และใบหน้าของนางและผิวของนางขาวอย่างไม่น่าเชื่อ สีแดงสุดขีดนั้นคู่กับสีขาวสุดขีดนั้น...ซึ่งทำให้นางดูเงียบและไร้ลมหายใจ เหมือนางเสียชีวิตแล้วไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยเห็นสภาพที่น่าสังเวชของนาง ความจริง เขาเคยเห็นสภาพเช่นนั้นหลายหนแล้ว ตอนที่นางถูกตระกูลจั๋วตำหนิและลงโทษ สภาพที่น่าเวทนาจนทนดูไม่ได้หลังจากถูกเฆี่ยนตีเก้าครั้งนางถูกตระกูลเหยียนใส่ร้ายและถูกทรมานอย่างทารุณใน หน่วยสืบสวนพิเศษไม่ว่าครั้งไหน นางดูน่าเวทนาอย่างมาก แต่ไม่ว่าครั้งไหน นางแข็งแกร่งเสมือนหญ้าธูปฤาษี และไม่ว่านางดูน่าสมเพชแค่ไหน นางก็ไม่ยอมอ่อนข้อ นางยังคงปากแข็งได้และอดทนได้ และนางสามารถทนมันได้อย่างยากลำบากแต่ไม่ใช่อยู่ในสภาพเช่นนี้...เงียบและไร้ลมหายใจเฟิงเหยียนขมวดคิ้วขึ้นอีกเล็กน้อย เขากอดนางด้วยมือข้างหนึ่ง และมืออีกข้างก็กดหน้าอกของเขาเบา ๆมันเป็นภาพลวงตาหรือไม่ ทำไมอาการปวดตุ๊บ ๆ ที่หน้าอกอย่างอธิบายไม่ได้จึงดูชัดเจนมากขึ้นเฟิงเหยียนยกมือขึ้นและสัมผัสใบหน้าของนางเบา ๆ ริมฝีปากบางของเขาขยับเล็กน้อย " จั๋วจิ่ว "นางไม่มีปฏิกิริยาใดๆเขาสัมผัสใบหน้าของนางอีกครั้ง และเนื่องจากนิ้วของเขาเปื้อนเลือดของนา
เฟิงเหยียนไม่รู้เลยว่า จั๋วซือหรานในสภาพที่เบลอ ๆ ในขณะนี้ แต่คำพูดที่สั่นคลอนที่นางเพิ่งพูดด้วยความงุนงงนั้นได้บอกความต้องการของนางอย่างชัดเจนแล้วนางหนาวมากซึ่งทำให้เฟิงเหยียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาทำได้ง่ายที่สุดพลังวิเศษของเขามีอุณหภูมิที่ร้อนจัด เสื้อผ้าของพวกเขาเปียกด้วยน้ำในบ่อเย็น และพลังวิเศษของเขาอบผ้าแห้งในเวลาอันสั้นแต่ร่างกายของจั๋วซือหรานยังคงสั่นเทาไม่หยุด ราวกับว่าอุณหภูมิของสระน้ำเย็นได้ทำร้ายร่างกายของนางอย่างหนักเฟิงเหยียนลดสายตาลงและจ้องมองไปที่หญิงสาวในอ้อมแขนของเขาครู่หนึ่ง จากนั้นจึงก้มศีรษะเบา ๆริมฝีปากบางของเขากดลงบนริมฝีปากของนาง และค่อย ๆ ส่งพลังวิเศษเข้าไปในช่องปากของนาง......จั๋วซือหรานรู้สึกตัวเองกำลังจะตาย อย่างแรก นางรู้สึกเจ็บปวดอย่างมาก ร่างกายของนางเหมือนถูกเผาไหม้ด้วยไฟแต่นางก็รู้สึกถึงประโยชน์บางอย่างเช่นกัน หลังจากนางรักษาเขาครั้งที่แล้ว แม้ว่านางเจ็บปวดมาก แต่ความแข็งแกร่งของนางก็ดูดีขึ้นบ้างในระดับหนึ่งครั้งนี้คล้าย ๆ กัน ใครจะรู้ว่าเฟิงเหยียนกอดนางแล้วลงสระน้ำเย็นเลยทีเดียว อุ๊ย ช่างเป็นคนมีน้ำใจเหลือเกิ
จากนั้น หานกวงเห็น... สีหน้าหนักใจและทำอะไรไม่ถูกบนใบหน้าของฉูนจวีนอาจกล่าวได้ว่าค่อนข้างซับซ้อนฉูนจวีนหายใจเข้าลึก ๆ แล้วพูดด้วยเสียงถอนหายใจ "ตอนนี้ไม่สะดวก เดี๋ยวเจ้าค่อยเข้าไป"หานกวงไม่มีการคัดค้านใด ๆ แต่เมื่อเห็นการกระทำต่อไปของ ฉูนจวีน นางรู้สึกมึนงง"แต่พี่ใหญ่... พี่คุกเข่าทำไม"ฉูนจวีนมองนางเบา ๆ และไม่ตอบนางคุกเข่าเพื่ออะไรได้อีกล่ะ แน่นอนว่าเขากำลังรอเจ้านายลงโทษเขาฉูนจวีนอยากบอกจริง ๆ ว่า เขาไม่ได้เห็นอะไรเลย แต่เขาเป็นคนซื่อสัตย์ เขาไม่สามารถหลอกลวงหัวใจของเขาได้ภาพที่เขาเห็นในเมื่อครูนี้...ฉูนจวีนแอบพูดในใจ ท่านช่าง... ไม่เป็นสุภาพบุรุษ แม่นางจิ่ว เป็นเช่นนี้เพราะรักษาท่าน... แต่ท่านกลับเอาเปรียบผู้หญิงคนนี้เช่นนั้นหรือเฟิงเหยียนไม่รู้ว่าลูกน้องของเขากำลังคิดอะไรอยู่ในขณะนี้ และความคิดที่ฉูนจวีนคิดว่าเขากำลังเอาเปรียบผู้หญิงนั้นไม่เป็นความจริงทั้งหมดอันที่จริง มันเป็นเรื่องจริงที่เฟิงเหยียนถูกเอารัดเอาเปรียบมากกว่าจั๋วซือหรานกอดคอของเขาและจูบเขาเรื่อย ๆจนกระทั่งนางรู้สึกร่างกายอุ่นขึ้นอีกครั้ง พลังเย็นระเหยกลายเป็นควันสีขาวจาง ๆในที่สุด จั๋วซือหรา
เมื่อจั๋วซือหรานตื่นขึ้น นางรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายความเจ็บปวดในร่างกายของนางดูเหมือนจะตื่นขึ้นก่อนสติของนางเมื่อนางลืมตาขึ้น สิ่งที่นางเห็นคือ... จันทันที่ไม่คุ้นเคยจั๋วซือหรานถึงกับรู้สึกงุนงงอยู่ครู่หนึ่ง โดยไม่รู้ว่าวันนี้วันที่เท่าไร หรือตัวเองอยู่ที่ไหนจนกระทั่งใบหน้าของผู้หญิงที่มีโครงร่างที่คมชัดและมีลักษณะที่กล้าหาญปรากฏขึ้นในสายตาของนางผู้หญิงคนนั้นเรียกนางทันที “แม่นางจิ่วตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”เมื่อได้ยินชื่อนี้ จิตสำนึกของจั๋วซือหรานจึงกลับมาอย่างรวดเร็ว และนางก็รู้ทันทีว่านางอยู่ที่ไหนและทำไมนางถึงมาที่นี่ไม่น่าแปลกใจเลยในเรือนหลังนี้ แม้แต่คานบนหลังคาก็ยังงดงาม แกะสลักด้วยลวดลายที่ละเอียดอ่อนมาก และดูสวยงามมาก ราวกับเป็นนกบางชนิด...ความทรงจำบางอย่างค่อย ๆ กลับมา และจั๋วซือหรานก็จำสิ่งที่ เฟิงเหยียนพูดได้ โดยตระหนักว่ารูปแบบที่ละเอียดอ่อนผิดปกติเหล่านั้น ซึ่งคล้ายกับนกบางชนิดนั้น ต้องเป็นตราประจำตระกูลของตระกูลเฟิง นั่นก็คือ หงส์แดง“ แม่นางจิ่ว” เหมือนไม่ได้คำตอบจากจั๋วซือหราน หานกวงเรียกอีกครั้งและโบกมือเบา ๆ ต่อหน้าต่อตาจั๋วซือหราน"เจ้าเป็นใคร" จั
“เวลาผ่านไปสองคืนหนึ่งวันแล้วเจ้าค่ะ” หานกวงกล่าวจั๋วซือหรานพูดในใจว่า พลาดอาหารไปห้ามื้อ จะไม่หิวได้อย่างไรล่ะ“หากแม่นางหิวแล้ว ข้ารีบตามคนในครัวนำอาหารมาให้เจ้า” หานกวงพูดแล้วเงียบชั่วคราวแล้วพูดต่อ “แต่อาจไม่อร่อยนัก”หานกวงมองจั๋วซือหรานแล้วกระซิบ "ข้าได้ยินจากจ้านหลู เขาเล่าให้ฟังว่า แม่นางจิ่วทำอาหารเก่งมาก แม่นางอาจไม่ชอบกับข้าวที่นี่..."โดยปกติแล้ว แม้แต่คนธรรมดาที่มีจิตใจที่ละเอียดอ่อนกว่าเล็กน้อยก็สามารถฟังออกความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของคำพูดของหานกวงได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ที่ฉลาดอย่างจั๋วซือหราน นางต้องเดาออกความในใจของหานกวงแน่ ๆ เมื่อได้ยินคำพูดของหานกวงโดยเฉพาะหานกวงแสดงท่าทีที่อยากชิมฝีมืองของนางอย่างมาก ราวกับว่าน้้ไลจะไหลออกจากมุมปากของนางในวินาทีถัดไปน่ารักเชียวจั๋วซือหรานหรี่ตาลง นางขดริมฝีปากแล้วยิ้ม "...จริงหรือ หากมีวัตถุดิบอาหาร ข้าจะทำเอง"หานกวงดีใจทันที “มี มีเจ้าค่ะ มีทุกอย่างเจ้าค่ะ”เมื่อยืนอยู่ในครัวเล็ก ๆ ในลานบ้านของเฟิงเหยียน จั๋วซือหราน รู้สึกพูดอะไรไม่ถูก นางไม่ทันมีปฏิกิริยาเลย ทำไมเรื่องกลายเป็นเช่นนี้ตามแผน นางมาที่นี่เพื่อคุย
อ้าว...นี่...จั๋วซือหรานมองฝ่ามือของนางและหมดคำพูดอยู่ครู่หนึ่งและถึงแม้ว่าภายใต้สถานการณ์นั้น นางไม่มีสติ นางอาจลืมลายละเอียดของตอนนั้นแล้วแต่หลังจากจั๋วซือหรานตระหนักว่านางดูเหมือนใช้หยางของ เฟิงเหยียนเพื่อเติมหยินของนาง ภาพที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน เหมือนเป็นเรื่องจริงหรือเป็นภาพลวงตาก็ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นในสมองของนางจั๋วซือหรานไม่รู้ด้วยซ้ำว่านี่เป็นอาการประสาทหลอนที่นางคิดเองหรือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ๆ นางคิดว่าน่าจะเป็นภาพหลอนกระมังไม่เช่นนั้น...นางจะ...กอดเฟิงเหยีย และจูบเขาอย่างไม่หยุดได้อย่างไรนาง...จูบ เขา ไม่หยุด จริง ๆในความทรงจำที่กระจัดกระจายนี้ จั๋วซือหรานไม่เห็นการจูบสิ้นสุดลงเมื่อใดด้วยซ้ำ นี่แสดงให้เห็นว่านางจูบเขานานแค่ไหนนางกระพริบตาด้วยความสับสน นางอดไม่ได้ที่ต้องยกมือขึ้นและสัมผัสริมฝีปากของนางเบา ๆก่อนหน้านี้ความรู้สึกยังไม่ชัดเจน แต่หลังจากนางตระหนักได้และจำภาพความทรงจำที่ไม่เป็นชิ้นเป็นอันแต่บ้าคลั่งเหล่านั้นได้จั๋วซือหรานก็รู้สึกว่าริมฝีปากของนางเหมือน... บวมนิดหน่อยจริง ๆ เช่นนั้นหรือจั๋วซือหรานกัดริมฝีปากของนางเบา ๆ ริมฝีปากอันแดงและบวมของนาง
หลังจากหานกวงพูดจบ นางเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองดูสีหน้าของเจ้านายเมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่ค่อยดีใจของเจ้านายค่อย ๆ หายไปหานกวงแอบหายใจด้วยความโล่งอก“เอาล่ะ ออกไปก่อนเถิด” เสียงของเฟิงเหยียนกลับมาเป็นเสียงปกติ และเขาก็สั่ง “ดูแลนางด้วย”“รับทราบเจ้าค่ะ” หานกวงรีบวิ่งออกจากตำหนักใต้ดินเฟิงเหยียนเหลือบมองที่กล่องอาหาร เขาหยุดครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาหยิบจานทั้งหมดในกล่องอาหารออกมา นั่งที่โต๊ะหินเย็น ๆ ของตำหนักใต้ดิน จากนั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาส่วนหานกวง เมื่อนางออกมาจากตำหนักใต้ดิน นางพบว่าแม่นางจิ่วหายไปแล้ว ช่าง ...เมื่อนางนึกถึงคำสั่งของเจ้านายซึ่งก็คือดูแลแม่นางจิ่วให้ดี ๆฮันกวงคิดอยู่ครู่หนึ่งและตระหนักว่า แม่นางจิ่วมีความสามารถมาก ดังนั้นนางคงดูแลตัวเองได้สักพักหนึ่ง จากนั้นหานกวงรีบเดินไปที่ครัวเล็ก ๆส่วนอีกด้านหนึ่ง หลังจากจั๋วซือหรานเดินออกจากจวนเฟิง นางก็มุ่งหน้าไปยังจวนจั๋ว หลัก ๆ เป็นเพราะนางกังวลนางหายตัวไปสองคืนหนึ่งวันตั้งแต่นางเดินออกจากตระกูลจั๋ว และมุ่งหน้าไปที่ตระกูลเฟิงในวันนั้น ก็ไม่มีข่าวของนาง และนางไม่ได้ปรากฏตัวอีกเลยนางไม่อยากให้ท่านแม่เป็นห่วงเพราะเ
เจ้าของร่างเดิมถูกเสน่ห์หนอนพิษกู่วางยา และถูกฉินตวนหยางควบคุมตัว ทำให้เจ้าของร่างเดิมยืนกรานต้องถอนการหมั้นกับตระกูลเฟิงซึ่งทำลายความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเฟิงและตระกูลจั๋ว และยังทำให้ตระกูลจั๋วเสียหน้าอีกด้วย หลังจากนางเดินทางผ่านกาลเวลา นางกลับมาสารภาพความผิดกับตระกูลจั๋ว แม้ว่าผู้อาวุโสใหญ่ลงโทษนางอย่างหนัก ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการลงโทษที่หนักที่สุดถูกถูกเฆี่ยนเก้าแส้แต่นางไม่ได้ถูกลงโทษต่อหน้าทุกคนการลงโทษต่อหน้าทุกคนนั้นไม่เพียงต้องรับการลงโทษเท่านั้น แต่ยังต้องทนการจ้องมองของสมาชิกทุกคน ซึ่งผู้ที่ถูกลงโทษอาจไม่มีวันเผชิญหน้าต่อผู้คนได้ เพราะทุกคนมักจำเรื่องนี้ได้ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า การลงโทษตามกฎตระกูลต่อหน้าทุกคนไม่เพียงเป็นการลงโทษเท่านั้น แต่ยังเป็นความอัปยศอดสูอีกด้วยโดยทั่วไปจะไม่ได้ลงโทษถึงขั้นนี้แต่ตอนนี้ชัดเจนว่า มีคนมีการกระทำอย่างหนักจนต้องรับการลงโทษเช่นนี้คุณท่านจั๋วลิ่วกำลังคุกเข่าอยู่ตรงกลางสนามเล็ก ๆ เขาดูเหมือนแก่ลงไปสิบกว่าปีชายวัยกลางคนที่เคยมีชีวิตชีวานั้น ตอนนี้เขามีผมหงอกสีขาวที่ด้านข้างขมับในเวลาเพียงไม่กี่วันจั๋วหรูซินไม่ได้คุกเข่าใ
ชิ่งหมิงคอยเฝ้าอยู่ข้างๆ ตลอด แม้จะไม่ถึงกับจ้องตาแป๋วน้ำลายไหล แต่ตาก็เป็นประกายอยู่ตลอดจั๋วซือหรานมองไปก็ยิ้มๆ พูดขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ "มีแค่ตอนนี้นี่ล่ะ ที่จะได้เห็นเจ้าตอนที่ยังติดอ่างแบบตอนนั้น"นางยื่นมือออกไป คิดจะบีบแก้มชิ่งหมิงแต่ปฏิกิริยาชิ่งหมิงก็รวดเร็ว เขยิบถอยออกไปด้านหลังเลี่ยงนิ้วของนางออกไปอย่างไม่ตั้งใจและตอนที่จั๋วซือหรานยังไม่ทันได้ทันตั้งตัวว่าน้องชิ่งก็กลายเป็นชายหนุ่มเสียแล้ว จะมาหยิกแก้มแบบนี้ไม่ได้ชิ่งหมิงก็เดินเข้ามาก้าวหนึ่ง ยื่นแก้มตัวเองเข้าไปที่นิ้วของนางจั๋วซือหรานยิ้มตาโค้ง บีบเบาๆ "พอโตมา สัมผัสไม่ค่อยดีแล้วแฮะ"ชิ่งหมิงยกกับข้าวออกไปอย่างสมัครใจรอให้จั๋วซือหรานจัดการเสร็จแล้วค่อยกินด้วยกันแต่พอจั๋วซือหรานเสร็จงาน ยังไม่ทันได้จับตะเกียบ ก็มีคนเข้ามารายงานแล้ว"แม่นางจิ่ว"จั๋วซือหรานแหงนจามองฉุนจวินที่ตรงเข้ามารายงาน "ทำไม? เกิดอะไรขึ้นรึ?"ฉุนจวินกดเสียงต่ำ "จดหมาของฮูหยินส่งเข้ามาในเมืองหลวง เพิ่งส่งมาในจวนขอรับ"จั๋วซือหรานพอได้ยินก็ตกตะลึง "แม่ข้าหรือ?""ขอรับ"จั๋วซือหรานพยักหน้า "ในจดหมายแม่ข้าบอกว่าอะไร?""ฮูหยินบอกว่าออกเด
ชิ่งหมิงเดินออกมาจากด้านหลัง นับจากที่จั๋วซือหรานรักษาถอนพิษให้เขา หลังจากที่ฟื้นฟูร่างกายกับสติปัญญาแบบผู้ใหญ่กลับมาหลังจากที่ค่อยๆ ปรับตัวและเข้าใจเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น ชิ่งหมิงก็ไม่คิดจะไปมีนิสัยเหมือนตอนเป็นหนุ่มน้อยแบบนั้นแล้ว ที่คอยเรียกเวินป๋อยวนว่าลุงเวินป๋อยวนก็ไม่ได้ใส่ใจกับคำเรียกนี้"แหย่ข้า?" จั๋วซือหรานมีปฏิกิริยาถึงคำพูดของชิ่งหมิง เอียงตาไปมองเวินป๋อยวน "ใต้เท้าซือหลี่ล้อเล่นกับข้าเป็นตั้งแต่เมื่อไรกัน"ชิ่งหมิงเดินเข้ามา นั่งลงข้างๆ จั๋วซือหราน เอ่ยขึ้นว่า "ความหมายของป๋อยวนก่อนหน้านี้คือ อาวุธกู่ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่เจ้าคิดนะ และไม่ใช่แค่เอาไว้ควบคุมแมลงกู่ให้โจมตีเท่านั้นด้วย"จั๋วซือหรานฟังขึ้นมาอย่างสนใจ "โอ๋? ยังมีอะไรอีกล่ะ?"นางใช้มือเท้าโต๊ะยันคาง มองเวินป๋อยวน "ใต้เท้าโปรดสั่งสอนอย่างไม่ตระหนีด้วย ข้าอยากฟังอย่างชัดเจน"เวินป๋อยวนชะงักไปครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้นเสียงเรียบว่า "จะอาวุธกู่ก็ดี อาวุธวิญญาณอาวุธเวทก็ดี ในพื้นฐานแล้วก็ล้วนเป็นอาวุธประเภทหนึ่ง ล้วนมีไว้ใช้เพื่อโจมตี คุณสมบัติดั้งเดิมเป็นแบบเดียวกัน""และอาวุธที่ยิ่งดี แน่นอนว่าประสิทธิภาพก็จะยิ่ง
จะเป็นก็ไม่เป็น จะตายก็ไม่ตายอยู่ในแบบที่ไม่เป็นไม่ตาย"ซือคงอวี้" ปากชายหนุ่มเอ่ยออกมาเรียบๆ สามคำร่างกายที่แช่ในอ่างสั่นไปทั้งตัวทันที ดวงตายังคงขุ่นมัว แต่ในตาที่ขุ่นมัว เริ่มปรับภาพขึ้นมาแล้วในคอเองก็เริ่มมีพยางค์ความหมาย "ฆ่า...ฆ่าข้า...ซะ!"เสียงฟังแล้วแหบพร่าสุดๆใครจะนึกออก ว่าชินอ๋องอวี้ที่เคยยิ่งใหญ่ทรงอำนาจในเมืองหลวง จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ถูกคนสับแขนขาแช่ไว้ในถัง กลายมาเป็นมนุษย์ท่อนไม้ ทนทุกข์ทรมานแบบที่จะอยู่ก็ไม่ได้จะตายก็ไม่ได้เขาคำรามอีกว่า "ฆ่า...ปัน...ปันอวิ๋น...ฆ่าข้า...ซะ!"ผู้ใต้บัญชาข้างๆ ตะคอกขึ้นมา "เป็นแค่หุ่นเชิด ยังกล้ามาเรียกชื่อนายท่านอีกเรอะ!"ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาเจ้าเล่ห์ข้างๆ ไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือปันอวิ๋น...ปรมาจารย์กู่ที่หลอมสกัด 'ลูกแก้วมังกรทั้งเจ็ด' ของจั๋วซือหรานออกมา และเป็นเจ้าหุบเขาของหุบเขาหมื่นพิษพรมแดนใต้นั่นเองเทียบกับการตะคอกไม่อย่างชอบใจของผู้ใต้บัญชาแล้ว ปันอวิ๋นไม่ได้มีอารมณ์อะไรนักกับการที่ซือคงอวี้เรียกชื่อจริงเขาแต่กลับเดินวนรอบถังอย่างสนใจ เอ่ยขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "เจ้าไม่ใช่อยากจะมีชีวิตเรอะ? เจ้าไม่ใช่อย
ผู้ใต้บัญชาของชายหนุ่มเหมือนจะลังเลหน่อยๆ เอ่ยเตือนเสียงต่ำว่า "นายท่าน บางทีคงไม่ต้องรีบในตอนนี้กระมัง? ถึงอย่างไร พระราชโองการพระราชทานรางวัลให้หญิงสาวคนนี้ก็เพิ่งจะออกมาเอง"คิ้วชายหนุ่มเลิกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า "เจ้าหมายถึงเรื่องที่พื้นที่ศักดินาของนางถูกแต่งตั้งไว้ที่มณฑลหลวนหนานน่ะหรือ?""ขอรับ" ผู้ใต้บัญชาขานรับเสียงหนักแน่น "เช่นนี้ก็เห็นได้ว่า จะช้าเร็วนางก็ต้องไปที่หลวนหนาน ส่วนหลวนหนาน..."ก็ไม่ต้องพูดอะไรมาก มณฑลหลวนหนานมีเส้นชายแดนของแคว้นชางกับพรมแดนใต้ทั้งสามแคว้นยาวๆ อยู่เส้นหนึ่งและเพราะอยู่ใกล้กับพรมแดนใต้ เทียบกับหญิงสาวชั้นสูงที่เข้าไปมีอำนาจในเมืองหลวงแคว้นชางแล้ว คนพรมแดนใต้ทางนั้นบางทีอาจจะคุ้นเคยกับสถานที่นั้นมากกว่าคนใต้บัญชาเอ่ยต่อว่า "นางเป็นหญิงสาวคนหนึ่ง ต่อให้เป็นหญิงชั้นสูงจากแคว้นชางแล้วทำไมกัน ถึงตอนนั้นพอนางไปถึงหลวนหนาน ไม่คุ้นคนไม่คุ้นที่ จะทำอะไรได้? มีแต่ให้นายท่านบังคับควบคุมเท่านั้นล่ะ..."ชายหนุ่มได้ยินผู้ใต้บัญชาพูดเช่นนี้ มุมปากก็ยกขึ้นเหมือนยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม "ถ้านางบีบง่ายแบบที่เจ้าพูด ข้าคงไม่สนใจตัวนางหรอก"นิ้วเรียวยาวของชายหนุ่
นางยกมือขึ้นตบไปที่หลังของชิ่งหมิงเบาๆ "เจ้าติดอ่างโตแล้วสินะ"ข้าเดิมทีโตกว่าเจ้าเสียอีก" ชิ่งหมิงเอ่ยต่อ "เดี๋ยวตอนที่เจ้าไปพื้นที่ศักดินา ข้าจัดการงานในมือเสร็จแล้วจะไปหาเจ้าที่หลวนหนาน"จั๋วซือหรานตกตะลึง "เจ้า...ซือหลี่ไม่ไปทำงานตามใจชอบได้ด้วยหรือ?""ไม่ได้" ชิ่งหมิงตอบ "แต่ข้าไม่สนใจ อย่างมากก็แค่เลิกทำ ยิ่งไปกว่านั้น ใต้เท้าซือเจิ้งก่อนหน้าก็ไม่ได้ไปทำงานตั้งนานแล้ว ข้าก็แค่ทำตามคนอื่นเขา"จั๋วซือหรานพอได้ยินชิ่งหมิงเอ่ยถึงใต้เท้าซือเจิ้ง นางก็เม้มปาก สีหน้าชะงักไปถามขึ้นเบาๆ "ใต้เท้าซือเจิ้งไม่ได้ไปทำงานนานแค่ไหนแล้ว?""อืม ก็ซักพักก่อนหน้านี้แล้วล่ะ จู่ๆ ก็ไปทำงานเมื่อไม่กี่วันก่อน" ชิ่งหมิงบอกทุกเรื่องที่รู้จนหมดเปลือกจั๋วซือหรานยังคิดจะถามอะไรอีก ก็ได้ยินเสียงติ๋งดังขึ้นมานางมองกลับไปทางเตาสำริดทันที แล้วจึงเห็น ว่าขลุ่ยเลานั้นที่นอนนิ่งอยู่ในเตา ตัวขลุ่ยมีแสงประกายระยิบระยับ เปล่งแสงห้าสี ราวกับน้ำมันบนผิวน้ำอย่างไรอย่างนั้นจั๋วซือหรานตาเป็นประกาย "สำเร็จแล้ว!"นางดับเพลิงห้าสีของตนเองลงทันที จากนั้นมือก็คลุมด้วยสีหยกชั้นหนึ่ง ใช้งานหัตถ์เสวียนอวี้ ยื่นเข้าไป
มองกระบอกน้ำชาโอสถสามใบที่ว่างเปล่าตรงมุมกำแพงจั๋วซือหรานก็ยกมุมปากขึ้น ว่ายังไงดีล่ะ?พูดได้แค่ว่าใต้เท้าซือหลี่ตันติ่งของพวกเรา ปากไม่ตรงกับใจเลยจริงๆถึงอย่างไร ดูจากสภาพสบายๆ ที่ผิดปกติของชิ่งหมิงซึ่งไม่มีเหงื่อสักหยด น้ำชาโอสถในกระบอกน้ำชาโอสถที่มุมกำแพงเหล่านั้น ไม่ต้องคิดเลยว่าใครเป็นคนเตรียมเอาไว้เพลิงห้าสีเผาเข้าไปในเตาสำริด อุณหภูมิของห้องหลอมก็เพิ่มสูงขึ้นทันทีจั๋วซือหรานถึงแม้จะเพิ่งหลอมวัตถุชั้นต้น แต่เนื่องจากเดิมทีพลังความเข้าใจค่อนข้างโดดเด่นอยู่แล้ว บวกกับมีทักษะการหลอมยาอยู่แล้วด้วยพลังควบคุมการหลอมสกัดก็ค่อนข้างโดดเด่น ดังนั้นอีกสองวันข้างหน้าก็ต้องทุ่มเทเสร็จสิ้นเรื่องนี้ตอนนี้ก็ดูเชี่ยวชาญมากแล้วด้วย กระทั่งสามารถหันมาคุยเล่นกับชิ่งหมิงได้บ้างแล้ว"...ดังนั้นข้าเองก็ถือว่าผิดใจกับพรมแดนใต้ไปทั่วแล้วด้วย" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ครั้งนี้ที่ข้าจัดการไปตั้งมากมาย ส่วนใหญ่ล้วนเป็นพวกดินแดนทางใต้ ยิ่งไปกว่านั้นองค์หญิงเจาหมิ่นนั่น..."ชิ่งหมิงกลอกตามองนาง "เจ้าของกล่องกู่พวกนั้นที่เจ้าเอามาน่ะหรือ? คนที่ใช้เสน่ห์หนอนพิษกู่เล่นงานเจ้าเมื่อตอนนั้นน่ะนะ?""อืม
ชิ่งหมิงยื่นมือไปหยิบเผ้าเช็ดหน้าสะอาดมาผืนหนึ่ง เช็ดเหงื่อบนหน้าผากให้นางเช็ดไปด้วยพลางพูดว่า "ปกติตอนเพิ่งเรียนหลอมวัตถุไม่ต้องเหนื่อยขนาดนี้ ควรค่อยๆ เรียนรู้ไปตามลำดับจึงจะถูก แต่เจ้าเป็นสถานการณ์พิเศษ ดังนั้นก็คงจะเหนื่อยไปจริงๆ"จั๋วซือหรานรู้ความหมายของชิ่งหมิง คนอื่นถ้าเรียนการหลอมสกัด ล้วนเริ่มจากการหลอมสกัดของชิ้นเล็กๆ ก่อนเหมือนนางเสียที่ไหน ตอนเริ่มก็เริ่มจากหลอมวัตถุซ้ำใหม่เลยการหลอมวัตถุเดิมทีก็ไม่ใช่งานที่ง่ายอะไร การหลอมซ้ำยิ่งยากขึ้นไปอีกนี่มันเหมือนกับยังไม่ทันจะเดินเป็น แต่ก็เรียนวิ่งข้ามคานเสียแล้ว...จั๋วซือหรานถอนหายใจยาวออกมา เอ่ยขึ้นว่า "ไม่มีทางเลือก จงกระหายและทำตัวให้โง่ตลอดเวลา...เลยทำได้แค่ทำอะไรให้เห็นผลได้ไวขึ้นเท่านั้น ยังดีที่มีน้ำยาโอสถของป๋อยวนอยู่"หรือก็คือของเหลวขมๆในแก้วที่ดื่มลงไปในปากเมื่อครู่นั่นเองแม้จะขม แต่กลับเย็นโล่งมาก ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ร้อนเช่นนี้ ดื่มลงไปกลับสบายขึ้นมากเลย"เอาล่ะ เริ่มเถอะ" จั๋วซือหรานมองขลุ่ยเลานั้นในเตาสำริดไม่ได้เป็นขลุ่ยดินเผารูปร่างอ้วนกลมแบบก่อนหน้าแล้วชิ่งหมิงบอกว่าถึงอย่างไรก็ต้องหลอมซ้ำ นา
และเป็นอย่างที่จั๋วซือหรานพูดไว้ สามวันต่อมา ราชโองการขององค์จักรพรรดิเฒ่าก็ประกาศไปทั้งฟ้าดินประกาศว่าสุขภาพไม่อำนวย ต้องการใช้ชีวิตบั้นปลาย จึงมอบเรื่องงานทั้งหมดให้องค์ชายเจ็ดซือคงเซี่ยนจัดการองค์ชายเจ็ดซือคงเซี่ยนถูกแต่งตั้งเป็นอ๋องสำเร็จราชการแทน ยศชินอ๋อง แม้จะไม่ค่อยตรงกับกฏหมายนัก แต่ก็ยังให้อ๋องสำเร็จราชการแทนเข้าอยู่ในวังตะวันออก แม้จะไม่ค่อยเข้ากับกฏแต่ก็ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ถึงอย่างไรก็เข้าวังตะวันออกไปแล้ว ใครมองออกถึงเจตนาขององค์จักรพรรดิเฒ่าได้ไม่ยากยิ่งไปกว่านั้นยังสำเร็จราชการแทนด้วย ใครอยากจะไปขัดใจกับคนที่จะเป็นใหญ่ในอนาคตกัน?จนถึงตอนนี้ ความวุ่นวายของอ๋องอวี้จึงยุติลงขณะข่าวที่ซือคงเซี่ยนถูกแต่งตั้งลือกระจายทั่วเมืองหลวง จั๋วซือหรานกำลังวุ่นอยู่ในกรมสืบสวนพิเศษมาแล้วหลายวัน"ซือหราน ไม่ร้อนแล้ว ดื่มเถอะ" ชายหนุ่มหล่อเหล่ามีสายตาอ่อนโยน นำถ้วนในมือส่งไปตรงหน้าจั๋วซือหรานจั๋วซือหรานรับแล้วดื่มลงไปอึกอัก หลังจากที่ดื่มลงไปเหมือนวัวเคี้ยวบัว จึงถอนใจยาวออกมา"โล่งเสียที" จั๋วซือหรานถอนหายใจ นางกลอกตามองชายหนุ่มหล่อเหลาข้างๆ อดยื่นมือไปหยิกแก้มเขาแล้วดึงเบ
และจากนั้น ไม่รอให้จั๋วซือหรานถามละเอียด แสงแดงหม่นของค่ายกลคำสาปนั่นก็มอดดับลงจั๋วซือหรานเลิกคิ้ว หมายความว่าอย่างไร?ไม่คิดจะตอบก็วางสายทิ้งหรือ? หน้าไม่อายเกินไปไหม?ซือคงเซี่ยนพอเห็นแสงหม่นของค่ายกลคำสาปดับไปก็ร้อนรนขึ้นมา คิดจะเดินเข้ามา จึงลองยื่นเท้าเข้าไปในชายขอบคำสาปเพื่อทดสอบและพบว่าค่ายกลคำสาปไม่ได้มีผลแผดเผาแบบก่อนหน้าแล้ว ซือคงเซี่ยนจึงพุ่งเข้าไปในค่ายกลคำสาป ไม่สนใจอะไรอีก อุ้มตัวจั๋วซือหรานออกมาทันทีจั๋วซือหรานรู้สึกจนใจ "ท่านอ๋อง..."ซือคงเซี่ยนเอ่ยขึ้น "ขอโทษนะซือหราน สถานการณ์มันเร่งด่วนจนมาสนเรื่องชายหญิงไม่ได้แล้ว ค่ายกลคำสาปนี้ประหลาดเกินไป อีกเดี๋ยวข้าจะให้คนมาทำลายห้องลับนี้ทิ้งเสีย ค่ายกลคำสาปนี้คงถูกทำลายไปด้วยกัน""ไม่ต้องนะ" จั๋วซือหรานเอ่ยขึ้น "ข้าอยากจะค้นคว้าค่ายกลคำสาปนี้เสียหน่อย"ซือคงเซี่ยนยังรู้สึกกังวล เขาขมวดคิ้วขึ้น "ซือหราน เมื่อกี้เจ้าพูดจริงหรือ? ที่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนของสภาผู้อาวุโส?""ถ้าเขาไม่ใช่แล้วจะประหม่าทำไมกัน" จั๋วซือหรานเบ้ปาก ยังคงรู้สึกหงุดหงิดกับการ 'วางสาย' ของอีกฝ่ายอยู่จานกั้นจึงชี้ไปที่ค่ายกลคำสาปนั่น "ยิ่งไปกว่านั้น