จิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปพบนางในฐานะอ๋องจิ้น แต่ปลอมตัวเป็นเจ้าหน้าที่ของจวนผู้ว่าราชการแล้วแฝงตัวเข้าไปเขามีคนขอตนเองแฝงตัวอยู่ในจวนผู้ว่าราชการ ภายใต้การจัดการของคนของเขา ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นและเขาก็ได้พบกับเฟิ่งชูอิ่งเพียงแต่ภาพที่เขาเห็นนั้นแตกต่างจากที่เขาคาดไว้เล็กน้อยเขาคิดว่าหลังจากนางเข้าคุกของจวนผู้ว่าราชการ นางคงต้องลำบากมาก แต่สิ่งที่เขาเห็นคือนางกำลังเล่นไพ่กับนักโทษคนอื่นๆ นักโทษคนอื่นๆ มีบางคนถูกวาดรูปเต่าหรือติดใบหญ้าต่างๆ ไว้บนหน้า ในขณะที่ใบหน้าของนางสะอาดสะอ้านไม่มีอะไรเลยมีนักโทษคนหนึ่งแพ้แล้วทนไม่ไหวพูดขึ้นว่า “คุณหนูเฟิ่ง พวกเราแค่เล่นไพ่กัน ท่านไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้”“ทุกครั้งก่อนออกไพ่นางก็คำนวณหมด คำนวณได้ทุกอย่าง แบบนี้นางชนะตลอดมันก็ไม่สนุกสิ?”เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างมีเหตุผลว่า “การชนะจะไม่มีความหมายได้ยังไง? การชนะเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก!”“อีกอย่าง ข้าก็แค่ใช้ทักษะความเชี่ยวชาญของข้าอย่างเต็มที่ ไม่ได้โกง ไม่ได้เล่นตุกติก ชนะอย่างขาวสะอาดและบริสุทธิ์ใจ”นักโทษคนอื่นๆ “……”แบบนี้ยังเรียกไม่โกงอีกหรือ!เฟิ่งชูอิ่งพูดอย่างจริงจังว่า “อ
ความรู้สึกที่นางมีต่อจิ่งสือเยี่ยน ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดตอนแรกนางสนใจเขามากเป็นพิเศษเพราะเขาเป็นพระเอกในนิยายเขาก็ปิดบังตัวเองได้แนบเนียนมากทีเดียว ตอนแรกดูเหมือนเด็กหนุ่มที่ร่าเริงแจ่มใส แต่ภายหลังนางก็รู้ว่านางอ่านความคิดและนิสัยของเขาผิดไปสิ่งต่างๆ ที่เขาทำลงไป ทำให้นางรู้สึกว่าต่อไปนี้ควรอยู่ห่างๆ เขาจะดีกว่าจนกระทั่งปู๋เยี่ยโหวฆ่านางเอกในนิยาย นางก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเนื้อเรื่องในตอนนี้มันออกทะเลไปไกลแล้วเมื่อนางรู้ว่าสาเหตุที่นางข้ามเวลามาเป็นเพราะเหมยตงยวนใช้วิชาต้องห้าม นางก็มองโลกใบนี้ด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องแย่งชิงอำนาจ ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแผนการร้ายต่างๆ แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้แล้ว ความรู้สึกมันต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงจิ่งสือเยี่ยนมองมาที่นาง ทำท่ากวักมือเรียกให้นางเข้าไปคุยด้วยเฟิ่งชูอิ่งก็อยากรู้เหมือนกันว่าคราวนี้เขาจะเล่นแง่อะไรอีก จึงเดินไปที่ประตูคุกแต่โดยดีนักโทษคนอื่นๆ แสร้งทำเป็นไม่มองพวกเขา แต่ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจและตั้งใจฟังส่วนเฉี่ยวห
จิ่งสือเยี่ยนพูดเบาๆ ว่า “หลังจากมหาราชครูลงมือแล้ว เกรงว่าเจ้าจะไม่มีวันเวลาสงบสุขอีกต่อไป”“หากเจ้าไม่ไป อาจจะเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงตามมาได้”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ “งั้นหรือ ช่วงนี้ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตสงบสุขเกินไปจนน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน”“เขามาสร้างความสนุกสนาน เพิ่มสีสันให้ชีวิตข้าบ้างก็ดีเหมือนกัน”จิ่งสือเยี่ยน “......”ไม่รู้ทำไม พอคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากนาง เขากลับรู้สึกแปลกๆ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เรื่องออกจากเมืองหลวง เจ้าจะไม่คิดทบทวนอีกหน่อยหรือ”“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในเมืองหลวง ก็ยังตัดความสัมพันธ์กับพี่สามไม่ขาด เรื่องแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก”เฟิ่งชูอิ่งยิ้ม “แล้วอย่างไรเล่า”จิ่งสือเยี่ยน “......”คำถามนี้จะให้เขาตอบอย่างไรดีเฟิ่งชูอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “ที่นี่สกปรก ไม่เหมาะกับท่านอ๋องจิ้น ท่านอ๋องจิ้นควรออกไปจากที่นี่โดยเร็ว”“ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับมหาราชครูจะไม่เลว คาดว่าครั้งนี้พวกท่านคงจะร่วมมือกันจัดการจิ่งโม่เยี่ย”“ตอนนี้ข้าอยู่ข้างเดียวกับจิ่งโม่เยี่ย ถ้ามหาราชครูรู้ว่าท่านมาหาข้า คงไม่ดีแน่”จิ่งสือเยี่ยน “......”ก่อนหน้านี้เขาค
เขาหันไปมองเฟิ่งชูอิ่ง นางกอดอกพร้อมกล่าวว่า “ท่านอ๋องจิ้นรู้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่เรื่องทะเลาะส่วนตัวระหว่างสามีภรรยาของพวกเรา”คำพูดนี้ทำให้จิ่งสือเยี่ยนถึงกับพูดไม่ออก แต่ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยกลับเป็นประกายแววตาของจิ่งสือเยี่ยนดูอับอาย เขาเบือนหน้าหนี ไม่พูดอะไร หันหลังเดินจากไปหลังจากเขาจากไป เฟิ่งชูอิ่งก็พูดกับจิ่งโม่เยี่ยว่า “ข้าไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องจิ้นอีก เมื่อครู่ที่ดึงท่านมาเป็นโล่ ขอท่านอ๋องอย่าได้ถือสา”ดวงตาและคิ้วของจิ่งโม่เยี่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร โล่แบบนี้ข้ายินดีที่จะเป็น”เขาได้ยินว่าจิ่งสือเยี่ยนมาที่จวนผู้ว่าราชการ เขาจึงเดาได้ทันทีว่าจิ่งสือเยี่ยนมาหาเฟิ่งชูอิ่งในตอนนั้นเขารู้สึกกังวลมาก เพราะเขารู้ว่าก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งปฏิบัติต่อจิ่งสือเยี่ยนแตกต่างจากคนอื่นระหว่างทางที่เขารีบเดินทางมา เขายังได้คาดเดาและคิดไปต่างๆ นาๆ รู้สึกจิตใจไม่สงบตลอดทางหลังจากเขามาถึง ได้ยินว่าจิ่งสือเยี่ยนจะพาเฟิ่งชูอิ่งหนีออกจากจวนผู้ว่าราชการ เขาก็รู้สึกหวั่นไหวหากนางต้องการไปกับจิ่งสือเยี่ยนจริงๆ แล้วเขาควรทำอย่างไร?ปล่อยให้นางไป หรือบังคับให้นางอยู่ต
เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกว่าแม้จิตใจของนางจะเข้มแข็งมาก แต่การถูกเขาจ้องมองเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่บ้างนางถามว่า “ท่านอ๋องยังมีธุระอันใดอีกหรือ?”จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของนาง กลับถามว่า “ขาของเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”หากจะพูดถึงการที่เฟิ่งชูอิ่งถูกขังอยู่ในคุกนั้น ทุกอย่างก็ดีหมด มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่ดีคือข้างในนั้นชื้นแฉะเกินไปบาดแผลที่ขาของนางเพิ่งจะหาย หากอยู่ในคุกนานๆ ก็คงจะรู้สึกไม่สบายตัวบ้างนางจึงกล่าวว่า “ก็พอทนได้”นั่นแปลว่ายังคงเจ็บอยู่จิ่งโม่เยี่ยจึงกล่าวว่า “ให้ข้าดูหน่อย”พูดจบเขาก็เปิดประตูคุกจะเข้ามา เฟิ่งชูอิ่งจึงร้องเรียก “เฉี่ยวหลิง!”เฉี่ยวหลิงรีบมาขวางจิ่งโม่เยี่ยไว้ทันที พร้อมกล่าวว่า “ไม่ให้เจ้ารังแกคุณหนูของข้าหรอก!”นางกลัวรังสีอำนาจของจิ่งโม่เยี่ยมาก นางต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากเสียงจึงไม่สั่นจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้เดินเข้าไปอีก เพียงกล่าวว่า “ข้าไม่ได้รังแกคุณหนูของเจ้า เพียงแต่เป็นห่วงสุขภาพของนาง”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านดูแล้วจะมีประโยชน์อันใด ท่านมิใช่หมอสักหน่อย!”จิ่งโม่เยี่ย “......”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอีกว่า “เฉี่ยวหลิง เชิ
สีหน้าของมหาราชครูดูน่าเกลียดอย่างมากเสนาบดีฝ่ายซ้ายยื่นมือไปตบบ่าของมหาราชครูแล้วพูดว่า “เด็กๆ โตขึ้น ความคิดก็มากขึ้น บางเรื่องที่ทำลงไปก็จะปิดบังคนในครอบครัว”“ข้าเชื่อในนิสัยของมหาราชครู และเชื่อว่ามหาราชครูไม่ใช่คนที่ลำเอียง”“การที่มหาราชครูเสนอให้มีการพิจารณาคดีร่วมกันสามฝ่าย ก็แค่โดนลูกชายตัวเองหลอกเท่านั้น”คำพูดของเขาไม่เพียงแต่ช่วยมหาราชครูหาข้ออ้าง แต่ยังยกย่องมหาราชครูให้อยู่ในที่สูงอีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีหนังสือร้องทุกข์ของชาวบ้านหลายร้อยฉบับอยู่ในมือ เมื่อรวมกับหลักฐานความผิดก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับตอกย้ำความผิดของรองผู้ว่าตู้จนปฏิเสธไม่ได้!ยังมีกระแสความคิดเห็นของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ปิดทางถอยหลังทั้งหมดของมหาราชครูมหาราชครูมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างลึกซึ้ง แล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “ไอ้เด็กเวรนี่ กล้าปิดบังข้าเรื่องแบบนี้ สมควรตายยิ่งนัก!”เมื่อพูดจบ ทุกอย่างก็ถือเป็นที่สิ้นสุดในใจมหาราชครูเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาได้วางแผนไว้อย่างดี แต่ไม่คิดว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเข้ามาขัดขวาง ทำให้แผนการทั้งหมดของเขาพังทลายเดิมทีเขาคิดว่าหากจัดการได้เหมาะสม ก็จะสามาร
ตอนที่เขาคิดจะโยนจานกลมนั้นทิ้ง เขากลับพบว่าเข็มบนจานขยับขึ้นมาเองท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงักไปครู่หนึ่ง แล้ววางจานกลมลงบนฝ่ามือ เข็มบนจานกลมชี้ไปในทิศทางหนึ่งด้วยความสงสัย เขาจึงมองตามไปยังทิศทางนั้น ก็เห็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบกว่าขวบกำลังขายมันเผาอยู่ริมถนนเด็กหญิงมีหน้าตาน่ารักสะอาดสะอ้าน แต่ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่เขาจำได้เขามองไปที่เข็ม แล้วมองไปที่เด็กหญิงอีกครั้ง รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปซื้อมันเผา “ขอหัวใหญ่ๆ หนึ่งหัว”เด็กหญิงขานรับ แล้วใช้คีมคีบมันเผาในเตาออกมาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “หนูน้อย พ่อแม่ของเจ้าล่ะ?”เด็กหญิงตอบว่า “ตายแล้ว”ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อเขาจึงถามอีกว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”เด็กหญิงมองเขาแล้วถามกลับ “ข้าอายุเท่าไหร่แล้ว มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เด็กสมัยนี้อารมณ์ร้อนกันแบบนี้หรือ?แต่น้ำเสียงที่พูดกลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดเขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่มันไม่เกี่ยวกับข้าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่
เด็กหญิงมองเขาขึ้นลงอย่างพิจารณา เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขานางเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ถึงพ่อแม่ของข้าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ข้าก็อยู่ได้สบายดี เพื่อนบ้านแถวนี้ก็คอยดูแลข้าเป็นอย่างดี!”ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองนางแล้วพูดว่า “ถึงพวกเขาจะดูแลนาง แต่นางอายุยังน้อย อาจจะถูกคนอื่นรังแกได้ง่าย”“ข้าเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งราชสำนัก ชื่อเสียงของข้าเจ้าออกไปถามใครก็ได้ ก็ถือว่าไม่เลว”วันนี้ที่นางเอาหัวมันเทศขว้างมาโดนเขา ทำให้เขารู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูกภรรยาผู้ล่วงลับของเขาก็นิสัยแบบนี้ พอมองจานกลมในมือ เข็มบนจานยังคงชี้ไปที่เด็กหญิง เขาก็เชื่อมากขึ้นว่านางคือคนที่เขากำลังตามหาแต่ตอนนี้ทั้งสองคนอายุห่างกันอย่างน้อยสามสิบปี เขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้นไม่ว่านางจะเป็นภรรยาที่กลับชาติมาเกิดหรือไม่ เขาก็อยากให้นางมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากเลี้ยงดูนางเหมือนลูกสาวคนหนึ่งเด็กหญิงมองเขาโดยไม่พูดอะไรนางเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน นางไม่รู้เรื่องราชสำนักหรอกบุคคลสำคัญอย่างอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอมาก่อน จึงไม่เคยคิดจ