จั๋วซือหรานฟังความเด็ดเดี่ยวจากน้ำเสียงของชายคนนั้นออก นางตัดสินใจหันหลังและเดินออกไปในทันที แต่พวกลาดตระเวนด้านนอกก็เข้ามาใกล้แล้วเดิมทีนางมาที่นี่เพื่อขอโทษเฟิงเหยียน ขอโทษที่ทำให้เขาต้องมีส่วนร่วมในการแข่งขันระหว่างนางกับตระกูลเหยียน และขอโทษเฟิงเหยียนเรื่องที่นางปฏิบัติก่อนค่อยมาแจ้งทีหลังอย่างไรก็ตาม นางมาที่นี่เพื่อขอโทษ และนางก็ไม่ถือสาหรอกที่ว่าดูเขาอาบน้ำ เพิ่มความผิดอีกนิดแล้วค่อยขอน้อมรับผิดความผิดเยอะไม่กังวล จั๋วหยุดหันตัว บิดเอวแล้วหันกลับมาอีกครั้งเสียงของเฟิงเหยียนยังคงเย็นชา “ยังไม่ออกไปอีกหรือ”“อา…” จั๋วซือหรานพูดเบา ๆ “ท่านอ๋องเฟิง ข้าขอโทษที่ทำผิดไป เกรงว่าข้าคงจะต้องอยู่ที่นี่สักพัก”นางยื่นมือออกและชี้ไปที่ประตู "องครักษ์ของตระกูลเฟิงเข้มงวดมากเสียจริง และข้าก็ตกเป็นเป้าหมายของพวกเขา โชคดีที่ทักษะการเคลื่อนไหวของข้าค่อนข้างดี ไม่เช่นนั้น ข้าคงถูกจับไปแล้ว"เสียงของเฟิงเหยียนดังจากอ่างอาบน้ำ “เจ้าแน่ใจได้อย่างไรว่าจะไม่ถูกจับได้”จั๋วซือหรานฟังคำพูดของเขา ราวกับว่าเขากำลังบอกว่า เขาจะต้องให้นางถูกจับแน่ ๆ หากเขาอยากให้นางถูกจับ ก็ทำได้ง่าย ๆ แค่เขาตะโ
จั๋วซือหรานถอนสายตาออก "ข้าแค่อยากหลบหน่วยลาดตระเวน ไม่ได้ตั้งใจรบกวนการรักษาอาการของท่านอ๋อง ข้าขอโทษจากใจจริง"เมื่อเขาได้ยินคำว่า "การรักษาอาการ" เฟิงเหยียนก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงของเขายังคงไม่มีความอบอุ่น "เจ้ามีเหตุอันใดจึงมาที่จวนตระกูลเฟิง"จั๋วซือหรานนึกถึงการเดิมพันระหว่างนางและเหยียนชางและจุดประสงค์ในการการเดิมทางมาที่นี่เสียงของนางอ่อนลงเล็กน้อย “ข้ามาที่นี่เพื่อขอโทษท่านอ๋อง”เฟิงเหยียนมองนางด้วยสายตาเย็นชา “บุกเข้าเรือนคนอื่นในยามวิกาล เจ้ามาขอโทษจริงหรือ ”จั๋วซือหรานพูดด้วยความตื่นตระหนกว่า “มันคือเรื่องเร่งด่วน ข้าไม่อยากให้ท่านอ๋องรับรู้เหตุการณ์จากผู้อื่นในวันพรุ่งนี้ วิธีนี้อาจเสียมารยาทไปหน่อย มิทราบว่า ท่านอ๋องต้องการการขอโทษอย่างสัตย์จริงเช่นใด คราวหน้าจั๋วจิ่วจะระวัง”เฟิงเหยียนมองดูนางครู่หนึ่งแล้วพูดเบา ๆ “มอบศีรษะมาพบข้า ”จั๋วซือหราน "..."เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้สิจั๋วซือหรานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วอธิบายรายละเอียดต่าง ๆ ให้แก่เฟิงเหยียนฟัง“หัาหน้าของห้องหมอหลวง เหยียนชางกล่าวหาว่า ข้าลักลอบฝึกฝนวิชาของตระกูลเหยียน เขากล่าวหาข้าแอบซ้อมวิชาการตร
หลังจากได้รับการอนุญาตจากเฟิงเหยียน จั๋วซือหรานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อนางกระโดดลงจากกำแพงของจวนเฟิง ขาของนางก็อ่อนไร้เรี่ยวแรงจนนางต้องล้มลงกับพื้นร่างกายทุกส่วนของนางกำลังกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างรุนแรงหน่วยสืบสวนพิเศษสมชื่อเสียจริง หน่วยงานนี้ถนัดในการใช้วิธีการทรมานเสียจริง วิธีการเหล่านั้น...ด้วยความสามารถในการฟื้นตัวของนาง จนถึงตอนนี้นางยังคงเจ็บปวดอยู่จั๋วซือหรานพลิกฝ่ามือของนาง และยาเม็ดสีขาวสองเม็ดก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของนาง นางใส่เข้าไปในปากของตนเองมีเงามืดแวบวับอยู่ที่มุมไกล จั๋วซือหรานสังเกตถึงเงานั้น ความจริงเมื่อนางออกมาจากตระกูลจั๋ว นางสังเกตเห็นว่า มีใครบางคนแอบมองนางอยู่ในความมืดจั๋วซือหรานรู้สึกต้องเป็นคนของหน่วยสืบสวนพิเศษแน่ ๆ ทันใดนั้นสมองของนางปรากฏภาพของชายลึกลับผู้หนึ่ง ชายผู้สวมชุดคลุมสีดำและหน้ากากเพลิงไฟชายผู้นั้นไม่ใช่คนธรรมดาเสียจริงอย่างไรก็ตาม คนที่ติดตามและแอบดูในความมืดไม่ได้มีเจตนาที่จะเข้าใกล้หรือทำร้ายนาง และด้วยสภาพของจั๋วซือหรานในปัจจุบัน นางไม่อยากสร้างปัญหาใหม่อีก นางเลยทำเป็นมองไม่เห็นหลังจากแอบเข้าไปในจวนเฟิง คนที่แอบตาม
“ใครจะรู้ล่ะ แต่ก่อนหน้านี้มีข่าวแพร่สะพัดในวังหรือว่า ห้องหมอหลวงรักษาไทเฮาที่นอนสลบไม่ได้ แต่คุณหนูจั๋วจิ่วได้ทำการรักษาให้หายแล้วไม่ใช่หรือ”“นั่นอาจเป็นเรื่องจริงก็ได้ อย่างไรก็ตาม ที่นี้ มันน่าตื่นเต้นมากที่ได้จะได้ชม”เมื่อจั๋วซือหรายตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ข้าวลือก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงปากต่อปาก!ชั่งเวลาที่ทานอาหารเช้า จั๋วหวายฝึกซ้อมตอนเช้าเสร็จและรีบกลับไปที่สวนจี๋หย่าย่วนเขาไม่สามารถระงับความตื่นเต้นในน้ำเสียงของตนได้“ท่านพี่ จริงไหมเนี่ย จริงหรือท่านพี่...ท่านพี่จะประลองกับตระกูลเหยียน จะแข่งฝีมือทางการรักษาจริงหรือ”คำพูดของจั๋วหวายทำให้มารดาของเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และทันใดนั้นนางก็มองไปที่จั๋วซือหรานจั๋วซือหรานยิ้มและไม่พูดอะไรจั๋วหวายรู้คำตอบแล้ว ดวงตาของเขาเป็นประกายจั๋วซือหรานถามเขา "กลัวหรือ"“ข้าไม่กลัวหรอกนะ” จั๋วหวายตอบอย่างไม่ลังเลอวิ๋นเหนียงไม่ได้ไร้เตียงสาเหมือนเขา นางมองจั๋วซือหรานด้วยความกังวล "แม่รู้ว่าลูกมีพรสวรรค์อย่างมาก และมีความสามารถมากมายที่แม่ไม่รู้ แต่ตระกูลเหยียนถนัดการแพทย์ไม่ใช่หรือ"นั่นเป็นเพราะในโลกนี้มีคนที่มีพรสวร
จั๋วซือหรานยืนอยู่ข้างนอก เมื่อนางได้ยินคำพูดเหล่านั้น นางหยุดก้าวเท้า และไม่รีบเดินเข้าห้อง“นั่นคือตระกูลเหยียนนัก พวกข้าทำให้พวกเขาไม่สบายใจง่ายเช่นนี้ได้หรือ” ผู้อาวุโสห้าพูดต่ออย่างโกรธ ๆ “ แม้แต่ หน่วยสืบสวนพิเศษ ก็ยังเข้าข้างพวกเขา นางเคยถูกจับกุมครั้งหนึ่ง นางยังไม่ได้เรียนรู้บทเรียนหรือ นางกล้าก่อเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร แล้วทีนี้ มันจะแก้ปัญหาอย่างไรล่ะ”ผู้อาวุโสห้าไม่ทันสนใจที่จะรักษาความเคารพต่อผู้อาวุโสใหญ่ อีกต่อไป เขาจ้องมองไปที่ผู้อาวุโสใหญ่“ จั๋วหลาน ถึงเวลานนั้น เจ้าจะทำปกป้องนางอีกครั้งหรือ การที่รุกรานตระกูลเหยียน นั่นหมายถึงการรุกรานตระกูลเฟิง เวลานี้ นางไม่ได้หมั้นหมายกับเฟิงเหยียน ก่อนหน้านี้ นางเคยทำให้ตระกูลเฟิงไม่พอใจไปครั้งหนึ่งแล้ว ตอนนี้ก่อเรื่องเช่นนี้อีกครั้ง นางกำลังวางแผนที่จะทำให้ตระกูลเฟิงขุ่นเคืองโดยสิ้นเชิงใช่หรือไม่”ผู้อาวุโสใหญ่มีบุคลิกที่สงบ เมื่อต้องเผชิญกับความก้าวร้าวของ ผู้อาวุโสห้า เขาไม่ตอบสนองและสีหน้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ดูเหมือนเขาไม่โกรธกับคำพูดอย่างแรงของผู้อาวุโสห้าเขาเพียงเหลือบมองไปทางประตู ราวกับว่า เขาสังเกตเห็นใครบางค
ผู้อาวุโสห้ายังคงโกรธอยู่ "นี่ จะตายแล้ว ยังไม่รู้จักผิดอีก"“ หากพวกท่านกำลังพูดถึงการแข่งขันกับตระกูลเหยียนละก็” เดิมทีก่อนที่จั๋วซือหรานเข้ามา นางว่าจะไว้หน้าให้พวกเขา แต่เมื่อนางได้ยินคำพูดของผู้อาวุโสห้าจากข้างนอกนอกจากนั้นแล้ว เมื่อครู่ผู้อาวุโสห้ายังอยากโจมตีนางอย่างไม่ลังเล ซึ่งทำให้จั๋วซือหรานเลิกความคิดนี้โดยสิ้นเชิงจั๋วซือหราน ม้วนริมฝีปากของเขา มองไปที่ ผู้อาวุโสห้า และถามด้วยรอยยิ้ม "โอ้ คุณจะไม่แกล้งทำเป็นไม่รู้ตอนนี้เหรอ?"ใบหน้าของ ผู้อาวุโสห้า แข็งทื่อ "คุณพูดอะไร!"“ข้าหมายถึง เมื่อวาน ตอนที่ข้าถูกตระกูลเหยียนกล่าวหาว่า ข้าแอบฝึกทักษะทางการแพทย์ของตระกูลนั้น และข้าถูกหน่วยสืบสวนพิเศษพาตัวไปและถูกสอบปากคำอย่างทรมานเพื่อให้ช้าสารภาพความผิด พวกท่านแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่องมิใช่หรือ”จั๋วซือหรานถามแล้วพูดต่อ "ข้าเสนอแข่งขันกับตระกูลเหยียน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของข้า ทีนี้พวกท่านไม่แสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วหรือ"ผู้อาวุโสห้าได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาขมวดคิ้วและหน้าแดง แต่เขายังคงพูดอย่างไม่ยอม "ทำไม เจ้าสร้างปัญหาเอง เจ้ายังต้องการให้ครอบครัวช่วยเจ้าแก้ปัญห
ส่วนสาเหตุที่จั๋วซือหรานเสนอถอนตัวออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลจั๋วในตอนนี้ ก็เป็นเพราะนางรู้สึกการตัดสินใจของคราวนี้ไม่แย่สำหรับคนอื่น พวกเขารู้สึกว่า การแยกตัวออกจากสำนักงานใหญ่เป็นหายนะ แต่สำหรับจั๋วซือหราน การแยกออกจากสำนักงานใหญ่ไม่ถือเป็นการเนรเทศแต่นางกลับคิดว่าการตัดสินใจของครางนี้ดีที่สุดแล้ว เพราะตราบใดที่นางแยกตัวออกจากสำนักงานใหญ่ นางจะไม่ถูกควบคุมมากนักมิฉะนั้น นางต้องระวังฝ่าฝืนกฎหมายครอบครัวของสำนักงานใหญ่ทุกเมื่อ นั่นไม่ใช่เรื่องตลกนอกจากนี้ เมื่อลูกศิษย์แยกตัวออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลจั๋ว สำนักงานใหญ่จะให้ทรัพยากรบางอย่างเป็นพิเศษด้วย ลูกศิษย์เหล่านั้นที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลทรัพย์สินของครอบครัวในเมืองต่าง ๆ ไม่ได้มีชีวิตที่ยากจนหลายคนที่ไปอยู่ในที่มั่งคั่งและมีชีวิตที่สบายมากดังนั้นเมื่อเจ้าของร่างเดิมยืนกรานที่จะแต่งงานกับฉินตวนหยาง ก็ถือว่าแยกตัวออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลดังนั้น แม้ว่าครอบครัวต้องอับอายมากในเวลานั้น แต่ครอบครัวก็ยังคงให้สินสอดแก่เจ้าของรางเดิมนี่คือวิธีการรักษาเกียรติของตระกูลจั๋ว ในฐานะที่เป็นหนึ่งในห้าตระกูลขุนนางหลักในเมืองหลวงจั๋
นางพูดว่า " คุณท่านลิ่วโปรดระวังสิ่งที่ท่านพูด เสียวจิ่วของข้าไม่ได้ถูกไล่ออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูล เหล่าลูกสิษย์ที่แยกออกจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลและไปอยู่ต่างเมืองหลาย ๆ ที่ พวกเขาล้วนทุ่มเทเพื่อความเจริญของตระกูลจั๋ว หากะวกเขาได้ยินคำพูดของคุณท่านลิ่ว พวกเขาต้องเสียใจขนาดไหน ”ทีแรกคุณท่านจั๋วลิ่วยังสะใจอยู่ แต่เมื่อได้ยินคำพูดที่ไม่ใจเสาะและไม่เย่อหยิ่งของอวิ๋นเหนียง สีหน้าของเขาเปลี่ยนทันที“ข้ามาที่นี่ตามคำสั่งของผุ้อาวุโส มาส่งเจ้าไปจากคฤหาสน์” คุณท่านจั๋วลิ่วพูดอย่างเย็นชา “อย่ารอช้า รีบออกไปเถิด”สำนักงานใหญ่ไม่ได้จัดจวนที่อื่นให้ มันเป็นจวนที่เอาไว้พักอาศัยอยู่หลังจากแต่งงานกับจัวต้วนหยาง แน่นอนว่ามันไม่ดีเท่าจวนของตระกูลจั๋วหรอก แต่อย่างน้อยมันก็เป็นสถานที่ของตัวเองแม้ว่าในจวนหลังนี้ ความทรงจำของจั๋วซือหรานที่เกี่ยวกับชีวิตอย่างน่าสงสารของครึ่งหลังชีวิตของเจ้าของร่างเดิมอาจปรากฏขึ้นเป็นครั้งคราวแต่อย่างน้อย นางไม่ต้องใช้ชีวิตที่ไร้ความอิสระอย่างในคฤหาสน์จั๋วคุณท่านจั๋วลิ่วส่งจั๋วซือหรานมาถึงจวนแห่งนี้ เขาพูดอย่างเย็นชา "อีกไม่กี่วัน เจ้าแข่งขันกับตระกูลเหยียน ถึงเว
เสียงของเขาดูไม่ได้ใส่ใจนัก "โอ้ ล้มเหลวไปแล้ว""เจ้าขยะ" ในน้ำเสียงอีกด้านมีความรู้สึกที่เหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด "เจ้าเฟิงเหยียนนั่นอย่างน้อยก็ยังรู้จักให้ความร่วมมือลบความทรงจำทิ้ง แต่เจ้า แค่ให้ไปปล้นก็ยังไม่สำเร็จ เจ้ามันขยะกว่าเขาเสียอีก"ปันอวิ๋นพอได้ยิน มุมปากยังคงเป็นเส้นโค้งที่ดูประชดประชัน ในดวงตาไม่มีความอบอุ่นใดอยู่อีกด้านไม่รอเขาตอบ เอ่ยต่อมาว่า "ดังนั้นตอนแรกพวกเราถึงให้หลงเฉินเลือกเฟิงเหยียนไม่เลือกเจ้าไงล่ะ ดูท่าจะไม่ได้เลือกผิด"เส้นโค้งประชดประชันเหล่านั้นของมุมปากปันอวิ๋นลดลงมา ความอบอุ่นในดวงตาเย็นเยียบไปแล้วอย่างสิ้นเชิงเพียงแต่น้ำเสียงฟังแล้วยังดูนิ่งไม่มีความผันผวนใด ราวกับไม่มีอารมณ์ใดๆ อยู่"แต่ตอนนี้พวกเจ้าก็ยังต้องให้ข้ามาจัดการความยุ่งยากของเฟิงเหยียน" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ"แล้วเจ้าจัดการแล้วหรือยัง? ให้เจ้าไปปล้นมาก็ยังทำไม่ได้" เสียงจากอีกด้านหัวเราะเย็นชาขึ้นมาแต่ปันอวิ๋นก็หัวเราะขึ้นเบาๆ ดูนิ่งมาก "ข้าเป็นพวกเมตตาต่อสตรีนะ เรื่องปล้นอะไรไม่ถนัดหรอก แต่ยังพอเปลี่ยนวิธีแก้ไขความยุ่งยากได้""เจ้ายังมีวิธีอะไรอีก? อย่าคิดว่าตัวเองฉลาดนักเล
ผู้จัดการโรงเตี๊ยม เกือบร้องจะร้องแหลมขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ แต่ยังดีที่ทนเอาไว้ อย่างน้อยก็ไม่เหมือนผู้เฒ่าเหอที่ร้องเป็นไก่เมื่อวานนี้"เจ้า เจ้า..."เดิมทียังคิดจะถามว่าเป็นใคร แต่ผู้จัดการก็มองออกทันที หนึ่งในผู้ชายป่าเถื่อนที่จั๋วซือหรานผู้หญิงตัวซวยคนนั้นพากลับมาจากที่ผู้จัดการโรงเตี๊ยมเห็น ที่ผู้หญิงตัวซวยคนนั้นพามาล้วนเป็นผู้ชายป่าเถื่อนทั้งสิ้นหลักๆ คือนางเองไม่ได้พาผู้หญิงกลับมา ไม่ว่าจะเชลยหรือว่าอะไรก็ตาม...ไม่ว่าจะใครก็ล้วนเป็นผู้ชายทั้งสิ้นแต่นอกจากเชลยเหล่านั้น คนที่นางพากลับมาสองคน ไม่ว่าจะใคร ดูแล้วก็อันตรายไม่แพ้กันผู้จัดการยังคิดว่าพวกเขาจะไปพร้อมกันเสียอีก!ทำไม! ทำไมยังเหลือทิ้งไว้อีกล่ะ?!"เจ้า...ทำไมถึงไม่ได้ไปกับนาง..." ผู้จัดการพูดจาตะกุกตะกักไปหมดแล้ว ถอยหลังออกมาก้าวหนึ่งด้วยสัญชาตญาณ เพราะรู้สึกว่าผู้ชายตรงหน้าคนนี้ แม้จะหน้าตาหล่อเหลา แต่ก็ดูชั่วร้ายมากแค่เหลือบมองก็รู้สึกอันตรายแล้วแต่ว่าอีกฝ่ายกลับไม่ให้โอกาสเขาได้ถอยหนีคิ้วยาวเขาเลิกขึ้นเล็กน้อย "ดูท่า นางจะเป็นตัวซวยคนนั้นจากปากของเจ้าสินะ?"ผู้จัดการไม่กล้าพูด แต่พริบตาต่อมา มือก็ถูกออกแ
เจิ้นเจียงไม่ค่อยเข้าใจคามหมายลึกๆ ของคำพูดนี้เพียงแต่ดูแล้ว นายท่านเองก็เหมือนไม่คิดจะไปตามหาคุณชายเหยี่ยนด้วย"ให้ข้าน้อยไปตามหาคุณชายเยี่ยนไหมขอรับ?" เจิ้นเจียงถามจั๋วซือหรานส่ายหัว "ไม่ต้องแล้ว ข้าเสียเวลาที่นี่อีกไม่ได้แล้ว ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องไปจัดการอีก"เจิ้นเจียงเองก็เข้าใจ เรื่องของคุณชายน้อยจั๋วหวาย เป็นเรื่องสำคัญในตอนนี้ของนายท่านยิ่งไปกว่านั้นพอดูแล้ว อารมณ์ของนายท่านก็เหมือนจะปรับเรียบร้อยแล้วด้วยกระทั่งอารมณ์ที่ได้รับผลกระทบก่อนหน้านี้ เหมือนจะสภาพหดหู่เล็กๆ ก็ยังกลับมาเป็นปกติแล้วเจิ้นเจียงรีบตามนางไป จากนั้นก็ได้ยินนางเหมือนจะงึมงำกับตนเองแว่วมาตามสายลม"ยิ่งไปกว่านั้นใครจะูร้ว่าเขาไปแล้วจริงหรือเปล่า ไม่แน่อาจจะหลบอยู่ใกล้ๆ แอบฟังก็ได้..."จั๋วซือหรานให้เจิ้นเจียงไปจัดการรถรางวัล เตรียมตัวออกเดินทางเดิมทียังกังวลว่ารถจะไม่พอใส่ ถึงตอนนั้นคงต้องพิจารณาเรื่องซื้อรถม้า หรือไม่ก็ให้สำนักเมฆาวารีพวกนี้วิ่งตามรถม้าเอา...ผลคือตระกูลเหอก็ส่งรถม้าเข้ามา เรียกได้ว่าพอง่วงหนอนหมอนก็หนุนเข้ามาพอดีคนสำนักเมฆาวารีที่เป็นเชลยจากด่านกระดูกแพะก่อนหน้นี้ สภาพจิ
"นายท่าน?" เจิ้นเจียงเห็นจั๋วซือหรานยืนอยู่แถวบ่อน้ำ เหมือนจะไม่ขยับตัวมาพักหนึ่ง จึงหันหน้ามองไปทางนางอย่างสงสัย"มีอะไรหรือ?" เจิ้นเจียงเดินขึ้นเข้ามา และเห็นสายตาตกตะลึงหน่อยๆ ของนายท่าน เอ่ยถามเสียงต่ำว่า "มีอะไรผิดปกติหรือขอรับ?"จั๋วซือหรานจึงเก็บสายตากลับ "ไม่มีอะไร ไปเถอะ ห้องเขาอยู่ที่ไหน?""โอ้! ตามข้ามาเลย" เจิ้นเจียงนำทางจั๋วซือหรานต่อไปทางห้องแขกเพียงแต่ว่า เขาไม่รู้ว่าเข้าใจผิดหรือเปล่า รู้สึกเหมือนการก้าวเดินของนายท่าน เทียบกับความเอ้อระเหยไม่รีบร้อนก่อนหน้านี้ ดูเหมือนจะรีบเร่งขึ้นมาพอควร!ไม่นานนัก เจิ้นเจียงก็นำมาถึงประตูห้องแขก"ที่นี่ขอรับ" เจิ้นเจียงกดเสียงต่ำ บอกกับจั๋วซือหรานว่า "แต่ว่า นายท่าน ตอนนี้มันจะเช้าไปหน่อยไหม? ถ้าคุณชายเหยี่ยนยังพักผ่อนอยู่ล่ะ..."จั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ ก็เหมือนไม่ได้ยิน ยกมือขึ้นเคาะประตู"ตึงๆๆ..."ในประตูไม่มีปฏิกิริยาการเคลื่อนไหวใดเจิ้นเจียงเอ่ยขึ้นข้างๆ "คุณชายเหยี่ยนน่าจะยังไม่ตื่น นายท่าน ถ้างั้น..."เสียงเขายังไม่ทันขาด ก็เห็นนายท่านขมวดคิ้ว จากนั้นสองมือก็ค่อยๆ ดันเปิดตรงหน้าเจิ้นเจียงรู้สึกว่า เหมือนมีพลังอบอุ
จั๋วซือหรานรับรายชื่อของขวัญมา กวาดตามองผาดหนึ่ง คิ้วเลิกขึ้นเบาๆ "จวนตระกูลเหอส่งมาหรือ?""ขอรับ ส่งมาแต่เช้าตรูเลย น่าจะเตรียมไว้เมื่อคืนนี้" เจิ้นเจียงเอ่ยขึ้นจั๋วซือหรานดีดรายการของขวัญในมือเบาๆ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม "ดูท่าเหอจื้อหย่วนจะกลัวจริงๆ ซะแล้ว"เมื่อคืนนี้ก่อนที่นางจะออกมาบอกกับเหอจื้อหย่วนเรื่องที่นางจะสะสางหนี้ ดูท่าจะทำเขาผวาไปแล้วฟ้ายังไม่สาง ก็ส่งกองนี้เข้ามา"ต้อง ต้องรับไว้ไหม?" เจิ้นเจียงดูจะระแวดระวัง "จะมีตุกติกอะไรหรือเปล่า?""จะมีอะไรตุกติกได้อีก" จั๋วซือหรานยิ้มๆ "ยังมองไม่ออกอีกหรือ?""มองอะไร...ไม่ออกหรือขอรับ?" เจิ้นเจียงไม่เข้าใจจั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "เขากำลังขับไล่สิ่งอัปมงคลนี่ ให้ข้ามาเยอะขนาดนี้ คงอยากให้ข้ารีบไปเต็มแก่แล้ว..."เจิ้นเจียงได้ยินคำนี้ แม้จะรู้สึกดู...ยังไงๆ อยู่ แต่ก็...เหมาะควรดีจั๋วซือหรานเดิมทียังไม่ได้นอนมาคืนหนึ่ง แม้คุณสมบัติร่างกายจะแข็งแกร่ง ด้านสุขภาพไม่มีอาการเหนื่อยล้า แต่ในด้านจิตใจก็มีอาการเหนื่อยล้าเล็กๆตอนนี้ก็ดูจะมีแรงขึ้นหน่อย ถือรายการของขวัญมือไพล่หลังเดินไปยังรถของขวัญด้านนอกเพื่อตรวจสอบ ดูแล้วจิตใจจะ
ที่ขอบฟ้ามีแสงสว่างขาวเหมือนท้องปลาขึ้นรำไรปันอวิ๋นจึงถอนหายใจยาวออกมา เอ่ยขึ้นว่า "เท่านี้ก็แล้วกัน""อื๋อ?" จั๋วซือหรานเหลือบมองเขา พยักหน้าตอบ "เอาเถอะ ขอบคุณเจ้ามาก"ปันอวิ๋นจึงหวาดหวอดขึ้นมา "ข้าต้องไปพักผ่อนหน่อยแล้ว ฟ้าใกล้จะสางแล้ว"จั๋วซือหรานเหลือบมองสีท้องฟ้านอกหน้าต่างผาดหนึ่ง "จริงด้วย ไม่รู้ตัวเลย ดึก...เช้าขนาดนี้แล้วแฮะ""เจ้เาองก็รีบพักผ่อน" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้น โบกมือโยนหลุมฆ่าให้กับนาง "อันนี้ให้เจ้า""เอ๋?" จั๋วซือหรานมองเขา "เจ้าหุบเขาใจกว้างเสียจริง อาวุธกู่ล้ำค่าแบบนี้ให้ข้าจริงหรือ?"ปันอวิ๋นเอียงตามองนาง "ขลุ่ยที่ล้ำค่าของข้าตอนนั้น ก็ไม่ใช้ให้เจ้าไปหรือไรกัน?""เจ้าหุบเขาปันพูดแบบนี้..." จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ "ขลุ่ยกู่ของเจ้า ข้าใช้ดาบใช้หอกแย่งกลับมาต่างหาก อย่าพูดว่าเจ้าให้มาด้วยมิตรภาพสิ"ในดวงตาชั่วร้ายของปันอวิ๋น มีประกายจนใจออกมา หญิงสาวคนนี้ไม่ไว้หน้ากันเลยทั้งทั้งที่สอนให้เจ้าอย่างลำบากมาทั้งคืนแท้ๆ"สรุปคือ เจ้าหลุมกู่นี่ก็มอบให้เจ้าแล้ว ตัวเองก็ค่อยๆ เล่นไปแล้วกัน" ปันอวิ๋นเอ่ยขึ้น "ข้าว่าเจ้าลองทำความเข้าใจเองสักหน่อย ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรแล
ปันอวิ๋นได้ยินนางคำนวนเช่นนี้ ในใจก็อดถอนใจกับเรื่องนี้ขึ้นมาไม่ได้ให้ตายสิ โดนนางคิดรวบมันทุกอย่างกระทั่งว่า หลังจากได้ยินนางคำนวนอย่างละเอียดเช่นนี้ ก็ไม่อยากจะถามอะไรอีกแล้ว แค่อยากจะถามประโยคก่อนหน้าเท่านั้น "แล้วจากนั้นล่ะ?"แค่อยากรู้ว่า ด้วยความฉลาดของนาง หลังจากนี้จะทำอย่างไรจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว "หลังจากนั้น? ก็ต้องช่วยน้องชายข้าออกมาสิ ทำลายแผนการนางที่คิดจะเอาน้องชายข้ามาเป็นผู้ทดลองยาให้เรียบ"ปันอวิ๋นเลิกคิ้ว "นั่นดูค่อนข้างสิ้นหวังเลยนะ""นี่ยังไม่ใช่จุดสิ้นหวังที่สุดหรอก จุดสิ้นหวังที่สุดคือ นางจะได้รู้ ว่าโรคของลูกสาวนาง อันที่จริงข้ารักษษได้" จั๋วซือหรานยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชาปันอวิ๋นจุ๊ปาก "ข้าเหมือนยังไม่เคยผิดใจกับเจ้าใช่มั๊ย?"จั๋วซือหรานหรี่ตามองเขา เหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม เอ่ยขึ้นว่า "เจ้าหุบเขาขี้หลงขี้ลืมซะจริง พิษกู่ร้อยไหมของท่านจนป่านนี้ก็ยังอยู่กับข้านะ แล้วยังไม่ต้องพูดเรื่องที่ต่อมาท่านไปช่วยซือคงอวี้อีก...ทำเอาข้าลำบากอยู่เหมือนกันนะ"มุมปากปันอวิ๋นยกขึ้นเป็นรอยยิ้มชั่วร้าย เดิมทีเขาก็หน้าตาหล่อเหลาแบบชั่วร้ายอยู่แล้ว พอยิ้มตอนนี้ บุคลิกที่ทั้
เพียงแต่ว่า ความคิดในใจจั๋วซือหราน ยังไม่ได้คิดจะบอกกับเจิ้นเจียงเพราะความคิดในใจเหล่านั้น มันค่อนข้างจะมืดมนจั๋วซือหรานคิดไว้นานแล้ว ว่าจะพาคนสำนักเมฆาวารีไปให้หมด รวมถึงพวกศิษย์ทั่วไปสำนักเมฆาวารีที่จับมาเป็นตัวประกันตอนด่านกระดูกแพะก่อนหน้านี้ด้วยรวมถึงศิษย์สำนักเมฆาวารีกับผู้ดูแลชุยที่เป็นกองหนุนของเหอจื้อหย่วนนี่ด้วยนางจะพาไปให้หมด"พาพวกเขาไป แล้วจากนั้นล่ะ?" ในห้อง หลังจากปันอวิ๋นได้ยินการตัดสินใจของนางก็ถามขึ้นมาเขากลอกตามองนางผาดหนึ่ง ท่าทางในมือไม่มีสับสนแม้แต่น้อยกล่องเคลือบขนาดเท่าอ่างล้างหน้าใบหนึ่ง ตัวกล่องมีลวดลายสีสันสดใส แต่ความสวยนี้กลับแผ่ความอันตรายแปลกประหลาดออกมายิ่งไปกว่านั้นยังมีเสียงสวบสาบดังลอดออกมาจากในกล่องด้วยจั๋วซือหรานมองหลุมฆ่าในมือเขาไม่วางตา พลางตอบออกมาอย่างขอไปทีว่า "เอาไปคุมเชิงกับเจ้าสำนักเมฆาวารี ให้เขาปล่อยคนออกมา"จั๋วซือหรานสังเกตทิศทางไหลเวียนกับระดับความเข้มข้นของพลังวิญญาณที่นิ้วปันอวิ๋นอย่างละเอียดถึงอย่างไร...เจ้าหุบเขาหมื่นพิษก็ระบบวิชากู่ให้กับนางด้วยตนเอง นี่เป็นโอกาสที่หาได้น้อยมากนะ! โอกาสอันดีปันอวิ๋นพอได้ิน ท่า
ดังนั้นจึงไม่กล้าอวดดีแล้วจั๋วซือหรานนำคนสำนักเมฆาวารีไปที่โรงเตี๊ยมหกคนนั้นของสำนักเมฆาวารีแบกผู้ดูแลชุยเหมือนคนดำแบกโลงศพอย่างไรอย่างนั้น...ตอนที่ออกจากโรงเตี๊ยมไปที่ตระกูลเหอ ก็ดึงดูดความสนใจไปไม่น้อยแล้ว ตอนนี้จากจวนตระกูลเหอยังแบกคนที่เจ็บจนน่าเวทนากลับมาอีกคน จึงทำให้คนที่เห็นยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเข้าไปอีกยิ่งไปกว่านั้นยังมองออกอย่างรวดเร็วอีกว่าคนคนนั้น แม้บนตัวจะเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง แต่ก็มองออกไม่ยาก ว่าเป็นคนของสำนักเมฆาวารีเช่นกัน ยิ่งไปกว่นั้น เนื่องจากสื้อผ้าที่เหลืออยู่บางส่วนบนตัว พอมองก็รู้ว่าแตกต่างกับศิษย์ทั่วไปของสำนักเมฆาวารีดังนั้นจึงคาดเดาได้ไม่ยาก น่าจะเป็นคนที่มีฐานะหน่ยอในสำนักเมฆาวารียังกลายมาเป็นสภาพนี้...ถ้าบอกว่าแต่ก่อนสำนักเมฆาวารีมีชื่อเสียงมากในเมืองหยาง วันนี้ก็น่าจะถึงจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์แล้วจั๋วซือหรานไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้าง นางเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรเพียงแต่ว่า ระหว่างทางที่กลับมานี้ ผู้ดูแลชุยก็ร้องอย่างน่าเวทนา ฟังแล้วทำเอารำคาญขึ้นมาเลยพอมาถึงโรงเตี๊ยม ผู้จัดการโรงเตี๊ยมคางแทบจะห้อยลงมาแล้วพวกสำนักเมฆาวารีวางผู้ดูแลชุย