ความรู้สึกที่นางมีต่อจิ่งสือเยี่ยน ยากที่จะอธิบายเป็นคำพูดตอนแรกนางสนใจเขามากเป็นพิเศษเพราะเขาเป็นพระเอกในนิยายเขาก็ปิดบังตัวเองได้แนบเนียนมากทีเดียว ตอนแรกดูเหมือนเด็กหนุ่มที่ร่าเริงแจ่มใส แต่ภายหลังนางก็รู้ว่านางอ่านความคิดและนิสัยของเขาผิดไปสิ่งต่างๆ ที่เขาทำลงไป ทำให้นางรู้สึกว่าต่อไปนี้ควรอยู่ห่างๆ เขาจะดีกว่าจนกระทั่งปู๋เยี่ยโหวฆ่านางเอกในนิยาย นางก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเนื้อเรื่องในตอนนี้มันออกทะเลไปไกลแล้วเมื่อนางรู้ว่าสาเหตุที่นางข้ามเวลามาเป็นเพราะเหมยตงยวนใช้วิชาต้องห้าม นางก็มองโลกใบนี้ด้วยความรู้สึกที่ต่างออกไปก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนนอก ไม่อยากเข้าไปพัวพันกับเรื่องแย่งชิงอำนาจ ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับแผนการร้ายต่างๆ แต่ตอนนี้นางกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้แล้ว ความรู้สึกมันต่างไปจากเดิมโดยสิ้นเชิงจิ่งสือเยี่ยนมองมาที่นาง ทำท่ากวักมือเรียกให้นางเข้าไปคุยด้วยเฟิ่งชูอิ่งก็อยากรู้เหมือนกันว่าคราวนี้เขาจะเล่นแง่อะไรอีก จึงเดินไปที่ประตูคุกแต่โดยดีนักโทษคนอื่นๆ แสร้งทำเป็นไม่มองพวกเขา แต่ทุกคนต่างก็กลั้นหายใจและตั้งใจฟังส่วนเฉี่ยวห
จิ่งสือเยี่ยนพูดเบาๆ ว่า “หลังจากมหาราชครูลงมือแล้ว เกรงว่าเจ้าจะไม่มีวันเวลาสงบสุขอีกต่อไป”“หากเจ้าไม่ไป อาจจะเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงตามมาได้”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะเบาๆ “งั้นหรือ ช่วงนี้ข้าก็รู้สึกว่าชีวิตสงบสุขเกินไปจนน่าเบื่ออยู่เหมือนกัน”“เขามาสร้างความสนุกสนาน เพิ่มสีสันให้ชีวิตข้าบ้างก็ดีเหมือนกัน”จิ่งสือเยี่ยน “......”ไม่รู้ทำไม พอคำพูดแบบนี้ออกมาจากปากนาง เขากลับรู้สึกแปลกๆ เขาถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “เรื่องออกจากเมืองหลวง เจ้าจะไม่คิดทบทวนอีกหน่อยหรือ”“ตราบใดที่เจ้ายังอยู่ในเมืองหลวง ก็ยังตัดความสัมพันธ์กับพี่สามไม่ขาด เรื่องแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก”เฟิ่งชูอิ่งยิ้ม “แล้วอย่างไรเล่า”จิ่งสือเยี่ยน “......”คำถามนี้จะให้เขาตอบอย่างไรดีเฟิ่งชูอิ่งพูดด้วยน้ำเสียงเรียบ “ที่นี่สกปรก ไม่เหมาะกับท่านอ๋องจิ้น ท่านอ๋องจิ้นควรออกไปจากที่นี่โดยเร็ว”“ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับมหาราชครูจะไม่เลว คาดว่าครั้งนี้พวกท่านคงจะร่วมมือกันจัดการจิ่งโม่เยี่ย”“ตอนนี้ข้าอยู่ข้างเดียวกับจิ่งโม่เยี่ย ถ้ามหาราชครูรู้ว่าท่านมาหาข้า คงไม่ดีแน่”จิ่งสือเยี่ยน “......”ก่อนหน้านี้เขาค
เขาหันไปมองเฟิ่งชูอิ่ง นางกอดอกพร้อมกล่าวว่า “ท่านอ๋องจิ้นรู้อย่างไรว่านี่ไม่ใช่เรื่องทะเลาะส่วนตัวระหว่างสามีภรรยาของพวกเรา”คำพูดนี้ทำให้จิ่งสือเยี่ยนถึงกับพูดไม่ออก แต่ดวงตาของจิ่งโม่เยี่ยกลับเป็นประกายแววตาของจิ่งสือเยี่ยนดูอับอาย เขาเบือนหน้าหนี ไม่พูดอะไร หันหลังเดินจากไปหลังจากเขาจากไป เฟิ่งชูอิ่งก็พูดกับจิ่งโม่เยี่ยว่า “ข้าไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องจิ้นอีก เมื่อครู่ที่ดึงท่านมาเป็นโล่ ขอท่านอ๋องอย่าได้ถือสา”ดวงตาและคิ้วของจิ่งโม่เยี่ยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร โล่แบบนี้ข้ายินดีที่จะเป็น”เขาได้ยินว่าจิ่งสือเยี่ยนมาที่จวนผู้ว่าราชการ เขาจึงเดาได้ทันทีว่าจิ่งสือเยี่ยนมาหาเฟิ่งชูอิ่งในตอนนั้นเขารู้สึกกังวลมาก เพราะเขารู้ว่าก่อนหน้านี้เฟิ่งชูอิ่งปฏิบัติต่อจิ่งสือเยี่ยนแตกต่างจากคนอื่นระหว่างทางที่เขารีบเดินทางมา เขายังได้คาดเดาและคิดไปต่างๆ นาๆ รู้สึกจิตใจไม่สงบตลอดทางหลังจากเขามาถึง ได้ยินว่าจิ่งสือเยี่ยนจะพาเฟิ่งชูอิ่งหนีออกจากจวนผู้ว่าราชการ เขาก็รู้สึกหวั่นไหวหากนางต้องการไปกับจิ่งสือเยี่ยนจริงๆ แล้วเขาควรทำอย่างไร?ปล่อยให้นางไป หรือบังคับให้นางอยู่ต
เฟิ่งชูอิ่งรู้สึกว่าแม้จิตใจของนางจะเข้มแข็งมาก แต่การถูกเขาจ้องมองเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกอึดอัดอยู่บ้างนางถามว่า “ท่านอ๋องยังมีธุระอันใดอีกหรือ?”จิ่งโม่เยี่ยไม่ตอบคำถามของนาง กลับถามว่า “ขาของเจ้ายังเจ็บอยู่หรือไม่?”หากจะพูดถึงการที่เฟิ่งชูอิ่งถูกขังอยู่ในคุกนั้น ทุกอย่างก็ดีหมด มีเพียงอย่างเดียวที่ไม่ดีคือข้างในนั้นชื้นแฉะเกินไปบาดแผลที่ขาของนางเพิ่งจะหาย หากอยู่ในคุกนานๆ ก็คงจะรู้สึกไม่สบายตัวบ้างนางจึงกล่าวว่า “ก็พอทนได้”นั่นแปลว่ายังคงเจ็บอยู่จิ่งโม่เยี่ยจึงกล่าวว่า “ให้ข้าดูหน่อย”พูดจบเขาก็เปิดประตูคุกจะเข้ามา เฟิ่งชูอิ่งจึงร้องเรียก “เฉี่ยวหลิง!”เฉี่ยวหลิงรีบมาขวางจิ่งโม่เยี่ยไว้ทันที พร้อมกล่าวว่า “ไม่ให้เจ้ารังแกคุณหนูของข้าหรอก!”นางกลัวรังสีอำนาจของจิ่งโม่เยี่ยมาก นางต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากเสียงจึงไม่สั่นจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้เดินเข้าไปอีก เพียงกล่าวว่า “ข้าไม่ได้รังแกคุณหนูของเจ้า เพียงแต่เป็นห่วงสุขภาพของนาง”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านดูแล้วจะมีประโยชน์อันใด ท่านมิใช่หมอสักหน่อย!”จิ่งโม่เยี่ย “......”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอีกว่า “เฉี่ยวหลิง เชิ
สีหน้าของมหาราชครูดูน่าเกลียดอย่างมากเสนาบดีฝ่ายซ้ายยื่นมือไปตบบ่าของมหาราชครูแล้วพูดว่า “เด็กๆ โตขึ้น ความคิดก็มากขึ้น บางเรื่องที่ทำลงไปก็จะปิดบังคนในครอบครัว”“ข้าเชื่อในนิสัยของมหาราชครู และเชื่อว่ามหาราชครูไม่ใช่คนที่ลำเอียง”“การที่มหาราชครูเสนอให้มีการพิจารณาคดีร่วมกันสามฝ่าย ก็แค่โดนลูกชายตัวเองหลอกเท่านั้น”คำพูดของเขาไม่เพียงแต่ช่วยมหาราชครูหาข้ออ้าง แต่ยังยกย่องมหาราชครูให้อยู่ในที่สูงอีกด้วยยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีหนังสือร้องทุกข์ของชาวบ้านหลายร้อยฉบับอยู่ในมือ เมื่อรวมกับหลักฐานความผิดก่อนหน้านี้ ก็เท่ากับตอกย้ำความผิดของรองผู้ว่าตู้จนปฏิเสธไม่ได้!ยังมีกระแสความคิดเห็นของประชาชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ปิดทางถอยหลังทั้งหมดของมหาราชครูมหาราชครูมองเสนาบดีฝ่ายซ้ายอย่างลึกซึ้ง แล้วพูดด้วยความเจ็บปวด “ไอ้เด็กเวรนี่ กล้าปิดบังข้าเรื่องแบบนี้ สมควรตายยิ่งนัก!”เมื่อพูดจบ ทุกอย่างก็ถือเป็นที่สิ้นสุดในใจมหาราชครูเต็มไปด้วยความเกลียดชัง เขาได้วางแผนไว้อย่างดี แต่ไม่คิดว่าเสนาบดีฝ่ายซ้ายจะเข้ามาขัดขวาง ทำให้แผนการทั้งหมดของเขาพังทลายเดิมทีเขาคิดว่าหากจัดการได้เหมาะสม ก็จะสามาร
ตอนที่เขาคิดจะโยนจานกลมนั้นทิ้ง เขากลับพบว่าเข็มบนจานขยับขึ้นมาเองท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายชะงักไปครู่หนึ่ง แล้ววางจานกลมลงบนฝ่ามือ เข็มบนจานกลมชี้ไปในทิศทางหนึ่งด้วยความสงสัย เขาจึงมองตามไปยังทิศทางนั้น ก็เห็นเด็กผู้หญิงอายุราวสิบกว่าขวบกำลังขายมันเผาอยู่ริมถนนเด็กหญิงมีหน้าตาน่ารักสะอาดสะอ้าน แต่ไม่ใช่รูปลักษณ์ที่เขาจำได้เขามองไปที่เข็ม แล้วมองไปที่เด็กหญิงอีกครั้ง รู้สึกตะขิดตะขวงใจเล็กน้อยเขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วเดินเข้าไปซื้อมันเผา “ขอหัวใหญ่ๆ หนึ่งหัว”เด็กหญิงขานรับ แล้วใช้คีมคีบมันเผาในเตาออกมาท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองไปรอบๆ แล้วถามว่า “หนูน้อย พ่อแม่ของเจ้าล่ะ?”เด็กหญิงตอบว่า “ตายแล้ว”ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อเขาจึงถามอีกว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว?”เด็กหญิงมองเขาแล้วถามกลับ “ข้าอายุเท่าไหร่แล้ว มันเกี่ยวอะไรกับเจ้า?”ท่านอัครมหาเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เด็กสมัยนี้อารมณ์ร้อนกันแบบนี้หรือ?แต่น้ำเสียงที่พูดกลับทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดเขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เจ้าอายุเท่าไหร่มันไม่เกี่ยวกับข้าหรอก ข้าแค่รู้สึกว่
เด็กหญิงมองเขาขึ้นลงอย่างพิจารณา เห็นได้ชัดว่าไม่ค่อยเชื่อคำพูดของเขานางเชิดหน้าขึ้นแล้วพูดว่า “ถึงพ่อแม่ของข้าจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ข้าก็อยู่ได้สบายดี เพื่อนบ้านแถวนี้ก็คอยดูแลข้าเป็นอย่างดี!”ท่านอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายมองนางแล้วพูดว่า “ถึงพวกเขาจะดูแลนาง แต่นางอายุยังน้อย อาจจะถูกคนอื่นรังแกได้ง่าย”“ข้าเป็นอัครเสนาบดีฝ่ายซ้ายแห่งราชสำนัก ชื่อเสียงของข้าเจ้าออกไปถามใครก็ได้ ก็ถือว่าไม่เลว”วันนี้ที่นางเอาหัวมันเทศขว้างมาโดนเขา ทำให้เขารู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูกภรรยาผู้ล่วงลับของเขาก็นิสัยแบบนี้ พอมองจานกลมในมือ เข็มบนจานยังคงชี้ไปที่เด็กหญิง เขาก็เชื่อมากขึ้นว่านางคือคนที่เขากำลังตามหาแต่ตอนนี้ทั้งสองคนอายุห่างกันอย่างน้อยสามสิบปี เขาไม่ได้คิดอะไรเกินเลยไปกว่านั้นไม่ว่านางจะเป็นภรรยาที่กลับชาติมาเกิดหรือไม่ เขาก็อยากให้นางมีชีวิตที่ดีขึ้น อยากเลี้ยงดูนางเหมือนลูกสาวคนหนึ่งเด็กหญิงมองเขาโดยไม่พูดอะไรนางเป็นแค่เด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดในแต่ละวัน นางไม่รู้เรื่องราชสำนักหรอกบุคคลสำคัญอย่างอัครเสนาบดีฝ่ายซ้าย นางไม่เคยคิดว่าจะได้พบเจอมาก่อน จึงไม่เคยคิดจ
เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “งั้นตอนนี้ท่านมาจ่ายเงินค่าจานหมุนหรือ? หนึ่งพันตำลึง ขอบคุณเจ้าค่ะ!”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เดิมทีเขายังรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง แต่พอนางเปิดปากก็พูดถึงเงินหนึ่งพันตำลึง ทำเอาเขาพูดไม่ออกเขาอดไม่ได้ที่จะค่อนขอดว่า “เจ้าเห็นแก่เงินหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ใช่แล้วล่ะ”เสนาบดีฝ่ายซ้ายจ้องนางแล้วพูดว่า “ในคุกมีที่ให้ใช้เงินด้วยหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบอย่างองอาจว่า “ข้าหาเงินในคุกแล้วเอาไปใช้ข้างนอกไม่ได้หรือ?”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”วันนี้เขาโดนสวนกลับมาหลายครั้ง ความรู้สึกแบบนี้พูดยากจริงๆ เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดว่า “อายุขนาดนี้แล้ว เพิ่งเคยเห็นคนติดคุกแล้วยังไม่ลืมหาเงิน”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นท่านก็ยังผ่านโลกมาน้อยไปหน่อย ข้าไม่ถือสาอะไรท่านหรอก”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขารู้สึกจุกอกอีกแล้วเขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า “เจ้าไม่กลัวข้าเอาจานหมุนไปแล้วไม่กลับมาอีกหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาด้วยสายตาเหมือนมองคนโง่ พูดว่า “ท่านก็กลับมาแล้วมิใช่หรือ?”เสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ข้าแค่มีความมั่นใจในความสา
พอทหารองครักษ์คนนั้นพูดจบ หมอกขาวก็ยิ่งรวมตัวกันรวดเร็วยิ่งขึ้นจิ่งโม่เยี่ยขมวดคิ้ว เพราะเขารู้ว่าคำพูดของทหารองครักษ์เป็นความจริงเขาจ้องมองหมอกที่หนาขึ้นเรื่อยๆ อย่างเย็นชา ร่างกายนิ่งสงบเหมือนภูเขาหมอกขาวกลืนกินทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ เขา ทำให้ทุกคนหายวับไปโดยไม่มีแม้แต่เสียงร้องโวยวายหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยอยู่กับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็มีความรู้ใหม่เกี่ยวกับวิชาของพวกศาสตร์ลี้ลับทั้งหลายในความคิดของเขา แม้ว่านี่จะไม่ใช่วิชาของสำนักลี้ลับ แต่มันก็อาจจะคล้ายคลึงกันหลายส่วนเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังมาจากรอบๆ ผู้ชายทั่วไปได้ยินแล้วคงเผลอหลงใหล แต่เขาฟังแล้วรู้สึกรำคาญ เพราะนั่นไม่ใช่เสียงของเฟิ่งชูอิ่งในใจของจิ่งโม่เยี่ย ผู้หญิงในโลกนี้แบ่งออกเป็นสองประเภท ประเภทแรกคือเฟิ่งชูอิ่ง และอีกประเภทหนึ่งคือผู้หญิงคนอื่นเขาใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อทำให้เฟิ่งชูอิ่งยอมตกลงปลงใจแต่งงานกับเขาตอนนี้ดันมีปีศาจที่ไหนไม่รู้มาเกี้ยวพาเขาแบบนี้ ถ้าเฟิ่งชูอิ่งรู้เรื่องนี้เข้า คงจะต้องโกรธมากแน่ๆจิ่งโม่เยี่ยมองไม่เห็นอะไรเลยในม่านหมอกหนา เขาจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาพับแล้วมัดปิดตาตัวเองพริบตา
พลังหยาง พลังมังกรและโชคชะตาอันยิ่งใหญ่นางต้องการ นางต้องได้ทั้งหมดนั่นมาครอง!ตอนแรกจิ่งสือเยี่ยนโดนวิชาของเฟิ่งชูอิ่งเล่นงานจนอาการย่ำแย่อยู่แล้ว มาตอนนี้ยังถูกจิ้งจอกสือซานเหนียงสูบพลังอีก ทำให้โชคชะตาของเขาลดฮวบลงอย่างรวดเร็วพลังมังกรสามารถคุ้มครองป้องกันร่างกาย ไม่ให้ปีศาจเข้ามาใกล้ได้แต่ตราบใดที่ปีศาจไม่มีจิตสังหาร พลังมังกรก็จะไม่สนใจและปล่อยผ่านไปจิ่งสือเยี่ยนโดนจิ้งจอกสือซานเหนียงเล่นงานจนเกือบหมดแรงนอนเหี่ยวแห้งตายแต่จิ้งจอกสือซานเหนียงเหมือนจะยังไม่ค่อยพอใจ "เจ้าดูเหมือนจะร้ายกาจ แต่กลับได้แค่นี้เอง?"จิ่งสือเยี่ยน “......”จิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!”เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะถูกผู้หญิงดูถูกเรื่องความสามารถทางด้านนั้น!เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า "ตอนนี้เจ้าคงสาสมใจแล้ว ปล่อยข้าไปได้หรือยัง?"เขาร้อนใจอย่างมาก หากยังไม่รีบไปตอนนี้อีก เกรงว่าจะถูกจิ่งโม่เยี่ยตามมาทันจิ้งจอกสือซานเหนียงตบหน้าเขาไปฉาดหนึ่งแล้วเอ่ยว่า "ข้าเคยบอกตอนไหนว่าทำครั้งเดียวแล้วจะปล่อยเจ้าไป?"จิ่งสือเยี่ยนเบิกตากว้างจ้องมองนาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธขึ้งเขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเขา
ถ้าจะพูดถึงเรื่องที่จิ้งจอกสือซานเหนียงพลาดท่าเสียทีในการยั่วยวนผู้ชายตลอดหลายปีมานี้ ก็คงเป็นตอนที่นางได้เจอกับปู๋เยี่ยโหว และเป็นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นทันทีที่สบตากับจิ่งสือเยี่ยน นางก็มั่นใจได้ทันทีว่า ถึงผู้ชายคนนี้จะไม่ใช่พวกหื่นกามจนขึ้นสมอง แต่อย่างน้อยก็ต้องเป็นคนเจ้าชู้อยู่บ้างไม่ต้องพูดอะไรมาก แค่มองตาเขาก็รู้แล้วจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะคิกคัก นางเอื้อมมือไปคล้องคอเขา “ค่ำคืนนี้ช่างวิเศษจริงๆ”จิ่งสือเยี่ยนยิ้มอย่างอ่อนโยน แต่ในวินาทีต่อมา เขาก็แทงกระบี่เข้าใส่จิ้งจอกสือซานเหนียงแบบไม่บอกกล่าวแต่การโจมตีของเขากลับพลาดเป้า สาวงามในอ้อมแขนก็หายวับไปในทันทีสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนเปลี่ยนไปเล็กน้อย พลาดการโจมตีครั้งแรก การจะลงมือครั้งต่อไปย่อมยากขึ้นจิ้งจอกสือซานเหนียงหัวเราะเยาะ “ข้าว่าแล้วเชียว ผู้ชายที่ยิ้มหน้าระรื่นได้แบบเจ้าไม่ใช่คนดีอะไรเลย”“ปากก็พูดจาไพเราะอ่อนหวาน แต่การกระทำกลับโหดเหี้ยมสิ้นดี!”“กับผู้ชายแบบนี้ ข้าไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”ทันทีที่นางพูดจบ จิ่งสือเยี่ยนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างพันอยู่ที่ขา ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนอง สิ่งนั้นก็ลากเขาลงไปกองกับพื
เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่รู้สึกได้ว่าการหนีออกจากเมืองหลวงในวันนี้ เรียกได้ว่าทุกอย่างเต็มไปด้วยอุปสรรคขัดขวางต่อไปจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เขาก็ยิ่งไม่รู้เลยจิ่งสือเยี่ยนมีวรยุทธ์ไม่เลว ไม่ขาดแคลนทั้งความกล้าหาญและกลยุทธ์แต่ในขณะนี้ หัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยความหนาวเหน็บราวกับน้ำแข็งเกาะ มีบางสิ่งกำลังหลุดออกจากการควบคุมจิ่งสือเยี่ยนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชักกระบี่ออกมา ตะโกนเสียงดังว่า “ใครกำลังเล่นตลกอยู่?”ก่อนหน้านี้เขาไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่หลังจากได้รู้จักกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็เริ่มเชื่ออีกครั้งเฟิ่งชูอิ่งเป็นคนที่มีวิชาอาคมสูงส่งที่สุด เท่าที่เขาเคยพบเห็นมาปฏิกิริยาแรกของเขาคือคนที่ซุ่มโจมตีเขาในวันนี้ อาจเป็นเฟิ่งชูอิ่งก็ได้ แต่ไม่นานเขาก็ปัดความคิดนี้ทิ้งเพราะถ้าเฟิ่งชูอิ่งลงมือจริง นางจะให้วิญญาณร้ายที่อยู่ข้างกายนางจัดการโดยตรง จะไม่ปิดบังอำพรางเช่นนี้จิ่งสือเยี่ยนคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นในคืนนี้ เขาคิดว่าเขาอาจจะถูกสิ่งสกปรกบางอย่างตามรังควานจิ่งสือเยี่ยนพูดเสียงดังว่า “เจ้าต้องการอะไรก็พูดมาตรงๆ ไม่ต้องทำตัวลับๆ ล่อๆ แบบนี้”เสียงที่ตอบกล
จิ่งสือเยี่ยนคิดว่าการเดินทางผ่านหมู่บ้านอาจเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก จึงเลือกที่จะเดินทางผ่านป่าแทนแต่แล้วม้าของเขาก็ติดกับดักอีกครั้ง ครั้งนี้ม้าเกิดอาการตื่นตระหนกม้าที่เขาเพิ่งเปลี่ยนมาจากองครักษ์นั้นดีดดิ้นเหมือนกำลังคุ้มคลั่ง จนเขากระเด็นตกจากหลังม้าครั้งนี้เขาไม่โชคดีเท่าไหร่ ตอนที่ถูกม้าเหวี่ยงออกไป ร่างของเขาฟาดเข้ากับต้นไม้อย่างแรงมีเสียงดัง “โครม!” ก่อนจิ่งสือเยี่ยนจะกลิ้งลงมาจากต้นไม้ครั้งนี้เขารู้สึกเหมือนเอวจะหัก ปวดจนทนแทบไม่ไหวองครักษ์ของเขาช่วยพยุงเขาขึ้นมาและดึงม้าที่ตื่นตระหนกกลับมาจิ่งสือเยี่ยนสูดหายใจเข้าลึกๆ ในใจรู้สึกหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้น ทุกคนก็ไม่ได้เป็นอะไร มีแค่ม้าของเขาเท่านั้นที่มีปัญหาเรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเขารู้สึกว่าวันนี้ตัวเองค่อนข้างโชคร้ายคืนนี้การเดินทางไม่คืบหน้าไปไหน แล้วเขายังต้องตกม้าถึงสองครั้ง เจอเรื่องแบบนี้แม้แต่พระอิฐพระปูนก็ยังโมโห นับประสาอะไรกับจิ่งสือเยี่ยนที่เป็นคนอารมณ์ร้อนอยู่แล้วเขาสูดหายใจเข้าลึกๆ พยายามระงับความโกรธแต่การตกม้าครั้งนี้ค่อนข้างรุนแรง เขาเคล็ดเอวด้วยจึงไม่สามารถขี่ม้าได้อีกสักพักเ
“ข้าไม่ใช้วิชาชั่วร้ายแบบที่เทียนซือใช้กับเจ้าก่อนหน้านี้หรอก ข้าใช้แต่คาถาสายธรรมมะเท่านั้น”“วิธีนี้ไม่สร้างอันตรายถึงชีวิต แต่จะทำให้โชควาสนาของเขาน้อยลง”“จากนี้ไป เขาจะไม่ใช่จิ่งสือเยี่ยนที่ใช้ชีวิตได้อย่างราบรื่นอีกต่อไป แต่จะเป็นจิ่งสือเยี่ยนคนธรรมดา”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าวิชาศาลตร์ลี้ลับของนางสูงส่งมาก นางแค่พูดแบบถ่อมตัวนั่นหมายความว่าจิ่งสือเยี่ยนอาจจะต้องประสบโชคร้ายสักหน่อยเขาถามว่า “วิชาของเจ้าจะอยู่ได้นานแค่ไหน?”เฟิ่งชูอิ่งตอบว่า “ประมาณเจ็ดวัน แต่ถ้าโชคชะตาของเขาแข็งแกร่งเกินไป เวลาก็จะสั้นลงอีกหน่อย”“ดังนั้น เจ้าต้องตามหาเขาให้เจอโดยเร็วที่สุด แล้วจัดการเขาให้เรียบร้อย”“เพราะเจ็ดวันหลังจากนี้ เท่าที่ดูจากกระดานคำนวณครั้งก่อน เขาอาจจะพากองทัพกลับมาเอาคืนได้”จิ่งโม่เยี่ยพยักหน้าแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปบนอาชาเฟิ่งชูอิ่พูดกับแผ่นหลังของเขาว่า “ตอนที่เจ้าสู้กับเขา ต้องระวังตัวให้มากนะ”จิ่งโม่เยี่ยหันกลับมามองนาง นางกัดริมฝีปากก่อนจะพูดว่า “เจ้าต้องมีชีวิตรอดกลับมาให้ได้!”“เมื่อเจ้ากลับมาแล้ว พวกเราจะแต่งงานกัน”จิ่งโม่เยี่ยได้ยินคำพูดนี้ก็ตาเป็นประกาย ในขณะนั้
แต่เพื่อความสะดวกในการสะกดรอยตามจิ่งสือเยี่ยน เฟิ่งชูอิ่งจึงใช้ศาสตร์ลี้ลับกับเขาเล็กน้อยดังนั้นเขาจึงสามารถเก็บของบางอย่างไว้กับตัวได้ อย่างเช่นกางเกงในสองสามตัวก็ไม่ใช่เรื่องแปลกตอนนี้เขาถูกกระจกปราบปีศาจกดทับจนขยับไม่ได้ เฟิ่งชูอิ่งจึงร่ายคาถาช่วยเขาป้องกันการโจมตีของกระจกปราบปีศาจชั่วคราว ทันใดนั้นเขาก็หายวับไปอยู่ด้านหลัง ตรงจุดที่กระจกปราบปีศาจโจมตีไม่ถึงเมื่อจิ่งสือเฟิงเป็นอิสระ เขาก็เริ่มบิดตัวไปมา “เกือบจะถูกทับตายอยู่แล้วเชียว!”“ข้าไม่ได้ทำร้ายใครสักหน่อย ทำไมต้องโจมตีกันด้วย?”เฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็ลอบกลอกตาไปมา พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เอาของออกมา”จิ่งสือเฟิงกลัวจะถูกนางทุบตี จึงรีบหยิบกางเกงในออกมาให้นางจิ่งโม่เยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าไม่มีของอย่างอื่นให้หยิบมาหรือไง?”เขามองจิ่งสือเฟิงด้วยสายตาราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ เขาช่างกล้าหาญนัก กล้าให้เฟิ่งชูอิ่งดูกางเกงในของผู้ชายคนอื่นจิ่งสือเฟิงหดคอแล้วพูดว่า “ข้าก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แค่หยิบติดมือมาส่งเดช”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวด้วยท่าทางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ช่างเถอะ ใช้งานได้ก็พอ ตอนนี้ไม่ใช่เ
นางจ้องเขม็งไปทางจิ่งสือเฟิงด้วยความขุ่นเคือง พับเก็บแผนการที่จะกระทืบเขาไว้ชั่วคราวจิ่งโม่เยี่ยรู้สึกประหลาดใจที่เห็นนางอยู่ที่นี่ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”เขาพูดพลางถอดเสื้อคลุมของตัวเองมาห่มให้นางคืนนี้หิมะตก อากาศหนาวมาก เฟิ่งชูอิ่งรีบร้อนออกมาจนลืมหยิบเสื้อคลุมตอนนี้เสื้อคลุมของเขากำลังห่มคลุมร่างของนาง ความอบอุ่นและกลิ่นอายของเขากำลังโอบล้อมนาง ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นอย่างมากนางตอบ “ข้ามาหาจิ่งสือเฟิง เขาติดตามจิ่งสือเยี่ยนมาที่นี่ แต่โดนกระจกปราบปีศาจที่หน้าประตูเมืองสะกดเอาไว้”จิ่งโม่เยี่ยมองจิ่งสือเฟิงด้วยสายตาเหยียดหยาม เจ้าบ้านี่มันไม่ได้เรื่องจริงๆ แค่ตามคนยังตามได้ไม่ดี ต้องเดือดร้อนให้เฟิ่งชูอิ่งมาช่วยเหลือกลางดึกจิ่งสือเฟิงรีบหดตัวเป็นก้อนเล็กๆ พยายามทำตัวให้โดดเด่นน้อยที่สุดเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียทีเดียว ใครจะไปรู้ว่าที่นี่จะมีกระจกปราบปีศาจบานใหญ่ขนาดนี้อยู่ที่สำคัญคือเขาเพิ่งเป็นผีได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้เท่าไหร่จิ่งโม่เยี่ยพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “อากาศหนาว เจ้ากลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ ข้าจะไปตามจิ่งสือเยี่ยนเอง”เฟิ่งชูอิ่งถ
จิ่งสือเฟิงนอนกลัดกลุ้มอยู่บนพื้นแล้วจะทำอย่างไรต่อดี?ถึงแม้เขาจะหลุดพ้นจากกระจกปราบปีศาจที่ประตูเมืองได้ และย้อนกลับไปแจ้งข่าวเฟิ่งชูอิ่งก็ไม่ทันการณ์แล้วเพราะเขาเห็นจิ่งสือเยี่ยนคุยกับแม่ทัพผู้รักษาประตูเมืองเพียงไม่กี่คำ ก็สามารถเดินออกจากเมืองหลวงไปได้อย่างผ่าเผยจิ่งสือเฟิงเห็นท่าทางแบบนั้นของจิ่งสือเยี่ยนก็แอบสบถในใจและในขณะนี้เอง เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างระหว่างเขากับจิ่งสือเยี่ยนก่อนหน้านี้เขาคิดว่าเขารวบรวมผู้คนได้มากมาย เขาเก่งกาจมากแต่ไม่มีใครในกลุ่มคนเหล่านั้นสามารถพาเขาออกจากเมืองหลวงได้เลยเมื่อเทียบกับจิ่งสือเยี่ยน จิ่งสือเฟิงก็รู้สึกว่าตัวเองโง่จริงๆ เพราะคนที่เขาซื้อตัวมานั้นไม่สามารถทำงานเป็นระบบแบบแผนเหมือนคนของจิ่งสือเยี่ยนไม่ว่าจิ่งสือเยี่ยนจะทำอะไร ก็มีคนที่สามารถใช้งานได้ตลอดจิ่งสือเฟิงก็เป็นองค์ชาย รู้ว่ากว่าจะทำได้ถึงขั้นนี้มันยากขนาดไหนเพราะการซื้อตัวขุนนางที่มีอำนาจสูงต่ำต่างกัน ต้องใช้ความพยายามที่แตกต่างกันด้วยหากจะให้สรุปง่ายๆ คือเขาไม่มีปัญญาทำเฟิ่งชูอิ่งติดยันต์ไว้บนตัวจิ่งสือเฟิง ตอนที่เขาถูกกระจกปราบปีศาจสะกด นางก็รู้สึกได้ทันที