เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยยิ้มๆ “ข้าใช้อาคมต้องห้ามแล้วยังทิ้งแผลเอาไว้นานโดยไม่ได้รักษา จะหายช้าก็ไม่แปลกหรอก”“หากไม่ใช่เพราะมีท่านพ่ออยู่ด้วย ขาข้างนี้ของข้าอาจจะต้องตัดทิ้งไปแล้ว”เหมยตงยวนบอกว่าเขารู้วิชาแพทย์เล็กน้อย แต่นั่นเป็นเพียงคำพูดถ่อมตนวิชาแพทย์ของเขาเหนือกว่าหมอทั่วไปเสียอีก เทียบเท่ากับหมอหลวงที่อยู่ในวังได้เลยช่วงที่ผ่านมาเหมยตงยวนช่วยรักษาขาของนางอย่างใส่ใจ ตอนที่ขาหักช่วงแรกๆ มันดูเหมือนจะไม่สามารถรักษาให้หายดีได้ด้วยซ้ำ เขาเป็นคนที่ทุ่มเทรักษาให้นางจนมันดีขึ้นมาได้เพราะถูกผลของอาคมต้องห้าม นางจึงฟื้นฟูบาดแผลได้เชื่องช้ามาก แล้วกว่าจะได้รักษาก็ทิ้งเอาไว้นานแล้ว แผลย่อมต้องหายช้าอยู่แล้วโชคดีที่ตรงนี้ห่างไกลและไม่มีใครมารบกวน เหมาะแก่การพักรักษาตัวมากเฟิ่งชูอิ่งคำนวณดูคร่าวๆ บาดแผลของนางคาดว่าต้องพักรักษาอีกเกือบครึ่งปีถึงจะหายดีเป็นปกติคนอื่นบาดเจ็บกระดูกเส้นเอ็นใช้เวลาหนึ่งร้อยวันในการรักษา ส่วนนางต้องใช้เวลามากกว่าสามเท่า คิดแล้วก็หนักใจเหลือเกินช่วงที่ผ่านมานี้นางว่างมากจริงๆ ถึงชวนเฉี่ยวหลิงให้ฝึกวิชากับเหมยตงยวนขาของนางยังไม่หายดี แต่วิชาของนางกลับรุดหน้าอย่างรวดเร
หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อย เขายังกับองครักษ์ยังช่วยกันปรับปรุงหลุมศพอย่างดี จนสภาพของมันเหมือนกับก่อนหน้านี้เขาคิดว่าตนเองช่างเป็นคนที่คิดอย่างรอบคอบ รู้จักกันไว้ดีกว่าแก้หากมีศพของเฟิ่งชืออินอยู่ข้างใน หลังจากนี้ไปก็ไม่ต้องกลัวว่าจิ่งโม่เยี่ยจะมาขุดหลุมศพแล้วเขาเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงอย่างสบายใจ ทว่าพอเขากลับมาถึงก็ถูกจิ่งโม่เยี่ยเรียกตัวไปพบทันทีเขาเห็นหน้าจิ่งโม่เยี่ยก็ถามว่า “ท่านอ๋อง คราวนี้ข้าทำงานทุกอย่างเรียบร้อยแล้วนะถึงได้ออกไปข้างนอก”ฉินจื๋อเจี้ยนที่อยู่ข้างๆ เสริมว่า “ท่านยัดเยียดหน้าที่ของตัวเองทั้งหมดให้ลูกน้องใต้บังคับบัญชาทำ”ปู๋เยี่ยโหวยิ้มหวาน “ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาเลยนี่ ขุนนางชั้นผู้น้อยที่แบ่งเบาภาระของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ไม่ได้ ไม่นับว่าเป็นขุนนางชั้นผู้น้อยที่ดี”“อีกอย่างหนึ่ง หากข้าต้องทำเองไปเสียทุกอย่าง ข้าจะมีพวกลูกน้องเอาไว้ทำไมล่ะ?”จิ่งโม่เยี่ยโกรธจนแค่นหัวเราะ “พูดแบบนี้ ก็ฟังดูมีเหตุผลเหมือนกันนะ?”ปู๋เยี่ยโหวเลิกคิ้วแล้วยิ้ม “เดิมทีมันก็เป็นเรื่องจริงอยู่แล้ว”จิ่งโม่เยี่ยรู้ว่าเขามีข้ออ้างสารพัด ตอนนี้จึงขี้เกียจจะเถียงเรื่องเหตุผลกับเขา เอ่ยว่า “วัน
องครักษ์คนนั้นรายงานเสียงเบามาก ปู๋เยี่ยโหวได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร แต่สายตาของจิ่งโม่เยี่ยที่มองมาทางตนเองดูน่าสะพรึงกลัวมากปู๋เยี่ยโหวเกิดลางสังหรณ์ไม่ค่อยดีในใจจึงรีบร้อนเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ข้านึกขึ้นได้ว่ายังมีธุระที่ต้องทำให้เสร็จ”“หากท่านอ๋องไม่มีเรื่องอื่นแล้วล่ะก็ ข้าขอตัวกลับกรมคลังก่อนนะ”เขาตระหนักดีว่าช่วงนี้ถูกคนจับตามองอยู่อย่างใกล้ชิด พวกคนที่รู้ว่าเขาฆ่าคนของแคว้นซีฉู่จะต้องฉวยโอกาสนี้ก่อเรื่องแน่ตอนที่เขาจัดการคนพวกนั้นค่อนข้างระมัดระวัง จึงไม่พบเห็นอะไรผิดปกติคนทั่วทั้งเมืองหลวง ผู้ที่มีความสามารถด้านการจับตามองเช่นนี้มีไม่มาก แปดส่วนจะต้องเป็นองครักษ์ลับของฮ่องเต้เจาหยวนปู๋เยี่ยโหวนึกขึ้นได้ว่าตนเองฝังศพของเฟิ่งชืออินเข้าไปในโลงศพของเฟิ่งชูอิ่ง ในที่สุดเขาก็ตระหนักได้แล้วว่าตนเองทำเรื่องโง่เขลาอะไรลงไปคนที่จับตามองเขาจะต้องเห็นว่าเขาฝังศพคนอย่างแน่นอน หากนำเรื่องนี้มารายงานด้วย จิ่งโม่เยี่ยจะต้องสืบหาความจริง แล้วเขาก็จะต้องจบสิ้นแน่นอน!เขาคิดจะหนีออกไปให้เร็วที่สุด และขุดศพของเฟิ่งชืออินออกมาจากหลุมแห่งนั้นเพื่อปกปิดเรื่องราวที่เกิดขึ้นเพราะอย่างไรเสียเรื่
ปู๋เยี่ยโหวเอ่ยตอบอย่างมั่นอกมั่นใจ “แน่นอนว่านางเป็นคนบอกข้าไง”นัยน์ตาของจิ่งโม่เยี่ยหม่นแสงลงฉับพลัน หัวเราะเยาะตัวเองว่า “นางบอกเจ้าไปเสียทุกเรื่องเลยนะ”เขารู้ว่าสิ่งที่ปู๋เยี่ยโหวพูดมาอาจจะไม่ใช่ความจริง แต่หากมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็ยากจะสงบใจลงได้เขาลองพิจารณาอย่างถี่ถ้วน แม้ว่าเขาจะกราบไหว้ฟ้าดินร่วมกับเฟิ่งชูอิ่ง แต่เขาแทบจะไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับตัวนางเลยจนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ทราบว่านางไปเรียนวิชาลี้ลับพวกนั้นมากจากไหน นอกจากเรื่องที่นางเคยบอกว่าบิดาของตนเองอาจจะเป็นเจ้าสำนักลี้ลับ ตอนที่มีปู๋เยี่ยโหวอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เขาก็ไม่เคยได้ยินนางเอ่ยถึงบิดามารดาของตนเองอีกเลยทว่าเรื่องทั้งหมดนี้กลับบ่งบอกได้ดีว่า นางระแวดระวังและไม่เชื่อใจเขาในใจของนาง เขาสู้จิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ แล้วก็สู้ปู๋เยี่ยโหวไม่ได้ด้วยเขาสัมผัสความเจ็บแปลบที่หน้าอกได้ จึงแค่นเสียงเย็นชา “ข้าเป็นอะไรในใจของนางอย่างนั้นหรือ?”ปู๋เยี่ยโหวเห็นท่าทางของจิ่งโม่เยี่ยก็ไม่กล้าเติมเชื้อไฟ “ถ้างั้นข้าขอตัวก่อนนะ!”เขากล่าวจบก็หันหลังวิ่งออกไปอย่างว่องไว ครั้งนี้จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้ขัดขวางเขาอีก
หลังจากเขาเอ่ยจบ ก็บอกเล่าลักษณะของคนแคว้นซีฉู่ที่เขาฆ่าตายไปโดยที่แตกต่างจากความจริงทั้งหมด แล้วยังแนบเนียนเสียจนคนจับผิดไม่ได้เรื่องที่เขาถูกคนลอบสังหารมักจะเกิดขึ้นในเมืองหลวงอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้เขาก็เคยแจ้งเรื่องไปที่ศาลต้าหลี่เหมือนกัน เพื่อขอให้พวกเขาช่วยสืบหาตอนนี้เขาบอกว่าถูกคนแคว้นซีฉู่ลอบฆ่า ทว่ากลับเป็นฝ่ายถูกเขาฆ่าเสียเอง อย่างไรเสียคนแคว้นซีฉู่ก็ตายไปหมดแล้ว ไม่มีใครลุกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ปู๋เยี่ยโหวสามารถใช้วิธีการดังกล่าวหลุดพ้นจากความผิดได้รองหัวหน้าศาลต้าหลี่สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย เอ่ยว่า “เรื่องนี้ศาลต้าหลี่จะสืบหาให้ถึงที่สุด”ปู๋เยี่ยโหวเอียงศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านก็หาให้ชัดเจนเถอะ หากว่าสืบหาไม่ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้ข้าไม่ยอมจบง่ายๆ แน่!”ฮ่องเต้เจาหยวนมีขุมอำนาจเป็นของตนเองอยู่ในเมืองหลวง ขุนนางจำนวนไม่น้อยภักดีต่อเขาตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยกุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้เพียงกรมคลังและกรมกลาโหม คนกรมราชทัณฑ์ครึ่งหนึ่งพักดีต่อเขา แต่ศาลต้าหลี่ยังอยู่ในมือของฮ่องเต้เจาหยวนด้วยเหตุนี้เอง ศาลต้าหลี่ถึงพยายามจะยัดเยียดค
ปู๋เยี่ยโหวเอ่ยอย่างมีความสุข “วันนี้ข้าย้ายที่อยู่อาศัย จึงอยากเชิญทุกคนมาทานอาหาร ใครที่อยู่ด้วยล้วนมีส่วนแบ่ง”รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ “......”เขาไม่เคยเห็นใครเข้ามาในศาลต้าหลี่แล้วเป็นแบบนี้มาก่อนเลยรองหัวหน้าศาลต้าหลี่คิดจะขัดขวาง แต่ปู๋เยี่ยโหวมีฐานะสูงกว่าเขาอย่างชัดเจน แล้วข้างกายยังมีองครักษ์และองครักษ์ลับอีก คิดจะลอบทำร้ายเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้อหาของปู๋เยี่ยโหวเป็นเพียงการต้องสงสัยว่าฆ่าคน ยังไม่มีการตัดสินโทษ จึงไม่สามรถแตะต้องอะไรปู๋เยี่ยโหวได้ดูจากการวางท่าของปู๋เยี่ยโหว หากปล่อยให้เขาพักอยู่ที่ศาลต้าหลี่จริงๆ บอกไม่ได้เลยว่าเขาจะทำเรื่องอะไรออกมาอีกรองหัวหน้าศาลต้าหลี่กล่าวว่า “ข้าเพียงเชิญท่านโหวมาช่วยจัดการคดีความ หลังสอบถามเรียบร้อยแล้วท่านโหวสามารถกลับออกไปได้”ปู๋เยี่ยโหวแกะเมล็ดแตงแล้วเอ่ยว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรต้องสอบสวนเลย ข้าฆ่าคนจริงๆ ยินดีรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด”“หาคุกที่สะอาดสะอ้านให้ข้าสักหน่อยล่ะ ข้างในนั่นห้ามมีคนอื่นอยู่ด้วย เพราะว่าคนพวกนั้นอาจจะคิดลอบสังหารข้าได้”“เอ๊ะ...ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้นล่ะ? เจ้าอย่าบอกนะว่าศาลต้าหล
เขาจ้องมองหลุมศพตรงหน้าแน่นิ่ง “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เซียวฉี่หรงเจ้าสารเลวคนนั้นจะมาขุดหลุมศพของนางทำไมล่ะ?”เซียวฉี่หรงคือชื่อของปู๋เยี่ยโหววันนี้ตอนที่เขาทราบข่าวจากสายสืบ บอกว่าหลังจากปู๋เยี่ยโหวฆ่าคนจากแคว้นซีฉู่แล้วก็มาขุดเปิดหลุมศพแห่งหนึ่ง จากนั้นก็นำศพของผู้หญิงคนหนึ่งมาฝังเอาไว้พอเขาได้ยินตำแหน่งที่แน่ชัดของหลุมศพ ก็พบว่ามันคือบริเวณเดียวกันกับหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่ง ดังนั้นเขาถึงได้หน้าเปลี่ยนสีฉับพลันทว่าตอนที่เขาทราบข่าวก็ยังไม่แน่ใจมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะหาเรื่องบีบคั้นปู๋เยี่ยโหวหลังจากปู๋เยี่ยโหวเปิดเผยว่าคนที่มาจากแคว้นซีฉู่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็สัมผัสได้ว่าคำพูดของปู๋เยี่ยโหวหกส่วนน่าจะเป็นความจริงอีกอย่างเขาก็รู้สึกปู๋เยี่ยโหวเป็นอย่างดี จึงตรวจพบความประหม่าของปู๋เยี่ยโหวอย่างชัดเจนเพราะว่าท่าทางประหม่าของปู๋เยี่ยโหวนั่นแหละ ทำให้เขาคิดว่าปู๋เยี่ยโหวอาจจะขุดหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่งจริงๆและเพราะเขาตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นจึงละทิ้งหน้าที่ภาระงานทั้งหมดแล้วมุ่งหน้ามาตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่พอเขามาถึงก็พบความผิดปกติทันทีความจริงแล้วหากไม่กี่วัน
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน