้เหมือนเคยเจอมาก่อนเพียงไม่นาน ก็มีคนมีปฏิกิริยาขึ้นมา“ไม่ใช่เหมือนกับตอนยกแรกหรือ? แค่พลิกกลับมาเท่านั้น”“จริงด้วย! ตอนยกแรก เป็นหญิงสาวถูกอีกฝ่ายใช้แส้ไล่ฟาดบีบจนเข้าไปในระยะโจมตีของสัตว์ประหลาด!”“แต่ว่าตอนนี้เหมือนนางมาไล่บี้ชายคนนี้ไปในระยะของสัตว์ประหลาด...?”“ไม่ ไม่ใช่ นางบีบชายคนนี้ ตรงไปยังจุดโจมตีถัดไปของนาง!”“พอพูดเช่นนี้ ตอนยกแรกคงไม่ใช่ว่านางยอมให้คนอื่นชนะหรอกใช่ไหม...?”จั๋วซือหรานได้ยินเสียงเหล่านี้ หางตายกโค้งนางคิดจะให้ทุกคนรู้สึกเช่นนี้ พอเป็นแบบนี้ก็คงไม่มีใครรู้สึกว่านางไม่มีฝีมือ เอาชนะมาได้เพราะอีกฝ