หลินชูเจิ้งจึงปล่อยข่าวออกไปว่าสตรีนางนั้นไม่ใช่นาง แต่เป็นสาวใช้คนหนึ่งที่หน้าตาคล้ายกับนางมาก ซึ่งเขาจัดการฆ่าสตรีนางนั้นทิ้งไปแล้วเขายังบอกอีกว่าฮวาซื่อผุดผ่องไร้มลทิน มีคนต้องการใส่ร้ายนางให้เสื่อมเสียคำอธิบายของเขา คนที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์ในวันนั้นหากได้ยินก็คงเชื่ออยู่หรอก เพราะทุกคนต่างก็คิดตรงกันว่าหากฮวาซื่อเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นจริงๆ จะต้องถูกหย่าและขับออกจากจวนแน่นอนเขาไม่ได้หย่ากับฮวาซื่อ แปลว่าฮวาซื่อเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆทว่าคนในจวนต่างรู้กันดีแก่ใจ ว่าคนที่ระเริงรักอย่างไม่อายฟ้าอายดินกับสารถีแซ่หลินในตอนนั้นก็คือนางเฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงเรียบว่า “จะใช่ท่านหรือไม่ ทุกคนต่างก็รู้ดีอยู่แก่ใจ“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น ข้าขอถามท่านป้าแค่ประโยคเดียว หลังจากเกิดเรื่องนั้นแล้ว ท่านลุงมานอนค้างที่ห้องของท่านกี่ครั้ง?”คำพูดของนางมีพลังทำลายรุนแรงยิ่งกว่ามีดที่วาววับเมื่อครู่นี้อีก ดวงหน้าของฮวาซื่อซีดขาวอย่างฉับพลันเฟิ่งชูอิ่งเห็นสีหน้าของนางก็ขี้คร้านจะสนใจนางต่อ เอ่ยเรียกว่า “เฉี่ยวหลิง ขนของพวกนี้กลับไป”เฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้าย ว่ากันตามหลักแล้วในยามกลางวันนางจะมีร่างกายไม
ตอนที่เฉี่ยวหลิงไปหลอกหลินหว่านถิงนางใช้ทักษะบางอย่าง เปลี่ยนแปลงรูปร่างหน้าตาให้ไม่เหมือนเดิมแต่หลังจากหลินหว่านถิงโดนนางหลอกไปวันนั้น นางก็สัมผัสบรรยากาศรอบตัวของนางได้อย่างแม่นยำวันนี้พอเจอหน้ากันอีกครั้ง หลินหว่านถิงจึงคิดว่าเฉี่ยวหลิงคือผีที่หลอกนางคืนนั้นหลังจากนางถูกเฉี่ยวหลิงเล่นงานจนล้มป่วย ร่างกายก็ยังไม่ฟื้นฟูเป็นปกติสักที ยามนี้ต้องหวาดผวาซ้ำอีกรอบ แผ่นหลังของนางจึงเปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ แข้งขาพลันอ่อนแรงพอนางตะโกนออกไปแบบนั้น หลินอีฉุนก็วิ่งหน้าตั้งมาทันที “ไหนล่ะผี?”หลินหว่านถิงชี้ไปที่เฉี่ยวหลิง “นางนั่นแหละผี!”เฉี่ยวหลิงยืนทำหน้าไร้เดียงสาอยู่ที่เดิม ใจแอบคิดว่าหลินหว่านถิงสายตาหลักแหลมไม่เบา นางอยู่สภาพนี้ยังมองออกอีกนางควรจะแสดงคางร่วงแตะพื้น ลูกตาหลุดจากเบ้าให้หลินหว่านถิงดูอีกสักทีไหม?เฟิ่งชูอิ่งปรายตามองเฉี่ยวหลิงแวบหนึ่ง แม้ในใจจะรู้สึกเสียดาย แต่นางก็ยอมถอยไปอยู่ด้านหลังเฟิ่งชูอิ่งแต่โดยดีเฟิ่งชูอิ่งหันไปทางหลินหว่านถิงแล้วถามว่า “พี่สาวหวาดผวาจนเสียสติแล้วหรือ?“ผีหลอกอะไรกัน นี่เป็นสาวใช้ที่ข้าซื้อตัวกลับมา“ท่านเคยเห็นผีที่ไหนปรากฏตัวตอนกลางวันแสกๆ ได้
แม้นางจะรู้สึกว่าจิ่งโม่เยี่ยเป็นคนบ้าที่ไม่มีใครกล้าอยู่ใกล้ แต่ต่อให้นางตาบอดก็ไม่มีวันเลือกหลินอีฉุนอยู่ดีไหนๆ นางก็ไม่มีอะไรทำพอดี งั้นนางจะเล่นกับเขาสักหน่อยก็แล้วกันนางจึงเอ่ยว่า “ขอแค่ข้าไม่แต่งงานกับอ๋องฉู่ เจ้าก็ยินดีจะแต่งข้าเป็นภรรยางั้นหรือ?”หลินอีฉุนทำหน้าหนักใจ “เจ้าก็รู้มิใช่หรือ ตอนนี้ข้ากำลังร่ำเรียนในสำนักศึกษาได้อย่างยอดเยี่ยม ปีนี้เตรียมจะลงสนามสอบขุนนาง“ตอนนี้พ่อของข้าเป็นถึงรองเจ้ากรมคลัง เชื่อว่าอีกไม่นานเขาก็จะกลายเป็นหัวหน้าเลขากรมคลังได้ ส่วนข้าขอแค่ลงสนามสอบ อย่างน้อยก็จะได้เป็นอันดับที่สอง“อนาคตของข้ายังอีกยาวไกล ภรรยาของข้าจะต้องเป็นสตรีมีชาติตระกูลเท่านั้น“ถึงแม้ว่าเจ้าจะดีมาก แต่บิดามารดาของเจ้าก็จากโลกไปหมดแล้ว เจ้าไม่สามารถช่วยผลักดันอะไรข้าได้ ดังนั้นข้าไม่มีทางแต่งเจ้าเป็นภรรยาเอกได้”เขากล่าวมาถึงตรงนี้ก็แสดงท่าทางอ่อนโยน มองนางอย่างรักใคร่ลึกซึ้ง “แต่ถึงข้าจะแต่งผู้หญิงคนอื่นเข้ามาเป็นภรรยาเอก เจ้าก็จะยังเป็นคนที่ข้ารักที่สุดตลอดไป“ขอแค่เจ้ายินดีจะเป็นสตรีของข้า ภายภาคหน้าข้าจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี ตำแหน่งอนุภรรยาของข้าจะเว้นว่างให้เจ้าตลอดกาล”
คราวนี้ผู้ดูแลโจวมาด้วยท่าทางอ่อนน้อมเป็นอย่างยิ่งเขาคุกเข่าตรงหน้าของเฟิ่งชูอิ่งแล้วโขกศีรษะให้นางสามครั้ง “คุณหนูเฟิ่งได้โปรดช่วยข้าด้วย!“มีเพียงคุณหนูเฟิ่งเท่านั้นที่ช่วยเหลือข้าได้ ข้าขอสาบานตรงนี้เลยว่านับจากนี้ไปจะยอมเป็นทาสรับใช้ท่าน”เขากล่าวจบก็โขกศีรษะให้นางอีกสามครั้ง “คุณหนูเฟิ่งได้โปรดช่วยข้าด้วย!”เฟิ่งชูอิ่งเห็นว่าท่าทีของเขาวันนี้แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ครั้งนี้ดูมีความจริงใจอย่างเห็นได้ชัดนางนั่งไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ มือแกะเมล็ดแตงขณะเอ่ยว่า “เงื่อนไขเหมือนเดิม หากอยากให้ข้าช่วย ก็ต้องแสดงความจริงใจให้เห็น”ผู้ดูแลโจวกล่าวทันทีว่า “ข้ารู้ความลับในจวนสกุลหลินทั้งหมด ข้าสามารถบอกกับคุณหนูเฟิ่งได้...”เฟิ่งชูอิ่งโบกมือไปมา “ความลับพวกนั้นเจ้าเก็บไว้ค่อยๆ บอกกับข้าทีหลังได้ วันนี้ข้ามีงานอยากให้เจ้าทำ”ผู้ดูแลโจวรีบตอบว่า “เชิญคุณหนูเฟิ่งรับสั่ง!”เฟิ่งชูอิ่งเห็นว่าท่าทางในตอนนี้ของเขามิเลวเลย จึงบอกว่า “หลังจากเจ้าทำเรื่องในวันนี้สำเร็จ ข้ารับปากว่าอายุเจ้าจะยืนยาวขึ้นอีกหนึ่งเดือน”วิญญาณร้ายที่ตามติดผู้ดูแลโจวได้ยินนางเอ่ยแบบนี้ก็ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก ก่
แค่จินตนาการในสมอง เขาก็ตื่นเต้นจนทนไม่ไหวแล้วเมื่อล่วงเข้าสู่ยามไฮ่ได้สักพัก หลินอีฉุนก็ได้ยินการเคลื่อนไหวจากด้านหลัง จึงเอ่ยว่า “ญาติผู้น้อง ในที่สุดเจ้าก็มาเสียที ข้ารออยู่นานมากเลยนะ”เขาเอ่ยจบก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืน แต่เขายังไม่ทันจะได้ยืนเต็มความสูง ก็ถูกอะไรบางอย่างกระแทกจนล้มลงไปกองกับพื้นเขามึนงงไปชั่วขณะ สองมือของเขาคว้าของสิ่งนั้นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่กลับคว้าโดนขนเป็นกระจุกแทนเขาตกใจอย่างมากจึงหันไปมองของสิ่งนั้นแบบเต็มตา พบว่ามันคือศีรษะของสุนัขตัวหนึ่งสุนัขตัวนี้เขารู้จักเป็นอย่างดี มันคือสุนัขที่ถูกเลี้ยงเอาไว้ในจวน มีความดุร้ายอย่างยิ่งยามนี้ปากของสุนัขตัวนั้นอ้าออกเล็กน้อย กลิ่นคาวคลุ้งและเหม็นฉุนลอยออกมาจากปากของมัน ก่อนจะมีของเหลวหยดลงบนหน้าของเขาตอนแรกเขายังกรึ่มๆ ด้วยฤทธิ์สุรา ทว่ายามนี้กลับตื่นเต็มตาเขาคิดจะผลักสุนัขตัวนั้นออกไป เพราะมันมีความดุร้ายอย่างมาก แล้วยังมีพละกำลังมหาศาล เขาจึงไม่สามารถผลักมันออกไปได้ง่ายๆการดิ้นรนของเขากลับกระตุ้นสัญชาตญาณดิบเถื่อนของสุนัขตัวนั้น มันจึงแยกเขี้ยวใส่เขา ก่อนจะใช้ขาทั้งสี่ข้างตะกุยมั่วไปหมด ส่วนปากก็กัดเขาทั่วร่างเพี
เฉี่ยวหลิง “!!!!!!”เฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”นางหันกลับไปและเห็นว่าจิ่งโม่เยี่ยยืนอยู่ข้างๆ ในมือถือลูกตาของเฉี่ยวหลิงเอาไว้ ลูกตาในมือของเขากรอกไปรอบๆ และสั่นระริกภาพตรงหน้าช่างงดงามเหลือเกิน ทำเอานางตัวสั่นสะท้านเฉี่ยวหลิงเอ่ยเสียงสั่นว่า “คือว่า ขอลูกตาของข้าคืนได้หรือไม่?”จิ่งโม่เยี่ยหันไปมองแล้วถามอย่างสนุกสนาน “ในตัวเจ้ายังมีอะไรที่ร่วงลงมาได้อีกไหม?”ครู่ต่อมา คางของเฉี่ยวหลิงก็หล่นกระทบพื้นจิ่งโม่เยี่ย “......”เฟิ่งชูอิ่งยกมือกุมขมับ เฉี่ยวหลิงนังเด็กโง่นี่.....นางไม่มีตามองจริงๆ ด้วย!เฉี่ยวหลิงเก็บคางขึ้นมาสวมกลับที่เดิม “ตอนนี้ข้าขอลูกตาคืนได้หรือยัง?”เฟิ่งชูอิ่งยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้วเฉี่ยวหลิงไม่สามารถใช้พลังของวิญญาณร้าย แย่งลูกตาคืนมาจากมือของจิ่งโม่เยี่ยหรืออย่างไร?นี่เป็นครั้งแรกเลยที่นางได้เห็นวิญญาณร้ายปอดแหก!อีกอย่างหนึ่ง เฉี่ยวหลิงก็สามารถเอาลูกตาของตัวเองคืนมาได้ด้วย เพราะมันไม่ใช่วัตถุที่จับต้องได้จริง เฉี่ยวหลิงหวาดกลัวจิ่งโม่เยี่ยขนาดนั้นเชียว?จิ่งโม่เยี่ยหันมองเฉี่ยวหลิงแล้วเอ่ยถาม “เจ้าเป็นตัวอะไร?”เฉี่ยวหลิงตอบ “ข้าไม่ใช่ตัวอะไร...อะแฮ่ม ข้าเป็นคน คนตั
นางใช้มือกุมผ้าปูที่นอนเอาไว้ “ท่านอ๋อง อย่ารังแกกันให้มากนักนะ!”จิ่งโม่เยี่ยถาม “หากข้ารังแกเจ้ามากเกินไป เจ้าจะทำอะไรได้ล่ะ?”เฟิ่งชูอิ่งตอบ “ข้าจะรู้สึกว่าท่านอ๋องกำลังขาดความรัก จนต้องมาให้ข้าช่วยโอ๋”จิ่งโม่เยี่ย “......”วิธีการคิดของนางมันแปลกประหลาดกว่าคนทั่วไป จนใครๆ ก็คิดตามนางไม่ทันเขาถามต่อ “อ้อ? ถ้างั้นเจ้าก็ช่วยโอ๋ข้าหน่อยสิ”เฟิ่งชูอิ่ง “......”ผู้ชายคนนี้ไม่คิดจะเล่นตามกติกาบ้างเลยหรือไงนางไม่ตอบแต่ถามกลับ “ลิ้นของท่านอ๋องหายดีหรือยังเพคะ?”ดวงตาดอกท้อของจิ่งโม่เยี่ยพลันหรี่ลง แฝงไว้ด้วยความอันตรายเขาขยับตัวถอยหลังออกมาเล็กน้อย ทว่าเฟิ่งชูอิ่งกลับพลิกตัวกลับอย่างรวดเร็วก่อนจะกดจูบที่ต้นคอของเขาจิ่งโม่เยี่ย “......”ตอนที่กลีบปากของนางทาบทับลงมา ความอ่อนนุ่มและความอบอุ่นที่สัมผัสได้ ทำให้หัวใจของเขากระตุกวูบครู่ต่อมา เฟิ่งชูอิ่งก็เผยอริมฝีปากออกเล็กน้อยแล้วกัดลงไปเต็มแรงจิ่งโม่เยี่ยไม่รู้สึกประหลาดใจ ซ้ำยังรู้สึกว่าแบบนี้สิถึงจะถูกต้องอีกด้วยนางก็เป็นเสียแบบนี้ ตอนที่เห็นว่าอ่อนโยนไม่มีพิษมีภัย นางก็จะแยกเขี้ยวคมกริบออกมาให้เห็นทันทีตอนที่นางกัดลงมาเขาไม่ได้รู้
จิ่งโม่เยี่ยนั่งที่เก้าอี้ข้างตัวหนึ่งข้างโต๊ะเขียนหนังสือ หันมองอากาศแล้วบอกว่า “ชงชาให้ข้ากาหนึ่ง”เฉี่ยวหลิงไม่รู้ว่าเขากำลังเรียกนางหรือเปล่า นางจึงลังเลว่าควรจะออกไปดีหรือไม่จิ่งโม่เยี่ยใช้นิ้วเคาะโต๊ะหนึ่งที “อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สอง”เฉี่ยวหลิงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมและลอยออกจากป้ายหยก ก่อนจะไปชงชาอย่างจำใจเฟิ่งชูอิ่งทนมองท่าทางเซื่องซึมเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากของเฉี่ยวหลิงไม่ไหว มีวิญญาณร้ายที่ไหนบ้างเป็นแบบนางนางชักจะไม่เข้าใจแล้วว่า เฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้ายแท้ๆ ทำไมถึงหวาดกลัวจิ่งโม่เยี่ย?จิ่งโม่เยี่ยมองกาน้ำร้อนที่ลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็บินไปทางห้องครัวคนทั่วไปหากได้เห็นอะไรแบบนี้คงจะตกใจจนหน้าซีดไปแล้ว แต่จิ่งโม่เยี่ยกลับเฉยเมยราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาเพียงไม่นานกาน้ำใบนั้นก็บินกลับมา พร้อมกับน้ำที่ต้มสุกด้านในจากนั้นกาชาที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มขยับ ใบชาที่อยู่บนโต๊ะตัวเล็กลอยลงไปในตัวกาไม่นานนัก กาที่มีน้ำชาอยู่ถูกรินออกมา จากนั้นถ้วยชาก็ถูกนำไปวางที่ข้างมือจิ่งโม่เยี่ยจิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเฉี่ยวหลิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “เจ้าออกไปได้แล้ว”เฉี่ยวหลิงจึงกลับเข้าไปอ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท