จั๋วซือหรานเหลือบมองที่ฝ่ามือของนาง สัญลักษณ์ของสัญญาณจิตวิญญาณแห่งการพูดกะพริบบนฝ่ามือของนางแล้วหายไปนี่หมายความว่ามีผลบังคับใช้สัญญาจิตวิญญาณแห่งการพูดแล้วจั๋วซือหรานรู้สึกมหัศจรรย์จริง ๆ นางอดไม่ได้ที่ต้องค่อย ๆ กำหมัดของนาง แล้วเปิดมันอีกครั้ง นี่ทำให้นางรู้สึกแปลกมากและนางเริ่มรู้สึกสนุกจากนั้นนางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เวินป๋อยวน เพื่อรอคำตอบของเขาทำไมร่างกายของชิ่งหมิงถึงเป็นเช่นนี้เวินป๋อยวนค่อย ๆ อ้าปากพูด เขาพูดอย่างใจเย็น ๆ " ชิ่งหมิง เป็นบุตรหลานของตระกูลจวง ซึ่งตระกูลนี้เป็นผู้ที่มีฐานะสูงในแคว้นเหยี่ยน เขามีพรสวรรค์ที่โดดเด่นและไม่แพ้เจ้า พรสวรรค์ของตระกูลจางไม่เหมือนตระกูลอื่นมาก พวกเขาเหมือนวิญญาณแห่งอาวุธโดยกำเนิด"จั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องหันไปมองชิ่งหมิง ชิ่งหมิงรู้สึกเขินอายและก้มศีรษะลงจั๋วซือหรานรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับพลังแห่งพรสวรรค์จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม ทุกคนอาจมีพรสวรรค์โดยพื้นฐานแล้ว ผู้ที่ไม่มีพรสวรรค์จะไม่มีปัญญาฝึกฝนได้และคนที่มีพรสวรรค์ก็มีความสามารถที่แตกต่างกันอย่างตระกูลจั๋วมีวิญญาณไม้ในสายเลือด ตระกูลเฟิงมีวิญญาณไฟในสายเลือด ส
นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมจั๋วซือหรานต้องใช้พลังงานมากขึ้นในการรักษาหรือตรวจสุขภาพของเขาหลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน ชิ่งหมิงรู้สึกเขินอายมากขึ้นเมื่อเวินป๋อยวนได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน สีหน้าของเขายังคงเย็นชาเช่นเคย และเขาพูดเย็นชาเช่นเดิม "อย่างไรก็ตาม เรามีสัญญาทางจิตวิญญาณอยู่แล้ว เจ้าจะรักษาเขาได้หรือไม่ ข้าไม่สน อย่าไปประกาศอาการของชิ่งหมิงทั่วก็พอ ส่วนเจ้าทำให้เขามีความหวังที่อาจสมหวังได้ยาก ในเมื่อตัวเขาเองยังไม่สนใจเลย ข้าจะไม่หาเรื่องเจ้า”เมื่อได้ยินคำพูดนี้ จั๋วซือหรานลดสายตาลง ยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มเบา ๆจากนั้นนางจึงเงยหน้าขึ้นและมองเวินป๋อยวน นางสบตากับเขาพอดี“หัวเราะหรือ” เวินป๋อยวนถามกลับจั๋วซือหรานยังคงยิ้มเบา ๆ นางพูดว่า "ท่านซือหลี่ไม่เชื่อข้าจริง ๆ ""..." เวินป๋อยวนเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบา ๆ "ข้าไม่ใช่สงสัยเจ้าเพียงผู้เดียว ข้าไม่เชื่อทุกคน"จั๋วซือหรานถอนนิ้วที่ถือข้อมือของชิ่งหมิงกลับ นางพูดว่า "ถูกวางยาพิษตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ไม่ใช่หรือ พิษที่ได้มาตั้งแต่อยู่ในท้องแม่เนี่ย จะรักษายากหน่อย และใช้เวลารักษานานหน่อย แต่ทำไมต้องถึงขั้นที่ท่านซือหลี่ไม่เช
ชิ่งหมิงบอกจั๋วซือหราน ท่านแม่ของเขาเป็นท่านพี่ของเวินป๋อยวนไม่ใช่พี่สาวแท้ ๆ แต่เป็นพี่สาวในรุ่นเดียวกันในตระกูลเดียวกันรู้สึกเหมือนอย่างที่จั๋วซือหรานเคยทราบมาหมู่บ้านบางที่ ทุคกนมีนามสกุลเดียวกัน พวกเขาทั้งหมดเป็นพี่น้องกัน แต่ความสัมพันธ์ทางสายเลือดอยู่ห่างไกลประมาณเช่นนี้คร่าพ่อแม่ของเวินป๋อยวนเสียชีวิตตั้งแต่เขายังเด็ก และเขาต้องอาศัยการดูแลของพี่สาวในตระกูลนี้เพื่อความอยู่รอดในตระกูล ต่อมาพี่สาวของตระกูลคนนี้แต่งงานเข้าตระกูลจวง ซึ่งเป็นตระกูลที่มีฐานะสูงส่ง และตระกูลของเวินป๋อยวนเห็นแห่หน้าของพี่สาวคนนั้น เลยไม่ละเลยเวินป๋อยวนเวินป๋อยวนค่อย ๆ แสดงความสามารถของเขาเมื่อเขามีอายุ 7 ขวบ เขามีชื่อเสียงและได้รับความสนใจจากตระกูลในเวลานี้ พี่สาวที่แต่งงานเข้าตระกูลจวงเสียชีวิตเพราะนางให้กำเนิดชิ่งหมิงแม้ว่าเวินป๋อยวนจะเสียใจ แต่เขาก็มองว่ามันเป็นโชคชะตา ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดเขาพยายามฝึกฝนอย่างหนัก และต่อมาก็เข้าสู่ลัทธิ ต่อมาเขาได้ทราบว่าเด็กกำพร้าที่พี่สาวทิ้งไว้นั้นมีชีวิตอย่างไม่ดีในตระกูลจวงคำว่า'ไม่ดี' นั้น ไม่ใช่ความหมายอย่างที่เราเข้าใจดังนั้
จั๋วหวายอดไม่ได้ที่ต้องถอนหายใจ “ท่านพี่ขอรับ ท่านพี่มองออกได้ด้วย หากท่านพี่ไม่อธิบาย ข้าคงมองไม่เข้าใจหรอกขอรับ”จั๋วซือหรานยิ้มและมองเขา นางเอื้อมมือไปบีบหยิกใบหน้าของเขา "นั่นคือเหตุผลที่ข้าให้เจ้าไปเรียนหนังสือ ยิ่งเจ้าเรียนมากเท่าไร เรียนให้เยอะ ๆ สมองของเจ้าก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น เข้าใจไหม"ใบหน้าของจั๋วหวายถูกนางหยิกจนบิดเบี้ยว และเขาก็พูดอย่างไม่ชัดเจนว่า "ข้ารู้ ข้ารู้"แต่หากจะบอกว่าจั๋วหวายไม่ฉลาด เขาก็ฉลาดพอที่จะถามจั๋วซือหรานได้เลยว่า "หากเรื่องเป็นไปตามอย่างที่ท่านพี่พูด หากชิ่งหมิงถูกคนอื่นวางยาพิษโดยเจตนา หากท่านพี่รักษาเขาได้ มันจะทำให้ใครบางคนขุ่นเคืองหรือไม่"จั๋วซือหรานคิดอยู่ครู่หนึ่ง "ไกลขนาดนี้ ใครจะรู้เรื่องราวของข้า ข้าเป็นแค่คนไม่สำคัญ คนไร้ความสามารถ"จั๋วหวายม้วนริมฝีปากและพูดกับตัวเองว่า ท่านพี่ ซึ่งเป็นคนไม่สำคัญได้ทำให้เมืองหลวงวุ่นวายอย่างมากแล้ว“ยิ่งกว่านั้น ข้าเคยกลัวทำให้ผู้อื่นโกรธเมื่อไรล่ะ ที่ตลอดผ่านมา ข้าเป็นด…” จั๋วซือหรานมองและยิ้ม จากนนั้นนางพูดต่อ “แต่จงทำความดี และอย่าถามถึงอนาคต มุ่งไปตามความปรารถนาของตัวเอง ไม่ต้องสนใจเรื่องใด ๆ
หลังจากท่านพี่เขาเสียชีวิต เวินป๋อยวนเชื่อเสมอว่า ผู้ที่แสดงดีกับเราต้องหวังผลประโยชน์แน่นอนสัตว์ที่น่ารังเกียจเช่นมนุษย์จะทำทุกอย่างเพื่อผลกำไรจนกระทั่งเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้จากจั๋วซือหราน ต้องยอมรับว่าบางครั้ง พลังของคำพูดมีพลังที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ทั้ง ๆ ที่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่เชื่อใครอีกต่อไปแต่หลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาคิดว่าบางทีเขาสังเกตดูอีกครั้งก็ได้เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อชิ่งหมิงมาหาเขา จริง ๆ แล้วเขารู้สึกกังวลเล็กน้อยชิ่งหมิงเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ดั่งกระดาษเปล่า หากเขารู้สึกไม่สบายใจ เขาจะแสดงออกให้ผู้อื่นเห็นได้ง่ายผู้อื่นสามารถมองออกได้ในประโยคแรก และสามารถดูได้ในคำแรกเพราะเขาจะเรียกเวินป๋อยวนจากแต่เดิมป๋อยวนมาเป็น...“น้าชาย น้าชาย...”เวินป๋อยวนยืนอยู่หน้าติ่งกลั่นยา สีหน้าของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลง และพลังวิเศษในมือของเขาควบคุมความร้อนในติ่งอย่างเป็นระบบ เขาควบคุมไฟเพื่อเผายา และปรับแต่งวัสดุยาเมื่อได้ยินเสียงของชิ่งหมิง เขาก็เหลือบมองไปด้านข้างแล้วพูดว่า "ขอรับ"“ข้าอยาก... ออกไปข้างนอก” ชิ่งหมิงเม้มริมฝีปาก เมื่อคืนเขาสัญญากับจั๋วซือหรานแล้ว
ยาเม็ดที่อยู่ในขวดนี้เป็นการแสดงการขอบคุณที่ป๋อยวนมีต่อจั๋วซือหรานชิ่งหมิงเอื้อมมือและรับขวดนั้นมา ในที่สุดเขาดีใจจนดวงตาของเขาก็ขดตัวขึ้น "หากเป็นเช่นนั้น ข้าไปแล้วนะ"......เช้านี้ จั๋วซือหรานตื่นแต่เช้า“ท่านพี่ ท่านพี่... ท่านพี่ทำเช่นนี้ ข้าตื่นเต้นมากเลยขอรับ” จั๋วหวายรู้สึกเขาทำตัวไม่ถูกจั๋วซือหรานยกมือขึ้น นางปิดฝีปากไว้และหาว นางพูดด้วยเสียงขี้เกียจ "ข้าตั้งใจให้เจ้ารู้สึกถึงความเร่งด่วนนี้"อวิ๋นเหนียงยืนที่ด้านข้าง นางยิ้มแล้วพูดว่า "เจ้าจะได้ตื่นเต้นหน่อย มิเช่นนั้น เจ้าไม่ตั้งใจเรียน"“ท่านแม่” เมื่อจั๋วหวายได้ยินท่านแม่พูดเช่นนั้น เขายิ่งตื่นเต้น “ท่านแม่อย่าทำให้ข้าตื่นเต้นอีกสิ”อวิ๋นเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยนและกล่าวว่า "แม่ไม่ได้ทำให้เจ้าตื่นเต้นหรอก แม่แค่ให้กำลังใจเจ้า หลังจากแม่ไม่อยู่ในเมืองหลวง เจ้าอยู่ในเมืองหลวง อย่าเป็นภาระของท่านพี่ของเจ้าล่ะ "ทันทีที่จั๋วซือหรานได้ยินคำพูดอวิ๋นเหนียง ดวงตาของ จั๋วซือหรานที่ยังคงมืดมนจากการหลับใหลก็ตื่นตัวทันที และมองไปที่อวิ๋นเหนียง "ท่านแม่ตัดสินใจแล้วหรือเจ้าคะ""ใช่จ้ะ แม่ตัดสินใจแล้ว แม่กลับไปเยี่ยมบ้างดีกว่า"
เพียงแต่เนื่องจากตอนนี้สายไปแล้ว จั๋วหวายและชิ่งหมิง จึงเตรียมตัวไปหอหลวงโดยไม่รออวิ๋นเหนียงสอบถามเพิ่มเติมก่อนออกเดินทาง ชิ่งหมิงเอาขวดใส่มือของจั๋วซือหราน แล้วกระซิบว่า " ป๋อยวนเอาให้กับเจ้า"หลังจากส่งพวกเขาไปขึ้นรถม้า จั๋วซือหรานจึงมองดูขวดในมือของนาง แม้ว่านางเป็นขวดธรรมดา ๆ แต่นิ้วของนางก็สามารถสัมผัสได้ถึงสัญลักษณ์ของลัทธิตันติ่งที่ถูกสลักอยู่บนนั้นได้นางเพียงเปิดจุกเพียงเล็กน้อย มีกลิ่นหอมของยาเม็ดล้นออกมาจากข้างในจั๋วซือหรานเลิกคิ้วเล็กน้อย แล้วยิ้มแม้ว่าอวิ๋นเหนียงไม่ได้เห็นสัญลักษณ์บนนั้นชัดเจน แต่นางก็ได้กลิ่นหอมของยาเม็ดที่อยู่ข้างใน นางรู้สึกโล่งใจเมื่อทราบว่ามันเป็นยาเม็ด“ยาเม็ดหรือ หรานหราน ลูกรีบทานเลย จะได้บำรุงร่างกายบ้าง แม่เห็นลูกหน้าซีด อาการบาดเจ็บเมื่อวานคงไม่หายดีใช่ไหม” อวิ๋นเหนียงขมวดคิ้วอย่างกังวล “ลูกให้พวกเราทานยาเม็ดไปแล้ว ลูกทานบ้างด้วยสิ จะได้หายไว ๆ ใช่ไหมลูก”จั๋วซือหรานไม่อยากทำให้ท่านแม่ของนางกังวล ดังนั้นนางจึงเปิดขวดและเทยาเม็ดเข้าไปในปากต่อหน้าแม่ของนาง หลังจากนางเทยาเม็ดเข้าไปในปากของนาง สีหน้าของจั๋วซือหรานก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยโดยไม่ม
นั่นเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ จั๋วซือหรานไม่สามารถบรรยายความรู้สึกนี้ได้ เพราะนางไม่เคยประสบกับสถานการณ์หรือความรู้สึกเช่นนี้ในชาติที่แล้วของนางนางทำได้แต่ครู่นคิดและนึกคำบรรยายในใจว่า "คงอาจรู้สึกเหมือนวิ่งฟูลมาราธอนโดยไม่ได้หยุดพักหรือไม่ได้ดื่มน้ำสักคำ...ประมาณนี้มั้ง"ความรู้สึกหมดเรี่ยวแรงและความเหนื่อยล้าดูเหมือนล้นหลามร่างกายของราง และการที่นางได้ทานยาเม็ดในเมื่อครู่นี้ทำให้นางรู้สึกเหมือนว่าในที่สุด นางหายความรู้สึกที่หมดเรี่ยวแรงและเหนื่อยล้าไปได้โดยเฉพาะนางรู้สึกตัวเองผ่อนคลายและสบายราวกับได้แช่น้ำอุ่นสิ่งที่ตามมาคือความเหนื่อยล้ามากขึ้น แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยเหมือนกับความเมื่อยล้าเช่นเปลืองเรี่ยวแรงสรุปคือ... จั๋วซือหรานรู้สึกเหมือนตอนนี้นางต้องไปนอนแล้วแต่นางนอนไม่ได้ นางกำลังจะนอนต่อ แต่มีคนเคาะประตูทันที“คุรหนูขอรับ มีแขกมาถึงแล้วขอรับ” เสียงของฝูซูดังจากนอกประตูจั๋วซือหรานหงุดหงิดเล็กน้อยโดยไม่มีเหตุผล นางไม่ได้หงุดหงิดเพราะฝูซู แต่นางหงุดหงิดเพราะมีคนมาขัดขวางการพักผ่อนของนางแต่นางยังเดินไปที่ประตู นางมองใบหน้าที่ซีดเซียวของฝูซู นางถาม "เมื่อคืนเจ้าดูแล
และนางเองก็ไม่ใช่ว่าจะไปเด็ดหัวศัตรู แต่แค่ทำเหมือนเข้าไปเด็ดดอกไม้สดดอกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้นนักรบเดนตายของซือคงอวี้เหล่านั้น ก็ไม่รู้ว่าเพราะเห็นซือคงอวี้ไม่ดิ้นรนเหมือนคนที่ใกล้จะตายแล้ว หรือว่าเพราะยังตกใจกับการโจมตีก่อนหน้าของจั๋วซือหราน จึงทำให้คนไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม?สรุปคือ แม้พวกเขาจะมีท่าทีระแวดระวังอยู่ตลอด กลับไม่กล้าคิดจะทดลองลงมืออะไรกับจั๋วซือหรานแน่นอน และอาจจะเพราะรู้ว่าตนเองสู้ไม่ไหวจั๋วซือหรานเดินไปอยู่ตรงหน้าซือคงอวี้อย่างราบรื่นพอเห็นว่าเหล่าทหารเดนตายรอบๆ ทำได้แค่ระแวดระวัง ไม่มีท่าทีว่าจะโจมตีอะไร จั๋วซือหรานจึงยกริมฝีปากหัวเราะขึ้นมา "เป็นตัวเลือกที่ฉลาด"จากนั้น จั๋วซือหรานก็คุกเข่าลงมาตรงหน้าซือคงอวี้นางกอดเขานั่งยองลงมาตรงหน้าซือคงอวี้ ก้มลงมองดูเขา...ซือคงอวี้ถลึงสองตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด จ้องเขม็งยังจั๋วซือหรานแต่ตอนนี้เอง ท่าทางกับสายตาของจั๋วซือหรานก็ทำให้เขาเกิดเข้าใจผิด ราวกับว่า...นางไม่ได้กำลังมองเขา แต่ว่า...แต่ว่ากำลังมองมดปลวกบนพื้นตัวหนึ่ง"เจ้า..." ซือคงอวี้ส่งเสียงออกมาอย่างยากลำบาก เขารู้ว่าตนเองตกที่นั่งลำบากแล้วเช่นนั้น
"เปรี้ยง...!" เสียงสะเทือนฟ้าเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน!ฮาร์วีย์จับจ้องท่าทางจั๋วซือหรานอยู่ตลอด ดังนั้นตอนที่เสียงสนั่นนี้ดังขึ้นอันที่จริงเขาก็รู้ว่านางเป็นคนทำขึ้นแต่รู้ก็ส่วนรู้ทว่าก็ยังอดรู้สึกตกใจสะดุ้งโหยงขึ้นมาไม่ได้ใครมาได้ยินเสียงแบบนี้ ก็น่าจะตกใจกันหมดนั่นล่ะดังเสียยิ่งกว่าสายฟ้าฟาดเสียอีก!จากนั้น หางตาของฮาร์วีย์ก็จับไปที่ภาพของซือคงอวี้ทางนั้นตรงหน้าซือคงอวี้มีทหารเดนตายขวางอยู่จริงแต่บนความรู้สึก ก็เหมือนว่า...เจ้าทหารเดนตายคนั้นเหมือนกับกระดาษไหม้อย่างไรอย่างนั้นการโจมตีของจั๋วซือหราน...ซัดทะลุร่างกายของทหารเดินตายคนนั้น!จากนั้นก็ซัดซือคงอวี้ลอยตามออกไปด้วยกันเสียงทำนองขลุ่ยดินเผาก่อนหน้านั้น หายวับไปทันทีพวกก้อนเนื้อที่กำลังกลิ้งในมิติของนาง เดิมทียังเจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหว ทำได้แค่ใช้พลังวิญญาณที่ถ่ายเข้ามาระงับความเจ็บปวดแต่ตอนนี้ พอเสียงของขลุ่ยดินเผาหยุดลงพวกมันไม่เจ็บปวดแล้ว เหลืออยู่เพียงการถ่ายเข้ามาของพลังวิญญาณนายท่าน เหมือนกำลังนอนแช่น้ำอยู่อย่างไรอย่างนั้นรู้สึกสบายสุดยอดขึ้นมาทันที!ความรู้สึกนั้น ราวกับหลุดจากนรกขึ้นมาบนสวรรค
ดังนั้นตอนที่พวกมันสัมผัสได้ถึงพลังดำมืดที่ซ่อนอยู่ในขลุ่ยดินเผาสัญชาตญาณของพวกมันจึงคิดว่า ที่เจ้านายของตนเองกำลังเผชิญหน้า คือเจ้าของพลังดำมืดคนนั้นคนที่หลอมสกัดพวกมันและประทับตราให้กับพวกมันคนนั้น...ปันอวิ๋นหน้าจั๋วซือหรานเย็นชาลงมานางเอ่ยเสียงขรึมกับเจ้าพวกขนมน้อย "ไม่ต้องกังวล ในเื่อข้าแย่งพวกเจ้ามา เช่นนั้นก็คือของข้าแล้ว ข้าเองก็อยากจะเห็น ว่าเขาเอาขลุ่ยดินเผานั้นมาแล้วจะทำอะไรได้!"เหล่าลูกแก้วมังกรทั้งเจ็ดได้ยินถึงความโกรธแค้นในคำพูดของจั๋วซือหรานจากนั้นถัดจากประโยคนี้ของนาง พวกมันก็สัมผัสได้ถึง พลังวิญญาณที่พวกมันชอบที่สุด พลังที่ทำให้พวกมันรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นสุขสบายที่พิเศษ...พลังวิญญาณของจั๋วซือหรานถ่ายเข้ามาแบบไม่เสียดายไม่คิดเงินราวกับว่า ไม่ว่าพลังความมืดที่เสียงเหล่านั้นนำมาจะแข็งแกร่งแค่ไหน นางก็จะพยายามอย่างเต็มที่ลองดูสักตั้ง!จั๋วซือหรานทำสองเรื่องพร้อมกันในหัวใช้พลังวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ของตนเองถ่ายเข้าไปในมิติน้ำพุวิเศษส่วนด้านนอกก็ยกปืนยาวขึ้นมา เล็งไปทางซือคงอวี้ พูดให้ถูกคือ เล็งไปยังขลุ่ยดินเผาในมือซือคงอวี้แต่ซือคงอวี้ก็ระแวดระวังมาก น่าจ
ฮาร์วีย์เห็นท่าทางของจั๋วซือหราน...ท่าทางที่ทำให้คนไม่เข้าใจเดิมทียังไม่เข้าใจอะไรเลย แค่สัญชาตญาณทำให้เขารู้สึกว่าหญิงสาวคนนี้ เดิมทีก็ไม่ใช่คนที่ทำอะไรไม่สมเหตุสมผลนางไม่มีทางถามโดยไม่มีเหตุผล ไม่พูดแบบไม่มีเหตุผล และยิ่งไม่ทำอะไรที่ไม่มีเหตุผลฮาร์วีย์อยู่ข้างๆ จั๋วซือหราน ดังนั้น นางจึงสัมผัสได้ชัดเจน ว่าท่วงท่าพลังบนตัวจั๋วซือหรานเริ่มผิดปกติขึ้นเรื่อยๆ แล้วนี่มันช่าง...บอกว่ารุนแรงก็ไม่ได้ เพราะความรู้สึกนั้นไม่ใช่บ้าคลั่ง และไม่เหมือนคนที่เปิดช่องพลังสูดรับเข้าร่างกาย จนกลายเป็นสภาพบ้าคลั่งแบบนั้นด้วยน่าจะเพราะล้ำลึกมากพลังที่ล้ำลึกและยิ่งใหญ่ ราวกระแสน้ำขึ้น กระจายแผ่ออกไปรอบๆ โดยมีนางเป็นศูนย์กลาง"เขาคิด หญิงสาวคนนี้เกรง่วาส่าจะเหมือนกับลูกหลานตระกูลเฟิงพวกนั้น มีสิ่งทีเ่หมือนกับกระบี่ประจำตระกูล อาวุธหรือภาชนะที่กักเก็บพลังของตนเองไว้...ดังนั้นจึงสามารถ ปลดปล่อยพลังที่ยิ่งใหญ่นี่ออกมาในตอนนี้ฮาร์วีย์จู่ๆ ก็คิดถึงสิ่งที่ตนเองเพิ่งพูดไปเมื่อครู่...ถ้าหากพลังวิญญาณควบคุมกู่ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าท่านล่ะก็...บางทีเพราะคำพูดนี้จั๋วซือหรานจึงแสดงท่าทีของตนเอ
ดังนั้น กลุ่มองครักษ์เหล่านี้ก็คือคนของรองแม่ทัพจากค่ายคุ้มกันและค่ายป้องกันลาดตระเวนที่จั๋วซือหรานพามาก่อนหน้านี้พวกเขาเดิมทีก็ศรัทธาในตัวจั๋วซือหรานอยู่แล้วตอนนี้พอเห็นจั๋วซือหรานนั่งอยู่บนแมงมุมขนาดยักษ์ตัวนั้นด้านหน้าสุดก็ยิ่งรู้สึกเคารพยำเกรงขึ้นมาจั๋วซือหรานไม่รู้การเคลื่อนไหวในเมืองหลวงตอนนี้เลยแต่นางก็มีลางสังหรณ์ขึ้นมารางๆ ว่าเส้นทางครั้งนี้อาจจะไม่ได้ราบรื่นนักไม่แน่ว่าซือคงอวี้ยังมีการลอบโจมตีอยู่จั๋วซือหรานเดาไม่ผิดจริงๆ แต่นางเองก็คิดไม่ถึง ว่าคนที่ซุ่มโจมตีอยู่จะเป็นตัวซือคงอวี้เองเลยครั้นจะบอกว่าเป็นตัวเขาเองก็ยังไม่ถูกนัก เขายังคงมาคนบางส่วนมา แค่องครักษ์สองกลุ่มเท่านั้น กลุ่มหนึ่งมีสิบห้าคน รวมกันแล้วก็แค่สามสิบคนพอเทียบกับขบวนองครักษ์ที่ยิ่งใหญ่นับร้อยขององค์จักรพรรดิเฒ่าแล้วดูไม่จืดเลยจริงๆกระทั่งว่า จั๋วซือหรานแทบจะไม่เกิดความระแวดระวังอะไรขึ้นมาเลยแต่นางก็รู้ว่าการดูถูกศัตรูนั้นไม่ถูกต้อง ดังนั้นยังพยายามกระตุ้นความระแวดระวังขึ้นมาซือคงอวี้อยู่ไม่ห่างไปนัก ขี่ม้าพันธุ์ดีสูงใหญ่ตัวหนึ่งอยู่เขามองบนแผ่นหลังแมงมุมตัวยักษ์นั่นอยู่ห่างๆ มีเงา
ชัดเจนมาก เฟิงหร่านก่อนที่จะมาหาเขา ในใจได้ตัดสินใจไว้แล้วก่อนหน้านี้เขายังรู้สึกว่า ไม่ว่าอย่างไร ต่อให้จะเน่าถึงรากแค่ไหน ก็ยังเป็นตระกูลของตนเองลูกชายไม่รังเกียจที่แม่น่าเกลียด สุนัขไม่รังเกียจที่บ้านจน...แต่ตอนนี้เฟิงหร่านรู้สึกขึ้นแล้วจริงๆ ว่าสุนัขก็ยังรังเกียจความโง่เขลาของตาแก่พวกนี้เป็นศัตรูก่อกบฏ...กล้ากันเสียเหลือเกิน!คิดแล้วคงเป็นเพราะต้าชางหลายปีนี้ ให้หน้ากับพื้นที่กับพวกตระกูลใหญ่มากเกินไป ปล่อยปละจนพวกเขาทำตัวเกะกะระราน!เฟิงหร่านเองก็ทนไม่ไหวแล้ว คิดแต่อยากจะรีบหนีออกไปแต่ก็ออกไปแบบนี้เลยไม่ได้ ก่อนหน้าที่จะออกไป ตนเองก็มีเรื่องที่ต้องทำดังนั้นนางจึงมาหาเฟิงเหยียนด้านนอกมีเสียงฝีเท้าใกล้เข้ามาเรื่อย เฟิงหร่านเองก็ปีนกำแพงออกไปโดยไม่หันกลับเพียงครู่เดียว องครักษ์ตระกูลเฟิงกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาในเรือน"ซื่อจื่อ มีคนน่าสงสัยเข้ามาไหม?" หัวหน้าองครักษ์ถามขึ้นเฟิงเหยียนมองพวกเขาสายตาเย็นชา "พวกเจ้านั่นล่ะที่ข้าเห็นว่าน่าสงสัยที่สุด"หัวหน้าองครักษ์ขมวดคิ้ว "แต่เมื่อครู่นี้มีหน่วยลาดตระเวนเห็นคุณหนูเฟิงสือตามท่านเข้ามา...""เช่นนั้นก็ให้หน่วยลาดตระเวนคนน
ความเย็นเยือกของฝักกระบี่ สัมผัสลงบนคอของผู้ที่เข้ามาถ้าหากเขาชักกระบี่ล่ะก็ ตอนนี้ที่สัมผัสกับคอก็จะไม่ใช่ฝักกระบี่ที่เย็นเยียบ แต่เป็นคมกระบี่ที่แหลมคมแทนเฟิงเหยียนขมวดคิ้วมองคนที่เข้ามา ถามขึ้นว่า "เฟิงสือ เจ้าทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไมกัน""ท่าน ท่านพี่!" เฟิงหร่านรู้สึกว่าหัวใจตนเองแทบจะทะลักออกจากคอหอยแล้วเฟิงเหยียนเก็บกระบี่ลงไป แขวนกระบี่เสวียนเหยียนไปที่เอว ไปที่บ่อน้ำในเรือนตักน้ำล้างมือในเรือนเขา เดิมทีควรจะมีคนรับใช้อยู่ แต่ตอนนี้กลับว่างเหล่า ไม่มีอะไรเลยเหล่าผู้อาวุโสเดิมทีก็ส่งคนรับใช้เข้ามา แต่ถูกเขาปฏิเสธไป พวกหูตาเหล่านี้ ถ้าเขาปล่อยให้เข้ามา มันจะยุ่งยากเวลากำจัดออกไปดังนั้นในเรือนเขาจึงว่างเปล่า เขาลงมือรับผิดชอบอาหารการกินของตนเอง ก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดตรงไหนเฟิงหร่านตามอยู่ด้านหลังเฟิงเหยียน รีบร้อนเอ่ยขึ้นว่า "ท่านพี่ ท่านไม่สงสัยเลยหรือว่าคนใช้ในเรือนท่าน เหล่าองครักษ์เงาของท่านหายไปไหนหมด? หรือว่าท่านจำอะไรไม่ได้เลยจริงๆ?"เฟิงเหยียนขมวดคิ้ว น้ำใสในถังที่มือกระฉอกไปมามองคลื่นน้ำในถังไม้ที่สะท้อนเงาจันทร์บนฟ้าไหวๆ ใจของเขาก้เหมือนจะสั่นคลอนหน่อยๆเขาไม
ในตระกูลชั้นสูงอันที่จริงก็มีเหตุการณ์อยู่ไม่น้อย เรื่องการนินทาคนอื่นลับหลังน่าจะไม่ใช่แค่ในตระกูลชั้นสูงหรอก ไอ้เรื่องการซุบซิบนินทาเรื่องชาวบ้าน ที่ไหนก็มีทั้งนั้นเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรเฟิงเหยียนไม่เคยมีปฏิกิริยาใหญ่โตเรพาะภายใต้สถานการณ์ปกติ เขาไม่ได้สนใจหัวข้อสนทนาของผู้อาวุโสพวกนี้ และไม่อยากจะเข้าร่วมด้วยดังนั้นปกติจึงไม่ใส่ใจ เข้าหูซ้ายทะลุหูขวาก็ถือว่ามีมารยาทให้แล้ว หลายครั้งที่แม้แต่หูซ้ายก็ยังไม่เข้าแต่ตอนนี้ เฟิงเหยียนกลับไม่ได้ไม่สนใจแยแสกับหัวข้อสนทนาและเนื้อหาในคำพูดของเหล่าผู้อาวุโสเหมือนกับว่า ความรู้สึกบางอย่างในใจที่พูดออกมาไม่ได้กำลังคุกรุ่น ทำให้เขาเกิดความรำคาญขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ อยากจะฉีกปากแก่ๆ พวกนี้ทิ้งเสียเจ้าพวกขยะพูดอะไรซี้ซั้วไปเรื่อย ไม่รู้จักหุบปากเงียบๆ เสียบ้าง!หญิงสาวคนนั้นเป็นใคร หรือเขาจะไม่รู้ลึกเท่าพวกเขา?ใครก็เข้ามาแตะต้องได้เรอะ? ตลกตายในคืนนั้นที่สวนชิวอีก นางกับเขามีครั้งแรกด้วยกันชัดๆพวกเขาอะไรอะไรมาพูดว่า "ใครก็เข้ามาแตะต้องได้" กัน?ในใจเฟิงเหยียนรำคาญมาก แต่ก็ยังรู้สึกว่า แค่เพื่อหญิงสาวคนเดีย
ทุกคนรู้สึกว่านางผิด เพียงแค่เพราะ นางไม่ยอมทำตัวเป็นปกติเหมือนพวกเขาสายตาของเหยียนเจินเปล่งประกาย เอ่ยขึ้นว่า "จะไม่มีทางออกเลยหรือไร? ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปเข้ากับจั๋วจิ่วเลย!"เหยียนฉีพอได้ยินก็ตกตะลึง งงงันไป "ได้...ได้หรือ? ตระกูลเหยียนกับนาง...ตอนนี้น่าจะอยู่ในสภาพไม่ตายไม่เลิกรากันแล้วกระมัง?""ตระกูลเหยียนก็คือตระกูลเหยียน" เหยียนเจินไม่แยแส "พวกเราถ้าออกจากตระกูลเหยียน เช่นนั้นความแค้นนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็มองออกถึงนิสัยจั๋วจิ่ว ขอแค่ไม่ผิดใจกับนาง นางก็จะไม่ทำอะไรคนอื่น"อดพูดไม่ได้ เหยียนเจินมองนิสัยจั๋วซือหรานออกจริงๆดังนั้น พ่อลูกตระกูลเหยียนคู่นี้ หลังจากที่หารือกันเสร็จคืนนี้เช้าวันถัดมาตอนที่ข่าวเรื่องจั๋วซือหรานถูกพระราชทานรางวัลลือมาถึงเมืองหลวง จึงออกจากตระกูลเหยียนไปเงียบๆสถานการณ์ของตระกูลเหยียนเป็นเช่นนี้ ตระกูลอื่นกลับเป็นอีกแบบหนึ่งบรรยากาศของตระกูลเฟิงตึงเครียดมากแต่สิ่งเหล่านี้ เฟิงเหยียนไม่คิดจะเข้าร่วม เขานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะพูดอะไรกันเขาก็ไม่เข้าร่วมการสนทนาเลยสายตาเหม่อลอยหน่อยๆ ราวกับคิดถึงเรื่อง