หลังจากเขาเอ่ยจบ ก็บอกเล่าลักษณะของคนแคว้นซีฉู่ที่เขาฆ่าตายไปโดยที่แตกต่างจากความจริงทั้งหมด แล้วยังแนบเนียนเสียจนคนจับผิดไม่ได้เรื่องที่เขาถูกคนลอบสังหารมักจะเกิดขึ้นในเมืองหลวงอยู่ตลอดเวลา ก่อนหน้านี้เขาก็เคยแจ้งเรื่องไปที่ศาลต้าหลี่เหมือนกัน เพื่อขอให้พวกเขาช่วยสืบหาตอนนี้เขาบอกว่าถูกคนแคว้นซีฉู่ลอบฆ่า ทว่ากลับเป็นฝ่ายถูกเขาฆ่าเสียเอง อย่างไรเสียคนแคว้นซีฉู่ก็ตายไปหมดแล้ว ไม่มีใครลุกมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ปู๋เยี่ยโหวสามารถใช้วิธีการดังกล่าวหลุดพ้นจากความผิดได้รองหัวหน้าศาลต้าหลี่สีหน้าย่ำแย่เล็กน้อย เอ่ยว่า “เรื่องนี้ศาลต้าหลี่จะสืบหาให้ถึงที่สุด”ปู๋เยี่ยโหวเอียงศีรษะแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านก็หาให้ชัดเจนเถอะ หากว่าสืบหาไม่ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง เรื่องนี้ข้าไม่ยอมจบง่ายๆ แน่!”ฮ่องเต้เจาหยวนมีขุมอำนาจเป็นของตนเองอยู่ในเมืองหลวง ขุนนางจำนวนไม่น้อยภักดีต่อเขาตอนนี้จิ่งโม่เยี่ยกุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้เพียงกรมคลังและกรมกลาโหม คนกรมราชทัณฑ์ครึ่งหนึ่งพักดีต่อเขา แต่ศาลต้าหลี่ยังอยู่ในมือของฮ่องเต้เจาหยวนด้วยเหตุนี้เอง ศาลต้าหลี่ถึงพยายามจะยัดเยียดค
ปู๋เยี่ยโหวเอ่ยอย่างมีความสุข “วันนี้ข้าย้ายที่อยู่อาศัย จึงอยากเชิญทุกคนมาทานอาหาร ใครที่อยู่ด้วยล้วนมีส่วนแบ่ง”รองหัวหน้าศาลต้าหลี่ “......”เขาไม่เคยเห็นใครเข้ามาในศาลต้าหลี่แล้วเป็นแบบนี้มาก่อนเลยรองหัวหน้าศาลต้าหลี่คิดจะขัดขวาง แต่ปู๋เยี่ยโหวมีฐานะสูงกว่าเขาอย่างชัดเจน แล้วข้างกายยังมีองครักษ์และองครักษ์ลับอีก คิดจะลอบทำร้ายเขาเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ข้อหาของปู๋เยี่ยโหวเป็นเพียงการต้องสงสัยว่าฆ่าคน ยังไม่มีการตัดสินโทษ จึงไม่สามรถแตะต้องอะไรปู๋เยี่ยโหวได้ดูจากการวางท่าของปู๋เยี่ยโหว หากปล่อยให้เขาพักอยู่ที่ศาลต้าหลี่จริงๆ บอกไม่ได้เลยว่าเขาจะทำเรื่องอะไรออกมาอีกรองหัวหน้าศาลต้าหลี่กล่าวว่า “ข้าเพียงเชิญท่านโหวมาช่วยจัดการคดีความ หลังสอบถามเรียบร้อยแล้วท่านโหวสามารถกลับออกไปได้”ปู๋เยี่ยโหวแกะเมล็ดแตงแล้วเอ่ยว่า “ไม่เห็นจะมีอะไรต้องสอบสวนเลย ข้าฆ่าคนจริงๆ ยินดีรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด”“หาคุกที่สะอาดสะอ้านให้ข้าสักหน่อยล่ะ ข้างในนั่นห้ามมีคนอื่นอยู่ด้วย เพราะว่าคนพวกนั้นอาจจะคิดลอบสังหารข้าได้”“เอ๊ะ...ทำไมเจ้าทำหน้าแบบนั้นล่ะ? เจ้าอย่าบอกนะว่าศาลต้าหล
เขาจ้องมองหลุมศพตรงหน้าแน่นิ่ง “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เซียวฉี่หรงเจ้าสารเลวคนนั้นจะมาขุดหลุมศพของนางทำไมล่ะ?”เซียวฉี่หรงคือชื่อของปู๋เยี่ยโหววันนี้ตอนที่เขาทราบข่าวจากสายสืบ บอกว่าหลังจากปู๋เยี่ยโหวฆ่าคนจากแคว้นซีฉู่แล้วก็มาขุดเปิดหลุมศพแห่งหนึ่ง จากนั้นก็นำศพของผู้หญิงคนหนึ่งมาฝังเอาไว้พอเขาได้ยินตำแหน่งที่แน่ชัดของหลุมศพ ก็พบว่ามันคือบริเวณเดียวกันกับหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่ง ดังนั้นเขาถึงได้หน้าเปลี่ยนสีฉับพลันทว่าตอนที่เขาทราบข่าวก็ยังไม่แน่ใจมากนัก ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะหาเรื่องบีบคั้นปู๋เยี่ยโหวหลังจากปู๋เยี่ยโหวเปิดเผยว่าคนที่มาจากแคว้นซีฉู่เกี่ยวข้องกับเฟิ่งชูอิ่ง เขาก็สัมผัสได้ว่าคำพูดของปู๋เยี่ยโหวหกส่วนน่าจะเป็นความจริงอีกอย่างเขาก็รู้สึกปู๋เยี่ยโหวเป็นอย่างดี จึงตรวจพบความประหม่าของปู๋เยี่ยโหวอย่างชัดเจนเพราะว่าท่าทางประหม่าของปู๋เยี่ยโหวนั่นแหละ ทำให้เขาคิดว่าปู๋เยี่ยโหวอาจจะขุดหลุมศพของเฟิ่งชูอิ่งจริงๆและเพราะเขาตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ดังนั้นจึงละทิ้งหน้าที่ภาระงานทั้งหมดแล้วมุ่งหน้ามาตรวจสอบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่พอเขามาถึงก็พบความผิดปกติทันทีความจริงแล้วหากไม่กี่วัน
เฟิ่งชูอิ่งกำลังหลับสะลึมสะลือ แต่จู่ๆ ก็สัมผัสได้ว่ามีมือข้างหนึ่งล้วงเข้ามาในอกของนางนางคว้ามือของคนผู้นั้นเอาไว้แล้วจับบิดสุดแรง ทั้งที่ดวงตาทั้งสองข้างยังปิดสนิท“อ๊าก” เสียงร้องโหยหวนดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงสบถด่า “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?”เฟิ่งชูอิ่งพลันเบิกตาโพลง ก่อนจะมองเห็นใบหน้าซีดเซียวของใครคนหนึ่ง ที่แม้จะหล่อเหลา แต่กลับดูเจ้าชู้สำส่อนครู่ต่อมานางก็สังเกตเห็นลัคนาของเขา มันเป็นสีดำทมิฬไปทั้งแถบ มีเพียงคนที่ใกล้จะตายเท่านั้นถึงจะมีโหงวเฮ้งเช่นนี้ ความทรงจำช่วงหนึ่งพลันไหลบ่าเข้ามาในสมอง นางจึงทดลองเอ่ยเรียกออกไปว่า “เฉินเยี่ยนเซิง?”เฉินเยี่ยนเซิงกุมมือที่เกือบจะถูกบิดจนหักของตัวเอง ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ถึงกล้าบิดมือข้าเช่นนี้?” “เจ้าอย่าลืมนะ อีกไม่กี่วันเจ้าจะต้องแต่งงานกับผีขี้โรคอย่างอ๋องฉู่ เจ้าเป็นคนขอร้องให้ข้าพาหนีเองนะ!”เฟิ่งชูอิ่ง : “......”คำพูดของเขาตรงกับความทรงจำที่ปรากฏขึ้นในสมองของนางพอดิบพอดี แล้วก็เหมือนกับบทในนิยายที่ญาติผู้น้องของนางอ่านเมื่อไม่กี่วันก่อนทุกกระเบียดนิ้วด้วย เพราะว่านางร้ายในนิยายเล่มน
หลังได้ยินเสียงดังกล่าว เสียงเซ็งแซ่วุ่นวายภายในห้องก็กลายเป็นความเงียบสงัดในพริบตา สายตาของคนทั้งหมดหันมองไปทางประตูบานนั้นเฟิ่งชูอิ่งก็สงสัยใคร่รู้มิใช่น้อย นางอยากจะเห็นด้วยตาตัวเองว่าจอมวายร้ายที่ปั่นหัวคู่พระนางจนแทบเป็นบ้า ซึ่งนักเขียนบรรยายเอาไว้ว่ารูปโฉมดุจเซียนผู้ร่วงหล่นสุราลัย ทว่านิสัยใจคอโหดเหี้ยมอำมหิตผู้นั้น แท้จริงแล้วมีรูปร่างหน้าตาเป็นเช่นไรทว่าเมื่อนางมองเห็นจิ่งโม่เยี่ยเจ้าของบรรดาศักดิ์ฉู่อ๋อง ก็ถึงกับตกตะลึงตาค้างไปเลยยามนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขากลับสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกสีขาว องคาพยพทั้งห้าถูกสรรสร้างมาอย่างพิถีพิถัน นัยน์ตาดอกท้อคู่นั้นเป็นสีดำขลับ งามจนแยกมิออกเลยว่าเป็นบุรุษหรืออิสตรีในมือของเขาถือคัมภีร์พระไตรปิฎก มุมปากประดับรอยยิ้มจางๆ ให้บรรยากาศงามสง่าหลุดพ้นจากโลกีย์ทั้งปวง เหมือนเทพเซียนที่พลัดหลงจากสวรรค์ลงมายังโลกมนุษย์โดยแท้ เพียงแต่สีหน้าของเขาออกจะซีดเซียวเล็กน้อย ท่าทางคล้ายคนป่วยไข้อยู่หลายส่วน ทว่าท่าทางอ่อนแอนั้นกลับทำให้คนรู้สึกอยากจะปกป้องทะนุถนอมอย่างบอกไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งสรุปได้ว่า นี่มันปีศาจ[footnoteRef:1]ชัดๆ! [1: ปีศา
เฟิ่งชูอิ่งตัวสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุม ก่อนจะเหลือบมองเฉินเยี่ยนเซิงที่ถูกแล่เนื้อเถือหนังจนแดงเถือกไปทั้งตัวนางไม่อยากโดนแล่ จะต้องหาทางเอาตัวรอดให้ได้นางกรอกตาไปมา ก่อนจะกล่าวด้วยดวงตาแดงระเรื่อ “วันนี้ข้ากับเฉินเยี่ยนเซิงปรึกษาเรื่องหนีตามกันในห้องนี้จริงๆ“แต่ตอนนั้นข้าทำไปเพราะถูกเขาบีบบังคับ ก็เลยต้องยอมตามน้ำคนหน้าซื่อใจคดอย่างเขาไปก่อน“ท่านอ๋องก็ทราบ หลังจากบิดามารดาของข้าตายไป ข้าก็ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ต้องจำใจไปอยู่อาศัยที่จวนสกุลหลิน“แต่ผู้คนในจวนสกุลหลินกลับหวังฮุบสมบัติของบิดามารดาข้า คิดจะทำร้ายข้าให้ถึงแก่ความตาย“พวกเขากลัวว่าหากข้าแต่งออกไปแล้ว จะขนทรัพย์สินทั้งหมดไปเป็นสินเดิมเจ้าสาวด้วย ดังนั้นก็เลยไม่อยากให้ข้าแต่งเข้าจวนอ๋องของท่าน“ดังนั้นหลินหว่านถิงกับเฉินเยี่ยนเซิงก็เลยวางแผนร่วมกัน พยายามพูดจาใส่ร้ายท่านอ๋องให้ข้าฟังบ่อยๆ หว่านล้อมให้ข้าหนีตามเขาไปพร้อมทรัพย์สิน จะได้ฉวยโอกาสนั้นจัดการปลิดชีพข้า“โดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าเมื่อสิบปีที่แล้ว ท่านอ๋องเคยช่วยชีวิตข้าครั้งหนึ่งตอนอยู่ในบ่อน้ำพุร้อนของจวนกลางหุบเขา ข้าจึงปักใจอยากแต่งงานกับท่านตั้งแต
เขาเอ่ยถึงตรงนั้นแล้วหยุดมองจิ่งโม่เยี่ยด้วยความเวทนา “ท่านก็จะประสบอุบัติเหตุตายได้ทุกรูปแบบเลยล่ะ ท่านอาจจะกินอาหารติดคอตาย ดื่มน้ำสำลักตาย เดินๆ อยู่ก็สะดุดล้มตาย...”“เงียบซะ!” จิ่งโม่เยี่ยเอ่ยเสียงเย็นชาเจ้าอาวาสถอนหายใจ “รู้ว่าเจ้าไม่อยากฟังอะไรแบบนี้ ทว่ามันคือความเป็นจริง”“แม้สวรรค์จะเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ แต่บางครั้งก็อาจจะถูกคนช่วงชิงไปได้เหมือนกัน”“เมื่อไหร่ที่คนถึงคราวดวงตก ความซวยทั้งหลายแหล่ก็จะประดังประเดเข้ามาหาพร้อมกัน”“ถึงตอนนั้นคนอื่นก็ไม่จำเป็นต้องลงมือให้เสียแรงเปล่า เพราะเดี๋ยวเจ้าก็ตายแบบไม่รู้ตัวเอง”“ดังนั้นเรื่องเร่งด่วนในยามนี้ คือการตามหาตัวผู้เชี่ยวชาญศาสตร์ลี้ลับให้พบ ปัญหาจะได้คลี่คลาย”เขาพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอ่ยด้วยท่าทางเจ้าเล่ห์ “แต่สำนักศาสตร์ลี้ลับถูกปิดล้อมเมื่อสิบปีก่อน คนในสำนักล้มตายไปหมดแล้ว จะไปหาผู้เชี่ยวชาญจากที่ไหนกันล่ะ?“ข้ามองว่า ท่านก็ไปหลับนอนกับว่าที่พระชายาคนใหม่ให้มันจบๆ ไปเถิด เช่นนี้ท่านจะได้ทิ้งสายเลือดเอาไว้สืบสกุลต่อบนโลก...โอ๊ย ช่วยด้วย!”หลังจากจิ่งโม่เยี่ยถีบเจ้าอาวาสกระเด็น เขาก็ย่างกรายออกจากห้องวิปัสสนาอ
เฟิ่งชูอิ่งหนังตากระตุกเบาๆ หันมองผู้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ประธาน แต่งกายด้วยอาภรณ์งดงามหรูหรา แววตาทอประกายเย็นชาผู้หญิงคนนี้คือฮว๋าซื่อ[footnoteRef:1] ผู้มีศักดิ์เป็นป้าของนาง แล้วก็เป็นหนึ่งในคนที่กลั่นแกล้งรังแกร่างเดิมจนแทบไม่มีชีวิตรอด [1: 氏 แปลว่าแซ่ คนจีนจะนิยมเรียกผู้หญิงที่แต่งงานแล้วด้วยนามสกุลเดิมตามด้วยคำว่าซื่อ(氏)] ฮว๋าซื่อเห็นนางยื่นนิ่งไม่ไหวติง จึงหันไปส่งสายตาให้สาวใช้มีอายุสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่าง สาวใช้สองคนนั้นรีบปรี่เข้ามา คิดจะจับตัวเฟิ่งชูอิ่งกดให้คุกเข่าเฟิ่งชูอิ่งที่เห็นว่าพวกนางตรงดิ่งเข้ามาหาตนเอง ล้วงหยิบมีดที่เพิ่งจะซื้อออกมาด้วยความว่องไว ก่อนจะใช้มันฟันมือของสาวใช้อาวุโสสองคนที่หมายจะคว้าตัวนางมีดเล่มนี้คมกริบมาก มันจึงตัดข้อมือของสาวใช้อาวุโสคนหนึ่งจนขาดกระเด็นหลังจากเฟิ่งชูอิ่งตัดมือของสาวใช้อาวุโสคนแรกแล้ว นางก็ตวัดมีดแล้วแทงลงบนไหล่ของสาวใช้อีกคนหนึ่งเพียงพริบตาเดียว เสียงร้องโหยหวนก็ดังก้องไปทั่วห้อง เลือดแดงฉานสาดกระจายฮว๋าซื่อตกใจจนลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ ตวาดอย่างเดือดดาล “เฟิ่งชูอิ่ง เจ้าทำบ้าอะไรเนี่ย?”เฟิ่งชูอิ่งรู้ว่