มือที่สะอาดซึ่งมีนิ้วที่คมและเพรียวบางอย่างที่ชายหนุ่มควรมี ยื่นออกมาจากด้านข้างแล้วจับดาบของเวินป๋อยวนโดยตรงเขาคว้ามันไว้ในคราวเดียว ทำให้ดาบของเวินป๋อยวนไม่สามารถขยับไปข้างหน้าได้แม้แต่นิ้วเดียวเวลาเพียงกระพิบตาเดียว เลือดก็เริ่มหยดลงจากนิ้วเวินป๋อยวนขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์นี้ไมเกินการคาดคิดของเขา เขาขมวดคิ้วและพูดว่า "เจ้า... ปล่อยมือเลย"ชิ่งหมิงไม่พูดอะไร เขาจ้องมองเวินป๋อยวนครู่หนึ่ง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความกล้าหาญและความแน่วแน่“ ชิ่งหมิง” ม่านตาของจั๋วซือหรานกระชับขึ้น “ ชิ่งหมิง รีบปล่อยมือ”นางรีบเหยียดมือออกและแยกนิ้วมือของชิ่งหมิงออกจากดาบ"ปล่อยเร็วเข้า เชื่อฟัง"เมื่อเห็นจั๋วซือหรานรีบดึงนิ้วของเขาออก ชิ่งหมิงกลัวดาบจะทำร้ายนาง เขาจึงปล่อยมือ ขณะที่เขาปล่อยมือ เขาก็จับดาบไว้แล้วโยนมันทิ้งไป“เจ้านี่มัน…!” จั๋วซือหรานดูบาดแผลที่เปื้อนเลือดบนฝ่ามือของเขา นางโกรธและเป็นกังวล “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ จับดาบด้วยมือเปล่า”“ข้า…” ชิ่งหมิงกำลังจะพูดอะไร จั๋วซือหรานจ้องเขาชายหนุ่มที่แต่เดิมกล้าเผชิญหน้ากับวินป๋อยวน กล้าใช้ดาบปะทะเวินป๋อยวนโดยตรง และกล้าจับดาบด้วยมื
จั๋วซือหรานรู้สึกนางใช้กำลังตามปกติเกือบห้าเท่าหรือมากกว่านั้นเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่ผิวหนังบนมือชิ่งหมิงซึ่งเหนื่อยเหลือเกิน สาเหตุหลักคือสภาพปัจจุบันของนางไม่ดีพอจั๋วซือหรานมุ่ยเล็กน้อย นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย แม้ว่านางไม่ได้พูดออกมาดัง ๆ แต่จริง ๆ แล้วนางก็รู้สึกอยู่ในใจว่าฝีมือการรัดษาของนางในเมื่อครู่นี้ทำให้คนอื่นดูถูกนางได้ง่ายนางมีความภาคภูมิใจในตัวเอง ดังนั้นนางจึงค่อนข้างไม่สบายใจ นางไม่ไม่ได้โกรธคนอื่น แต่นางโกรธตัวเองหลังจากนางรักษาอาการบาดเจ็บบนมือของชิ่งหมิงเสร็จ จั๋วซือหรานวางมือลง นางถอนหายใจเบา ๆ แล้วหันไปมองเวินป๋อยวน "ที่ท่านพูดว่าข้าไร้ยางอายข คงเป็นเพราะเหตุนี้ใช่ไหมเจ้าคะ"เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ของเวินป๋อยวนสงบลงกว่าเดิมมาก ตอนนี้เขาไม่โกรธจั๋วซือหรานอีกแล้วเมื่อได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย "นั่นคือเหตุผลที่ข้าบอกเจ้าว่า หากเจ้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะทำได้ ดังนั้นอย่ารีบะให้ความหวังแก่ผู้คน นิสัยของชิ่งหมิงดั่งกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่ง ดูเหมือนเขาเชื่อใจเจ้ามาก หากเจ้าทำไม่สำเร็จ เจ้าจะทำให้เขาผิดหวังเท่านั้น”เมื่อได้ยินคำพูดข
จั๋วซือหรานคิดว่านี่คงเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในอาชีพของนางกระมัง สมัยก่อนในสังคมยุคใหม่ แม้จะเจอสถานการณ์ที่ยากลำบากแต่อย่างน้อยนางยังสามารถใช้เครื่องมือของสมัยใหม่ ยารักษาโรค ฯลฯ ได้แต่เมื่อมาถึงโลกใบนี้ นางจึงพบปัญหาที่แก้ไขได้ยากจริง ๆแต่นางไม่ได้คาดหวังว่าอาการของท่านอ๋อง เฟิงเหยียน ร้ายแรงพอแล้ว ยังมีเจ้าตัวน้อยชิ่งหมิง รอนางอยู่เลย อาการของสองคนนี้ร้ายแรงพอ ๆ กันสิ่งนี้ทำให้จั๋วซือหรานอยากท้าทายจริง ๆมันก็เหมือนกับที่นางพูดในก่อนหน้านี้ - นางไม่เชื่อเวินป๋อยวนจ้องมองดูนาง และเขาเห็นไฟเล็ก ๆ ในดวงตาของนาง ซึ่งไม่ยอมรับความพ่ายแพ้เขารู้สึกเด็กหญิงคนนี้น่าสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงยื่นมือออกและผนึกยันต์สองสามอันด้วยปลายนิ้วอย่างรวดเร็วและคลล่องเคล่วจั๋วซือหรานเห็นว่าบนฝ่ามือของเวินป๋อยวนมีสัญลักษณ์ที่ดูเหมือนตราบางอย่างส่องแสงแวววาวเรื่อย ๆ“หากเจ้ากล้าทำสัญญาด้วยจิตวิญญาณแห่งการพูดกับข้า ข้าจะยืนดีบอกเหตุผลกับเจ้า”จั๋วซือหรานไม่พูดอะไรเลย เพียงจ้องมองไปที่ตราสัญลักษณ์ที่ยังคงกระพริบเล็กน้อยบนฝ่ามือของนาง นางขมวดคิ้วเล็กน้อย“นี่คือจิตวิญญาณแห่งการพูดหรือ” แม้ว่าในค
จั๋วซือหรานเหลือบมองที่ฝ่ามือของนาง สัญลักษณ์ของสัญญาณจิตวิญญาณแห่งการพูดกะพริบบนฝ่ามือของนางแล้วหายไปนี่หมายความว่ามีผลบังคับใช้สัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดแล้วจั๋วซือหรานรู้สึกมหัศจรรย์จริง ๆ นางอดไม่ได้ที่ต้องค่อย ๆ กำหมัดของนาง แล้วเปิดมันอีกครั้ง นี่ทำให้นางรู้สึกแปลกมากและนางเริ่มรู้สึกสนุกจากนั้นนางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เวินป๋อยวน เพื่อรอคำตอบของเขาทำไมร่างกายของชิ่งหมิงถึงเป็นเช่นนี้เวินป๋อยวนค่อย ๆ อ้าปากพูด เขาพูดอย่างใจเย็น ๆ " ชิ่งหมิง เป็นบุตรหลานของตระกูลจวง ซึ่งตระกูลนี้เป็นผู้ที่มีฐานะสูงในแคว้นเหยี่ยน เขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่นและไม่แพ้เจ้า พรสวรรค์ของตระกูลจางไม่เหมือนตระกูลอื่นมาก พวกเขาเหมือนวิญญาณแห่งอาวุธโดยกำเนิด"จั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องหันไปมองชิ่งหมิง ชิ่งหมิงรู้สึกเขินอายและก้มศีรษะลงจั๋วซือหรานรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับพลังแห่งพรสวรรค์จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ทุกคนอาจมีพรสวรรค์โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์จะไม่มีปัญญาฝึกฝนได้และคนที่มีพรสวรรค์ก็มีความสามารถที่แตกต่างกันอย่างตระกูลจั๋วมีวิญญาณไม้ในสายเลือด ตระกูลเฟิงมีวิญญาณไฟในสายเลือด ส
นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมจั๋วซือหรานต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการรักษาหรือตรวจสุขภาพของเขาหลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน ชิ่งหมิงรู้สึกเขินอายมากขึ้นเมื่อเวินป๋อยวนได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน สีหน้าของเขายังคงเย็นชาเช่นเคย และเขาพูดเย็นชาเช่นเดิม "อย่างไรก็ตาม เรามีสัญญาทางจิตวิญญาณอยู่แล้ว เจ้าจะรักษาเขาได้หรือไม่ ข้าไม่สน อย่าไปประกาศอาการของชิ่งหมิงทั่วก็พอ ส่วนเจ้าทำให้เขามีความหวังที่อาจสมหวังได้ยาก ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่สนใจเลย ข้าจะไม่หาเรื่องเจ้า”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จั๋วซือหรานลดสายตาลง ยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มเบา ๆจากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและมองเวินป๋อยวน นางสบตากับเขาพอดี“หัวเราะหรือ” เวินป๋อยวนถามกลับจั๋วซือหรานยังคงยิ้มเบา ๆ นางพูดว่า "ท่านซือหลี่ไม่เชื่อข้าจริง ๆ ""..." เวินป๋อยวนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบา ๆ "ข้าไม่ใช่สงสัยเจ้าเพียงผู้เดียว ข้าไม่เชื่อทุกคน"จั๋วซือหรานถอนนิ้วที่ถือข้อมือของชิ่งหมิงกลับ นางพูดว่า "ถูกวางยาพิษตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ไม่ใช่หรือ พิษที่ได้มาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เนี่ย จะรักษายากหน่อย และใช้เวลารักษานานหน่อย แต่ทำไมต้องถึงขั้นที่ท่านซือหลี่ไม่เช
ชิ่งหมิงบอกจั๋วซือหราน ท่านแม่ของเขาเป็นท่านพี่ของเวินป๋อยวนไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ แต่เป็นพี่สาวในรุ่นเดียวกันในตระกูลเดียวกันรู้สึกเหมือนอย่างที่จั๋วซือหรานเคยทราบมาหมู่บ้านบางที่ ทุคกนมีนามสกุลเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน แต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่ห่างไกลประมาณเช่นนี้คร่าพ่อแม่ของเวินป๋อยวนเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก และเขาต้องอาศัยการดูแลของพี่สาวในตระกูลนี้เพื่อความอยู่รอดในตระกูล ต่อมาพี่สาวของตระกูลคนนี้แต่งงานเข้าตระกูลจวง ซึ่งเป็นตระกูลที่มีฐานะสูงส่ง และตระกูลของเวินป๋อยวนเห็นแห่หน้าของพี่สาวคนนั้น เลยไม่ละเลยเวินป๋อยวนเวินป๋อยวนค่อย ๆ แสดงความสามารถของเขาเมื่อเขามีอายุ 7 ขวบ เขามีชื่อเสียงและได้รับความสนใจจากตระกูลในเวลานี้ พี่สาวที่แต่งงานเข้าตระกูลจวงเสียชีวิตเพราะนางให้กำเนิดชิ่งหมิงแม้ว่าเวินป๋อยวนจะเสียใจ แต่เขาก็มองว่ามันเป็นโชคชะตา ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดเขาพยายามฝึกฝนอย่างหนัก และต่อมาก็เข้าสู่ลัทธิ ต่อมาเขาได้ทราบว่าเด็กกำพร้าที่พี่สาวทิ้งไว้นั้นมีชีวิตอย่างไม่ดีในตระกูลจวงคำว่า'ไม่ดี' นั้น ไม่ใช่ความหมายอย่างที่เราเข้าใจดังนั้
จั๋วหวายอดไม่ได้ที่ต้องถอนหายใจ “ท่านพี่ขอรับ ท่านพี่มองออกได้ด้วย หากท่านพี่ไม่อธิบาย ข้าคงมองไม่เข้าใจหรอกขอรับ”จั๋วซือหรานยิ้มและมองเขา นางเอื้อมมือไปบีบหยิกใบหน้าของเขา "นั่นคือเหตุผลที่ข้าให้เจ้าไปเรียนหนังสือ ยิ่งเจ้าเรียนมากเท่าไร เรียนให้เยอะ ๆ สมองของเจ้าก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น เข้าใจไหม"ใบหน้าของจั๋วหวายถูกนางหยิกจนบิดเบี้ยว และเขาก็พูดอย่างไม่ชัดเจนว่า "ข้ารู้ ข้ารู้"แต่หากจะบอกว่าจั๋วหวายไม่ฉลาด เขาก็ฉลาดพอที่จะถามจั๋วซือหรานได้เลยว่า "หากเรื่องเป็นไปตามอย่างที่ท่านพี่พูด หากชิ่งหมิงถูกคนอื่นวางยาพิษโดยเจตนา หากท่านพี่รักษาเขาได้ มันจะทำให้ใครบางคนขุ่นเคืองหรือไม่"จั๋วซือหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ไกลขนาดนี้ ใครจะรู้เรื่องราวของข้า ข้าเป็นแค่คนไม่สำคัญ คนไร้ความสามารถ"จั๋วหวายม้วนริมฝีปากและพูดกับตัวเองว่า ท่านพี่ ซึ่งเป็นคนไม่สำคัญได้ทำให้เมืองหลวงวุ่นวายอย่างมากแล้ว“ยิ่งกว่านั้น ข้าเคยกลัวทำให้ผู้อื่นโกรธเมื่อไรล่ะ ที่ตลอดผ่านมา ข้าเป็นด…” จั๋วซือหรานมองและยิ้ม จากนนั้นนางพูดต่อ “แต่จงทำความดี และอย่าถามถึงอนาคต มุ่งไปตามความปรารถนาของตัวเอง ไม่ต้องสนใจเรื่องใด ๆ
หลังจากท่านพี่เขาเสียชีวิต เวินป๋อยวนเชื่อเสมอว่า ผู้ที่แสดงดีกับเราต้องหวังผลประโยชน์แน่นอนสัตว์ที่น่ารังเกียจเช่นมนุษย์จะทำทุกอย่างเพื่อผลกำไรจนกระทั่งเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้จากจั๋วซือหราน ต้องยอมรับว่าบางครั้ง พลังของคำพูดมีพลังที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เชื่อใครอีกต่อไปแต่หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาคิดว่าบางทีเขาสังเกตดูอีกครั้งก็ได้เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อชิ่งหมิงมาหาเขา จริง ๆ แล้วเขารู้สึกกังวลเล็กน้อยชิ่งหมิงเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ดั่งกระดาษเปล่า หากเขารู้สึกไม่สบายใจ เขาจะแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นได้ง่ายผู้อื่นสามารถมองออกได้ในประโยคแรก และสามารถดูได้ในคำแรกเพราะเขาจะเรียกเวินป๋อยวนจากแต่เดิมป๋อยวนมาเป็น...“น้าชาย น้าชาย...”เวินป๋อยวนยืนอยู่หน้าติ่งกลั่นยา สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง และพลังวิเศษในมือของเขาควบคุมความร้อนในติ่งอย่างเป็นระบบ เขาควบคุมไฟเพื่อเผายา และปรับแต่งวัสดุยาเมื่อได้ยินเสียงของชิ่งหมิง เขาก็เหลือบมองไปด้านข้างแล้วพูดว่า "ขอรับ"“ข้าอยาก... ออกไปข้างนอก” ชิ่งหมิงเม้มริมฝีปาก เมื่อคืนเขาสัญญากับจั๋วซือหรานแล้ว
แม้จะบอกว่าเป็นความฝัน แต่อันที่จริงจั๋วซือหรานก็ค่อยๆ เข้าใจแล้ว ว่าเพราะอะไรหลังจากฝันถึงเขาครั้งที่แล้วจนมาถึงครั้งนี้ นานมากแล้วที่ไม่ได้ฝันถึงเขาอีกพอมาคิดอย่างละเอียด เหมือนว่าตอนฝันถึงเขาครั้งที่แล้ว จะเป็นหลังจากที่นางมีสัมพันธ์ทางกายกับเขาดังนั้นจั๋วซือหรานจึงค่อยๆ เข้าใจ บางทีน่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้การดูดหยางบำรุงหยินของนางก็ดูดซับมาจนพอเข้าใจแล้ว เหมือนว่าพอดูดซับมาถึงระดับหนึ่ง ก็จะเกิด...ถ้าจะพูดว่าเป็นความฝัน สู้บอกว่าเป็นการสื่อสารทางจิตใต้สำนึกกับความทรงจำของเฟิงเหยียนส่วนที่ถูกผนึกไปจะดีกว่า?และไม่ว่าจะ 'ความฝัน' ครั้งที่แล้ว หรือว่าครั้งนี้ก็มองออกได้ไม่ยากเฟิงเหยียนน่าจะเข้าใจต่อสถานการณ์อยู่ ดังนั้นบางทีจิตใต้สำนึกเขายังคงอยู่มาตลอด เพียงแต่ถูกสมองทื่อๆ นี่กดเอาไว้ หรือบางทีคงถูกสภาผู้อาวุโสลงมือสะกดเอาไว้ไม่แน่ว่า อาจจะต้องมีชนวนเหตุบางอย่าง ถึงจะสามารถปลุกขึ้นมาได้จั๋วซือหรานอยากจะรู้ชนวนเหตุนั้นว่าคืออะไรกันแน่"ต้องทำยังไงเจ้าถึงจะดีขึ้นมา?" จั๋วซือหรานถามแต่เฟิงเหยียนกลับเหมือนจะจำจุดสำคัญนั้นไม่ได้แล้ว ขมวดคิ้ว สีหน้าดูเหมือนขมขื่น เหมือนว
ในห้วงฝันนางมองมือตัวเอง สับสนไปหมดทั้งตัว เหมือนยังตั้งตัวกลับมาไม่ได้เพราะนางถ้าไม่หลับลึก ก็จะเอาจิตใต้สำนึกส่งเข้าไปในมิติ จึงฝันน้อยครั้งมากดังนั้นตอนที่ดำดิ่งสู่ห้วงฝัน นางยังรู้สึกไม่คุ้นอยู่หน่อยๆ มองมือตนเอง รู้สึกไม่คอ่ยเป็นจริงสักเท่าไรวินาทีต่อมา มือข้างหนึ่งก็ทาบมาบนมือของนางมือข้างนั้น ข้อต่อกระดูกชัดเจน นิ้วเรียวยาว เล็บตัดมาดูสะอาดสะอ้าน ผิวหนังขาวซีดเย็นเหมือนไม่โดนแดดมานานสายตาของจั๋วซือหรานจ้องนิ่งอยู่บนมือข้างนี้ จากนั้นจึงค่อยๆ ยกขึ้นมามองไปยังเจ้าของมือนี้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีที่ตินั่นทั้งที่เป็นใบหน้าที่เพิ่งเห็นไปก่อนหลับตาลงเมื่อครู่แท้ๆ แต่ตอนนี้พอมอง กลับยังคงทำให้นางรู้สึกเหมือนไม่เจอกันเสียนานสายตาของชายหนุ่มอบอุ่น ด้านในมีความรู้สึกอารมณ์เหมือนความเจ็บปวดแฝงอยู่"จั๋วเสียวจิ่ว..." เขาก้มหน้าลงเรียกนางจั๋วซือหรานมองเขา จากนั้นจึงออกแรงบีบมือเขา และน่าจะเพราะออกแรงมากเกินไปปลายเล็บจึงเหมือนจิกลงไปในเนื้อเขาฝันถึงเขาอีกแล้วจั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาขึ้นมา ครั้งนี้เหมือนกับครั้งนั้นเลย ฝันถึงเฟิงเหยียนยิ่งไปกว่านั้นยังดูเหมือนจริงเป็นพิ
กลางดึก จั๋วซือหรานกัดริมฝีปาก กอดหมอน เดินเท้าเปล่าจากห้องด้านนอกเข้าไปยังห้องด้านใน!คิ้วงามของนางขมวดแน่น สีหน้าที่มีสีเลือดฟื้นมาบ้างแล้ว ตอนนี้กลับขาวซีดขึ้นมาในใจนางเองก็พูดไม่ออก เดิมทีตอนที่หลับก็ยังดีอยู่ พอกลางดึกจู่ๆ ก็ไม่ไหวขึ้นมาเสียแล้วหน้าอกปั่นป่วนอย่างรุนแรง เป็นความรู้สึกทรมานแบบที่นางผ่านมาก่อนหน้าไม่ผิดเพี้ยนถ้าบอกว่าคนคนนี้ไม่เข้ามาก็ว่าไปอย่าง แต่นี่ก็เข้ามาแล้วว่ากันว่าพอเคยสบายแล้ว จะยากที่จะกลับไปลำบากตอนนี้จะให้นางปล่อยชายหนุ่มที่เหมือนกับ 'ยาบำรุงครรภ์' นี้ไว้ข้างในเฉยๆ โดยไม่ใช้ แล้วต้องมานั่งทนกระอักเลือดต่อล่ะก็...ขอโทษด้วย สกุลจั๋วอย่างนางไม่ใช่คนประเภทนั้นนางเข้าใจแล้ว ก่อนที่จะหลับไปเมื่อคืนนี้ ตอนที่เฟิงเหยียนบอกว่าจะนอนด้านนอก ริมฝีปากที่เม้มแน่นนั้นกำลังอดกลั้นเรื่องอะไรน่าจะคิดไว้แล้วว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้สารเลว!จั๋วซือหรานครั่นเนื้อครั่นตัวตื่นมากลางดึก ต่อให้เป็นคนที่มีสติเยือกเย็นแค่ไหน ก็ยังมีอาการหงุดหงิดงัวเงียหลังตื่นนอนนางเดินเท้าเปล่าเข้าไปห้องด้านใน อากาศในหุบเขาตอนกลางคืนเย็นมากนางสวมแค่เสื้อบางๆ ชุดหนึ่ง ทั้งตัวเย
แต่กลับรู้ตัวตนฐานะผู้ชายทรยศของเฟิงเหยียนได้ ไม่ต้องคิดเลยว่าคงเป็นจั๋วหวายพล่ามออกมาแน่"จั๋วหวายมาบอกเจ้าหรือ?" ปันอวิ๋นถามขึ้นคำหนึ่งจวงอี๋ไห่ พยักหน้าอย่างระมัดระวัง "คุณชายเสี่ยวหวายไม่หลอกข้าหรอก คุณชายเสี่ยวหวายบอกว่าเป็นผู้ชายทรยศ เช่นนั้นกว่าครึ่งก็ต้องเป็นผู้ชายทรยศแล้ว"ปันอวิ๋นถอนหายใจแผ่วเบาในห้อง จั๋วซือหรานนั่งลงข้างโต๊ะเฟิงเหยียนไม่พูดอะไร รินน้ำชาให้นางถ้วยหนึ่งจั๋วซือหรานกำถ้วยไว้ ใช้นิ้วมือลูบไล้ขอบถ้วยเบาๆ"อีกเดี๋ยวพออาหารส่งเข้ามา ก็กินสักหน่อยแล้วค่อยนอนพัก" เฟิงเหยียนเอ่ยขึ้นแต่ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความหนักแน่นที่ห้ามปฏิเสธจั๋วซือหรานแหงนตามองเขา กำลังจะบอกว่ายังไม่หิวก็เห็นริมฝีปากบางของชายคนนี้เม้มเบาๆ เอ่ยเสียงต่ำว่า "ข้าไม่มีสิทธิ์จะมาหารือกับเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ..." สายตาเขาทอดลงไปที่ท้องน้อยนาง แววตาลึกซึ้งจากนั้นจึงเอ่ยต่อว่า "แต่การจะเตือนให้เจ้ากินอะไรดีดีก็ยังพอมีสิทธิ์อยู่" สายตาเขายกขึ้นมาจากท้องน้อยจั๋วซือหรานเลื่อนมาที่ดวงตานาง จ้องมองดวงตานาง เอ่ยต่อว่า "ถึงอย่างไรเมื่อครู่ก็เพิ่งช่วยเจ้ากลับมา ยิ่งไปกว่นั้นเรื่องถูกพลังศักดิ์สิท
เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่สามีของนาง เขายังเป็นคู่หมั้นในนามของหญิงสาวคนอื่นอีกด้วยสีหน้าของเฟิงเหยียนแข็งทื่อไปแล้ว แต่ท้ายสุดก็ยังพูดอะไรไม่ออกเพราะในคำพูดจั๋วซือหราน ไม่มีส่วนที่ผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะบอกว่าเด็กคนนี้ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเขาก็ตามแต่ครั้งก่อนหน้านั้น เป็นเพราะจั๋วซือหรานถูกวางแผนร้ายใส่ ถึงทำให้นางสับสนหลงใหลจนมีสัมพันธ์กับเขาถ้าจะบอกว่า เขาเอาเปรียบหญิงสาวไป ก็ไมไ่ด้พูดเกินเลยนักเอาเปรียบหญิงสาว จนทำนางตั้งท้อง ไม่เคยจะมารับผิดชอบอะไรตอนนี้กลับจะมาชี้มือชี้ไม้เรื่องของนางพอสรุปมาแบบนี้ มันก็ช่าง...แย่มากจริงๆเฟิงเหยียนเองก็รู้ว่าตนเองนั้นแย่มาก พูดอะไรออกมาไม่ได้ไปชั่วขณะปันอวิ๋นรู้สึกกระอักกระอ่วนแทนสหายเก่า เขากระแอมออกมาเบาๆ ทีหนึ่ง ไกล่เกลี่ยขึ้นว่า "เอาล่ะเอาล่ะ..."เขาเองก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร ถึงอย่างไร ทั้งสองคนตอนนี้จะไม่ได้เป็นคู่รัก แต่ความสัมพันธ์แบบนี้...มันก็ดูคลุมเครือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ นี่มันช่าง...ดังนั้นปันอวิ๋นเลยเปิดประเด็นขึ้น อึกอักในปากอยู่พักหนึ่ง กว่าจะพูดออกมาได้ "...พวกเจ้าหิวหรือยัง? ให้เหล่าจวนทำอะไรให้กินหน่อยดีไหม?"
นางยืนเงียบๆ อยู่ตรงนั้น แหงนตาขึ้นมองพวกเขาสายตาของเฟิงเหยียนอึ้งไปเล็กน้อย เห็นนางยืนอยู่ในประตูด้วยสีหน้านิ่งขรึมเขารู้สึกลำคอแห้งผากอย่างประหลาด ความรู้สึกนั้น บางทีควรจะเรียกว่า...ตึงเครียดไหม?"เจ้า...ตื่นขึ้นมาตอนไหนน่ะ?" เฟิงเหยียนถามจั๋วซือหรานมองเขา "ไม่นานเท่าไร"เหมือจะมองออกถึงความกระอักกระอ่วนของเขา หรืออาจจะไม่สรุปคือ มุมปากจั๋วซือหรานยกขึ้นบางๆ พูดมาคำหนึ่ง "ท่านอ๋องน้อย ไม่เจอกันเสียนาน"นางทำแบบนี้โดยไม่เอ่ยถึงคำพูดก่อนหน้านั้นแม้แต่น้อยเฟิงเหยียนอ้าปากพะงาบ ต่อให้คิดจะพูดอะไร แต่ชั่วขณะหนึ่งก็เหมือนจะพูดออกมาไม่ได้จึงแค่ถามขึ้นอย่างเป็นห่วง "ดีขึ้นบ้างหรือยัง?"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ดีขึ้นมากแล้ว"กระทั่งปันอวิ๋นก็ยังมองออกถึงเรื่องระหว่างพวกเขา ไม่รู้เพราะเจ้าสมองกลับนี่ไปแตะเนื้อต้องตัวทำอะไรนาง หรือเป็นเพราะคำพูดเมื่อครู่นางได้ยินคำพูดของเฟิงเหยียน...สรุปคือ ปันอวิ๋นมองพวกเขาทั้งสองคน แล้วก็รู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแทนพวกเขาทั้งสองคนปันอวิ๋นคิดๆ ดู ตอนที่ตนเองอยู่กับจั๋วซือหรานก็ยังไม่ได้กลืนไม่เข้าคายไม่ออกขนาดนี้รู้สึกร้อนใจแทนเจ้าบ้านี่จร
เพราะเป็นเพื่อนสนิท ปันอวิ๋นจึงเข้าใจความหมายที่เขาคิดจะแสดงออกมาหรือก็คือ ปันอวิ๋นเดาได้นานแล้วบางทีตอนนั้นเพื่อจะให้จั๋วซือหรานหลีกเลี่ยงโชคชะตาเช่นนี้ ตนเองจึงเลือกที่จะลืมเลือนแต่สุดท้ายพอวกไปวนมา ก็กลับมาเดินอยู่บนเส้นทางเดิมเจ้าสิ่งที่เรียกว่าโชคชะตานี่ ลึกลับเอามากๆบางครั้งเหมือนจะมีเมตตา แต่บางครั้งก็เหมือนไม่เคยปราณีใครผู้ใด"แล้วเจ้าตอนนี้...คิดจะทำอย่างไร?" ปันอวิ๋นถามเขาจ้องเฟิงเหยียนตาไม่กระพริบเอาจริงๆ ปันอวิ๋นใช้มองจากมุมมองคนนอกอย่างมีเหตุมีผล ยังหวังว่าจั๋วซือหรานจะสามารถปล่อยวางได้แต่พอคิดถึงว่าถ้าหากจั๋วซือหรานปล่อยวางแล้วล่ะก็ ด้วยโชคชะตาภาชนะพลังศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงของเฟิงเหยียน ผลสรุปสุดท้าย ก็คือตายก่อนวัยอันควรอยู่ดีและเพราะรู้เรื่องนี้ ดังนั้นปันอวิ๋นจึงหยุดไปครู่หนึ่ง เอ่ยเสริมมาคำนึง "ถังฉือเคยบอกข้าไว้ ในโถงวิญญาณอสูร พวกสัตว์เทพที่ถูกเก็บกลับมาเหล่านั้น..."ปันอวิ๋นขมวดคิ้ว คิดถึงคำพูดของถังฉือถังฉือมีบาปหนาจากการฆ่าฟันคนมากมาย กลายเป็นคนเย็นชาไร้หัวใจไปแล้ว ถ้าหากไม่เย็นชาไร้หัวใจ ป่านนี้คงเป็นบ้าไปแล้วดังนั้นตอนที่เขาพูดถึงเรื่องเห
ปันอวิ๋นส่งให้เขาชามหนึ่ง ตนเองก็ด้วยทั้งสองคนไม่พูดพล่ามทำเพลง กระดกรวดเดียวจนหมดราวกับว่า สุราที่มาช้าไปหลายปีนี้ ในที่สุดก็ได้ดื่มเสียทีราวกับว่าภาพเด็กน้อยที่แอบขโมยสุราพวกนั้นมาดื่ม ซ้อนทับเข้ามากับพวกเขาในเวลานี้"ช่วงนี้เจ้า ไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลยหรือ?"หลังจากร่ำสุราลงท้องไปสองชาม จิตใจก็เหมือนจะผ่อนคลายลงมาไม่น้อย ปันอวิ๋นถามขึ้นอย่างสบายๆ เป็นกันเองเฟิงเหยียนฟังออก ว่าเขาถามถึงเหล่าพี่น้องพวกนั้นเขาตอบอืมไปคำหนึ่ง "ไม่ได้ติดต่อกันเลย""เช่นนั้นก็คงไม่รู้สถานการณ์ของพวกเขาเลยสินะ" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเฟิงเหยียนไม่ยอมรับหรือปฏิเสธกับสิ่งนี้ ถือว่ายอมรับไปกลายๆปันอวิ๋นยิ้มๆ เหมือนจะเย้ยหยันตนเอง "แต่ก็ไม่โทษพวกเขาที่ไม่ติดต่อเจ้า ด้วยสถานการณ์ของพวกเขาตอนนี้ ก็ไม่มีหน้ามาติดต่อเจ้าจริงๆ นั่นล่ะ"ได้ยินคำนี้ของปันอวิ๋น เฟิงเหยียนก็ไม่พูดอะไรอีกปันอวิ๋นเอ่ยต่อว่า "ซงซีตอนนี้ทุกวันเหมือนขลุกอยู่แต่ในห้องหลอมสกัด หลอมสกัดอยู่ทุกวันไม่ได้พักเลย"เฟิงเหยียนพอได้ยินคำนี้ คิ้วก็ขมวดขึ้นบางๆ"เยี่ยนเหวย...ก็สูบเลือดออกมาทุกวัน อยู่แบบไม่เหมือนผู้เหมือนคน ผู้อาวุโสหวงจ
บางทีคงเป็นเพราะการคุยแบบเปิดอกก่อนหน้านี้ ทำให้ระยะทางขอเพื่อนสนิทสองคนที่เคยห่างไปตามกาลเวลา ย่อหดลงไปไม่น้อยเลยกระมังดังนั้นพอได้ยินปันอวิ๋นบอกว่าไม่ต้องขอบคุณ เฟิงเหยียนจึงเหลือบมองเขา น้ำเสียงเปลี่ยนไป "ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ขอบคุณแล้วกัน"เฟิงเหยียนสั่งขึ้นมา "ไป ไปเอาสุรามาให้ข้าหน่อย"แม้จะพูดเช่นนี้ แต่ในเสียงกลับไม่ได้ออกคำสั่งอะไร ฟังแล้วเหมือนการใช้งานระหว่างเพื่อนกันมากกว่าปันอวิ๋นชะงักไปเล้กน้อย เพราะตอนพวกเขายังเด็ก ก็เคยใช้งานกันและกันแบบนี้ไป ไปเอาสุรามาหน่อยได้ งั้นเจ้าก็เอาปลาไปย่างซะข้าเห็นว่าเจ้าหน้าตาเหมือนปลาถ้าเจ้ายังพูดอีกรอบ จะโดนข้ากดจนจมถังสุราตายไปเลยเพราะคำพูดนี้ของเฟิงเหยียน ทั้งสองคนก็เหมือนกลับไปสมัยยังเด็กในชั่วพริบตาปันอวิ๋นยกมุมปากขึ้นบางๆ ลุกขึ้นไปให้คนรับใช้ส่งสุราเข้ามาคือสุราห้าพิษที่เขาจะหมักอยู่ทุกปี และใช้แมลงพิษมาหลอมจริงๆ แต่ตัวสุรากลับไม่มีพิษใดๆ กระทั่งยังหอมอบอวลเข้มข้นเป็นพิเศษ เป็นสุราที่หาได้ยากยิ่งและเป็นความลับที่ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกของหุบเขาหมื่นพิษ ปกติมีแค่เจ้าหุบเขาที่รู้แต่ปันอวิ๋น หลังจากออกสำนักมา ก็ไม่ได้ด