และใบหน้าของนางและผิวของนางขาวอย่างไม่น่าเชื่อ สีแดงสุดขีดนั้นคู่กับสีขาวสุดขีดนั้น...ซึ่งทำให้นางดูเงียบและไร้ลมหายใจ เหมือนางเสียชีวิตแล้วไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นสภาพที่น่าสังเวชของนาง ความจริง เขาเคยเห็นสภาพเช่นนั้นหลายหนแล้ว ตอนที่นางถูกตระกูลจั๋วตำหนิและลงโทษ สภาพที่น่าเวทนาจนทนดูไม่ได้หลังจากถูกเฆี่ยนตีเก้าครั้งนางถูกตระกูลเหยียนใส่ร้ายและถูกทรมานอย่างทารุณใน หน่วยสืบสวนพิเศษไม่ว่าครั้งไหน นางดูน่าเวทนาอย่างมาก แต่ไม่ว่าครั้งไหน นางแข็งแกร่งเสมือนหญ้าธูปฤาษี และไม่ว่านางดูน่าสมเพชแค่ไหน นางก็ไม่ยอมอ่อนข้อ นางยังคงปากแข็งได้และอดทนได้ และนางสามารถทนมันได้อย่างยากลำบากแต่ไม่ใช่อยู่ในสภาพเช่นนี้...เงียบและไร้ลมหายใจเฟิงเหยียนขมวดคิ้วขึ้นอีกเล็กน้อย เขากอดนางด้วยมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างก็กดหน้าอกของเขาเบา ๆมันเป็นภาพลวงตาหรือไม่ ทำไมอาการปวดตุ๊บ ๆ ที่หน้าอกอย่างอธิบายไม่ได้จึงดูชัดเจนมากขึ้นเฟิงเหยียนยกมือขึ้นและสัมผัสใบหน้าของนางเบา ๆ ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย " จั๋วจิ่ว "นางไม่มีปฏิกิริยาใดๆเขาสัมผัสใบหน้าของนางอีกครั้ง และเนื่องจากนิ้วของเขาเปื้อนเลือดของนา
เฟิงเหยียนไม่รู้เลยว่า จั๋วซือหรานในสภาพที่เบลอ ๆ ในขณะนี้ แต่คำพูดที่สั่นคลอนที่นางเพิ่งพูดด้วยความงุนงงนั้นได้บอกความต้องการของนางอย่างชัดเจนแล้วนางหนาวมากซึ่งทำให้เฟิงเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาทำได้ง่ายที่สุดพลังวิเศษของเขามีอุณหภูมิที่ร้อนจัด เสื้อผ้าของพวกเขาเปียกด้วยน้ำในบ่อเย็น และพลังวิเศษของเขาอบผ้าแห้งในเวลาอันสั้นแต่ร่างกายของจั๋วซือหรานยังคงสั่นเทาไม่หยุด ราวกับว่าอุณหภูมิของสระน้ำเย็นได้ทำร้ายร่างกายของนางอย่างหนักเฟิงเหยียนลดสายตาลงและจ้องมองไปที่หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้มศีรษะเบา ๆริมฝีปากบางของเขากดลงบนริมฝีปากของนาง และค่อย ๆ ส่งพลังวิเศษเข้าไปในช่องปากของนาง......จั๋วซือหรานรู้สึกตัวเองกำลังจะตาย อย่างแรก นางรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ร่างกายของนางเหมือนถูกเผาไหม้ด้วยไฟแต่นางก็รู้สึกถึงประโยชน์บางอย่างเช่นกัน หลังจากนางรักษาเขาครั้งที่แล้ว แม้ว่านางเจ็บปวดมาก แต่ความแข็งแกร่งของนางก็ดูดีขึ้นบ้างในระดับหนึ่งครั้งนี้คล้าย ๆ กัน ใครจะรู้ว่าเฟิงเหยียนกอดนางแล้วลงสระน้ำเย็นเลยทีเดียว อุ๊ย ช่างเป็นคนมีน้ำใจเหลือเกิ
จากนั้น หานกวงเห็น... สีหน้าหนักใจและทำอะไรไม่ถูกบนใบหน้าของฉูนจวีนอาจกล่าวได้ว่าค่อนข้างซับซ้อนฉูนจวีนหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดด้วยเสียงถอนหายใจ "ตอนนี้ไม่สะดวก เดี๋ยวเจ้าค่อยเข้าไป"หานกวงไม่มีการคัดค้านใด ๆ แต่เมื่อเห็นการกระทำต่อไปของ ฉูนจวีน นางรู้สึกมึนงง"แต่พี่ใหญ่... พี่คุกเข่าทำไม"ฉูนจวีนมองนางเบา ๆ และไม่ตอบนางคุกเข่าเพื่ออะไรได้อีกล่ะ แน่นอนว่าเขากำลังรอเจ้านายลงโทษเขาฉูนจวีนอยากบอกจริง ๆ ว่า เขาไม่ได้เห็นอะไรเลย แต่เขาเป็นคนซื่อสัตย์ เขาไม่สามารถหลอกลวงหัวใจของเขาได้ภาพที่เขาเห็นในเมื่อครูนี้...ฉูนจวีนแอบพูดในใจ ท่านช่าง... ไม่เป็นสุภาพบุรุษ แม่นางจิ่ว เป็นเช่นนี้เพราะรักษาท่าน... แต่ท่านกลับเอาเปรียบผู้หญิงคนนี้เช่นนั้นหรือเฟิงเหยียนไม่รู้ว่าลูกน้องของเขากำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้ และความคิดที่ฉูนจวีนคิดว่าเขากำลังเอาเปรียบผู้หญิงนั้นไม่เป็นความจริงทั้งหมดอันที่จริง มันเป็นเรื่องจริงที่เฟิงเหยียนถูกเอารัดเอาเปรียบมากกว่าจั๋วซือหรานกอดคอของเขาและจูบเขาเรื่อย ๆจนกระทั่งนางรู้สึกร่างกายอุ่นขึ้นอีกครั้ง พลังเย็นระเหยกลายเป็นควันสีขาวจาง ๆในที่สุด จั๋วซือหรา
เมื่อจั๋วซือหรานตื่นขึ้น นางรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายความเจ็บปวดในร่างกายของนางดูเหมือนจะตื่นขึ้นก่อนสติของนางเมื่อนางลืมตาขึ้น สิ่งที่นางเห็นคือ... จันทันที่ไม่คุ้นเคยจั๋วซือหรานถึงกับรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง โดยไม่รู้ว่าวันนี้วันที่เท่าไร หรือตัวเองอยู่ที่ไหนจนกระทั่งใบหน้าของผู้หญิงที่มีโครงร่างที่คมชัดและมีลักษณะที่กล้าหาญปรากฏขึ้นในสายตาของนางผู้หญิงคนนั้นเรียกนางทันที “แม่นางจิ่วตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”เมื่อได้ยินชื่อนี้ จิตสำนึกของจั๋วซือหรานจึงกลับมาอย่างรวดเร็ว และนางก็รู้ทันทีว่านางอยู่ที่ไหนและทำไมนางถึงมาที่นี่ไม่น่าแปลกใจเลยในเรือนหลังนี้ แม้แต่คานบนหลังคาก็ยังงดงาม แกะสลักด้วยลวดลายที่ละเอียดอ่อนมาก และดูสวยงามมาก ราวกับเป็นนกบางชนิด...ความทรงจำบางอย่างค่อย ๆ กลับมา และจั๋วซือหรานก็จำสิ่งที่ เฟิงเหยียนพูดได้ โดยตระหนักว่ารูปแบบที่ละเอียดอ่อนผิดปกติเหล่านั้น ซึ่งคล้ายกับนกบางชนิดนั้น ต้องเป็นตราประจำตระกูลของตระกูลเฟิง นั่นก็คือ หงส์แดง“ แม่นางจิ่ว” เหมือนไม่ได้คำตอบจากจั๋วซือหราน หานกวงเรียกอีกครั้งและโบกมือเบา ๆ ต่อหน้าต่อตาจั๋วซือหราน"เจ้าเป็นใคร" จั
“เวลาผ่านไปสองคืนหนึ่งวันแล้วเจ้าค่ะ” หานกวงกล่าวจั๋วซือหรานพูดในใจว่า พลาดอาหารไปห้ามื้อ จะไม่หิวได้อย่างไรล่ะ“หากแม่นางหิวแล้ว ข้ารีบตามคนในครัวนำอาหารมาให้เจ้า” หานกวงพูดแล้วเงียบชั่วคราวแล้วพูดต่อ “แต่อาจไม่อร่อยนัก”หานกวงมองจั๋วซือหรานแล้วกระซิบ "ข้าได้ยินจากจ้านหลู เขาเล่าให้ฟังว่า แม่นางจิ่วทำอาหารเก่งมาก แม่นางอาจไม่ชอบกับข้าวที่นี่..."โดยปกติแล้ว แม้แต่คนธรรมดาที่มีจิตใจที่ละเอียดอ่อนกว่าเล็กน้อยก็สามารถฟังออกความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของคำพูดของหานกวงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ฉลาดอย่างจั๋วซือหราน นางต้องเดาออกความในใจของหานกวงแน่ ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหานกวงโดยเฉพาะหานกวงแสดงท่าทีที่อยากชิมฝีมืองของนางอย่างมาก ราวกับว่าน้้ไลจะไหลออกจากมุมปากของนางในวินาทีถัดไปน่ารักเชียวจั๋วซือหรานหรี่ตาลง นางขดริมฝีปากแล้วยิ้ม "...จริงหรือ หากมีวัตถุดิบอาหาร ข้าจะทำเอง"หานกวงดีใจทันที “มี มีเจ้าค่ะ มีทุกอย่างเจ้าค่ะ”เมื่อยืนอยู่ในครัวเล็ก ๆ ในลานบ้านของเฟิงเหยียน จั๋วซือหราน รู้สึกพูดอะไรไม่ถูก นางไม่ทันมีปฏิกิริยาเลย ทำไมเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ตามแผน นางมาที่นี่เพื่อคุย
อ้าว...นี่...จั๋วซือหรานมองฝ่ามือของนางและหมดคำพูดอยู่ครู่หนึ่งและถึงแม้ว่าภายใต้สถานการณ์นั้น นางไม่มีสติ นางอาจลืมลายละเอียดของตอนนั้นแล้วแต่หลังจากจั๋วซือหรานตระหนักว่านางดูเหมือนใช้หยางของ เฟิงเหยียนเพื่อเติมหยินของนาง ภาพที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนเป็นเรื่องจริงหรือเป็นภาพลวงตาก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในสมองของนางจั๋วซือหรานไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นอาการประสาทหลอนที่นางคิดเองหรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ นางคิดว่าน่าจะเป็นภาพหลอนกระมังไม่เช่นนั้น...นางจะ...กอดเฟิงเหยีย และจูบเขาอย่างไม่หยุดได้อย่างไรนาง...จูบ เขา ไม่หยุด จริง ๆในความทรงจำที่กระจัดกระจายนี้ จั๋วซือหรานไม่เห็นการจูบสิ้นสุดลงเมื่อใดด้วยซ้ำ นี่แสดงให้เห็นว่านางจูบเขานานแค่ไหนนางกระพริบตาด้วยความสับสน นางอดไม่ได้ที่ต้องยกมือขึ้นและสัมผัสริมฝีปากของนางเบา ๆก่อนหน้านี้ความรู้สึกยังไม่ชัดเจน แต่หลังจากนางตระหนักได้และจำภาพความทรงจำที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่บ้าคลั่งเหล่านั้นได้จั๋วซือหรานก็รู้สึกว่าริมฝีปากของนางเหมือน... บวมนิดหน่อยจริง ๆ เช่นนั้นหรือจั๋วซือหรานกัดริมฝีปากของนางเบา ๆ ริมฝีปากอันแดงและบวมของนาง
หลังจากหานกวงพูดจบ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองดูสีหน้าของเจ้านายเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีใจของเจ้านายค่อย ๆ หายไปหานกวงแอบหายใจด้วยความโล่งอก“เอาล่ะ ออกไปก่อนเถิด” เสียงของเฟิงเหยียนกลับมาเป็นเสียงปกติ และเขาก็สั่ง “ดูแลนางด้วย”“รับทราบเจ้าค่ะ” หานกวงรีบวิ่งออกจากตำหนักใต้ดินเฟิงเหยียนเหลือบมองที่กล่องอาหาร เขาหยุดครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาหยิบจานทั้งหมดในกล่องอาหารออกมา นั่งที่โต๊ะหินเย็น ๆ ของตำหนักใต้ดิน จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาส่วนหานกวง เมื่อนางออกมาจากตำหนักใต้ดิน นางพบว่าแม่นางจิ่วหายไปแล้ว ช่าง ...เมื่อนางนึกถึงคำสั่งของเจ้านายซึ่งก็คือดูแลแม่นางจิ่วให้ดี ๆฮันกวงคิดอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักว่า แม่นางจิ่วมีความสามารถมาก ดังนั้นนางคงดูแลตัวเองได้สักพักหนึ่ง จากนั้นหานกวงรีบเดินไปที่ครัวเล็ก ๆส่วนอีกด้านหนึ่ง หลังจากจั๋วซือหรานเดินออกจากจวนเฟิง นางก็มุ่งหน้าไปยังจวนจั๋ว หลัก ๆ เป็นเพราะนางกังวลนางหายตัวไปสองคืนหนึ่งวันตั้งแต่นางเดินออกจากตระกูลจั๋ว และมุ่งหน้าไปที่ตระกูลเฟิงในวันนั้น ก็ไม่มีข่าวของนาง และนางไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลยนางไม่อยากให้ท่านแม่เป็นห่วงเพราะเ
เจ้าของร่างเดิมถูกเสน่ห์หนอนพิษกู่วางยา และถูกฉินตวนหยางควบคุมตัว ทำให้เจ้าของร่างเดิมยืนกรานต้องถอนการหมั้นกับตระกูลเฟิงซึ่งทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฟิงและตระกูลจั๋ว และยังทำให้ตระกูลจั๋วเสียหน้าอีกด้วย หลังจากนางเดินทางผ่านกาลเวลา นางกลับมาสารภาพความผิดกับตระกูลจั๋ว แม้ว่าผู้อาวุโสใหญ่ลงโทษนางอย่างหนัก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการลงโทษที่หนักที่สุดถูกถูกเฆี่ยนเก้าแส้แต่นางไม่ได้ถูกลงโทษต่อหน้าทุกคนการลงโทษต่อหน้าทุกคนนั้นไม่เพียงต้องรับการลงโทษเท่านั้น แต่ยังต้องทนการจ้องมองของสมาชิกทุกคน ซึ่งผู้ที่ถูกลงโทษอาจไม่มีวันเผชิญหน้าต่อผู้คนได้ เพราะทุกคนมักจำเรื่องนี้ได้ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การลงโทษตามกฎตระกูลต่อหน้าทุกคนไม่เพียงเป็นการลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นความอัปยศอดสูอีกด้วยโดยทั่วไปจะไม่ได้ลงโทษถึงขั้นนี้แต่ตอนนี้ชัดเจนว่า มีคนมีการกระทำอย่างหนักจนต้องรับการลงโทษเช่นนี้คุณท่านจั๋วลิ่วกำลังคุกเข่าอยู่ตรงกลางสนามเล็ก ๆ เขาดูเหมือนแก่ลงไปสิบกว่าปีชายวัยกลางคนที่เคยมีชีวิตชีวานั้น ตอนนี้เขามีผมหงอกสีขาวที่ด้านข้างขมับในเวลาเพียงไม่กี่วันจั๋วหรูซินไม่ได้คุกเข่าใ
ดังนั้นจึงไม่กล้าอวดดีแล้วจั๋วซือหรานนำคนสำนักเมฆาวารีไปที่โรงเตี๊ยมหกคนนั้นของสำนักเมฆาวารีแบกผู้ดูแลชุยเหมือนคนดำแบกโลงศพอย่างไรอย่างนั้น...ตอนที่ออกจากโรงเตี๊ยมไปที่ตระกูลเหอ ก็ดึงดูดความสนใจไปไม่น้อยแล้ว ตอนนี้จากจวนตระกูลเหอยังแบกคนที่เจ็บจนน่าเวทนากลับมาอีกคน จึงทำให้คนที่เห็นยิ่งรู้สึกอยากรู้อยากเห็นเข้าไปอีกยิ่งไปกว่านั้นยังมองออกอย่างรวดเร็วอีกว่าคนคนนั้น แม้บนตัวจะเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง แต่ก็มองออกไม่ยาก ว่าเป็นคนของสำนักเมฆาวารีเช่นกัน ยิ่งไปกว่นั้น เนื่องจากสื้อผ้าที่เหลืออยู่บางส่วนบนตัว พอมองก็รู้ว่าแตกต่างกับศิษย์ทั่วไปของสำนักเมฆาวารีดังนั้นจึงคาดเดาได้ไม่ยาก น่าจะเป็นคนที่มีฐานะหน่ยอในสำนักเมฆาวารียังกลายมาเป็นสภาพนี้...ถ้าบอกว่าแต่ก่อนสำนักเมฆาวารีมีชื่อเสียงมากในเมืองหยาง วันนี้ก็น่าจะถึงจุดต่ำสุดในประวัติศาสตร์แล้วจั๋วซือหรานไม่ได้สนใจสายตาคนรอบข้าง นางเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไรเพียงแต่ว่า ระหว่างทางที่กลับมานี้ ผู้ดูแลชุยก็ร้องอย่างน่าเวทนา ฟังแล้วทำเอารำคาญขึ้นมาเลยพอมาถึงโรงเตี๊ยม ผู้จัดการโรงเตี๊ยมคางแทบจะห้อยลงมาแล้วพวกสำนักเมฆาวารีวางผู้ดูแลชุย
เพียงแต่ว่า เหอจื้อหย่วนทางนี้ นางคงไม่ได้คำตอบอะไรแล้วบนนิ้วจั๋วซือหรานยังคงหมุนตะปูวิญญาณเล่นเหมือนควงปากกา ลุกขึ้นยืน เดินพิจารณาตัวเหอจื้อหย่วนสำนักเมฆาวารีทั้งหกคน แล้วก็ฐนตัวผู้ดูแลชุยไปรอบหนึ่งสภาพผู้ดูแลชุยตอนนี้ดูสับสนมาก แต่สำนักเมฆาวารีทั้งหกคนและเหอจื้อหย่วน พอเห็นท่าทางเดินเล่นเหมือนอยู่ในสวนของจั๋วซือหรานแล้วก็ผวาขึ้นมาจะแย่กลัวว่าจั๋วซือหรานจะพลั้งมือเอาตะปูวิญญาณในมือจิ้มเข้ามาที่หลังคอพวกเขา อย่างนั้นได้บรรลัยกันพอดีถ้าเป็นคนอื่นล่ะก็ พวกเขาอาจจะไม่มีความรู้สึกเช่นนี้แต่ว่า หญิงสาวตรงหน้าคนนี้ ทำให้พวกเขารู้สึกมองไม่ออกเลย! ไม่รู้ว่าในใจนางกำลังคิดอะไรดังนั้น จึงไม่กล้าเดิมพันกับหญิงสาวคนนี้ว่าจะปราณีพวกเขาหรือเปล่ารู้สึกแค่ว่านางเหมือนจะบ้าขึ้นมาได้ทุกขณะพวกเขาจ้องมองจั๋วซือหรานอย่างเคร่งเครียด เหงื่อไหลหยดลงมาจากหน้าผากจั๋วซือหรานแค่ร้องเชอะเย็นชาขึ้นมา เอ่ยว่า "ช่างเถอะ"นางใช้ตะปูวิญญาณชี้ไปที่พวกสำนักเมฆาวารี "พวกเจ้าแบกหัวหน้าพวกเจ้า แล้วไปกับข้า"พวกสำนักเมฆาวารีตกตะลึง นิ่งงันกันไปพักหนึ่งจั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง มองพวกเขาอย่างเย็นชา "พวกเจ้า
ผู้เฒ่าเหอกับหกคนนั้นของสำนักเมฆาวารี พริบตานี้ ก้เหมือนสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันตรายที่ทำให้คนรู้สึกไม่ค่อยดี...จากบนตัวนาง"เจ้า..." คนสำนักเมฆาวารีคนหนึ่งเอ่ยขึ้น "คิดจะทำอะไร?"สายตาจั๋วซือหรานเหลือบผ่านพวกเขากับผู้เฒ่าเหอ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นขรึมๆ ว่า "ข้ามาที่นี่ ไม่ใช่แค่มาดูผู้ดูแลชุยของพวกเจ้าเท่านั้น"ผู้เฒ่าเหอบางทีอาจจะยังไม่เข้าใจความหมายคำพูดของจั๋วซือหรานแต่คนสำนักเมฆาวารี ปัญญาเกิดขึ้นในพริบตา เข้าใจได้ทันทีนางมาเพื่อหุ่นเชิดความมืดขอผู้ดูแลชุย!เมื่อครุ่นางใช้ปลายฝักกริชพลิกไปมาบนตัวผู้ดูแลชุย แน่นอนว่าไม่ใช่ตรวจสอบบาดแผลบนตัวผู้ดูแลชุยแต่เพื่อค้นหาตลับหุ่นเชิดของเขาแต่ก็หาไม่เจอตอนที่ตระหนักได้ถึงสิ่งนี้ สีหน้าคนสำนักเมฆาวารีก็เปลี่ยนไป"แล้วเจ้า....เจ้าตอนนี้คิดจะทำอะไร...."จั๋วซือหรานพิจารณาตัวพวกเขา จากนั้นในมือก็ปรากฏตะปูวิญญาณสีดำเล่มหนึ่งออกมา นำออกมาหมุนเล่นบนนิ้ว"ในเมื่อไม่มีสินสงคราม ข้าก็กำลังคิดว่า หลอมพวกเจ้ามาเป็นหุ่นเชิดความมืดเปลี่ยนเป็นสินสงครามไปเลยดีไหม" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้นเสียงเรียบมุมปากของนางมีรอยยิ้ม กระทั่งพวกเขาก็ยังไม่แน่ใจไป
พอเห็นภาพตรงหน้า จั๋วซือหรานไม่ได้รู้สึกอะไร...ผู้ดูแลชุยออกมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้นางแล้ว จัดการสั่งสอนคนตระกูลเหอให้เช่นนั้นก็มีแค่ความเป็นไปได้เดียว"มีคนชิงตัดหน้าไปก่อนแล้วหรือ?" จั๋วซือหรานงึมงำจากนั้นจังหวะก้าวเท้าที่ไม่เร่งไม่ร้อนแต่เดิม ตอนนี้กลับเพิ่มความเร็วขึ้นมา! เดินตรงไปด้านใน!จั๋วซือหรานยังเดินไม่ทันถึงประตูห้อง ก็ได้ยินในห้องมีเสียงครวญครางลอดออกมาพอเดินเข้าไป ก็เห็นสภาพในห้อง แทบไม่ได้แตกต่างกับสภาพคนที่นอนบ้อท่าอยู่ในลานบ้านพวกนั้นเลยเก้าอี้ที่นั่งหลักกลายเป็นเศษชิ้นไม้ผู้เฒ่าเหอนั่งหมดสภาพอยู่บนเศษไม้บนพื้น ขยับตัวไม่ได้ ร้องไอ๊โยวไอ๊โยวครวญครางและรอบๆ ยังมีคนรับใช้ตระกูลเหออีกบางส่วน ล้วนนอนกระจัดกระจายกันอยู่บนพื้น ดูแล้วไม่เหลือสภาพกันเลยมีแค่ร่างหนึ่งที่อยู่ตรงกลาง ที่ยังดูเด่นหน่อย เพราะดูจากสภาพแล้วเหมือนจะหนักหนากว่าคนอื่นพอควรจั๋วซือหรานพิจารณา คนผู้นี้น่าจะเป็นผู้ดูแลชุยจากสำนักเมฆาวารีสาเหตุที่ใช้คำว่าพิจารณา ก็เพราะบนตัวคนผู้นี้เสื้อผ้าคนผู้นี้ที่พอจะ่บอกตัวตนได้แทบจะไม่เหลืออยู่แล้วบาดแผลบนตัวดูแล้ว...เหมือนถูกไฟร้อนแรงลวกเข้าอย
หลังจากจั๋วซือหรานได้ยิน ก็ยิ้มออกมา เพียงแต่ว่า พวกเขาไม่มีใครเห็นความรู้สึกยิ้มจากสีหน้ายิ้มของนางเลยยิ่งไปกว่านั้น ในคำพูดถัดจากนี้ของนาง ก็ยิ่งไม่มีคามอบอุ่นเหลืออยู่อีก"ข้าแค่จะทำให้สำนักพวกเจ้าขายหน้าแค่นั้นที่ไหน" จั๋วซือหรานเหลือบมองพวกเขาเย็นชาผาดหนึ่ง เอ่ยต่อว่า "สิ่งที่ข้าต้องการ คือสำนักของพวกเจ้า...ตายไปให้หมด!"แม้นางจะไม่พูดอะไรมาตลอด ต่อให้คนรับใช้ของนางเอง ก็รู้แค่เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของนาง แต่กลับไม่รู้ความรู้สึกส่วนลึกในใจนางเลยเพราะนางไม่เคยพูดอะไรออกมา และไม่เคยเผยอะไรออกมาด้วยแต่ในความเป็นจริง หลังจากที่รู้ว่าเจ้าสำนักเมฆาวารี เพื่อจะช่วยเหลือลูกของตนเอง จนต้องใช้น้องสาวของนางมาเป็นผู้ทดลองยาในใจจั๋วซือหรานก็อดกลั้นเอาไว้มาตลอดความโกรธนี้ แผดเผาอยู่ในใจนางมาตลอด ทำให้ในใจนางอันที่จริงโกรธแค้นไม่หยุดมาตลอดนางคิดถึงน้องชายนับครั้งไม่ถ้วน คิดถึงเด็กน้อยจั๋วหวายเด็กคนนี้ ในเส้นโชคชะตาของเจ้าของร่างเดิม เป็นเด็กน้อยที่ตายไปอย่างน่าเวทนานางรับชีวิตของเจ้าของร่างเดิมมา มีความปรารถนาอยู่หนึ่งเรื่อง ก็คือทำให้ท่านแม่ น้องชายที่เจ้าของร่างเดิมรักใน
เหลียนเจินได้ยินจั๋วซือหรานพูดเช่นนี้ ก็เข้าใจความหมายลึกๆ ในคำพูดของนายท่านเป็นอย่างดีน่าจะเพราะ เขาเคยถูกจั๋วซือหรานแย่งตลับหุ่นเชิดไปนั่นล่ะดังนั้นเหลียนเจินจึงมีปฏิกิริยากับเรื่องพวกนี้ค่อนข้างเร็ว!"แม่นางจะบอกว่า..." เหลียนเจินก้มลงมองจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง "ใช่แล้ว เอาล่ะ พวกเจ้าก็พักฟื้นกันต่อไปนะ"นางยื่นมือไปตบเบาๆ ที่บ่าอันแข็งแรงของเหลียนเจิน "ข้าไปแปปเดียว"เหลียนเจินเดาได้ถึงเป้าหมายครั้งนี้ของนาง อดกังวลขึ้นมาไม่ได้ตามหลักการ เหลียนเจินเดิมทีคิดว่าตนเองควรจะกังวลความปลอดภัยของแม่นางถึงอย่างไร การจะไปแย่งของจากผู้ดูแลสำนักเมฆาวารี จะมองอย่างไรก็น่าจะเป็นเรื่องที่อันตรายแต่ว่าพอถึงเวลา เหลียนเจินกลับรู้สึกที่ตนเองกังวลไม่ใช่ความปลอดภัยของแม่นางแต่เป็น..."แม่นาง เจ้าสิ่งเย็นเยือกนั่น สัมผัสมากไปจะไม่ดีกับร่างกาย" เหลียนเจินเอ่ยเตือนขึ้นจั๋วซือหรานได้ยินคำนี้ก็เลิกคิ้ว ในดวงตาและคิ้วก็มีรอยยิ้มที่เบิกบาน "ไม่เป็นไร หาวิธีจัดการได้แล้ว"มีวิธีจัดการด้วยหรือ?เหลียนเจินงงงัน แต่ก็สังเกตได้ว่า สีหน้าของนายท่านดูดีขึ้นมากแล้ว กระทั่งมองไม่ออกว่าเ
จั๋วซือหรานพอได้ยินคำนี้ ก็ลูบคางเบาๆ"พูดแบบนี้ ทำเอาข้าสนใจฝีมือของผู้ดูแลชุยขึ้นมาเลย" จั๋วซือหรานเพ่งมองไปทางพวกเขา "เพียงแต่ว่า ผู้ดูแลชุยตอนนี้อยู่ไหนล่ะ?"จั๋วซือหรานพูดไปด้วยพลางเดินเข้าใกล้พวกเขาแต่พอเห็นว่าพวกเขายังคงปากแข็ง จั๋วซือหรานก็ยิ้มตาโค้ง "แนะนำกับพวกเจ้าหน่อย ใยหุ่นเชิดแบบใหม่ของข้า..."หลังจากนั้นนิ้วนางก็กระดิกเบาๆคนสำนักเมฆาวารีคนหนึ่งร้องเจ็บปวดขึ้นมาจากนั้นคนสำนักเมฆาวารีคนอื่นตอนที่มองจั๋วซือหราน สายตาก็ดูผิดปกติไปแล้ว"ใช้ดีดีมากในการทรมานไต่สวน" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "พวกเจ้าถ้าหากไม่ยอมพูดล่ะก็ จะลองทีละคนก็ได้ ข้าจะเล่นไปช้าๆ"คนจากสำนักเมฆาวารีเหล่านี้ ก็เป็นอย่างที่จั๋วซือหรานคาดเอาไว้ ไม่ได้มีพวกกล้าเลยแม้แต่คนเดียวคิดแล้วก็ใช่ คนในสำนักเหล่านี้ ส่วนใหญ่ล้วนมาจากพวกตระกูลที่มีฐานะดีหน่อยกันทั้งนัน มีแววดีตั้งแต่เด็ก ถูกเลี้ยงดูฟูมฟักมาอย่างดีคิดว่าคงไม่เคยเจอของแข็งกันมาก่อน ดังนั้นจะไปเก่งกล้าได้ที่ไหนกันไม่ถึงหนึ่งเค่อ ก็ได้คำอธิบายออกมาผู้ดูแลชุยคนนั้น ชื่อเต็มว่าชุยหงฮุย เป็นหนึ่งในผู้ดูแลสำนักเมฆาวารี ฝีมือการต่อสู้ไม่เลว ค่อนข้าง
"อะไรนะ?" คนสำนักเมฆาวารี ไม่เข้าใจคำพูดของนางแต่ก็มีคนที่กลับฟังออก สีหน้าเคร่งขรึม "นางรู้ว่าพวกเรามากันเจ็ดคน"เหลียนเจินบอกกับจั๋วซือหรานต่อ "ผู้ดูแลสำนักเมฆาวารี เครื่องแบบแตกต่างกับคนทั่วไปอยู่ ผ้าคาดเอวและขอบเสื้อจะประดับด้วยลายน้ำเมฆสีม่วง ดังนั้น..."จั๋วซือหรานตอบคำเขา "ยังไม่มาสินะ"กลุ่มตรงหน้านี้ ทั้งหกคน บนเครื่องแบบดุแล้วไม่มีอะไรแตกต่างกันบนพื้นฐานสามารถพิจารณาได้ ว่าคนพวกนี้เป็นศิษย์ทั่วไปเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น จั๋วซือหรานยังพิจารณาได้อีก ว่าในกลุ่มพวกเขาน่าจะไม่ได้ทำอะไรอย่างเช่นผู้ดูแลจงใจเปลี่ยนมาสวมชุดของศิษย์ทั่วไปมาแฝงอยู่ในกลุ่มเพื่อให้ศัตรูตายใจ เพื่อจะเล่นงานศัตรูได้อย่างไม่ทันตั้งตัว...สาเหตุที่จั๋วซือหรานมั่นใจเช่นนี้ ก็เพราะคนในสำนักเหล่านี้ ไม่ต้องคิดเลย ในใจล้วนเย่อหยิ่งกันหมดความเย่อหยิ่งนั้น บางครั้งก็ก็เป็ฯความจองหองแบบหนึ่งและความจองหองก็จะมองข้ามศัตรู ไหนจะเรื่องที่ชุดบ่งบอกถึงตัวตนฐานะอีก ตัวตนฐานะมันวางลงได้ง่ายๆ เสียที่ไหนไม่แน่ว่าคนที่มีจะเป็นพวกที่ว่า พอได้เลื่อนขั้นทั้งที ไปที่ไหนทีก็แทบอยากจะประกาศให้ใต้หล้ารู้ว่าตนเองได้เลื่
"อะไรนะ?!" คนสำนักเมฆาวารีคิดไม่ถึงว่าจะเป็นสิ่งนี้แต่หลังจากที่ยอมรับเรื่องนี้ก็รู้สึกว่า สถานการณ์ที่นิ้วมือที่กำลังทำปางมือถูกดึงจนเปลี่ยนรูป ก็เหมือนถูกสายเชิดหุ่นดึงเอาไว้จริงๆคนสำนักเมฆาวารีคนหนึ่งสาดอะไรบางอย่างไปที่ระหว่างคนคนนั้นกับจั๋วซือหราน เหมือนเป็นผงฝุ่นสีแดงๆสรุปคือ จากการสาดนี้ ไหมกู่ที่พรางตัวอยู่ตอนแรกค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาแล้วตอนที่ยังไม่ปรากฏตัว พวกเขายังรู้สึกว่าประหลาดอยู่ รู้สึกตกตะลึง แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวแต่ตอนนี้พอสาดผงแดงออก พอไหมกู่ที่พรางร่างปรากฏรูปร่างแท้จริงออกมาอารมณ์หวาดกลัวอย่างหนึ่ง ค่อยๆเกิดขึ้นมาในความคิดพวกเขาไม่ต้องมองที่อื่น แค่คนตรงหน้านี้ ก็ตกตะลึงกันแค่ไหนเพราะตอนนี้ ไม่ใช่คนคนนั้นที่ถูกจั๋วซือหรานตัดท่าวิชาไปแต่ว่าจั๋วซือหราน ทำเช่นนี้กับคนทั้งหมดระหว่างตัวพวกเขา เต็มไปด้วยใยหุ่นเชิดเต็มไปหมด โดยมีนางเป็นต้นตอ เชื่อมกับปลายทางที่ตัวพวกเขาใยหุ่นเชิดเหล่านั้นออกมาจากในแขนเสื้อนาง มากมายเต็มไปหมดและนางตอนนี้ แค่กระดิกนิ้วสองนิ้วเท่านั้น ใช้สองเส้นนั้นดึงนิ้วคนคนนี้เอาไว้ ก็ทำลายวิชาของเขาลงได้แล้วนางอยู่ในชุดแดง นั่งเงียบๆ อ