จิ่งโม่เยี่ยก้มมองแขนเสื้อที่ถูกนางจับแวบหนึ่ง ก่อนจะเห็นนางส่งยิ้มหวานให้แล้วเขย่าแขนเสื้อเบาๆ ราวกับนางกำลัง......อ้อนเขา?เขาค่อนข้างแปลกใจเลยล่ะ เพราะบนโลกใบนี้มีไม่กี่คนหรอกที่กล้าออดอ้อนเขาอย่างนี้?เขาปล่อยมือที่บีบคางนางแล้วกล่าว “สารภาพมาให้หมดเปลือกเดี๋ยวนี้ว่าเจ้ามาทำอะไรที่นี่กันแน่“หากพูดความจริง ข้าจะยอมไว้ชีวิตเจ้า แต่หากกล้าโกหกแม้แต่คำเดียว ข้าจะบิดคอของเจ้าออกมา”เฟิ่งชูอิ่งย่อมไม่คิดจะบอกความจริงให้เขาทราบอยู่แล้ว เพราะถ้าบอกความจริงออกไป นางจะอธิบายเรื่องที่รู้วิชาลัทธิเต๋าได้อย่างไรละสมองของนางประมวลผลอย่างรวดเร็ว ก่อนจะแต่งเรื่องขึ้นมาว่า “อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเซ่นไหว้วิญญาณของมารดาข้าแล้ว แล้วบ้านเดิมของข้าก็มีประเพณีขึ้นที่สูง“บอกว่ายิ่งยืนอยู่สูงมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งใกล้ชิดกับผู้ที่ล่วงลับไปมากเท่านั้น ข้าคิดถึงท่านแม่มาก ก็เลยอยากจะใกล้ชิดกับนางสักหน่อย“ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่สูงที่สุดในจวนสกุลหลิน เพียงแต่ท่านอ๋องก็ทราบว่าคนในจวนสกุลหลินไม่ได้ดีต่อข้านัก“ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกกับพวกเขาแล้วว่าอยากทำพิธีขึ้นที่สูง แต่พวกเขากลับไม่ยอมให้ทำ ข้าอับจนหนทา
ค่ายกลที่อยู่ตรงหน้าเฟิ่งชูอิ่งชัดเจนเลยว่าเป็นพิธีกรรมสาปแช่งอย่างหนึ่ง อักขระพวกนั้นยังดูชั่วร้ายมากด้วยแม้ค่ายกลนี้จะไม่เหมือนกับคำสาปที่เขาโดน แต่ก็มีความคล้ายคลึงอยู่ไม่น้อยอารมณ์นึกสนุกในคราแรกพลันสงบนิ่งลงอย่างรวดเร็ว ตอนนี้เขาสามารถยืนยันได้เรื่องหนึ่งแล้ว นั่นคือนางเชี่ยวชาญคาถาอาคมของสำนักลี้ลับเจ้าเด็กเลี้ยงแกะ!เฟิ่งชูอิ่งในยามนี้ไม่มีเวลาไปสนใจจิ่งโม่เยี่ย ขั้นตอนสลับของที่อยู่ตรงแกนกลางของค่ายกลเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ไม่อาจประมาทพลาดพลั้งได้นางไม่ได้พกเครื่องมือประกอบพิธีกรรมติดไม้ติดมือมาด้วย จึงต้องอาศัยประสบการณ์เพียงอย่างเดียว ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงอยู่ไม่น้อยแล้วก็เป็นอย่างที่นางคิดเอาไว้ ตอนที่นางหยิบกุญแจเงินออกมาก็มีวิญญาณร้ายตนหนึ่งผุดออกมาจากในกุญแจ พุ่งตรงเข้ามาหานางด้วยจิตอาฆาตพยาบาทนางเตรียมตัวรับมือไว้ล่วงหน้า จึงใช้มือข้างหนึ่งสร้างเคล็ดวิชาดาบสุวรรณฟันใส่วิญญาณร้ายตัวนั้นนางฟันลงไปเพียงครั้งเดียว วิญญาณร้ายตนนั้นก็ขาดเป็นสองท่อน!ก่อนจะสลายเป็นฝุ่นควัน วิญญาณร้ายตนนั้นได้ถลึงตามองนาง สีหน้าประหลาดใจคล้ายไม่อยากจะเชื่อขณะที่นางมองก
เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!”นางอยากจะตบเขาสักฉาดใหญ่ๆ จากนั้นก็ด่าว่า ‘ไปตายซะ ไอ้หื่นกาม!’นางหันขวับไปมองหน้าเขาอย่างลืมตัว เขาที่ยืนด้วยท่าทางเกียจคร้านภายใต้แสงจันทร์ ช่างดูสูงส่งราวกับเทพเซียนตกสวรรค์ สุภาพอ่อนโยนอย่างบอกไม่ถูกนางแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าถ้อยคำเหมือนพวกอันธพาลหื่นกามเช่นนั้น จะหลุดออกมาจากปากของเขาได้นางสูดหายใจลึกๆ แล้วถาม “ท่านอ๋องหมายถึงนอนที่เป็นคำนามหรือคำกริยาเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยงุนงง “อะไรคือคำนาม? อะไรคือคำกริยา?”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางพลันนึกขึ้นได้ ในยุคสมัยนี้เหมือนจะยังไม่มีการแบ่งประเภทของคำนางจึงกระแอมไอแล้วตอบว่า “นอนแบบสงบนิ่งคือคำนาม นอนแบบที่ต้องทำเรื่องบางอย่างก่อนคือคำกริยาเพคะ”จิ่งโม่เยี่ยใช้นัยน์ตาดอกท้อสีดำสนิทจ้องมองนาง ทั้งที่เป็นการมองแบบราบเรียบแท้ๆ แต่นางกลับรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งใจจิ่งโม่เยี่ยทำมือคล้ายมีดแล้วสับอากาศ ใช้หางตาเหลือบมองนางแล้วกล่าวว่า “ตอนแรกข้าหมายถึงคำนาม แต่หากเจ้ายังพูดพร่ำไม่เลิก อาจจะกลายเป็นคำกริยาได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”เอาเถอะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่คำกริยาในแบบที่นางคิดไว้นางรีบตอบ “เชิญท่านอ๋องเพคะ!”จิ่ง
จิ่งโม่เยี่ยแสยะยิ้มเย็นชา “ว่าที่พระชายาทั้งเจ็ดคนก่อนหน้านี้ ข้าคาดหวังให้พวกนางรอดชีวิตจริงๆ แต่กับเจ้าเนี่ย...”เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงตาดอกท้อและคิ้วกระบี่แฝงแววเสียดสีหลายส่วน “คนที่พูดจาโกหกหลอกลวงอย่างเจ้าน่ะ รีบๆ ตายไปก็ดีแล้ว”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางด่ากราดบรรพบุรุษเขาในใจ ทว่าใบหน้ากลับมีรอยยิ้มอ่อนหวาน “ท่านอ๋องเข้าใจล้อเล่นเสียจริง ข้ายังอยากคลอดท่านชายน้อยให้พระองค์อยู่ จะรีบตายได้อย่างไร?”จิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองนางเล็กน้อย ก่อนจะกระดิกนิ้วเรียกนางนางมองเขาด้วยท่าทางหวาดระแวง “มีอะไรเพคะ?”จิ่งโม่เยี่ยไม่ได้หลับพักสายตามาหลายวันแล้ว ความอดทนจึงค่อนข้างต่ำ เมื่อนางไม่ยอมขยับเข้ามาหา เขาจึงยื่นแขนยาวออกไปคว้าตัวนางเข้ามาแทน ก่อนจะเหวี่ยงนางลงเตียงแบบไม่ทะนุถนอมสักนิดเฟิ่งชูอิ่งเบิกตาโต เตรียมจะขัดขืน ทว่าเขากลับเหล่มองนางด้วยดวงตาที่หรี่ลงเกือบครึ่ง สายตาของเขามีคำเตือนเขียนไว้ชัดเจน นางจึงนอนนิ่งทันทีนางไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงทางกายของจิ่งโม่เยี่ย จึงเข้าใจว่าเขาไม่สนใจเรือนร่างของนางนางจึงนึกสงสัยขึ้นมา ในเมื่อเขาไม่ได้สนใจร่างกายของนาง แล้วเขาจะจับกด
จิ่งโม่เยี่ย “......”มือที่ตั้งใจจะสับหลังคอของนางแข็งค้างอยู่กลางอากาศเขากล่าวด้วยใบหน้ามืดครึ้ม “เฟิ่งชูอิ่ง!”เฟิ่งชูอิ่งจึงโฉบหน้าเข้าไปหอมแก้มอีกข้างที่เหลือของเขา “ข้าเข้าใจเพคะ หากจุมพิตแก้มข้างนี้ของท่านอ๋อง แล้วไม่จุมพิตอีกข้างด้วย เดี๋ยวแก้มอีกข้างของท่านอ๋องจะโกรธเอา”จิ่งโม่เยี่ย “......”เหตุผลบ้าบออะไรกันเขาใคร่ครวญในใจว่าควรจะฆ่านางทิ้งเลยดีไหม ก่อนที่เขาจะถูกนางทำให้โกรธจนตายเสียเองจิ่งโม่เยี่ยสอดมือเข้าใต้ผ้านวมแล้วใช้คาถาสงบจิตกับเขาอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกง่วงงุนหนักกว่าเดิม ความคิดที่อยากจะฆ่านางจึงลดน้อยลงเขาสับสันมือลงบนหลังคอของนางเต็มแรง นางพลันสบถหยาบใส่เขาในใจ ก่อนจะหมดสติฟุบลงบนตัวเขาเขาพลิกตัวนางลงจากร่างด้วยท่าทางรังเกียจ ก่อนจะโยนนางลงไปนอนริมขอบเตียง ส่วนตัวเองก็หลับตาเข้าสู่ห้วงนิทราเฟิ่งชูอิ่งหลับไปสักพักก็ลืมตาตื่นขึ้นมา พบว่าบนตัวของนางไม่มีผ้านวมห่มอยู่เลย จึงตัดสินใจแทรกตัวเขาไปในผ้านวมทว่านางเพิ่งจะแทรกตัวเขาไป ก็ถูกเขาถีบออกมา “อย่ามาเบียดข้า”เฟิ่งชูอิ่งได้ยินแบบนั้นก็แทบระเบิดโทสะ เตียงเป็นของนาง ผ้านวมก็เป็นของนาง ทำไมนางจะนอ
แต่ถึงตั่งจะนอนไม่สบายสักแค่ไหน นางก็ต้องข่มตาหลับให้ได้เช้าวันต่อมาตอนที่นางลืมตาตื่น จิ่งโม่เยี่ยก็หายตัวไปเรียบร้อยแล้ว เป็นอีกครั้งที่กล้ามเนื้อของนางปวดเมื่อยไปหมดนางกัดฟันก่นด่า “ไอ้คนเสียสติเอ๊ย เตียงบ้านตัวเองมีไม่นาน จะมาแย่งเตียงของข้านอนทำไมกัน!“แย่งเตียงข้านอนก็เรื่องหนึ่ง นี่ยังมีหน้ามาดุข้าอีก ไร้มโนธรรมสิ้นดีเลย!”แต่พอนางคิดว่าเดิมทีจิ่งโม่เยี่ยก็เป็นตัวร้ายในนิยายอยู่แล้ว แถมยังมีนิสัยโหดเหี้ยมอำมหิต สิ้นไร้มโนธรรม ฉะนั้นด่าเขาไปก็ไร้ประโยชน์อะไรมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา “คุณหนูต่างสกุล มีคนจากในวังมาเจ้าค่ะ บอกว่าจะรับตัวท่านเข้าวังไปแสดงความขอบคุณ”เฟิ่งชูอิ่งชะงักไปเล็กน้อย นางเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหลังจากร่างเดิมได้รับพระราชทานสมรสกับจิ่งโม่เยี่ย ตามธรรมเนียมแล้ว นางจะต้องเข้าวังไปแสดงความเคารพทว่าร่างเดิมพอได้รับพระราชทานสมรส ก็ตัดสินใจหนีตามเฉินเยี่ยนเซิงทันที จากนั้นนางถึงได้ทะลุมิติมาอยู่ร่างนี้ ก็เลยลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทเลยนางตอบรับทันควัน “เข้าใจแล้ว ข้าขอล้างหน้าล้างหน้าสักประเดี๋ยว”บ่าวหน้าประตูเอ่ยเร่งนาง “คุณหนูต่างสกุล ท่านช่วยเร่งมือหน่อย อ
เฟิ่งชูอิ่งได้ยินเสียงโครมครามดังไล่หลังมา หัวคิ้วก็ยกขึ้นเบาๆ นัยน์ตาฉายแววเยือกเย็นสาวใช้คนนั้นนำทางนางไปที่เรือนของฮว๋าซื่อก่อน ฮว๋าซื่อที่พักรักษาตัวอยู่หลายวัน ตอนนี้จึงใกล้จะหายเป็นปกติแล้วตอนที่ฮว๋าซื่อมองเห็นนางแวบก็คิ้วกระตุกทันที ยิ่งเห็นเสื้อผ้าเก่าเก็บที่ใส่แล้วไม่พอดีตัวสักนิดของนาง หัวคิ้วของนางก็ยิ่งกระตุกหนักกว่าเดิมฮว๋าซื่อสั่งสาวใช้นางนั้นว่า “ไปเอาอาภรณ์ของคุณหนูใหญ่ที่เพิ่งตัดใหม่ตัวนั้นมา”แม้นางจะไม่ชอบขี้หน้าเฟิ่งชูอิ่งมาก แต่นางก็ยังต้องรักษาชื่อเสียงอันดีงามเอาไว้ หากมีข่าวลือว่านางละเลยเฟิ่งชูอิ่งเล็ดรอดออกไป คงไม่เป็นผลดีต่อนางนักวันนี้เฟิ่งชูอิ่งต้องเข้าวังไปพบเชื้อพระวงศ์ผู้สูงศักดิ์ จะปล่อยให้ผู้อื่นครหาไม่ได้ แน่นอนว่าเฟิ่งชูอิ่งไม่คิดจะเกรงใจนาง “งั้นก็หยิบชุดเครื่องประดับทับทิมของญาติผู้พี่ออกมาด้วยละกัน”ฮว๋าซื่อหันขวับมาทางนาง นางจึงยิ้มบางๆ ว่า “ท่านป้าได้ชื่อว่าเป็นคนจิตใจดีมีน้ำใจในเมืองหลวงแห่งนี้ คิดว่าคงไม่อยากเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะข้ากระมังเจ้าคะ!”ฮว๋าซื่อคิดว่าหลังจากเฟิ่งชูอิ่งกลับมาจากอารามครานั้น นางก็ราวกับคนถูกผีเข้าเสียจร
บ่าวหญิงแซ่จูรีบตอบทันที “ขอแค่ฆ่านังเฟิ่งชูอิ่งนั่นได้ ให้ทำอะไรข้าก็ยอมทั้งนั้น!”ฮว๋าซื่อพยักหน้ากล่าวว่า “ถ้างั้นเจ้าก็เตรียมตัวให้ดีเถอะ ข้าจะจัดการทุกอย่างให้เอง ถึงตอนนั้นเจ้าก็หาโอกาสลงมือเสีย”บ่าวหญิงแซ่จูเข้าใจความหมายที่ฮว๋าซื่อต้องการสื่อทันที จึงโขกศีรษะให้อีกฝ่ายแล้วกลับไปเตรียมตัวฮว๋าซื่อเห็นท่าทางของบ่าวหญิงแซ่จูก็ยกยิ้มมุมปาก เฟิ่งชูอิ่งสร้างปัญหาให้นางมากขนาดนี้ นางจำเป็นจะต้องรีบจำกัดอีกฝ่ายทิ้งโดยไวขณะเดียวกัน เฟิ่งชูอิ่งกำลังอ้าปากหาวหวอดๆ นางเดินตามขันทีมาขึ้นรถม้ามุ่งหน้าสู่วังหลวงตอนที่อยู่บนรถม้า นางก็ยัดเงินใส่มือของขันทีคนนั้นจากที่ขันทีคนนั้นไม่พอใจที่ต้องยืนรอนานนางๆ หลังจากลองชั่งน้ำหนักเงินในมือดูก็อารมณ์ดีขึ้นมาหลายส่วนกอปรกับใบหน้าที่น่ารักอ่อนหวาน ท่าทางว่านอนสอนง่าย และฝีปากที่ประจบสอพลอเก่งไม่เป็นสองรองใคร นางจึงซื้อใจคนได้ไม่ยากขันทีคนนั้นจึงข้อควรระวังเวลาเข้าวังให้นางฟัง สุดท้ายยังเตือนนางอีกว่า “ครั้งนี้เจ้าได้เข้าวัง เพราะฮองเฮาทรงอยากพบหน้าแม่นาง”เฟิ่งชูอิ่งพลันเข้าใจอะไรหลายๆ อย่างขึ้นมาฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน ไม่ใช่พ่อแท้ๆ ของจ
แววตาของจิ่งโม่เยี่ยเยือกเย็นลงในทันที พร้อมกับจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเขาเขาไม่ได้ยึดติดกับบัลลังก์ แต่ตอนนี้เขาต้องการมีชีวิตอยู่เขาต้องมีชีวิตรอดต่อไปเท่านั้น ถึงจะสามารถอยู่เคียงข้างเฟิ่งชูอิ่งได้เพื่อที่จะได้อยู่เคียงข้างนาง เขาสามารถทำทุกอย่างได้เดิมทีเขาไม่ได้มีเจตนาจะฆ่าจิ่งสือเยี่ยน แต่ในวินาทีนี้ เขากลับรู้สึกว่าจิ่งสือเยี่ยนสมควรตายได้แล้วเขาพูดกับเฟิ่งชูอิ่งว่า “ข้าจะกลับเข้าวังก่อน”กลับไปเพื่อฆ่าจิ่งสือเยี่ยนแต่เหมยตงยวนกลับรั้งเขาไว้ว่า “เจ้าช้าก่อน”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองเขา เหมยตงยวนจึงยื่นกระบี่ในมือให้เขา “ใช้สิ่งนี้ไปฆ่าจิ่งสือเยี่ยน”จิ่งโม่เยี่ยค่อนข้างงุนงง เหมยตงยวนอธิบายว่า “กระบี่เกล็ดน้ำค้างเหมันต์ของเจ้าถึงแม้จะคมกริบ แต่เจ้าหล่อเลี้ยงมันด้วยจิตสังหารมามากเกินไปในช่วงหลายปีมานี้”“จิตสังหารที่รุนแรงเช่นนี้ เมื่อชักกระบี่ออกมา แท้จริงแล้วคนที่ได้รับความเสียหายที่สุดคือตัวเจ้าเอง มันจะส่งผลต่อโชคชะตาของเจ้า”“สำหรับเจ้าในอดีต จิตสังหารเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลเสียอะไร แต่ตอนนี้โชคชะตาของเจ้ากำลังเฟื่องฟู หากจิตสังหารหนักเกินไป มันจะส่งผลกระทบต่อโชคช
เหมยตงยวนตอบสนองอย่างรวดเร็ว หลบสายฟ้าที่ฟาดลงมาสายนั้นได้สายฟ้านั้นเหมือนจะค้นพบอะไรบางอย่าง จึงพุ่งเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งเหมยตงยวนกลัวว่าเฟิ่งชูอิ่งจะได้รับบาดเจ็บ จึงรีบระงับพลังแล้ววิ่งออกไปอย่างรวดเร็วเรื่องนี้เกิดขึ้นเร็วมาก ทำให้เฟิ่งชูอิ่งและจิ่งโม่เยี่ยตกใจจนทำอะไรไม่ถูกเฟิ่งชูอิ่งนึกถึงวันที่นางได้พบกับเหมยตงยวนครั้งแรก เขาก็มาพร้อมกับอสนีบาตจากฟากฟ้าเช่นนี้แต่วันนั้นเขาหาตัวแทนรับเคราะห์ สายฟ้าจึงไม่ได้ฟาดลงมาที่เขาเมื่อครู่เขาคำนวณอะไรบางอย่าง จึงไปรบกวนพลังแห่งสวรรค์ ทำให้สวรรค์ตามล่าเขาอีกครั้ง ใช้สายฟ้าฟาดใส่เขาโดยตรงเฟิ่งชูอิ่งหันไปมองจิ่งโม่เยี่ยแล้วพูดว่า "เรื่องนี้ดูท่าจะใหญ่โตเอาการ"จิ่งโม่เยี่ยถามว่า "ท่านพ่อจะเป็นอะไรไหม?"เฟิ่งชูอิ่งมองเขาแล้วพูดว่า "ถ้าท่านพ่อเป็นอะไรไป ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่!"จิ่งโม่เยี่ย “......”ข้อเท็จจริงพิสูจน์แล้วว่าความกังวลของเฟิ่งชูอิ่งนั้นมากเกินไป เพราะหลังจากนั้นเพียงไม่นาน เหมยตงยวนก็กลับมาเพียงแต่อีกฟากฝั่งของเมือง ที่นั่นมีเสียงฟ้าร้องดังสนั่นเฟิ่งชูอิ่งเห็นเขาก็ถามทันทีว่า "ท่านพ่อ ท่านไม่เป็นไรใช่ไหมเจ้า
ครู่ต่อมา นางก็เอาหัวโขกโต๊ะอีกครั้งเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”เอาเถอะ นางยอมแพ้แล้ว!นางสูดน้ำมูกพลางพูดว่า “สวรรค์ช่างน่าเบื่อจริงๆ จงใจกลั่นแกล้งคนชัดๆ!”จิ่งโม่เยี่ยเห็นก้อนบวมสองก้อนบนหน้าผากของนางก็รู้สึกสงสารไม่ได้ “ให้ข้าทายาให้เถอะ”เฟิ่งชูอิ่งกลับพูดว่า “เรื่องทายาไม่รีบร้อนหรอก ขอข้าตั้งสติคิดก่อนว่าเรื่องบ้าๆ นี่มันเกิดอะไรขึ้น”จิ่งโม่เยี่ยเห็นนางสบถออกมาก็รู้ว่าครั้งนี้นางโกรธจริงๆ จึงพูดว่า “งั้นข้าทายาให้พลางๆ เจ้าก็คิดไปพลางๆ แล้วกัน”ครั้งนี้เฟิ่งชูอิ่งไม่ได้ปฏิเสธเพียงแต่พอเขาเข้ามาใกล้ นางก็ได้กลิ่นกายของเขา หอมสดชื่นแต่ก็ยั่วยวนอย่างมากนางอดไม่ได้ที่จะมองเขาแวบหนึ่ง ดวงตาและคิ้วของเขาเดิมทีก็งดงามอยู่แล้ว เป็นแบบที่นางชอบที่สุดตอนนี้เขาเข้ามาใกล้ ท่าทางที่ทายาให้นางนั้นดูตั้งใจมาก มองดูแล้วเห็นความรักที่ลึกซึ้งมากขึ้นหลายส่วนขนตาที่เป็นแพยาวและโค้งงอน ดวงตาสีดำสนิท มีเสน่ห์ที่ส่งผลต่อนางอย่างร้ายกาจเดิมทีสมองของนางก็มึนงงอยู่แล้ว พอเห็นท่าทางแบบนี้ของเขา หัวสมองของนางก็หยุดทำงานไปเลยคิดคำนวณอะไรกัน ดูหนุ่มหล่อไม่ดีกว่าหรือ?ดังนั้นนางจึงเลิกคำนวณแล้ว
ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร นั่งกินหม้อไฟกันเงียบๆเมื่อจิ่งโม่เยี่ยได้นั่งอยู่เคียงข้างนาง อันตรายจากการช่วงชิงอำนาจก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขาอีกต่อไปในค่ำคืนที่แสนพิเศษนี้ เพียงมีนางอยู่เคียงข้างเขา หัวใจของเขาก็สงบอย่างยิ่งทั้งคู่ไม่ได้พูดอะไร แต่บรรยากาศอบอุ่นเป็นอย่างมากเฟิ่งชูอิ่งกำลังลวกเนื้อชิ้นหนึ่งเตรียมที่จะคีบให้จิ่งโม่เยี่ย ในขณะเดียวกันเขาก็คีบเนื้อที่เพิ่งลวกเสร็จใหม่ๆ ให้นางทั้งสองคนต่างชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มให้กัน กินเนื้อที่อีกฝ่ายคีบให้เฟิ่งชูอิ่งถามว่า “ท่านตั้งใจจะขึ้นครองราชย์เมื่อไหร่?”จิ่งโม่เยี่ยตอบว่า “กรมพิธีการกำลังวางแผนอยู่ สำนักโหรหลวงกำลังคำนวณฤกษ์งามยามดี…”พูดถึงตรงนี้เขาก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ฤกษ์ที่สำนักโหรหลวงคำนวณออกมาอาจจะไม่แม่นยำเท่าเจ้า เจ้าช่วยคำนวณให้ข้าหน่อยได้ไหม”เฟิ่งชูอิ่งมองเขาอย่างพินิจ จากนั้นก็ยกนิ้วขึ้นมาคำนวณครู่ต่อมาเลือดกำเดาของนางก็ไหลออกมาเฟิ่งชูอิ่ง “……”จิ่งโม่เยี่ย “……”เขารีบยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นางเฟิ่งชูอิ่งสบถออกมา “มันต้องขนาดนี้เลยหรือ!”นางรู้สึกหดหู่ใจจริงๆ นางแค่จะคำนวณดวงชะตาให้เขาเท่านั้น
เหมยตงยวนมองเขาด้วยสายตาเย็นชาอย่างฉับพลัน เจ้าลูกหมานี่พูดจาแบบนี้ได้คล่องปากขึ้นทุกวันเฟิ่งชูอิ่งมองไปยังศาลาร่มรื่นที่เต็มไปด้วยวิญญาณร้าย นางรู้สึกว่าควรจะเตือนจิ่งโม่เยี่ยสักหน่อยนางจึงเปิดเนตรทิพย์ให้เขาอย่างเงียบๆ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเหมยตงยวนทำหน้าบึ้งตึง และเหล่าวิญญาณร้ายตนอื่นๆ ที่ทำหน้าเหมือนกำลังดูละครสนุกๆจิ่งโม่เยี่ย “......”อย่างที่คิดไว้จริงๆ เรื่องน่าตกใจมันมีอยู่ทุกที่เขาไอเบาๆ แล้วคำนับเหมยตงยวน “สวัสดี ท่านอาเหมย”เหมยตงยวนพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “ข้าไม่กล้ารับคำนับจากฝ่าบาทหรอก”พลังแห่งฮ่องเต้ในตัวจิ่งโม่เยี่ยเข้มข้นขึ้นมากหลังจากผ่านคืนนี้ไปนั่นหมายความว่าการเข้าวังของเขาในวันนี้เป็นไปอย่างราบรื่นเพียงแต่ตอนนี้ดวงดาวของฮ่องเต้ยังไม่กลับมาประจำตำแหน่ง บัลลังก์ของเขายังไม่มั่นคงจิ่งโม่เยี่ยยิ้มแห้งๆ “ท่านอาเหมยอย่าล้อข้าเลย”“ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการได้มา แต่การมีตำแหน่งนี้ช่วยให้ข้าทำหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างได้”เหมยตงยวนแค่นเสียง “ปากบอกว่าไม่ต้องการ แต่ความทะเยอทะยานมันเด่นชัดขนาดนั้น เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่าจิ่งสือเยี่ยนนักหรอก”
ถัดมา ม่านหน้าต่างก็สั่นไหวอย่างรุนแรง เผยให้เห็นเงาร่างน่าขนลุก รูปร่างคล้ายกับฮ่องเต้พระองค์ก่อนปู๋เยี่ยโหวเป็นคนแรกที่รู้สึกตัว “แม่เจ้า!”พูดจบก็กระโดดขึ้นไปขี่บนหลังท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายท่านเสนาบดีฝ่ายซ้าย “......”เขาอยากจะด่าบรรพบุรุษปู๋เยี่ยโหวสิบแปดชั่วโคตร!พุ่งเข้ามาแบบนี้ ตัวหนักขนาดนี้ เขาเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น อายุก็มากแล้ว จะแบกปู๋เยี่ยโหวไหวได้อย่างไร!แล้วทั้งสองคนก็ล้มกลิ้งลงกับพื้น ปู๋เยี่ยโหวกลายเป็นเบาะรองคนอื่นๆ ก็ตกใจตัวสั่นด้วยความกลัว เบียดเสียดกันเป็นก้อนตอนนี้ ไม่ว่าจะเป็นฮองเฮา พระโอรสผู้สูงศักดิ์หรือขุนนางผู้สุขุมเยือกเย็นในราชสำนัก ต่างก็หดตัวเป็นก้อน อยากจะเบียดเข้าหากันเป็นหนึ่งเดียวบางคนที่ว่องไวก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็วพระราชวังเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด การเกิดเรื่องแบบนี้ทำให้พวกเขาแทบสิ้นสติตอนแรกพวกเขาไม่เชื่อคำพูดของปู๋เยี่ยโหวเลย พอเกิดเรื่องแปลกประหลาดแบบนี้ จะไม่เชื่อก็ยากแล้วเดิมทีฮองเฮายังอยากจะซักถามปู๋เยี่ยโหวสองสามคำ พอเห็นสภาพแบบนี้นางก็พูดอะไรไม่ออกตอนนี้ทุกคนมีเพียงความคิดเดียวเท่านั้นหรือว่าเป็นเพราะองค์ฮ่องเต้เจาหยวนท
สุดท้ายปู๋เยี่ยโหวที่มีชนักติดหลังก็ยังอดแววตาสั่นไหวไม่ได้การกระพริบตาของเขา คนทั่วไปอาจจะไม่เห็นถึงปัญหา แต่คนที่เขากำลังเผชิญอยู่คือท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายตีความได้ทันทีว่า เรื่องนี้เป็นฝีมือของปู๋เยี่ยโหวท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายด่าทออยู่ในใจ “เจ้าตัวสร้างปัญหา ฮ่องเต้เจาหยวนสิ้นพระชนม์ไปแล้ว ยังมาทำลายพระศพให้เป็นแบบนี้ คิดจะโยนความผิดให้คนอื่นรึไง?”“โง่จริงๆ โง่ที่สุด!”ถึงแม้จะด่าทออยู่ในใจอย่างหนัก แต่สีหน้ากลับไม่แสดงออกเลยแม้แต่น้อยเขาพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าได้ยินมาว่า หากคนเรามีบาปกรรมมากมาย เมื่อตายไป ร่างกายก็จะถูกทำลาย”“แต่เรื่องนี้ข้าแค่เคยได้ยินมา ไม่เคยเห็นมาก่อน”หลังจากพูดจบ เขาก็ถามปู๋เยี่ยโหวว่า “เมื่อครู่ เกิดอะไรขึ้นในท้องพระโรงหรือ?”เมื่อปู๋เยี่ยโหวได้ยินคำถามนี้ ก็รู้ทันทีว่าท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายรู้แล้วว่าสภาพของฮ่องเต้เจาหยวนที่เป็นแบบนี้เป็นฝีมือของเขาเขาลอบถอนหายใจเบาๆ นี่แหละจิ้งจอกเฒ่าตัวจริง ไม่มีอะไรปิดบังท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายได้เลย โชคดีที่ท่านเสนาบดีฝ่ายซ้ายอยู่ข้างเดียวกับเขาปู๋เยี่ยโหวตอบทันทีว่า “หลังจากที่อ๋องผู้สำเร็จราช
ปู๋เยี่ยโหวหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม จึงลงมือทุบกระดูกมือและกระดูกขาของฮ่องเต้เจาหยวนจนแหลกละเอียดฮ่องเต้เจาหยวน “……”ฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”ไอ้เจ้าสุนัขปู๋เยี่ยโหวมันกล้าดีอย่างไรมาทำลายศพของเขา! เขาจะฆ่ามัน!พลังวิญญาณของเขาพลุ่งพล่านถึงขีดสุดอย่างฉับพลันแต่เขายังไม่ทันได้กลายร่างเป็นวิญญาณร้าย ก็ถูกพลังมังกรซัดกระแทกลงพื้นอีกครั้งและเนื่องจากพลังวิญญาณของเขาแข็งแกร่งเกินไป พลังมังกรจึงตัดสินว่าเขาเป็นวิญญาณร้ายที่อันตรายอย่างยิ่งในการรับมือกับวิญญาณร้ายที่อันตรายเช่นนี้ พลังมังกรจะแสดงพลังอย่างรุนแรงและเด็ดขาด โดยการตรงเข้าไปฉีกวิญญาณของฮ่องเต้เจาหยวนจนแตกเป็นเสี่ยงๆฮ่องเต้เจาหยวน “!!!!!!”เขายังไม่ทันได้เข้าใจสถานการณ์ ก็วิญญาณแตกสลายไปแล้วไม่ว่าเขาจะมีความโกรธหรือความไม่ยินยอมมากแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้วตอนที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาคือฮ่องเต้ ดังนั้นพลังมังกรจึงคุ้มครองเขาแต่หลังจากเขาตาย วิญญาณของเขาก็ไม่ต่างจากวิญญาณตนอื่นๆเพราะทันทีที่ฮ่องเต้เจาหยวนสิ้นพระชนม์ เขาก็ไม่ใช่ฮ่องเต้อีกต่อไป เมื่อวิญญาณของเขากลายเป็นวิญญาณร้าย มันก็จะถูกพลังมังกรโจมตียิ่งไป
ถึงปู๋เยี่ยโหวจะใจกล้าบ้าบิ่น แต่เขาก็กลัวผีที่เขาไม่กลัวเฉี่ยวหลิงมากนัก เพราะรู้จักกันดีแล้ว รู้ว่านางจะไม่ทำร้ายเขาแต่ฮ่องเต้เจาหยวน ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ใช่ผีที่ดีแน่ ๆ เพราะตอนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรปู๋เยี่ยโหวไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าอิฐที่วางอยู่ข้างๆ ซึ่งเตรียมไว้สำหรับรองฐานโลงศพ ฟาดลงไปที่หัวของฮ่องเต้เจาหยวนอย่างจังในจังหวะที่ฮ่องเต้เจาหยวนกำลังจะลุกขึ้นนั่งนั้น พระองค์ตั้งใจจะร้องเรียกขุนนางที่เฝ้าอยู่ด้านหน้าพระองค์คิดว่าหากบอกขุนนางเหล่านั้นว่าถูกจิ่งโม่เยี่ยกักขังไว้ในวัง ขุนนางคนสนิทของพระองค์จะต้องออกมาต่อต้านอย่างแน่นอนก่อนหน้านี้พระองค์ไม่สามารถติดต่อกับขุนนางเหล่านี้ได้ เมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์ ขุนนางเหล่านี้จะต้องเข้าวังพระองค์ยังทรงทราบอีกว่าขุนนางเหล่านั้นเฝ้าอยู่ข้างนอก เพียงแค่พระองค์ร้องเสียงดัง พวกขุนนางก็จะได้ยินทันทีแผนการของพระองค์ค่อนข้างยอดเยี่ยม ในทางปฏิบัติแล้วนี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการส่งข่าวสารออกไปหากพระองค์สามารถส่งข่าวสารออกไปได้ แม้ว่าจะสิ้นพระชนม์หลังจากนั้น ก็ยังสามารถสร้างความลำบากให้กับจิ่งโม่เยี่ยได้ไม่น้อยหลังจากนี้