จิ่งโม่เยี่ยนั่งที่เก้าอี้ข้างตัวหนึ่งข้างโต๊ะเขียนหนังสือ หันมองอากาศแล้วบอกว่า “ชงชาให้ข้ากาหนึ่ง”เฉี่ยวหลิงไม่รู้ว่าเขากำลังเรียกนางหรือเปล่า นางจึงลังเลว่าควรจะออกไปดีหรือไม่จิ่งโม่เยี่ยใช้นิ้วเคาะโต๊ะหนึ่งที “อย่าให้ข้าต้องพูดเป็นครั้งที่สอง”เฉี่ยวหลิงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมและลอยออกจากป้ายหยก ก่อนจะไปชงชาอย่างจำใจเฟิ่งชูอิ่งทนมองท่าทางเซื่องซึมเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากของเฉี่ยวหลิงไม่ไหว มีวิญญาณร้ายที่ไหนบ้างเป็นแบบนางนางชักจะไม่เข้าใจแล้วว่า เฉี่ยวหลิงเป็นวิญญาณร้ายแท้ๆ ทำไมถึงหวาดกลัวจิ่งโม่เยี่ย?จิ่งโม่เยี่ยมองกาน้ำร้อนที่ลอยอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็บินไปทางห้องครัวคนทั่วไปหากได้เห็นอะไรแบบนี้คงจะตกใจจนหน้าซีดไปแล้ว แต่จิ่งโม่เยี่ยกลับเฉยเมยราวกับเป็นเรื่องปกติธรรมดาเพียงไม่นานกาน้ำใบนั้นก็บินกลับมา พร้อมกับน้ำที่ต้มสุกด้านในจากนั้นกาชาที่อยู่ข้างๆ ก็เริ่มขยับ ใบชาที่อยู่บนโต๊ะตัวเล็กลอยลงไปในตัวกาไม่นานนัก กาที่มีน้ำชาอยู่ถูกรินออกมา จากนั้นถ้วยชาก็ถูกนำไปวางที่ข้างมือจิ่งโม่เยี่ยจิ่งโม่เยี่ยเหลือบมองเฉี่ยวหลิงแวบหนึ่งแล้วเอ่ย “เจ้าออกไปได้แล้ว”เฉี่ยวหลิงจึงกลับเข้าไปอ
ประกอบกับเขาถูกเลี้ยงดูประคบประหงมตั้งแต่เด็ก การเคลื่อนไหวของเขาจึงดูสูงส่งอยู่หลายส่วนเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางที่เขาทำก็หลุดหัวเราะเสียงดัง “ที่แท้ตอนท่านอ๋องทำท่าทางเช่นนี้ก็ดูเย้ายวนถึงเพียงนี้เลย! จิ๊ จิ๊ คืนนี้ได้เปิดหูเปิดตาแล้ว!”จิ่งโม่เยี่ย “......”สตรีนางนี้ช่างหาเรื่องตายได้ไม่เว้นวัน!แต่ถึงเขาจะอยากไปจัดการนางเสียตอนนี้เลยก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงเขาจะมีใจแต่ร่างกายดันไม่ทำตามเฟิ่งชูอิ่งคลี่ยิ้มบางๆ “ท่านอ๋องอย่าโมโหสิเพคะ ท่านเป็นคนเอายันต์มาแปะที่ตัวข้าเองนะ“ดังนั้นท่านจะโทษข้าไม่ได้ จะโทษก็ต้องโทษตัวท่านเองนั่นแหละ”นางกล่าวจบก็เปลี่ยนท่าเต้นไปเรื่อยๆ นางกระโดดไปที่เสาภายในห้อง ก่อนจะเริ่มการเต้นรูดเสาหมุนตัว กระโดด บิดสะโพก แอ่นหน้าอก สะบัดผม ส่งจูบ......หลังจากทำท่าทุกอย่างตามนางจบ จิ่งโม่เยี่ยก็คิดอยากจะตายขึ้นมาจริงๆเฟิ่งชูอิ่งหัวเราะอย่างสนุกสนาน “ว้าว ท่านอ๋อง เอวท่านบางชะมัด!“ท่านอ๋อง ก้นท่านงอนงามมากเลย มิทราบว่า พระองค์ฝึกฝนอย่างไรหรือเพคะ?“ว้าว ท่าส่งจูบนี่พอท่านอ๋องเป็นคนทำแล้ว ท่านก็กลายเป็นเครื่องมือปลิดชีพสาวน้อยได้ในพริบตาเลย“หากท่านอ๋องไปเต้นแบบน
เฟิ่งชูอิ่งกระโดดโลดเต้นมาทั้งคืน นางจึงเหนื่อยล้าอย่างมากนางพยายามลืมตาปรือๆ ขึ้นมามองเขา “นอนตายได้หรือไม่?”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขารู้สึกว่าตนเองจะถูกนางยั่วโมโหจนตายเข้าสักวันเขายื่นมือออกไปจับกระบี่ เฟิ่งชูอิ่งก็เด้งตัวขึ้นมาตวัดแขนโอบรอบคอของเขา “ท่านอ๋อง เลิกทะเลาะแล้วมานอนกันดีกว่าเพคะ!”นางกล่าวจบก็หอมแก้มซ้ายขวาทั้งสองข้างของเขา มือที่คล้องคอของเขาอยู่ใช้คาถาสงบจิตอย่างคล่องแคล่วจิ่งโม่เยี่ย “......”เพลิงโทสะที่อัดแน่นเต็มอกของเขาถูกกลอุบายของนางทำลายจนหมดสิ้น เขาถึงกับมึนไปพักหนึ่งว่าควรจะเอาความโกรธไประบายกับใครดีเขาใช้มือผลักนางออก “ข้าไม่หลงกลเจ้าหรอกนะ....”คำพูดต่อจากนั้นติดอยู่ในลำคอของเขา เพราะว่ามือของเขาดันผลักโดนหน้าอกของนางพอดีนางชะงักตัวแข็งทื่อ เบิกตากว้างจ้องมองเขาสีหน้าของจิ่งโม่เยี่ยดีขึ้นเล็กน้อย นางเหนื่อยจนไม่อยากกระดิกตัวแล้ว จึงไม่อยากจะคิดบัญชีกับเขาตอนนี้ นางจึงออกแรงเหวี่ยงเขาลงบนเตียง แล้วแบ่งผ้านวมครึ่งหนึ่งให้เขาห่ม “นอนเพคะ!”“หากท่านอ๋องยังรู้สึกไม่พอใจล่ะก็ ครั้งหน้าข้าจะเต้นคนเดียวให้ท่านดูทั้งคืนเลย”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขามองนางอย
ฮวาซื่อจับใจความได้รวดเร็วกว่าหลินชูเจิ้ง นางเห็นสภาพเสื้อผ้าที่ยับเยินของหลินอีฉุน ก็พอจะเข้าใจอะไรบางอย่างนางจึงพุ่งเข้าไปหาหลินอีฉุน ทำท่าอยากจะร้องไห้ออกมา แต่เพราะน้ำตาของนางไม่สามารถแก้ปัญหาได้นางจึงหันไปบอกกับบ่าวทุกคนที่อยู่ตรงนั้น “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนี้จะต้องเป็นความลับ!“หากข้ารู้ว่าพวกเจ้าเอาไปนินทากันลับหลัง หรือมีคนอื่นได้ยินเรื่องนี้ล่ะก็ ข้าจะลงโทษอย่างหนัก!”บ่าวทั้งหมดจึงแสดงท่าทีอย่างชัดเจน ว่าพวกเขาจะไม่พูดส่งเดชออกไปฮวาซื่อจึงรู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย สั่งให้คนแบกหลินอีฉุนกลับไปที่ห้องหลินอีฉุนเป็นที่พึ่งเพียงหนึ่งเดียวของนาง ปีนี้เขาต้องเข้าร่วมการสอบขุนนาง ภายภาคหน้าจะต้องมีอนาคตที่สดใส จะให้เรื่องแบบนี้ทำลายเขาไม่ได้เด็ดขาดหลินชูเจิ้งที่เพิ่งจะตั้งสติและทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ สีหน้าของเขาก็บิดเบี้ยวจนไม่น่ามองหลินชูเจิ้งถามสหายร่วมเรียนของหลินอีฉุน “ทำไมจู่ๆ ถึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นกับคุณชายใหญ่ได้?”สหายร่วมเรียนตอบ “เขานัดเจอกับคุณหนูต่างสกุล แต่คุณหนูต่างสกุลไม่มาตามนัดขอรับ”หลินชูเจิ้งพลันขมวดคิ้ว เรื่องที่หลินอีฉุนอยากจะได้เฟิ่งชูอิ่
หมอมาถึงจวนสกุลหลินอย่างรวดเร็ว หลังตรวจดูบาดแผลของหลินอีฉุนแล้ว เขาก็รู้สึกเหมือนสามทัศน์ถูกทำลายเป็นเสี่ยงๆบาดแผลของหลินอีฉุนได้มาอย่างไร คนเป็นหมออย่างเขามองปราดเดียวก็รู้แล้วนี่จะไม่วิปริตผิดมนุษย์เกินไปหน่อยหรือ!หลังจากเขาทำแผลให้หลินอีฉุนเรียบร้อยแล้ว เขาก็กำชับเรื่องสำคัญอีกเล็กน้อยตอนที่ฮวาซื่อส่งหมออกจากจวน นอกจากจะมอบค่ารักษาตามสมควรแล้ว ยังมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เขาด้วยนางกระซิบว่า “เรื่องบาดแผลจากสุนัข รบกวนท่านหมอเก็บเป็นความลับด้วย”ท่านหมอปกติจะรักษาบรรดาขุนนางเจ้านายชั้นสูงอยู่แล้ว เขาได้พบเห็นเรื่องราวน่าสะอิดสะเอียนมากมาย อีกอย่างการรักษาความลับคนไข้ก็ทำให้เขามีชีวิตยืนยาวด้วยเขาจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินสบายใจได้ คุณชายก็แค่ลื่นล้มเท่านั้นเอง วันนี้ข้ามาที่จวนเพื่อรักษาบาดแผลให้คุณชายใหญ่”ฮวาซื่อพอใจกับวิธีการพูดจาของท่านหมอมาก จึงปล่อยตัวเขาออกจากจวนแต่พอนางกลับเข้ามาเห็นหลินอีฉุนนอนแน่นิ่งอยู่บนเตียง นางก็อดสงสารไม่ได้นางไม่คิดว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของหลินอีฉุน คิดเพียงว่าเฟิ่งชูอิ่งหน้าไม่อาย ล่อลวงหลินอีฉุนออกไปที่นั่นเพื่อทำร้ายนางคิดถึงขั้นว่าหลินอีฉุนยอมหลับนอ
วิญญาณร้ายที่เกาะติดผู้ดูแลโจวร้องไห้โฮ ยังจะเพิ่มอีกหนึ่งเดือน แล้วเมื่อไหร่มันจะได้ฆ่าผู้ดูแลโจวกันเล่า!ผู้ดูแลโจวดีใจจนออกนอกหน้า “ขอบพระคุณคุณหนูเฟิ่ง!”เรื่องนี้ทำให้เขากระจ่างแจ้งหนึ่งอย่าง นั่นคือของแค่เขาช่วยงานเฟิ่งชูอิ่งไปเรื่อยๆ เขาก็จะสามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนที่ผ่านมาได้เฟิ่งชูอิ่งโบกมือไปมา บอกกับวิญญาณร้ายว่า “ช่วงสองเดือนนี้เจ้าไปหาอย่างอื่นทำเถอะ ห้ามยุ่งเกี่ยวกับผู้ดูแลโจว“ถึงข้าจะไม่อยากสอดมือยุ่งเรื่องบุญคุณความแค้นของพวกเจ้า แต่ตอนนี้เขามีประโยชน์ต่อข้า ดังนั้นช่วยไว้หน้ากันหน่อย หลังจากสองเดือนผ่านไปเจ้าค่อยล้างแค้นเขา”วิญญาณร้ายจำต้องยอมไว้หน้านาง เพราะหากไม่ยอมไว้หน้านาง นางก็จะทำให้วิญญาณของเขาแหลกสลายไปได้มันบังเกิดความคิดหนึ่งอย่างในใจ มันจะต้องเป็นวิญญาณร้ายที่น่าสงสารที่สุดในโลกแน่นอนมันปล่อยโฮขณะผงกศีรษะยอมรับ ก่อนจะไปซุกตัวตรงมุมห้องแล้วนั่งร้องไห้มันร้องไห้จนเฟิ่งชูอิ่งเกิดรำคาญ จึงบอกว่า “เจ้าไปร้องที่ห้องอีกฝั่งโน่น”ห้องอีกฝั่งเป็นที่พักของหลินหว่านถิงวิญญาณร้ายตนนั้นลงจากร่างของผู้ดูแลโจว ทำให้เขาตัวเบาปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย เขาจึงรีบเอ่ยข
คนเฝ้าประตูชะงักกึก หากเฟิ่งชูอิ่งไม่ยอมไปพบคนที่หน้าประตูจวน แล้วงิ้วหลังจากนั้นจะแสดงต่ออย่างไรล่ะ?คนเฝ้าประตูแอบร้อนรน เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “พวกเขาต้องการพบคุณหนูต่างสกุล จะต้องเป็นสหายของคุณหนูต่างสกุลแน่นอน“คุณหนูต่างสกุลไม่ยอมไปพบพวกเขา ออกจะเสียมารยาทไปสักหน่อย!”เฟิ่งชูอิ่งเอ่ยเสียงเฉยชา “เสียมารยาทก็เสียไปสิ อย่างไรเสียบิดามารดาข้าก็ตายหมดแล้ว ท่านลุงกับท่านป้าสั่งสอนข้าให้ดีไม่ได้ ข้าก็เลยไม่มีมารยาทแบบนี้ไง”คนเฝ้าประตู “......”คำพูดของนางเขาไม่รู้จะตอบรับอย่างไรดีเฟิ่งชูอิ่งจึงไล่เขาออกไป “หากเจ้าไม่มีธุระอื่นก็ออกไปเถอะ ข้าจะพักผ่อน”นางกล่าวจบก็ผลักคนออกไปข้างนอก ก่อนจะปิดประตูลงกลอนอย่างแน่นหนาคนเฝ้าประตู “!!!!!!”เรื่องราวที่เกิดขึ้นไม่เหมือนกับที่เขาคาดคิดเอาไว้สักนิดเขาได้แต่ยืนโง่งมอยู่ตรงนั้นหากเฟิ่งชูอิ่งไม่ยอมออกไปข้างนอก เขาก็ไม่สามารถบังคับพาตัวนางออกไปได้หากเขาใช้กำลังลากตัวนางออกไป เกรงว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ตรงกันข้ามคนเฝ้าประตูใคร่ครวญอยู่สักพัก ก่อนจะไปพบฮวาซื่อฮวาซื่อฟังจบก็ขมวดคิ้วหน้านิ่ว หากเฟิ่งชูอิ่งไม่ยอมออกไป เรื่องนี้ก็จัดการได้ยากแล้วล่
“ข้าไม่สังหารนางก็ถือว่าดีมากแล้ว นางยังต้องการของตอบแทนอีกหรือ? น่าขันเสียจริง”ฉินจื๋อเจี้ยนก็มีสตรีที่ชอบอยู่เหมือนกัน พอได้ยินจิ่งโม่เยี่ยพูดแบบนั้น จึงรู้ทันทีว่าพวกเขาน่าจะทะเลาะกันมาเขาจึงแนะนำว่า “ท่านอ๋อง นางเป็นแค่สตรีตัวเล็กบอบบาง ท่านก็ยอมๆ นางไปเถอะ”จิ่งโม่เยี่ยแค่นเสียงเย็นชา “ข้าไม่เคยเจอสตรีหน้าไหนเป็นเหมือนนางมาก่อนเลย นางใจกล้าบ้าบิ่นอย่างมาก! แล้วยังคิดจะขึ้นมาขี่อยู่บนหัวของข้าอีก!”ฉินจื๋อเจี้ยนจึงมั่นใจว่าทั้งสองคนทะเลาะกันมาจริงๆ หากโน้มน้าวมากไป อาจจะได้ผลลัพธ์ตรงกันข้ามแม้จิ่งโม่เยี่ยจะเคยมีว่าที่พระชายามาแล้วถึงเจ็ดคน แต่ผู้หญิงทั้งเจ็ดคนก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยเห็นหน้าด้วยซ้ำไปเขาจึงไม่เคยได้พูดคุยกับสตรีมาก่อน ไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะได้รับความรักจากพวกนางก็เป็นเรื่องธรรมดาเขาใคร่ครวญว่าอีกหน่อยจะต้องช่วยจิ่งโม่เยี่ยเตรียมของขวัญแล้วส่งไปให้นาง ไม่แน่ว่าทั้งสองคนอาจจะกลับมาคืนดีกันก็ได้ในฐานะจ่างสื่อของท่านอ๋อง เขาต้องทำงานหนักเหลือเกินจิ่งโม่เยี่ยคิดว่านั่งมองยันต์พวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ มิสู้ทดลองผลลัพธ์ของยันต์เหล่านี้ด้วยตัวเองจะดีกว่าดังนั้นเขาจ
เฟิ่งชูอิ่งพูดต่อว่า “แต่ตอนนี้ข้าไม่เหลือทั้งบิดามารดาแล้ว เจ้าห้ามรังแกข้าเชียวนะ!”จิ่งโม่เยี่ยยกมือสาบานต่อฟ้าทันที “หากข้าทำไม่ดีกับเจ้าในภายภาคหน้า ขอให้สวรรค์ลงทัณฑ์ส่งฟ้ามาผ่าให้ตาย!”เฟิ่งชูอิ่งหัวเราะ “เรื่องฟ้าผ่าไม่ต้องถึงมือสวรรค์หรอก ข้าก็ทำได้”จิ่งโม่เยี่ย “......”เขาเกือบลืมไปแล้วว่านางวาดยันต์ได้เก่งมาก ตราบใดที่นางต้องการ ใช้ฟ้าผ่าเขาก็ไม่ใช่เรื่องยากเฟิ่งชูอิ่งเห็นท่าทางของเขาก็แอบหัวเราะเบาๆ เอื้อมมือไปกอดแล้วซุกศีรษะพิงอกเขา กล่าวว่า “ข้าเชื่อใจท่าน”“ตอนนี้เราทั้งสองล้วนไม่มีพ่อแม่แล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ก็มีเพียงกันและกัน”“ต่อไปข้าจะดูแลเจ้าอย่างเต็มที่ จะไม่ระแวงเจ้าอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าจะเชื่อใจเจ้า”หัวใจที่ตึงเครียดของจิ่งโม่เยี่ยก็ผ่อนคลายลงในทันทีเขากอดนางตอบ “กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตัดสินใจของเจ้าถูกต้อง”เขาโน้มตัวลงจูบหน้าผากนางเบาๆ เอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “ข้าจะทุ่มเททุกอย่างเพื่อรักเจ้า”เมื่อเฟิ่งชูอิ่งได้ยินคำพูดนี้ หัวใจก็สั่นไหว นางช้อนตามองขึ้นไปที่เขา ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนนางรู้ว่าคำพูดของเขาในตอนนี้ล้วนมาจ
ก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ฐานะของจิ้งจอกสือซานเหนียง แต่ตอนนี้เขาพอจะเข้าใจได้หลังจากได้ยินบทสนทนาระหว่างจิ้งจอกสือซานเหนียงและเฟิ่งชูอิ่งจิ้งจอกสือซานเหนียงเห็นสีหน้าเคร่งขรึมของเขาก็หัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไปเฟิ่งชูอิ่งถามว่า “เจ้าจะไปไหน? ข้ายังมีเรื่องอยากจะถามเจ้าอีกมาก”จิ้งจอกสือซานเหนียงตอบว่า “ข้าจะไปหาที่ขับไล่พลังชั่วร้ายออกจากร่างกาย พอขับไล่เสร็จแล้วข้าจะกลับมาหาเจ้า”ตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางฝึกฝนวิชาสายชั่วร้ายมากมาย ทำให้พลังชั่วร้ายในร่างกายมีมากเกินไป หากอยู่ใกล้ใครนานๆ จะมีผลกระทบต่อคนรอบข้างเฟิ่งชูอิ่งจึงเตือนนางว่า “เจ้าอย่าผิดคำพูดล่ะ ข้าจะรอเจ้ากลับมา!”จิ้งจอกสือซานเหนียงโบกมือแล้วบอกว่า “วางใจเถอะ ข้าจะกลับมาแน่นอน”หลังจากนางเดินออกไปไกลแล้ว เฟิ่งชูอิ่งก็ถอนหายใจยาวๆ และเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากแยกทางกันให้จิ่งโม่เยี่ยฟังหลังจากที่จิ่งโม่เยี่ยได้ยินเรื่องของเหมยตงยวน เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เพราะรักถลำลึกจึงไม่ยืนยาว เรื่องระหว่างท่านพ่อกับท่านแม่ช่างน่าเศร้า”เฟิ่งชูอิ่งกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ดังนั้นการสื่อสารจึงสำคัญ ต่อไปไม่ว่าจะมี
สิ้นเสียงของนาง สายฟ้าก็ฟาดลงมาอีกครั้ง ทำให้พลังที่พุ่งพล่านของเขาสลายไปจิ่งสือเยี่ยน “!!!!!!!!”หลังจากถูกอสนีบาตฟาดใส่อย่างต่อเนื่องห้าครั้ง ร่างวิญญาณของเขาก็จางลงอย่างมากแต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่ตายเฟิ่งชูอิ่งถึงกับตกใจ ชีวิตของจิ่งสือเยี่ยนช่างแข็งแกร่งเสียจริง!นางอดสงสัยไม่ได้ว่าเขาจะกลายเป็นเทียนซือคนที่สอง และจะกลายเป็นภัยพิบัติในอนาคตนางกำลังจะม้วนแขนเสื้อขึ้นเพื่อเสกยันต์ใส่จิ่งสือเยี่ยนอีกครั้ง แต่กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งเข้ามาแล้วกลืนเขาเข้าไปทั้งตัวเฟิ่งชูอิ่ง “!!!!!!”จิ้งจอกสือซานเหนียงเรอออกมาคำโตแล้วบอกว่า “เขาเป็นอาหารที่ข้าหมายตาไว้แต่แรก”“การปล่อยให้อาหารหลุดมือไป เป็นเรื่องที่ไม่อาจให้อภัยได้”เฟิ่งชูอิ่ง “......”นางเคยจินตนาการถึงความตายของจิ่งสือเยี่ยนไว้หลายแบบ แต่ไม่มีฉากจบแบบนี้อยู่เลยนางได้คงบอกได้แค่ว่าจิ้งจอกสือซานเหนียงเจ๋งสุดยอด!ขณะเดียวกันนั้นจิ่งโม่เยี่ยก็เดินเข้ามา เขาจ้องมองจิ้งจอกสือซานเหนียงด้วยความระแวดระวัง มือจับกระบี่เอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะฟันจิ้งจอกสือซานเหนียงได้ทุกเมื่อเฟิ่งชูอิ่งบีบมือเขาเบาๆ ให้เขาผ่อนคลายจิ้งจอก
แต่ทว่าคันธนูของจิ่งสือเยี่ยนเพิ่งจะยกขึ้นมา ก็มีลูกธนูที่เร็วกว่าพุ่งทะลุหัวใจของเขาในทันทีจิ่งสือเยี่ยนมองลูกธนูที่ปักอยู่บนอกด้วยความไม่อยากเชื่อ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองและเห็นดวงตาที่เย็นชาของจิ่งโม่เยี่ยเมื่อครู่นี้พวกเขาทั้งสองยังมีระยะห่างต่อกันอยู่แท้ๆ และตำแหน่งที่เขาหลบอยู่ก็เป็นมุมอับที่จิ่งโม่เยี่ยยิงมาไม่ถึงทว่าเพียงแค่อึดใจเดียว จิ่งโม่เยี่ยก็ปรับตำแหน่งได้อย่างรวดเร็วและยิงธนูทะลุหัวใจเขาได้ในนัดเดียวในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนกับจิ่งโม่เยี่ยไม่ได้อยู่ห่างกันมากนัก แต่ถ้าพูดคุยกันตามปกติก็คงไม่ได้ยินทว่าในเวลาเช่นนี้ จิ่งสือเยี่ยนกลับได้ยินเสียงของจิ่งโม่เยี่ย “คนที่กล้าทำร้ายชูอิ่งต้องตาย!”ก่อนหน้านี้จิ่งสือเยี่ยนคิดแค่ว่าจิ่งโม่เยี่ยดีต่อเฟิ่งชูอิ่งมาก ทว่าตอนนี้เขาเพิ่งได้รู้ซึ้งเรื่องบางอย่างเฟิ่งชูอิ่งไม่ใช่แค่จุดอ่อนของจิ่งโม่เยี่ย แต่เป็นทั้งชีวิตของเขาแต่มาเข้าใจเอาป่านนี้ก็สายไปแล้วในตอนนี้เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนคว่ำอยู่บนพื้นหิมะ นางได้ยินเสียงวัตถุแหวกอากาศจึงหันไปมอง และเห็นภาพของจิ่งสือเยี่ยนล้มลงกับพื้นในเวลานี้ เฟิ่งชูอิ่งก็เข้าใจใด้ทันทีว่าในโลกน
ในเมื่อเขาไม่ได้ราชบัลลังก์และเฟิ่งชูอิ่งมาครอบครอง ราชบัลลังก์เขาอาจจะทำลายไม่ได้ แต่เฟิ่งชูอิ่งแค่คนเดียวเขาทำลายได้แน่นอนองครักษ์สองคนของเขารีบเปลี่ยนมาง้างคันธนูเล็งไปที่เฟิ่งชูอิ่ง ทว่าลูกธนูยังไม่ทันได้ยิงออกไป ก็ถูกบางสิ่งบางอย่างปัดออกไปอีกครั้งในตอนนี้จิ่งสือเยี่ยนก็พลันเข้าใจบางอย่างขึ้นมาทันทีตลอดทางที่ผ่านมา วิญญาณร้ายของเฟิ่งชูอิ่งถึงจะมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ลงมือ นั่นก็น่าจะมีเหตุผลที่ลงมือไม่ได้วิญญาณร้ายโจมตีองครักษ์ของเขา แต่กลับไม่โจมตีเขา นั่นก็หมายความว่าวิญญาณร้ายเหล่านั้นโจมตีเขาไม่ได้เขานึกถึงข่าวลือที่เคยได้ยินมาว่า พลังมังกรของผู้เป็นฮ่องเต้เป็นสิ่งที่ปราบภูตผีปีศาจได้วิญญาณร้ายไม่โจมตีเขา นั่นแสดงว่าวิญญาณร้ายทำอะไรเขาไม่ได้ แปลว่าเขามีพลังมังกรอยู่ในตัว?ความคิดนี้ทำให้จิตใจเขาฮึกเหิมขึ้นมาทันที เขารีบหยิบธนูของตัวเองขึ้นมา อดทนต่อความเจ็บปวดจากบาดแผลแล้วยิงธนูไปที่หลังของเฟิ่งชูอิ่งเฉี่ยวหลิงเห็นภาพนี้ก็ตกใจ รีบยื่นมือออกไปเพื่อจะรับลูกธนูนั้นทว่าลูกธนูนั้นเปื้อนเลือดของจิ่งสือเยี่ยน เลือดนั้นเป็นอันตรายต่อวิญญาณร้ายอย่างมาก มือของนางแค่เพียงสัมผ
หิมะยังคงโปรยปรายลงมา โลกนี้เงียบสงัด มีเพียงเสียงฝีเท้ากระทบกับพื้นหิมะดังฟุ่บฟั่บช่วงใกล้รุ่งสาง ชวีเหลียงอวี่ก็มาปรากฏตัวและเอ่ยขึ้นทันทีว่า "ท่านอ๋องผู้สำเร็จราชการรออยู่ข้างนอกแล้ว"เมื่อได้ยินดังนั้น เฟิ่งชูอิ่งก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยนางหันไปบอกกับจิ่งสือเยี่ยนว่า "เมื่อครู่ข้าลองคิดดูดีๆ แล้ว รู้สึกว่าที่เจ้าพูดก็มีเหตุผลอยู่บ้าง การมีชีวิตอยู่ก็ไม่เลว"จิ่งสือเยี่ยน “......”หลังจากผ่านมาทั้งคืน นางกลับปลงตกในเรื่องเช่นนี้ได้ ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจอยู่เล็กน้อยแต่การที่นางคิดได้ในตอนนี้ก็เป็นเรื่องดีเขาจึงพูดว่า "หลายสิ่งหลายอย่างทำได้ตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น ตายไปแล้วทำไม่ได้""ตราบใดที่เจ้าพาข้าออกจากค่ายกลแห่งนี้ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้เจ้าอีก”เฟิ่งชูอิ่งพยักหน้า "ก็ได้ งั้นตอนนี้ข้าจะพาเจ้าไปทำลายค่ายกล"พูดจบนางก็ควบม้านำหน้าไป จิ่งสือเยี่ยนรีบนำทหารตามไปทันทีเพียงแต่พวกเขาเดินวนเวียนอยู่ที่นี่ทั้งคืน ทั้งเหนื่อยทั้งหิว พลังจึงลดลงไปมากเฟิ่งชูอิ่งมียันต์ป้องกันความหนาวติดตัวอยู่จึงไม่รู้สึกหนาว ก่อนหน้านี้ก็นอนหลับมาตลอดทาง ทำให้รักษาพลังงานไว้ได้มากที่สุ
เขาไม่เคยเจอใครดื้อด้านเท่านางมาก่อน!เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับโทสะ เพราะตอนนี้เขาไม่สามารถตบตีหรือด่าทอนางได้ทั้งนั้นเขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เจ้าอยากไปเจียงหนานไม่ใช่หรือ? พอออกจากที่นี่ได้ ข้าจะไม่ขัดขวางเจ้า เจ้าก็จะได้ไปชมวิวทิวทัศน์เจียงหนานที่เจ้าอยากเห็น”“เจียงหนานในฤดูหนาวที่มีหิมะปกคลุมทั้งงดงามและน่าหลงใหล ถ้าเจ้ายังไม่เคยเห็น ต้องไปดูด้วยตาตัวเองให้ได้เลย”เฟิ่งชูอิ่งยังคงนอนอยู่บนพื้นไม่ยอมลุกขึ้น “ไม่ไป อากาศหนาวเกินไป เดินทางเหนื่อยเกินไป”จิ่งสือเยี่ยน “…...”ตั้งแต่วินาทีที่เขาติดกับอยู่ที่นี่ สถานะระหว่างเขากับเฟิ่งชูอิ่งก็สลับกันโดยสิ้นเชิงเพราะเขามีความทะเยอทะยาน อยากใช้ชีวิตอย่างสุขสบายยิ่งเฟิ่งชูอิ่งแสดงออกว่าอยากตายมากเท่าไหร่ จิ่งสือเยี่ยนก็ยิ่งไม่ยอมให้นางตายมากขึ้นเท่านั้นดังนั้นตอนนี้นางจึงควบคุมเขาได้อย่างเบ็ดเสร็จการที่นางแสดงท่าทีไม่ยอมทำตามไม่ว่าเขาจะใช้ไม้แข็งหรือไม้อ่อนเช่นนี้ ทำให้เขาแทบเป็นบ้าจิ่งสือเยี่ยนไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าการจับตัวประกันจะน่าอึดอัดขนาดนี้เฟิ่งชูอิ่งนอนเอกเขนกอยู่ตรงนั้นอย่างสบายใจ เหตุผลก็ง่ายๆ นางใช้
เฟิ่งชูอิ่งยิ้มแล้วถามว่า “ทางที่ข้าชี้นำ เจ้ากล้าเดินตามหรือ?”เมื่อมาถึงตอนนี้แล้ว นางก็คร้านจะเสแสร้งต่อไปสีหน้าของจิ่งสือเยี่ยนแข็งค้างไปครู่หนึ่ง นางพูดอย่างเฉื่อยชาว่า “เพราะพวกเจ้าติดอยู่ที่นี่ คงรู้สึกหนาวเหน็บและหวาดกลัว”“เจ้าบาดเจ็บ ในสภาพอากาศหนาวเย็นเช่นนี้ แผลของเจ้าจะยิ่งทรุดหนัก”“เจ้ารีบร้อนมารวบรวมกำลังพลของกองกำลังอวี๋ซาน เจ้าคงไม่ได้พกอาหารมาด้วยมากนัก ดังนั้นตอนนี้พวกเจ้าคงหิวมากแล้ว”“ในสถานการณ์เช่นนี้ แค่ข้ากักขังพวกเจ้าไว้ที่นี่ ต่อให้ไม่หนาวตาย พวกเจ้าก็คงอดตายอยู่ดี”ขณะนี้หิมะขาวโพลนโปรยปรายไปทั่ว อากาศหนาวเหน็บ สภาพอากาศเช่นนี้คงจะดำเนินต่อไปเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือนเป็นอย่างที่เฟิ่งชูอิ่งบอก พวกเขาเดินทางมาที่นี่โดยไม่ได้พกเสบียงอาหารแห้งหรืออะไรทำนองนั้นมาด้วยเลยด้วยเหตุนี้ตอนที่พวกเขาเดินวนจนครบรอบที่สาม เสบียงอาหารก็หมดลงตอนนี้ฟ้าเริ่มมืดแล้ว หลังจากตกกลางคืน อากาศจะยิ่งหนาวเย็นลง พวกเขาจะยิ่งลำบากมากขึ้นจิ่งสือเยี่ยนชักกระบี่ยาวออกมา “เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าสามารถบั่นคอเจ้าด้วยกระบี่เล่มนี้ได้!”เฟิ่งชูอิ่งยิ้มหวานแล้วเอ่ยว่า “เอาเลย ฆ
เขาคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย “ได้”หลังจากฆ่าจิ่งโม่เยี่ยแล้ว จะปล่อยนางไปหรือไม่ เรื่องนี้เขาจะเป็นคนตัดสินใจนางเป็นผู้หญิงคนแรกที่เขารู้สึกชอบจริงๆ และนางก็เป็นผู้หญิงคนแรกที่ทำให้เขารู้จักกับความล้มเหลวเขารู้ว่านางมีวิธีการบางอย่างที่คนทั่วไปไม่มี ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าประมาท เขาจะป้อนยาที่ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงให้นางกินทุกวันเฟิ่งชูอิ่งรู้ทันความคิดของเขา และยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดีขณะที่ในใจของนางกำลังครุ่นคิด ครั้งที่แล้วโดนไปขนาดนั้นยังรอดมาได้ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องหาโอกาสฆ่าเขาให้ตายสนิทแบบไม่มีสิทธิ์ฟื้นขึ้นมาอีกนางพลันนึกถึงเรื่องที่เหมยตงยวนวิญญาณแหลกสลายหลังจากรู้ข่าวการตายของเฟิ่งชิงหลิง จิตใจนางจึงหม่นหมองตามไปด้วยนางรู้ว่าเหมยตงยวนรักเฟิ่งชิงหลิงอย่างสุดซึ้ง แต่ไม่คิดว่านั่นจะเป็นรากฐานที่ทำให้เขามีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เพราะนางเห็นความรักของพวกเขา นางจึงยิ่งรู้ชัดว่าตัวเองมีความรู้สึกแบบไหนต่อจิ่งโม่เยี่ยในเมื่อรักแล้ว ก็ต้องรักให้สุดหัวใจอย่าได้ทำเรื่องที่ทำให้ตัวเองเสียใจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดอีกจิ่งสือเยี่ยนไม่ได้ไปตามล่าจิ่งโม่เยี่ยโดยตรง เขาวางแผนท