“ จั๋วจิ่ว คนนี้เป็นคนเด็กขาดจริง ๆ”เหยียนฉีฟังอยู่ข้าง ๆ เขาคิดอย่างช่วยไม่ได้ในใจ นางเป็นคนเด็ดขาดจริง ๆ หากนางไม่ใช่คนประเภทเด็ดขาดจริง ๆ นางคงไม่ทำถึงขั้นที่ต้องทำให้ตระกูลเหยียนทั้งหมดขุ่นเคืองเพียงเพื่อ สู้กับเหยียนชางผู้เดียว“ไม่ว่านางมีปัญหากับตระกูลจั๋วหรือไม่ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับเรา ในเมื่อนางได้แสดงความจริงใจของนางแล้ว เพื่อให้พวกเราไม่ต้องกังวล ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้ขอรับ” เหยียนฉีถามเหล่าผู้อาวุโสมองหน้ากัน และพวกเขาตกลงเรื่องนี้ทันทีฝูซูไปที่จวนของท่านอ๋องเซี่ยนอีก เขานำคำพูดของจั๋วซือหรานให้ท่านอ๋องเซี่ยนอย่างราบรื่นซือคงเซี่ยนไม่ได้เจอจั๋วซือหรานมาสักพักแล้ว เมื่อเขาได้ยินคำพูดของฝูซู เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า "นางขอความช่วยเหลือ แต่นางไม่มาเองหรือ"ฝูซูยื่นขวดกระเบื้องในมือให้ “คุณหนูฝากข้าน้อยมอบสิ่งนี้ให้ท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ เพื่อแสดงความจริงใจของคุณหนู โปรดท่านอ๋องมิรังเกียจพ่ะย่ะค่ะ”ซือคงเซี่ยนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทันทีที่เขารับขวดนั้น เขาก็รู้ทันทีว่ามีอะไรอยู่ข้างในฝูซูจำคำพูดของคุณหนูได้ เขาพูดต่อ "คุณหนูหวังว่าท่านอ๋องอย่าตำหนิคุณหนูในตอนนี้ ที่คุณหนูไม
จากนั้นเขาก็แนะนำให้เขารู้จักชิ่งหมิง " ชิ่งหมิง นี่คือน้องชายของข้า จั๋วหวาย มาทำความรู้จักกันเถิด"ชิ่งหมิงยืนอยู่ข้างเสา แต่ตอนนี้เขาย่อตัวไปด้านหลังเสาและมองมาทางนี้อย่างระมัดระวังจั๋วซือหรานทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย ชายหนุ่มคนนี้ทำให้นางรู้สึกว่า... เสาหลักดูเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของเขาจั๋วหวายไม่ได้เขินอายขนาดนั้น ดังนั้นเขาจึงมองชิ่งหมิงอย่างละเอียด “แต่เขาดู..ไม่เด็กมากนัก”“ดูไม่เด็ก จะเล่นด้วยกันไม่ได้หรือ แล้วเจ้าอายุนี้แล้ว ท่านแม่ยังเรียกเจ้า ลูกรัก เลย” จั๋วซือหรานเลิกคิ้วแล้วถามใบหน้าของจั๋วหวายแดงเหมือนโดนไฟไหม้ "ท่านพี่" เขาพูดอย่างกังวล "ทำไมท่านพี่พูดทุกเรื่องน่ะ"จั๋วซือหรานยกเท้าขึ้นและเตะบั้นท้ายเบา ๆ "เข้าไปทำงานเลย และนำอาหารออกมา ข้าทำกับข้าวให้แล้ว ดังนั้นข้าไม่รัมผิดขอบถ้วยกับตะเกียบแล้ว"จั๋วหวาย ชิ่งหมิง และฝูซูดูเหมือนอายุไม่ต่างกันมากนักพวกเขาทั้งสามเข้าไปในห้องรับประทานอาหารด้วยกัน และจัดเรียงอาหาร ชาม และตะเกียบเรียบร้อยดูเหมือนจะไม่ได้คิดอะไรผิดปกติโดยปกติแล้ว แม้ว่าเดิมทีฝูซูเป็นคนรับใช้อยู่แล้ว ก็คงจะไม่บ่นตัวเองต้องทำงานบ้านท้ายที่สุด จั๋
อาจเป็นเพราะบรรยากาศดีหรืออาจเป็นเพราะอาหารอร่อย สรุปก็คือชิ่งหมิงรู้สึกผ่อนคลายมากจั๋วซือหรานรินชาให้เขาแล้วพูดว่า "ลองดูสิ ข้าชงเอง"ชิ่งหมิงยกถ้วยขึ้นและดื่มชา เขากระพริบตา เขารู้สึกค่อนข้างประหลาดใจ “กลิ่นหอมมากนัก ฝีมือของเจ้ายอดเยี่ยมมาก”จั๋วซือหรานเลิกคิ้วแล้วมองเขา "ไม่ตื่นตระหนกแล้วนะ"ชิ่งหมิงกลอกตาและพยักหน้า "ไม่... ได้ตื่นตระหนกขนาดนั้น"“สรุปท่านตื่นตระหนกเมื่อหิว และผ่อนคลายเมื่อทานข้าวอิ่ม” จั๋วซือหรานถือถ้วยชาและพูด“ขอบคุณสำหรับการต้อนรับของเจ้า” ชิ่งหมิงกล่าว “เดิมทีข้ามาที่นี่เพื่อเรื่องการหลอมอาวุธ”ชิ่งหมิงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ "แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะแนะนำ... เพื่อนตัวน้อยให้ข้ารู้จัก"เขามองจั๋วซือหรานอย่างจริงจังและพูดว่า "ข้ามีอายุมากแล้ว ข้าแก่กว่าเจ้า"จั๋วซือหราน มองชิ่งหมิงอย่างจริงจังและพูดว่า "ไม่จริงแน่ ๆ "สีหน้าของนางดูจริงจังมากจนชิ่งหมิงอดไม่ได้ที่ต้องหัวเราะ ดวงตาของเขาบิดเบี้ยว "ข้าจี๋กวาน"(สมัยก่อน เด็กชายจีนเมื่อมีอายุ 20 ปี ก็จะมีพิธีสวมเครื่องประดับบนศีรษะ เรียก จี๋กวาน )จี๋กวาน นั่นหมายความว่า... อายุยี่สิบปีแล้วไม่ใช่หรือจ
ชิ่งหมิงมองจั๋วซือหราน และไม่ตอบอะในไรทันทีทันใดนั้นเขาก็จำได้ว่า จั๋วซือหรานเคยถูกลงโทษในหน่วยสืบสวนพิเศษ และดูเหมือนว่า ในเวลานั้น ซือเจิ้งท่านนี้อยู่ในหตุการณ์นั้นชิ่งหมิงสงสัยว่านางมีข้อโต้แย้งต่อท่านซือเจิ้งอยู่ในใจหรือไม่?เพราะอยากที่นางกล่าว หากนางมีข้อโต้แย้งกับใครก็ตาม นางต้องแก้แค้นแน่ ๆชิ่งหมิงอดไม่ได้ที่ต้องโน้มน้าว "อย่า... มีความแค้นใด ๆ กับซือเจิ้ง ต้องรับ...สูญเสียมาก"เมื่อจั๋วซือหรานได้ยินคำพูดนี้ นางรู้ชิ่งหมิงกังวลอะไร นางก็หัวเราะทันที "ข้าแค่อยากรู้ ข้าจะกล้าไม่พอใจใต้เท้าซือเจิ้งได้อย่างไร"ตอนนี้นางไม่กล้าไม่พอใจ แต่ในอนาคต ก็ไม่แน่ใจนะจั๋วซือหรานนึกถึงชายที่สวมหน้ากากลายเปลวไฟสีแดงในตอนนั้น เขามองนางด้วยสายตาอันเย็นชาขณะที่นางกำลังถูกเหยียนชางใส่ร้ายและบังคับยอมรับความผิดนางยังอดไม่ได้ที่ต้องโกรธเล็กน้อยแต่ผู้ที่มีนิสัยบริสุทธิ์อย่างชิ่งหมิง เขาเป็นห่วงจั๋วซือหรานโดยไม่มีความคิดอย่างอื่น ดังนั้นแน่นอนว่าเขาฟังไม่ออกคำพูของจั๋วซือดหรานดังนั้นหลังจากได้ยินคำพูดของจั๋วซือหราน เขาก็พยักหน้าและกล่าวว่า "ใต้เท้าซือเจิ้งถูก...สภาผู้อาวุโส...แต่งตั้งโ
ชิ่งหมิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย "เพราะ... ข้าคิดว่าเจ้าน่าจะเก่งเรื่องการหลอมอาวุธ และ และหากเจ้าเรียนรู้วิธีหลอมอาวุธ เจ้าอาจสามารถเข้าลัทธิเดียวกับข้าได้ใน อนาคต. "ขณะที่เขาพูดอย่างนั้น ความเขินอายบนใบหน้าของชิ่งหมิงก็แสดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้น "หากเป็นเช่นนั้น ข้าก็เป็นรุ่นพี่แล้ว"จั๋วซือหรานหัวเราะเมื่อนางได้ยินคำพูดที่ตรงไปตรงมาของเขา "อ้าว ขยันขนาดนี้ สรุปแค่เพื่อใช้ประโยชน์หรือ ไม่ต้องเรียกท่านเป็นพี่แล้ว ไหน ๆ ท่านสอนข้าหลอมอาวุธแล้ว.. ” จั๋วซือหรานจับคางของนางไว้ในมือข้างหนึ่ง นางยิ้มและมองเขา นางพูดว่า "... แล้วข้าจะเรียกท่านว่า อาจารย์น้อย เป็นอย่างไรเจ้าคะ"ใบหน้าเล็ก ๆ ที่สวยงามของนาง ด้วยท่าคางขี้เกียจและดวงตาที่ยิ้มแย้มของนาง นางเหมือนนางฟ้าที่มีเสน่ห์อย่างมากจากนั้นเห็นได้ชัดว่า ใบหน้าของชิ่งหมิง เปลี่ยนเป็นสีแดงจนแดงถึงคอของเขา “ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ได้ ข้าไม่มี ข้าไม่มีคุณสมบัติที่จะรับลูกศิษย์ได้”...อย่างไรก็ตาม อย่างไรก็ตาม ให้ข้าสอนเจ้าละกัน สนุกมาก”จั๋วซือหรานไม่คัดค้านเรื่องนี้ นางพยักหน้า "รับทราบเจ้าค่ะ บังเอิญว่าข้าก็ค่อนข้างสนใจหลอมอาวุธเช่นกัน"นางมีประส
นี่คือใบหน้าที่ไม่มีอะไรผิดปกติ โครงร่างนั้นเฉียบคมและกล้าหาญ และใบหน้าก็ถือได้ว่าหล่อ แต่... มันทำให้ผู้คนรู้สึกจริงจังและตรงไปตรงมาตั้งแต่แรกเห็นความตรงไปตรงมานั้นดูเหมือนถูกจารึกไว้ในกระดูกเหมือนไม่มีรอยยิ้มใด ๆ บนใบหน้านี้แม้ว่าจั๋วหวายและฝูซูจะไม่รู้จักเจ้าของของใบหน้านี้ได้ แต่พวกเขาก็ไม่กล้าทำผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่พวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของชิ่งหมิง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ทราบตัวตนเฉพาะของบุคคลที่อยู่ข้างหน้าพวกเขาก็ตาม พวกเขาสามารถเดาตัวตนโดยประมาณได้พวกเขารู้สึกได้ทันทีว่าเมื่อเทียบกับใบหน้าเสมือนก้อนน้ำแข็งตรงหน้า ชิ่งหมิงเป็นเด็กน่ารักที่เอาใจใส่ผู้อื่นจั๋วซือหรานตระหนักได้อย่างเป็นธรรมชาติว่าบุคคลนี้เป็นใครในขณะที่นางเห็นเขานางก้มตาแล้วยิ้ม "วันนี้จวนของข้าคึกคักจัง"ชายคนนั้นจ้องมองจั๋วซือหรานด้วยสายตาที่ไม่แยแส เขาพูดด้วยน้ำเสียงสงบมาก "ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่า เมื่อเจ้าสัญญากับ ชิ่งหมิง เจ้าต้องรักษาคำพูดของตัวเอง"จั๋วซือหรานพูดอย่างช่วยไม่ได้ "เพราะว่าช่วงนี้ข้ามีปัญหามากเกินไป"ใช่ ผู้มาเยือนไม่ใช่ใครนอกจากซือหลี่ตันติ่ง เวินป๋อยวนเสียงของเวินป๋อยวนยัง
ของที่บรรจุอยู่ในกล่องคือแมลงที่กำลังบิดตัวไป ๆมา ๆ และขยับตัวไปทางซ้ายและขวาในกล่อง มันกำลังพยายามหลีกเลี่ยงเลือดของนางนี่คือหนอนพิษกู่ที่จั๋วซือหรานไล่ออกจากร่างกายของไทเฮาในก่อนหน้านี้ นางเลี้ยงมันตลอดเวลา แต่นางแค่เลี้ยงมันโดยไม่ได้สนใจมันมากนักในทุกวันนี้ เนื่องจากนางยุ่งตลอด ดังนั้นนางจึงไม่มีเวลาดูแลมันแค่คืนนี้นางไม่รู้จะทำอะไรเลย นางเลยหยิบมันออกมา เล่นกับมัน เพราะนี่คือหนอนพิษกู่ที่มีเจ้าของแล้ว ดังนั้นมันต้านทานเลือดของคนอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของของหนอนพิษกู่ แต่มันจำเป็นต้องพึ่งพาเลือดของจั๋วซือหราน เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตต่อได้เพียงแต่ว่า ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา จั๋วซือหรานสังเกตหนอนพิษกู่นี้ปฏิเสธและต่อต้านเลือดของนางอย่างมาก และดูเหมือนว่ามันอยากจะอดอาหารมากกว่า จะได้ไม่สัมผัสเลือดของนางจั๋วซือหรานหันไปมองชายคนนั้น " ท่านอ๋อง ท่านรู้เกี่ยวกับลิทธิกู่ของดินแดนทางใต้หรือไม่"เฟิงเหยียนเดินไปเคียงข้างนางแล้ว และทันทีที่เขาลดสายตาลง เขาก็สบตากับดวงตาที่อันงดงามของนางเขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดเบาๆ “เจ้าลืมใครช่วยเจ้ากำจัดเสน่ห์หนอนพิษกู่หรือ”จั๋วซือหรานตกตะลึงเมื่อได้ย
" เฟิงเหยียน เจ้า..." จั๋วซือหรานไม่รู้เฟิงเหยียนกำลังทำอะไรอยู่จริง ๆ ตามความเข้าใจในทักษะทางการแพทย์ของนาง จั๋วซือหรานไม่เคยคิดเลยว่าเฟิงเหยียนกำลังรักษานางแต่หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางรู้สึกได้ชัดเจนว่ามีบางอย่าง... ถูกดึงออกจากร่างกายของนางจั๋วซือหรานกระพริบตาเล็กน้อย จากนั้นนางกระพริบอีกครั้ง และถามด้วยเสียงต่ำว่า "เจ้าทำอะไรไป"เนื่องจากพวกเขาอยู่ใกล้กันมาก หากพวกเขาพูดดังขึ้น พวกเขาก็จะกังวลว่าจะสัมผัสหรือรบกวนซึ่งกันและกัน ดังนั้นแม้แต่เสียงพูดของพวกเขาก็ลดลงเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจมันค่อนข้างสนุกเมื่อได้เห็นหญิงสาวที่หยิ่งผยองพูดเบา ๆเสียงของเฟิงเหยียนก็เบาลงเช่นกัน "ไม่มีอะไร เพียงเพื่อไม่ให้เจ้าทำให้หนอนตาย"ลมหายใจที่เย็นชื่นใจและร้อนของชายคนนั้นสัมผัสทุก ๆ ส่วนของประสาทสัมผัสของนางจั๋วซือหรานอดไม่ได้ที่ต้องถาม "แล้ว... เสร็จหรือยัง"“เสร็จแล้ว” เฟิงเหยียนตอบ แต่เขาไม่ได้ขยับตัวห่างจากนางในเมื่อเขาจัดการเสร็จแล้วแต่หลังจากจั๋วซือหรานได้ยินคำตอบนี้ นางก็ตกตะลึงแล้วก้าวถอยหลัง“ลองดูสิ ตอนนี้มันคงไม่อดอาหารแล้ว” เฟิงเหยียนกล่าว และสีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไป ราวกั
ทุกคนรู้สึกว่านางผิด เพียงแค่เพราะ นางไม่ยอมทำตัวเป็นปกติเหมือนพวกเขาสายตาของเหยียนเจินเปล่งประกาย เอ่ยขึ้นว่า "จะไม่มีทางออกเลยหรือไร? ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ไปเข้ากับจั๋วจิ่วเลย!"เหยียนฉีพอได้ยินก็ตกตะลึง งงงันไป "ได้...ได้หรือ? ตระกูลเหยียนกับนาง...ตอนนี้น่าจะอยู่ในสภาพไม่ตายไม่เลิกรากันแล้วกระมัง?""ตระกูลเหยียนก็คือตระกูลเหยียน" เหยียนเจินไม่แยแส "พวกเราถ้าออกจากตระกูลเหยียน เช่นนั้นความแค้นนั่นก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา ยิ่งไปกว่านั้นข้าก็มองออกถึงนิสัยจั๋วจิ่ว ขอแค่ไม่ผิดใจกับนาง นางก็จะไม่ทำอะไรคนอื่น"อดพูดไม่ได้ เหยียนเจินมองนิสัยจั๋วซือหรานออกจริงๆดังนั้น พ่อลูกตระกูลเหยียนคู่นี้ หลังจากที่หารือกันเสร็จคืนนี้เช้าวันถัดมาตอนที่ข่าวเรื่องจั๋วซือหรานถูกพระราชทานรางวัลลือมาถึงเมืองหลวง จึงออกจากตระกูลเหยียนไปเงียบๆสถานการณ์ของตระกูลเหยียนเป็นเช่นนี้ ตระกูลอื่นกลับเป็นอีกแบบหนึ่งบรรยากาศของตระกูลเฟิงตึงเครียดมากแต่สิ่งเหล่านี้ เฟิงเหยียนไม่คิดจะเข้าร่วม เขานั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ว่าเหล่าผู้อาวุโสจะพูดอะไรกันเขาก็ไม่เข้าร่วมการสนทนาเลยสายตาเหม่อลอยหน่อยๆ ราวกับคิดถึงเรื่อง
"เจ้าอย่ามาพูดให้เกินจริงนัก! ทุกคนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ ไม่ใช่เพื่อมาฟังเจ้าพูดเกินจริง!""นั่นสิ ตระกูลฮั่วเพราะอะไรถึงได้ช่วยจั๋วจิ่วแบบนี้ เสี่ยงจะผิดใจกับตระกูลอื่นๆ อีก..."และก็มีเสียงคัดค้านไม่เชื่อปรากฏขึ้นเช่นกันแต่คนฉลาดก็หัวเราะเย็นชาขึ้นา "ใช่สิ ข้าพูดเกินจริงเองนั่นล่ะ พวกเจ้าเห็นว่าตระกูลฮั่วมันโง่สินะ"คนผู้นี้โมโหจนหัวเราะ "ตระกูลฮั่วถูกพวกเราสี่ตระกูลกดมาตั้งหลายปี! พวกเขาในสายตาพวกเราคืออะไร? ผู้ค่าข่าว ผู้จัดการโรงเตี๊ยม...หลายปีมานี้ถูกพวกเราสี่ตระกูลกดดัน""ตอนนี้พวกเขาได้เวลาเฉิดฉายแล้ว โดยไม่สิ้นเปลืองกำลังทหารอีกด้วย ก็แค่เพราะ...เดิมพันถูกกับความโดดเด่นของจั๋วจิ่วเท่านั้น! พวกเจายังคิดว่าเขาจะร่วมมือกับเราเพื่อแก้แค้นหรือ? พวกเรานั่นล่ะที่เป็นศัตรูของเขา!"พูดจบสิ่งเหล่านี้ เขาเองก็ขี้เกียจจะพูดไร้สาระกับคนเหล่านี้แล้วมีแค่วิธีเดียว ออกไป รีบออกไปจากตระกูลที่ไม่มียาอะไรจะช่วยได้แล้วนี่เสียคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น พ่อของเหยียนฉีนั่นเองในงานประชุมของตระกูลเช่นนี้ แม้ยังพูดเรื่องเหล่านี้ได้บ้าง แต่เพราะความตรงไปตรงมาและรุนแรงเกินไป ทำให้ก่อนหน้านี้มักจะก่
สิ่งเหล่านี้ จั๋วซือหรานล้วนไม่รู้เหมือนกับที่นางก็ไม่รู้ ว่าตอนนี้ในตระกูลเหล่านั้น ตอนนี้มีสภาพเช่นไรมันวุ่นวายยุ่งเหยิงแค่ไหนเพราะว่า ข่าวที่นางได้รับชัยไม่ใช่เพิ่งลือมาถึงเมืองหลวงเช้าวันนี้แม้จะบอกว่าเช้าวันนี้เพิ่งส่งมาถึงเมืองหลวง แต่ในฐานะตระกูลชั้นสูง เมื่อวานนี้ก็รู้ข่าวที่ค่ายคุ้มกันแล้วดังนั้นเมื่อคืนนี้ ตอนที่จั๋วซือหรานพักผ่อนอยู่ในค่ายคุ้มกันในเมืองหลวง ตระกูลต่างๆ กลับเป็นคนละแบบกันไปเลยในโถงใหญ่งานพิธีตระกูลเหยียน โคมไฟสว่างไสวบรรยายาศกลับตึงเครียด"ตอนนี้อย่างไรถึงจะดี..." คำถามแบบที่ไม่มีความเห็นแบบนี้และมีพวกที่อารมณ์รุนแรง ด่ากราดออกมาทันที "ถ้าไม่ใช่พวกเจ้าคิดแต่จะไปยุ่งกับตระกูลเฟิง คงไม่ทำให้จั๋วจิ่วผิดใจจนเป็นแบบนี้"มีคนไม่ค่อยยอมรับกับคำพูดนี้ "เจ้าพูดอะไรออกมา! จั๋วจิ่วนั่น! ตระกูลเหยียนของพวกเราผิดใจไปตั้งนานแล้ว! คนที่ผิดใจกับนางตอนแรกสุดคือพวกเรา! ตอนนี้ถ้าคิดจะถอยออกมามันทันเสียที่ไหน!""เพราะอะไรถึงไม่ทัน! ทำไมถึงจะไม่ทัน! เพราะอะไรถึงจะไม่ทัน! นางไปร่วมมือกับตระกูลฮั่วแล้ว! ยิ่งไปกว่านั้นจากที่ข้าเห็น ตระกูลจั๋วเหมือนจะต้องกระโจนขึ
ตอนนี้ข่าวที่รู้แน่ชัดแล้วคือ องค์จักรพรรดิเฒ่าจะส่งอำนาจพ่อค้าหลวงของตระกูลจั๋วให้กับนางวังสวนอุทยานหลิ่วพ่านของราชวงศ์เองก็ให้นางด้วยแล้วจากที่พูด กระทั่งจวนชินอ๋องอวี้กับสวนชิวอี ก็จะยอมยกให้นางด้วยแล้วยังมีข่าวที่มากกว่า เริ่มทยอยกันลือออกมา"ได้ยินว่าฝ่าบาทยังถามนางด้วยว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนหรือเปล่า!""ให้ตายเถอะ! นี่มันสุดยอดไปเลย""จริงด้วย ตระกูลเฟิงทำผิดกับนาง เอาจริงๆ จั๋วจิ่วคนนี้ควรจะไม่เหลือหน้าตาอีกแล้วสิ คิดไม่ถึงเลย ว่าฝ่าบาทถึงกับถามนางว่าจะแต่งงานกับอ๋องเซี่ยนไหม!""จะว่าไป สถานการณ์ตรงหน้านนี้ ชินอ๋องอวี้ท่าจะไม่ไหวแล้วมั๊ง เช่นนั้นหลังจากนี้...ไม่แน่ว่าอ๋องเซี่ยนก็จะเป็น...""จริงด้วย ถ้านางพยักหน้าล่ะก็ อนาคตจะไม่ใช่..."พระมารดาแห่งใต้หล้าหรือ!ตามหลักการ ตัวตนฐานะของจั๋วจิ่วเองก็ไม่ใช่ต่ำต้อย ตระกูลจั๋วเองก็ถือว่าเป็นครอบครัวตระกูลสูงปัญหาคือตอนนี้นางเป็นแค่หญิงสาวที่ถูกทอดทิ้งเท่านั้นพอบวกกับ ก่อนหน้านี้นางเคยหมั้นไปครั้งหนึ่ง ตัวนางเองก็โดนเสน่ห์หนอนพิษกู่จนต้องมาเสียใจที่แต่งงาน แล้วก็ยังเกือบจะได้แต่งงานไปครั้งหนึ่งด้วย ทำเอาพิธีแต่งงานวั
แต่พอคิดดู เขาจะไปทำอะไรแม่นางจิ่วได้กันล่ะ?ดังนั้นทุกคนจึงค่อนข้างวางใจ"เจ้าอยากจะรู้อะไร?"และไม่รู้เพราะเห็นจั๋วซือหรานไม่พูดอะไรเลย คนผู้นี้จึงถามนางขึ้นมาอย่างทนไม่ไหวจั๋วซือหรานยิ้มๆ "ไม่ต้องรีบ ตอนที่ข้าอยากรู้ ข้าจะถามเจ้าเอง""เจ้าตอนนี้ยังไม่อยากรู้หรือ?" สีหน้าของชายหนุ่มดูแล้วแปลกประหลาดสุดๆจั๋วซือหรานตอบเสียงเรียบ "ยังไม่ถึงเวลา รออีกหน่อยเถอะ"จั๋วซือหรานคิดๆ ถามไปคำหนึ่ง "จริงด้วย เจ้าชื่ออะไรล่ะ?"ชายหนุ่มก้มหน้าลงเล็กน้อย ดวงตาเป็นประกาย "ฮาร์วีย์ ข้าชื่อฮาร์วีย์"จั๋วซือหรานพยักหน้า เอ่ยเสียงต่ำเรียกชื่อนี้ขึ้นมา "ฮาร์วีย์หรือ? เข้าใจแล้ว"นางบอกกับเขาว่า "เจ้าก็ตามข้ามาแล้วกัน รอตอนที่ข้าอยากถาม ข้าจะถามเจ้าเอง"จั๋วซือหรานเดินมาถึงกระโจมค่าย ซือคงเซี่ยนเองก็เดินเข้ามาพอเห็นว่าด้านหลังนางมีคนแดนใต้ตามอยู่ ก็รู้สึกประหลาดใจหน่อยๆแต่ว่าซือคงเซี่ยนเองก็ไม่ได้ตกใจมากนัก แค่ถามขึ้นว่า "ซือหาาน ได้ยินว่าเจ้าจะไปส่งเสด็จพ่อกับเสด็จแม่ที่เมืองหลวงด้วยตนเองหรือ?""อืม" จั๋วซือหรานขานกลับเสียงแผ่ว "ถึงอย่างไรข้าก็จะไปเมืองหลวงอยู่แล้ว ถือโอกาสทำให้ไปเลย""
บางครั้ง คำพูดร้ายๆ ก็ไม่จำเป็นต้องพูดขณะที่กำลังโกรธจัดถึงจะมีพลังทำร้ายประหัตประหารกระทั่งในบางโอกาศ พูดออกมาตอนที่ยิ้มๆ ยังมีพลังทำร้ายมากยิ่งกว่าอย่างเช่นตอนนี้ จั๋วซือหรานพูดออกมาด้วยรอยยิ้มตาหยีเช่นนี้ ยิ่งทำให้คนที่พูดว่านางสะกดคำว่าตายไม่เป็นก่อนหน้านี้ เกิดอาการเหงื่อแตกพลั่กขึ้นมาเขาอ้าปากพะงาบๆ ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับคำนี้ของจั๋วซือหรานอย่างไรจั๋วซือหรานขี้เกียจจะสนใจเขา เอ่ยต่อมาว่า "ถ้าหากมีคนยอมบอกข้าล่ะก็ ข้าก็จะไว้ชีวิตนั้นไว้ โอ้จริงด้วย กระทั่งไม่แตะต้องแมลงกู่บนตัวเลยนะ"และหลังจากที่พวกเขาได้ยินคำนี้ของจั๋วจิ่วแล้วจึงเห็นนางนับจำนวนพวกเขาขึ้นมาอย่างไม่ค่อยตั้งใจนัก "พวกเจ้ามีสิบสี่คน แต่ข้ามีแมลงแค่เจ็ดตัว ก่อนหน้านี้กินไปที่ประตูค่ายแล้วตัวนึง เหลืออีกหกตัว เมื่อครู่กินของพวกเจ้าไปแล้วหกคน พวกเจ้ายังเหลืออีกแปดคนสินะ ทว่ามื้อต่อไปขอแค่เจ็ดคนก็พอ"นางคำนวณขึ้นมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยว่า "เหลือไว้ได้คนนึงจริงๆ"เหล่าปรมาจารย์กู่แดนใต้ดูสิ้นหวังหน่อยๆ เพราะพวกเขาได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของจั๋วซือหรานแล้วอะไรคือ...มื้อต่อไป?เจ้
ให้ใครมาเห็น ก็ล้วนไม่ใช่ภาพที่ชวนมองนักหน้าผากคนเหล่านี้ เส้นเลือดที่คอกับแขนขาไขกระดูก ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังมุดทะลวงอยู่อย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานรู้ ว่านั่นคือไหมกู่ของเจ้าพวกก้อนเนื้อ พวกมันเข้ากลืนกินแมลงกู่ทั้งหมดที่น่าจะซ่อนและบำรุงอยู่ตามเส้นลมปราณเส้นชีพจรของปรมาจารย์กู่คนเถื่อนเหล่านี้สำหรับคนทั่วไปแล้ว อาจจะไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องใหญ่แต่สำหรับคนเถื่อนเหล่านี้แล้ว พวกเขาล้วนเป็นปรมาจารย์กู่นะ แมลงกู่ของพวกเขาล้วนเป็นรากฐานที่ทำให้ตนเองอยู่ได้อย่างมั่นคงไหนจะเรื่องที่แมลงกู่พวกนี้ต้องใช้เลือดเนื้อของตัวพวกเขาในการชุบเลี้ยง ยิ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาให้ความสำคัญเข้าไปอีกตอนนี้ถูกแมลงกู่ของจั๋วจิ่ว กินกันอย่างเอร็ดอร่อยมื้อใหญ่...พวกเขาจะไม่โกรธได้อย่างไรแต่นอกจากความโกรธแล้ว ก็ยังมีความตกตะลึงอยู่ด้วยนางเป็นแค่หญิงสาวอายุน้อยคนหนึ่ง แล้วยังอยู่ในดินแดนต้าชาง แล้วไปฝึกวิชากู่มาจากไหน? ฝึกแมลงกู่ที่อหังการขนาดนี้ออกมาได้อย่างไร?เพราะ นางยัดเข้ามาในปากคนอื่นแบบนี้ ไม่ได้กังวลเลยว่าแมลงกู่ของตนเองจะมาเจอกับแมลงที่ร้ายกาจกว่าของตนเองสังหารหรือไม่นางไม่กังวลเลยสั
เอาจริงๆ เจ้าพวกนี้โอดครวญอยู่นานแล้วก่อนหน้านี้จั๋วซือหรานทนการโอดครวญของเจ้าพวกนี้ แล้วไปรักษาทหารบาดเจ็บคนนั้นนี่ทำให้จั๋วซือหรานเกิด...ความรู้สึกของหมอในสนามรบแล้วจริงๆหมอในสนามรบคนอื่นด้านนอกมีเสียงการล่าการสังหารแต่ในสมองนางมีเสียงพวกลูกๆ ทะเลาะกันจะเป็นจะตายจะว่าอย่างไรดี ถ้าว่าจากเรื่องมลภาวะทางเสียงก็ถือว่าพอๆ กัน สถานการณ์ที่นางเจอไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย ยิ่งไปกว่านั้นจั๋วซือหรานยังรู้สึกว่า เนื่องจากเจ้าพวกแมลงสามารถกลิ้งไปกลิ้งมาในจิตสำนึกนางได้โดยตรงดังนั้น...บางทีสถานการณ์ที่ตนเองเผชิญจะดูรุนแรงกว่าการรบกวนที่พวกแพทย์สนามรบได้รับเสียอีกแมลงพวกนี้ไม่ได้จงใจเอะอะใส่นาง แต่ก่อนหน้านี้ที่นางยัดขนมชาเขียวเข้าไปในปากปรมาจารย์กู่ที่เตรียมจะระเบิดตัวเองคนนั้นหลังจากที่เก็บขนมชาเขียวกลับมา ขนมชาเขียวก็ดูอิ่มเอมมาก อดไปพูดให้เจ้าก้อนเนื้อตัวอื่นๆ ในมิติน้ำพุวิเศษฟังอย่างอดไม่อยู่ส่วนเจ้าพวกก้อนเนื้อจะว่าอย่างไรดี เพิ่งจะมีสติปัญญาขึ้นมาได้ไม่นานนัก จะมากน้อยก็ยังมีความคิดนิสัยแบบเด็กๆ อยู่ขนมชาเขียวพอเอาของอร่อยที่ผู้ปกครองซื้อให้กลับไปคุยโม้กับเพื่อนๆ คนอื่นในหั
แพทย์ทหารเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ "ข้าข้ามีทักษะเช่นนี้...ทหารราบเหล่านั้นก็คงไม่ตายกันแล้ว..."เสียงของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาประจักษ์กับตาแล้วถึงการเปลี่ยนสิ่งเน่าเสียกลายเป็นสิ่งอัศจรรย์ของแม่นางจั๋วจิ่วแล้วพอเห็นว่านางทำตัวราวกับเป็นช่างยอดฝีมือ จัดการเย็บช่องท้องของคนผู้นี้ราวกับเย็บกระเป๋าขาดยิ่งไปกว่านั้นยังจัดการรักษาส่วนที่บาดเจ็บของอวัยวะภายในไปแล้วด้วยนี่ทำให้เขาอดคิดไปถึงทหารที่ตายอย่างน่าเวทนาเหล่านั้น ต่อมาถูกก็ถูกพวกคนเถื่อนเอาหัวขึ้นไปแขวนบนคาน...เขาอดคิดไม่ได้เลย ถ้าหากตนเองมีฝีมือเสียหน่อย ไม่แน่คนเหล่นั้นอาจจะช่วยไว้ได้กระมังคำพูดนี้มีอารมณ์อยู่ด้วย เพราะตอนนี้อารมณ์ของเขาถูกส่งผลกระทบอยู่จริงๆแต่เสียงของจั๋วซือหรานกลับสงบ นางก้มหน้าพูดว่า "ไม่หรอก ถ้าหากเจ็บหนักเกินไป อย่างเช่นหัวขาดออกจากกัน ต่อให้เทพเจ้าก็ทำอะไรไม่ได้ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่มีวิธีเหมือนกัน ข้าเป็นแค่แพทย์ ไม่ใช่พระเจ้า"แม้คำพูดนี้จะดูใจเย็น ราวกับกำลังอธิบายข้อเท็จจริงอยู่ แต่คำพูดนี้ก็ยังทำให้แพทย์ทหารที่ยังรู้สึกโทษตัวเองอยู่ก่อนหน้านี้ อารมณ์ผ่อนคลายลงมาบ้างแล้วจั๋วซือหรานเย็บเข็มส