คืนวันนั้น ในเมืองหลวง มีกระกระทำอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นห้องก็บของของตระกูลเหยียนสว่างไสว และรถม้ามาจอดหน้าประตูห้องเก็บของอย่างต่อเนื่องเหล่าคนงานตั้งใจกขนกระสอบวัสดุยา กระสอบนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของยา คนงานขนกระสอบลงจากรถม้าแล้วขนเข้าไปในห้องเก็บของในช่วงพักเป็นครั้งคราว คนงานหนุ่มก็ดึงผ้าเช็ดตัวที่พันรอบคอออกและเช็ดเหงื่อออกจากศีรษะในระหว่างการสนทนา เขาถามว่า "ทำไมตระกูลเหยียนให้ทำงานดึกจัง ปกติพวกเขาจะให้มาตอนกลางวันมิใช่หรือขอรับ"คนงานที่มีอายุมากกว่า ซึ่งมีใบหน้าเปื้อนไปตามกาลเวลา หยิบไม้ไผ่ออกมาและดื่มน้ำเย็นแล้วขมวดคิ้วแล้วพูดว่า "อย่างไรก็ตามเราควรตั้งใจทำงาน พยายามอย่าสอบถามเรื่องของผู้จ้างงาน ยิ่งรู้น้อยก็ยิ่งมีอายุยืนยาว”คนงานหนุ่มนั้นรู้ว่านี่เป็นประสบการณ์เขาเลยเลิกถามต่อ แต่ยิ้มและเปลี่ยนหัวเรื่อง “จริงด้วย แต่การทำงานตอนกลางคืนก็ค่อนข้างดี เย็นสบายมาก ก็แค่มองไม่ชัด…”ทุกคนทำงานในห้องเก็บของของตระกูลเหยียนเกือบทั้งคืนเมื่อรุ่งสาง นักบัญชีในโกดังจึงรีบถือสมุดบัญชีและมุ่งไปที่จวนเหยียนในจวนเหยียน แสงไฟสว่างไสวเช่นกันผู้อาวุโสหลายท่านกำลังรออยู่ที่ห้อง
ฝูซูเหลือบมองสถานการณ์ตรงหน้าแล้วถาม "คุณหนูขอรับ พวกเขากำลังยุ่งอะไรกันขอรับ"“มองไม่ออกหรือ ก็พลิกดินน่ะ” จั๋วซือหรานมองดูสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้านางด้วยฉวนคูนทำตามคำสั่งของจั๋วซือหราน ตอนนี้เขายืนอยู่ที่นั่นและสั่งคนรับใช้ทำความสะอาดที่ดินในสวนหลังบ้าน กำจัดพืชพรรณและวัชพืชที่อยู่บนนั้น จากนั้นพลิกดินทั้งหมด และกองขี้เถ้าพืชไว้“ข้าทราบดีว่าต้องไถดิน แต่ไถดินเพื่อปลูกอะไรหรือขอรับ” ฝูซูสนใจและถามในความเป็นจริง ไม่เพียงแต่ฝูซูเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็น แต่คนอื่นอยากรู้อยากเห็นเช่นกัน แม้ว่าจั๋วซือหรานไม่ได้อยู่ใน สำนักงานใหญ่ของตระกูลอีกต่อไปแล้ว แต่นางยังคงเป็นคุณหนูที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงที่ได้รับการปรนนิบัติมาตั้งแต่เด็กไม่มีใครคิดว่าคุณหนูที่มาจากตระกูลชนชั้นสูงนั้นจะทำนาเป็นดังนั้นฉวนคูนอดไม่ได้ที่ต้องถาม "คุณหนูจะปลูกดอกไม้หรือขอรับ"เพราะจวนจั๋วมีสวน แต่ในจวนหลังนี้ไม่มีสวนซึ่งฉวนคูนคิดเช่นนี้ นั่นเป็นเรื่องปกติด แต่จั๋วซือหรานส่ายหัว "ข้าจะปลูกวัสดุยาบางอย่าง"นี่ไม่ใช่เรื่องที่พูดไม่ได้ฝูซูคิดอยู่พักหนึ่งแล้วถามว่า "แต่ข้าได้ยินมาว่าการปลูกสมุนไพรนั้นไม่ง่ายขน
“เราไม่เพียงแต่ตัดสินใจเท่านั้น” เหยียนฉีเดินเข้ามาหา “เมื่อคืน ตระกูลของข้าได้เตรียมการด้วย”"โอ้" จั๋วซือหรานขมวดคิ้วและมองเหยียนฉีเหยียนฉีกล่าวต่อว่า "เมื่อคืนทางบ้านยุ่งเกือบทั้งคืน ในห้องเก็บของของบ้าน นอกจากมียาสำรองที่ทางบ้านเก็บไว้ ห้องเก็บของยังเต็มไปด้วยวัสดุยาต่าง ๆ ที่รวบรวมมาจากที่อื่น พูดตามตรง แม่นางจิ่วขอรับ เมื่อคืน ตระกูลของข้าเกือบเก็บวัสดุยาทั้งหมดในเมืองหลวงแล้ว”หลังจากเหยียนฉีพูดเช่นนี้ วินาทีต่อมา เขาเห็นดวงตาของ จั๋วซือหรานโค้งงอเล็กน้อย นางไม่พูดอะไรต่อ แต่ถามเขา "ยังเช้ามาก คุณชายเหยียนรับประทานข้าวเช้าหรือยัง"เหยียนฉีรู้สึกทำอะไรไม่ถูกเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้หญิงคนนี้ไม่สนใจอย่างอื่นนอกจากผลประโยชน์ เขาไม่รู้สึกนางเลือกปฏิบัติ แต่กลับรู้สึกนางจริงใจและน่ารักนิดหน่อยเหยียนฉีกล่าว "เหล่าผู้อาวุโสสั่งข้ามาตั้งแต่เช้าเพื่อคุยเรื่องนี้กับแม่นางขอรับ เมื่อข้าได้รับคำสั่ง ข้ามาทันที ยังไม่ได้ทานข้าวเช้าขอรับ"จั๋วซือหรานหันตาและบอกฝูซู "ไปซื้อเครปอีก โอ้ ใช่เลย และแกงบะหมี่ร้อน ๆ จากร้านข้าง ๆ ด้วย"“ขอรับ” ฝูซูรับคำสั่งและรีบออกไปเขาเป็นผู้ที่ประมาท ซึ่งค
จั๋วซือหรานเงยหน้าขึ้นและมองเขา "หืม ใช่ ทำไมหรือเจ้าคะ"เหยียนฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า "เจ้าควรรู้ดี ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้ากับเขาจะนำอันตรายมาสู่เจ้า"เนื่องจากต่างเป็นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ เหยียนฉีจึงเข้าใจอย่างดี การรักษาเฟิงเหยียนต้องนำความทุกข์แก่เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์มากเท่าไรดังนั้นในตอนที่ต้องรักษาเฟิงเหยียน ไม่ใช่เหยียนฉีรักษาไม่ได้ เพียงแต่เมื่อรักษาเฟิงเหยียนถึงขั้นนั้นแล้ว เขาต้องรับความเสียหายอย่างมากอีกอย่าง เนื่องจากตระกูลเฟิงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลเหยียนตลอดหลายปี เหยียนฉีจึงเข้าใจสถานการณ์ของตระกูลเฟิง อยู่บ้างยิ่งเขารู้เรื่องนี้มากเท่าไร เขาก็ยิ่งรู้สึกว่าแผนของตระกูลเฟิง อาจไม่ใช่แค่ให้จั๋วซือหรานรักษาอาการบาดเจ็บของเฟิงเหยียน เท่านั้น แต่อาจมีแผนการที่ลึกกว่านั้นด้วยในอดีต จั๋วจิ่วยังคงเป็นสตรีชนชั้นสูงโดยได้รับการหนุนหลังจากสำนักงานใหญ่ของตระกูลขุนนาง แต่นางก็ยังไม่ได้รับความคุ้มครองจากทางบ้าน ในอนาคต หากนางไม่ได้รับการคุ้มครองจากตระกูลแล้ว นางจะไม่ยิ่ง...หรือแน่นอนว่า จั๋วซือหรานฟังออกคำเตือนของเหยียนฉี นางยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ขอบคุณคุณชาย
หลังจากหานกวงจากไป จั๋วซือหรานเตรียมกลับไปนอนต่ที่ห้องของนางอย่างไม่สนใจอะไรมากนักไม่ต้องสนใจหานกวงจะนำคำพูดของนางไปให้เฟิงเหยียนไหม ด้วยร่างกายที่เหมือนแวมไพร์ที่ชายคนนั้นไม่สามารถมองเห็นแสงได้ เขาออกมาได้ในกลางวันแสก ๆ คงลำบากเหลือเกินไม่ใช่เขาออกมากลางวันแสก ๆ ไม่ได้ แต่หากเขาออกมาจริง ๆ นางอาจจะต้องทนทุกข์ทรมานร่วมกับเขาเล็กน้อยจั๋วซือหรานรู้สึกเฟิงเหยียนคงไม่ยอมทำร้ายตัวเองเพื่อหาเรื่องนางก่อนกลับไปนอนที่ห้อง นางยังไม่ลืมบอกฝูซูว่า "เจ้าไปสืบข่าวของภายนอก เพราะวัน ๆ เจ้าไม่มีอะไรทำในบ้าน ข้าว่าเจ้าอ้วนขึ้นแล้ว"ฝูซูเบิกตากว้าง "ข้าเปล่า แม้ว่าข้าอ้วนขึ้นจริง ๆ ก็ตาม นั่นเป็นเพราะข้าอยู่กับคุณหนู กินดีอยู่ดีนั่นเองขอรับ"จั๋วซือหรานยิ้มเบา ๆ และพูดว่า "ใช่ ๆ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ไปเดินเล่นอย่างมีความสุข ไปสืบข่าวต่าง ๆ มาให้ มีอะไรผิดปกติ จำไว้ให้ข้า แล้วกลับบมารายงานข้า ข้าน่าจะนอนจนถึง... "จั๋วซือหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วมองไปที่ดวงอาทิตย์แล้วพูดว่า "น่าจะถึงเที่ยง ตอนนั้นเจ้ากลับมากินข้าวกลางวันพอดี"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของฝูซูก็สว่างขึ้น และเขาก็ออกไปอย่างมีความส
โดยไม่คาดคิด ทันทีที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ สีหน้าของจั๋วซือหราน ก็เปลี่ยนจากการผ่อนคลายด้วยความสงสัยเป็นความประหลาดใจอย่างรวดเร็ว"ชิ่งหมิงหรือ" จั๋วซือหรานพูดเชื่อนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นางเบิกตาโตขึ้นเล็กน้อย นางจ้องมองหนุ่มที่สวมเสื้อขาวนวลใครจะคิดได้ล่ะ ชายหนุ่มรูปอันหล่อเหลาตรงหน้าของนางเป็นคนหนึ่งจาก หน่วยสืบสวนพิเศษที่มักจะสวมหน้ากากลวดลายเปลวไฟสีดำ - ซือหลี่ของลัทธิฝานเทียนชิ่งหมิงรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อถูกจั๋วซือหรานจ้องมอง เดิมทีเขายืนอยู่หน้าบ้านของจั๋วซือหราน เขาเขินอายอยู่แล้วในขณะนี้ เขาถอยกลับไปด้านหลังเสา แต่ค่อย ๆ เผยให้เห็นใบหน้าของเขาครึ่งหนึ่ง จากนั้นจึงโบกมือให้นางอย่างอ่อนโยนสีหน้าของเขาแข็งทื่อมากแต่จั๋วซือหรานมองออก เขาพยายามอย่างหนักเพื่อแสดงร้อยยิ้มจริง ๆ“ท่านมาที่นี่ได้อย่างไรเจ้าคะ” จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“เพราะเจ้า เจ้าไม่... ไม่มาสักที” ชิ่งหมิงกล่าว จริง ๆ แล้วคำพูดเหล่านี้ไม่น่าจะมีอารมณ์มากนัก แต่เพราะเขาพูดติดอ่าง เสียงของเขาจึงฟังดูน่าสงสารอย่างอธิบายไม่ถูก“ป๋อ ป๋อยวนบอกว่า... ช่วงนี้เจ้าน่าจะยุ่งมากกว่า... ดังนั้น... เจ้าจึงไม
"โอ้ จริงด้วย" ดวงตาฝูซูสว่างขึ้น เขาพูดอย่างจริงจัง "คุณหนูขอรับ มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในตระกูลจั๋วขอรับ""เอาล่ะ ไปต่อ"“ เนื่องจากคุณชายหยุนชินบอกว่าเขาจะกลั่นยาให้ตระกูล เหล่าผู้อาวุโสเลยสั่งคนไปซื้อวัสดุยาตั้งแต่เช้า แต่ปรากฏว่า พวกเขา หาซื้อไม่ได้สักที ในทั่วเมืองหลวง พวกเขาหาซื้อวุสดุยาในราคาเดิมไม่ได้สักนิด วัสดุยาทั้งหมดมีราคาอย่างน้อยสามเท่า”ฝูซูพูดอย่างสะใจเล็กน้อย เขารู้สึกสะใจ ซึ่งเป็นเรื่องปกติ เพราะเดิมทีเขารู้สึกน้อยใจแทนคุณหนูของเขาอย่างมากเมื่อจั๋วซือหรานได้ยินคำพูดนี้ นางก็เลิกคิ้วเล็กน้อยและไม่แสดงความคิดเห็นฝูซูประหลาดใจเล็กน้อยแล้วถาม “คุณหนูไม่รู้สึกสะใจบ้างหรือขอรับ”ก่อนที่จั๋วซือหรานตอบ เสียงที่ติดอ่างเริ่มดังขึ้นจากด้านข้าง ๆ "นี่...คง...คง...เป็นแผน...แผนของเจ้าใช่ไหม"จั๋วซือหรานเหลือบมองชิ่งหมิง นางตอบพูด "ฉลาดดี"ดวงตาของฝูซูเบิกกลมขึ้น และเขาเหลือบมองชิ่งหมิงที่อยู่ด้านข้าง ดูเหมือนว่าเขาจึงค่อย ๆ รู้ตัวในขณะนี้ ชายหนุ่มที่อยู่ข้างกายเขาแค่พูดติดอ่าง แต่เขาไม่ใช่คนโงแต่ฝูซูไม่ทันสนใจเรื่องนี้ในขณะนี้ เขารีบบอกจั๋วซือหราน "คุณหนูเจ้าคะ เป็นเพรา
จั๋วซือหรานไม่ได้พูดอะไร นางยิ้มและมองเขา เดิมทีนางคิดอยู่ว่า จิตใจของชิ่งหมิงบริสุทธิ์ ให้เขาได้ยินแผนชั่วร้ายลับ ๆ มากมายเช่นนี้ คงไม่เหมาะหรอกกระมังแต่โดยไม่คาดคิด คำพูดต่อไปของชิ่งหมิงคือ...“...พวกเขาที ละคน ต้องปให้...เจ้าได้รับความทุกข์...อย่างมาก”จั๋วซือหรานตกตะลึง นางมองเขาแล้วพูดว่า "ทำไมเจ้าถึงคิดอย่างนั้น"“ตระ ตระกูล... เหยียน ใส่ร้าย...เจ้า...เจ้าทนทนทุกข์ทรมาน... ากมาย แต่เจ้า....เจ้าแค่จัดการตระกูลเหยียนแค่นี้ ตระกูลจั๋วยังคงเป็น...ตระกูลของเจ้า แต่เจ้าปฏิบัติต่อพวกเขาเข่นนี้…..”ตระกูลเหยียนทำให้นางต้องถูกทรมานในหน่วยสืบสวนพิเศษ และนางถูกกล่าวหาว่าขโมยทักษะทางการแพทย์ของตระกูลเหยียน นางจึงต้องแข่งขันกับตระกูลเหยียน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของนาง นางจะไม่มีความเมตตาต่อตระกูลเหยียน วึ่งเป็นเรื่องปกติแต่ตระกูลจั๋วเป็นตระกูลของนาง แต่นางยังจัดการพวกเขาอย่างไร้ความปราณีและนั่นอธิบายได้แค่นี้ - ในใจของนาง ตระกูลจั๋วเหมือนตระกูลเหยียนบางทีอาจเป็นเพราะตระกูลจั๋วเป็น 'ตระกูลของตัวเอง' ที่ควรไว้วางใจได้ ดังนั้นชิ่งหมิงจึงรู้สึกว่าในตระกูลจั๋ว นางอาจจะรู้สึกน้อยใจมา
ไม่มีคนสังเกตเห็น ว่าที่ข้างเวที เจ้าสำนักหอจันทร์เงินที่หน้าตาอ่อนโยนหล่อเหลา เวลานี้มีสีหน้าปั้นยากมากตราประทับจันทร์เสี้ยวที่หน้าผากนั่น ขมวดเป็นก้อนจากการขมวดคิ้วแน่นของเขาแล้ว!คนอื่นอาจไม่รู้ แต่อินเจ๋ออันชัดเจนอย่างที่สุด!ผีเสื้อปีกระยับตัวเดียวของนางเผชิญหน้ากับราชาแมงมุมหน้าผีแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรกัน? ผีเสื้อปีกระยับตัวหนึ่งถ้าเผชิญหน้ากับแมงมุมหน้าผีมันไม่มีประโยชน์อยู่แล้ว!แต่ผีเสื้อปีกระยับนั่นไม่ใช่ของจั๋วซือหราน!อินเจ๋ออันเข้าใจเป็นอย่างดี ตั้งแต่ตอนแรกเขาก็รู้ถึงอันดับการออกสัตว์ประหลาดของซางถิงแล้ว ยกที่สามคือ...ผีเสื้อปีกระยับผีเสื้อปีกระยับที่ไม่มีประโยชน์! เป็นของซางถิง!ส่วนราชาแมงมุมหน้าผีที่พลังกับขนาดร่างกายสะกดไปทั้งเวทีนั่น เป็นของจั๋วซือหรานต่างหาก!อินเจ๋ออันดูถูกนางไปจริงๆ ตอนนี้คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เสียใจอย่างมาก เสียใจอย่างมากจริงๆ แค่คิดขึ้นมาใจก็รวดร้าวแล้วตอนนี้เอง ในห้องหรูบนหอในห้องหรูของตระกูลซาง เสียงแหลมหนึ่งดังขึ้น “นี่เลย นี่เลย คุณหนูสี่ ราชาแมงมุมหน้าผีตัวนี้ เดิมทีเป็นสิ่งที่ข้ากับคนเหล่านั้นจะมอบให้เป็นของขวัญวันเก
พอสิ่งมหึมานี้ปรากฏขึ้น ทั่วทั้งลานก็เงียบกริบไปทันที!ทุกคนหวาดกลัวกันจนกระทั่งกลั้นหายใจ!หนึ่งคือเพราะมนุษย์นั้นจะเกิดความกลัวได้ง่ายต่อสิ่งของที่ใหญ่โตมหึมานี่น่าจะเป็นสัญชาตญาณที่ฝังอยู่ในยีนเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับอันตรายยิ่งไปกว่านั้น ตัวมนุษย์เองก็หวาดกลัวกับแมลงประเภทแมงมุมอยู่แล้วโดยเฉพาะแมงมุมที่ดูฉูดฉาดและร่างหายมหึมาขนาดนี้ตอนนี้เอง เจ้าตัวโตที่ปรากฏขึ้นมากะทันหันบนลานประลองก็คุมสถานการณ์ไปทั้งหมดแล้ว!ใหญ่แล้วหรือ? นี่มันยังย่อไว้หน่อยแล้วด้วยนะ ไม่อย่างนั้นบนเวทีนี้ มันเดินไม่กี่ก้าวก็คงจะสุดทางแล้วแมงมุมหรือ? ขาขนปุกปุยทั้งแปดกับแขนเคียวนั่น แล้วยังมีปากที่แหลมคมอีก มองอย่างไรก็เป็นแมงมุม ไม่ใช่ปูอย่างแน่นอนฉูดฉาดหรือ? ลายดอกไม้บนหลังกับท้องของมัน เหมือนกับใบหน้าผีที่กำลังร้องไห้กำลังหัวเราะอยู่อย่างไรอย่างนั้นนี่คือที่มาของชื่อมัน“แมงมุมหน้าผี!”“นี่มันแมงมุมหน้าผี! น่ากลัวเหลือเกิน!”“ข้ากลัวแมงมุม ขนข้าลุกไปหมดแล้ว!”“ข้าก็ด้วย!”“แมงมุมหน้าผีที่ใหญ่โตขนาดนี้ ต้องเป็นระดับราชาแล้วกระมัง? ครั้งนี้จั๋วซือหรานแพ้แน่แล้ว!”เสียงดังขึ้นไม่ขาดสาย
ถึงอย่างไร ความจริงก็จะสอนให้เขาเป็นคนเอง ถึงอย่างไร คนเหล่านั้นที่ปากแข็งกับนางก่อนหน้า เจ้าพวกที่ควรตบฉาดก็ตบไปแล้วไม่มีเขาก็ไม่ได้น้อยลง หรือมีเขามาสักคนก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่าไรตอนที่จั๋วซือหรานกลับมาถึงห้องพักผ่อน ก็เห็นเจี่ยงเทียนซิงรออยู่ที่นั่นแล้ว“ทำไมยังมาด้วยตัวเองอีกล่ะ?” จั๋วซือหรานรู้สึกประหลาดใจเจี่ยงเทียนซิงยิ้มๆ “ในเมื่อชนะแล้วนี่ ก็ต้องมาฉลองชัยชนะของเจ้าสักหน่อยไหม”จั๋วซือหรานหัวเราะเบาๆ “เพิ่งจะยกเดียวเอง ยกต่อไปต่างหากที่สำคัญ”เจี่ยงเทียนซิงคิดๆ ตอบมาว่า “ข้ารู้สึกว่าฉลองล่วงหน้าได้ เจ้าเป็นคนที่มีความคิดดีดีอยู่เสมอ ถ้ารู้สึกไม่มั่นใจพอต่อเรื่องนี้ เจ้าไม่มีทางบุ่มบามเห็นด้วยหรอก”จั๋วซือหรานยิ้มๆ ไม่พูดจา“แต่ก็คิดไม่ถึงว่ายกนี้เจ้าจะสู้ได้ยอดเยี่ยมจริงๆ” เจี่ยงเทียนซิงเดิมทีคิดว่าความหมายของจั๋วซือหรานคือรอยกต่อไปแล้วค่อยเริ่มต่อสู้ ยกนี้แค่สู้ให้ชนะอย่างหวุดหวิด แต่การแสดงออกเมื่อครู่ของจั๋วซือหราน แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าข่มกดดันไว้จนหมด แต่ก็ไม่ใช่ชนะอย่างหวุดหวิดแน่นอน ตอนท้ายยังดูค่อนข้างอหังการอีกด้วย จั๋วซือหรานคิดๆ เอ่ยขึ้นว่า “หลักๆ คือคิ
“ให้ตายเถอะ...”ทุกคนเห็นแค่ จั๋วซือหรานที่เดิมทีเต้นรำอยู่ท่ามกลางพายุห่าฝนแส้ที่หนาแน่นเวลานี้นั่งลงมาแล้ว...อยู่บนตัวซางถิง?พูดให้ถูกต้องคือ นางกดเขาอยู่บนเวทีหินต้องห้ามไปแล้วหัวเข่าข้างหนึ่งของนางยันไว้ที่หน้าอกเขา แต่การเคลื่อนไหวนี้ ไม่ใช่จุดสำคัญที่ควบคุมเขาไว้ หรือเป็นการเคลื่อนไหวสำคัญที่ทำให้คนอื่นต้องทึ่งการเคลื่อนไหวสำคัญ คือสองดาบที่พาดไขว้อยู่บนคอซางถิง ดาบสองเล่มสลับไขว้อยู่บนคอเขา คมดาบหันเข้าด้านใน ขังคอของเขาเอาไว้ที่ร่องตัดสลับของคมดาบราวกับว่าขอแค่เขาขยับตัว นางแค่ออกแรงเบาๆ ก็เด็ดหัวเขาออกมาได้แล้ว!เพียงแค่มอง ก็อยู่ในระดับที่ทำให้คนที่เห็นอดกลั้นหายใจขึ้นไม่ได้ขณะที่บนเวทีมีเสียงตกตะลึงดังขึ้น ในห้องหรู เฟิงหร่านก็ส่งเสียงตกตะลึงออกมา“เขา...คนนั้นตายหรือยัง?” เฟิงหร่านถามขึ้น เสียงดูตะกุกตะกักเล็กน้อย เพราะจากมุมมองของนาง มองเห็นแค่แผ่นหลังของจั๋วซือหราน คุกเข่ากดหน้าอกอีกฝ่ายเอาไว้สองมือกุมดาบไขว้กดลงไปมองแล้วเป็นการเคลื่อนไหวที่จะเอาชีวิต เป็นการเคลื่อนไหวแบบประหัตประหารแต่เพราะถูกแผ่นหลังของจั๋วซือหรานบังไว้ ดังนั้นอันที่จริงจึงไม่รู้ว่า
ถามขึ้นว่า “ตาข้าแล้วหรือยัง?”สายตาของซางถิงจ้องนางเขม็ง เขากุมมือในแส้แน่น สะบัดข้อมือแส้ยาวในมือดีดตึง ปลายแหลมสะบัดไปทางจั๋วซือหราน“วูม...!” เสียงผ่าอากาศดังขึ้นจากนั้นแส้ก็ส่งเสียงเผียะขึ้นกลางอากาศ ราวกับตัดอากาศจนขาดเป็นท่อนอย่างไรอย่างนั้นและร่างของจั๋วซือหรานก็ไหววูบ ดูแล้วไม่มีอาการซมซานหรือโซซัดโซเซตอนที่หลบหลีกก่อนหน้านี้เลยความเร็วการเคลื่อนไหวของนางสูงมาก แต่ในสายตาของทุกคน กลับดูเชื่องช้าความรู้สึกแตกต่างระหว่างความเร็วและช้าที่สลับไปมานี้ ทำให้คนรู้สึกเริ่มปวดตาขึ้นมาทุกคนเห็นเห็นว่านางอยู่ต่อหน้าต่อตาชัดๆ นางเพียงแค่ก้าวอย่างสงบไม่กี่ก้าวราวกับเดินเล่นในสวนหลังบ้านเท่านั้นกระทั่งความตึงเครียดสักนิดก็ไม่มีแต่การโจมตีของแส้ที่น่าตกตะลึงนั่น ก็ถูกนางเบี่ยงหลบไปได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ถูกกระทั่งชายเสื้อของนางด้วยซ้ำ!ส่วนการโจมตีจากแส้ของซางถิงก็ยังไม่หยุด กระหน่ำเข้ามาราวกับห่าฝน เหมือนไม่ต้องการให้มีเวลาหยุดพักทั้งที่ซัดแส้ออกไปแท้ๆ มันควรจะมีช่วงจังหวะที่ค้างกลางอากาศกับจังหวะดึงแส้กลับมารวมพลังตวัดออกไปอีกจึงจะถูกแต่นั่นแทบจะไม่มีเลยการโจมตีแส้ของซ
ฝูซูกับเฮยหลิงอยู่ระหว่างทางขึ้นไปห้องหรูบนหอ ก็ได้ยินเสียงโหร้องกึกก้องขึ้นมาจากอัฒจันทร์คนดูตอนที่พวกเขาเข้าไปในห้องหรู ก็เห็นเฟิงหร่านคุณหนูสิบตระกูลเฟิงเข้าสภาพในตอนนี้ ไม่สนใจว่าเป็นหญิงสาวชั้นสูง หรือว่าจะเป็นคุณหนู หรือกระทั่งเป็นสตรีอ่อนหวานอีกแล้วนางยืนอยู่บนเก้าอี้ สายตาจ้องมองเวทีประลองเป็นประกายสองมือกำหมัดแน่น ดูจดจ่อเอามากๆฝูซูรีบถามขึ้น “เป็นอย่างไรบ้างเป็นอย่างไรบ้าง? สู้เสร็จแล้วหรือยัง? คุณหนูชนะไหม?”ตาของเฟิงหร่านยังไม่ย้ายไปไหน ยังคงจับจ้องที่เบื้องล่างไม่วางตา แต่ตอบฝูซูกลับมาเสียงต่ำ ในน้ำเสียงเต็มไปด้วยความทึ่ง “ยังไม่จบ แต่คุณหนูจั๋ว...นางร้ายกาจมาก!”ฝูซูรีบเดินไปมองสถานการณ์บนเวทีประลองสภาพของเจี่ยงเทียนซิงดูหนักแน่นกว่าเฟิงหร่านพอควร จึงเล่าสถานการณ์ที่พวกเขาพลาดไปตอนไปลงเดิมพันออกมารอบหนึ่งที่แท้ พวกเขาก็พุ่งกันไปลงเดิมพันจั๋วซือหรานพอส่งสัญญาณเสร็จ ก็ไม่คิดจะทำเป็นอ่อนแอในการต่อสู้แล้วภายใต้การจับตาของทุกคน บาดแผลเหล่านั้นบนตัวนาง ก็เริ่มฟื้นตัวกลับอย่างเห็นได้ด้วยตาเปล่าและการเคลื่อนไหวที่เชื่องช้าเหมือนนางโดนผลกระทบความเป็นพิษจากนาก
หนึ่งคือสัญลักษณ์ของตระกูลซาง อีกหนึ่งเป็นสัญลักษณ์รูปอีกา (เชวี่ย)แสดงถึงตัวตนฐานะของนาง ว่าคือซางเชวี่ยคุณหนูสี่แห่งตระกูลซางคนรับใช้ข้างๆ นอบน้อมกับนางอย่างมาก“คุณหนู ท่านว่าไหม?” คนรับใช้เอ่ยขึ้น “แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใครกันแน่ แต่ว่าเป็นสายเลือดตระกูลซางจริงๆ ทว่า จากการควบคุมสัตว์ของเขา ดูไม่มีอะไรน่าสงสัยเลย เสือเขี้ยวดาบแม้จะไม่ค่อยพบเห็นแต่ก็ไม่ได้มหัศจรรย์ขนาดนั้น นากเขาพิษยังกลับดูพิเศษขึ้นหน่อย”“ข้ารู้สึกว่า...” เสียงของหญิงสาวแจ่มชัดกังวาล แต่เส้นเสียงดูเย็นชาหน่อยๆ “สองคนนี้ยังไม่สู้กันจริงจังเลย”“ไม่จริงจัง?” คนรับใช้ไม่เข้าใจ “จั๋วซือหรานแม้ช่วงนี้จะถูกลือกันอย่างกับเป็นเทพเจ้า แต่จะอย่างไรก็ยังเป็นแค่แพทย์เท่านั้น แพทย์จะมีทักษะต่อสู้ได้แค่ไหนกัน...เมื่อครู่นางก็เอาแต่หนีนี่นา”หญิงสาวพอได้ยินก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจ ถ้าหากไม่เป็นเช่นนี้แล้วจะหาเงินได้อย่างไรกัน?”คนรับใช้ไม่เข้าใจ “หาเงิน?”แต่ซางเชวี่ยกลับไม่คิดจะพูดอะไรมาก ทำเพียงจดจ้องสถานการณ์ที่เวทีด้านล่างเท่านั้นจั๋วจิ่วคนนั้นยังไม่สู้จริงจัง นางเองก็ไม่ใช่จะไม่เข้าใจ แค่จากการเปลี่ยนแปลงขอ
จั๋วซือหรานเดินไปทางเวทีแม้จะบอกว่าอยู่ในห้องเตรียมตัว ก็ญังสามารถได้ยินเสียงเอะอะภายนอกได้ตอนนี้พอเดินออกมา คลื่นเสียงที่โถมเข้ามาก็ยิ่งเพิ่มความสั่นสะเทือนขึ้นไปอีกเสียงโหร้อง เสียงก่นด่าของผู้คน เสียงตะโกนลงเดิมพัน และยังมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ล้วนดังขึ้นไม่หยุดหย่อนอินเจ๋ออันยืนอยู่ริมเวที สีหน้ายังคงปั้นยากอยู่สายตาของเขาจ้องมองจั๋วซือหรานอย่างสงสัยระแวดระวังสองมือจั๋วซือหรานยังกดอยู่ที่หน้าอก เส้นผมหลังหัวรวบสูงเป็นช่อ กลางหลังสะพายดาบคู่อินเจ๋ออันจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในใจคิด ไม่ว่านางจะมีแผนร้ายอะไร ถึงอย่างไรก็มาถึงที่นี่แล้ว พอขี่หลังเสือแล้วมันลงยากก็คงต้องไปต่อยิ่งไปกว่านั้น ซางถิงเองก็ไม่ใช่พวกรับมือง่ายด้วยเสียงระฆังดังขึ้นทั้งสองคนขึ้นเวทีอีกครั้ง จั๋วซือหรานมองคู่มืออีกด้านของเวทีดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นของอีกฝ่าย ก็กระพริบปริบๆ มองนางการทดสอบยกที่สองเริ่มขึ้นซางถึงตอนนี้ไม่ได้ใช้เสือเขี้ยวดาบเมื่อครู่ต่อแล้วบนอัฒจันทร์คนดูมีแขกไม่น้อยไม่ค่อยเข้าใจ“เมื่อครู่ใช้เสือเขี้ยวดาบก็ไม่ใช่ว่าชนะมาได้หรือ? ทำไมไม่ใช้ต่อ?!”“นั่นสิ! เสื้อเขี้ยวดาบเมื่อ
การยั่วยุเช่นนี้ดูหยาบมาก แต่จั๋วซือหรานกระทั่งไม่คิดจะกลบเกลื่อนเลยสักนิด จนแทบจะเขียนคำว่าข้ากำลังยั่วเจ้าสี่คำนี้ไว้บนหน้าโต้งๆ เลยด้วยซ้ำสถานการณ์ตอนนี้ ถ้าจะบอกว่าอินเจ๋ออันขึ้นหลังเสือจนลงมายากแล้วก็ไม่ได้เกินเลยอะไรพอได้ยินคำพูดจั๋วซือหราน เขากัดฟันเอ่ยขึ้น “พูดจาใหญ่โตเหลือเกิน! ยกนี้เจ้ายังไม่ชนะเลย แล้วทำไมข้าจะต้องกลัวด้วย?!”อินเจ๋ออันพูดจบ ก็เคาะระฆังทันที ประกาศชัยชนะของซางถิงและให้ทุกคนเฝ้ารอยกที่สองตามหลักการแล้วระหว่างยก จะต้องมีแพทย์เข้ามารักษาบาดแผลให้แต่จั๋วซือหรานตนเองก็เป็นแพทย์ ทำให้แพทย์ที่เจี่ยงเทียนซิงจัดมาจึงยืนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ตรงนั้น“แม่...แม่นางจิ่ว”จั๋วซือหรานหันไปมองเขา “แพทย์หรือ?”“ใช่ ใช่แล้ว เจ้าสำนักให้ข้าเข้ามา...” แพทย์ยังไม่ทันพูดจบ ก็เห็นว่าแผลบนตัวจั๋วซือหรานเหล่านั้นสมานเสร็จเรียบร้อยแล้วจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว เอ่ยว่า “เรื่องรักษาก็ไม่ต้องแล้วล่ะ เขายังมีอะไรจะมาบอกข้าอีกไหม?”“มี” แพทย์ถอนหายใจโล่ง เอ่ยต่อว่า “เจ้าสำนักให้ข้ามาบอกท่านว่า คนของตระกูลซางที่มา คือซางเชวี่ยคุณหนูสี่ที่ถูกคนในตระกูลให้ความสำคัญมากในปัจจุบันค