ตอนที่มู่จิ่วซีออกมาจากพระราชวัง นางก็มอบคลานอยู่ในรถม้า ทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ลงมือโบยไปห้าทีอย่างไม่ได้ยั้งมือ ก้นของนางตอนนี้ปวดแสบร้อนไปหมดส่วนแม่ทัพใหญ่มู่แถบเรียกได้ว่าทุกข์ใจ แต่ก็เหมือนกับเป็นการปลอบใจเช่นกัน"ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องกังวล ข้าต้องชนะแน่นอน ลูกสาวคนนี้จะชนะและคว้าเอากระบี่หยกมังกรเขียวเล่มนั้นมาให้ท่านให้ได้ เดือนหน้าบังเอิญวันเกิดท่านพอดีเลยด้วย ถือซะว่าเป็นของขวัญวันเกิดของท่านพ่อก็แล้วกัน" มู่จิ่วซีมองไปยังใบหน้าท่านพ่อของนางที่กำลังกลุ้มใจขมขื่นอยู่ขณะนี้พร้อมกับยิ้มกล่าว"ยัยหนู เจ้ายังจะยิ้มออกอีก ต่อให้แพ้ก็ไม่เป็นไรหรอก เรื่องนี้ให้มันแล้วๆ ไปเถอะ พอพูดขึ้นมา พระพันปีหลวงและท่านผู้สำเร็จราชการแทนต่างก็ล้วนกำลังช่วยเจ้าอยู่ เพราะถึงอย่างไรคุณหญิงฉีก็เป็นถึงคุณหญิงตราตั้งระดับสอง นางถูกเจ้าตีจนแทบปางตาย เจ้านี่มันช่างกล้าดีจริงๆ" มู่เทียนซิงยังคงรู้สึกกลัวหวาดผวาอยู่ (คุณหญิงตราตั้ง เป็นพระยศที่จักรพรรดิได้พระราชทานให้คุณหญิงของขุนนาง)มู่จิ่วซียิ้มพร้อมกับกล่าว : "อันที่จริงคราวนี้โม่จุนได้ช่วยข้าไว้ เขาจงใจพูดถึงคุณหนูสามของตระกูลฉีเพื่อให้ข้าได้ท้าเดิ
พอดวงอาทิตย์ขึ้น แสงอาทิตย์สีแดงก็ได้สาดส่องไปยังพระราชวังอันวิจิตรและงดงาม จนสะท้อนเกิดเป็นแสงทองเหลืองอร่าม เผยให้เห็นถึงความงดงามของสิ่งปลูกสร้างภายในวังฉือลู่ ไป๋ชิงที่สวมใส่ชุดสีขาวเรียบๆ ก็ยืนอยู่ที่หน้าโถงพระโรงอย่างวิตกกังวล ส่วนมู่จิ่วซีซึ่งสวมชุดกระโปรงบานในแบบของพระราชวังก็นั่งอยู่ใต้ชายคา นางอาศัยช่วงที่พระพันปีหลวงยังไม่เสด็จมาถึงฝึกวรยุทธกระบวนท่าของเฟิงเหยียนหยูเฟยมู่จิ่วซีเมื่อวานได้รับเฟิงเหยียนหยูเฟยส่วนที่สองซึ่งฮั้วอวิ๋นเทียนได้ให้เถ้าแก่ร่างท้วมเอามาให้ โดยเงื่อนไขคือให้นางไปเยี่ยมเยียนพบคุณหนูอาจื่อเป็นระยะๆ ให้ที เพื่อให้แน่ใจว่านางยังไม่ตายมู่จิ่วซีก็เผยยิ้มมุมปาก นางรู้สึกว่าฮั้วอวิ๋นเทียนก็พอจะเข้ากับนางได้ดี คุ้มแล้วที่จะมีเพื่อนแบบนี้นางตอนนี้ฝึกฝนเฟิงเหยียนหยูเฟยถึงระดับสี่แล้ว หากนางฝึกฝนจนแตกฉากในส่วนแรก นางก็จะสามารถเปิดผนึกสองเส้นลมปราณด้วยตนเองได้ พอเรียนส่วนที่สองก็ยิ่งใช้เวลาได้น้อยกว่าแต่ได้ผลมากกว่าพอจนถึงช่วงฝึกฝนส่วนที่สามเมื่อไหร่ นางก็มั่นใจว่าพละกำลังของนางคงจะแพ้อย่างไม่น่าเวทนานักเมื่อต้องสู้กัลยอดฝีมืออย่างโม่จุนและฮั้วอวิ๋นเทียน
มู่จิ่วซีคิดถึงพิษเงาหอมนิโลบลขึ้นมา ถ้าหากคุณหญิงใหญ่ของอัครมหาเสนาบดีถูกจ้วงชิงเหมยวางยาพิษเงาหอมนิโลบล งั้นจ้วงชิงเหมยคนนี้ก็คือไส้ศึกของแคว้นเป่ยจิ้น งั้นจะปล่อยให้นางขึ้นเป็นคุณหญิงใหญ่ได้อย่างไร?หากไส้ศึกได้กลายเป็นคุณหญิงตราตั้งระดับหนึ่งขึ้นมา งั้นหลังจากนี้คงไม่ตบหน้าราชวงศ์อย่างเปิดเผยเลยหรอกเหรอ?พระพันปีหลวงก็ทรงแย้มสรวลให้กับท่าทีขึงขังของมู่จิ่วซี"เอาล่ะ เอาล่ะ เลิกคิดเรื่องของใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีได้แล้ว เดี๋ยวข้าจะไปเตือนเขาเอง แม่หนูไป๋ ไม่มีใครจะแย่งฐานะคุณหนูใหญ่ของจวนตระกูลไป๋ของเจ้าไปได้ เจ้าวางใจเถอะ แต่ว่าท่านแม่ของเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว งั้นหลังจากนี้เจ้าได้วางแผนไว้บางรึเปล่า?"ไป๋ชิงเมื่อได้ยินน้ำเสียงโอบอ้อมอารีย์ของพระพันปีหลวง นางก็รีบคุกเข่าและกล่าวขอร้องขึ้นมา : "หม่อมฉันหวังว่าพระพันปีหลวงจะทรงพระอนุญาตให้หม่อมฉันไว้ทุกข์ท่านแม่เป็นเวลาสามปีเจ้าคะ""สามีปี!" มู่จิ่วซีตกใจจนอุทานออกมาพร้อมกับรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูก "ไป๋ชิง เกิดเรื่องอะไรขึ้นรึเปล่า?"ไป๋ชิงหันไปมองมู่จิ่วซีครู่หนึ่งพร้อมกับสีหน้าที่ซีดเผือด : "พ่อข้าและป้าสะใภ้รองต้องการให้ข้าแต่งกับ
มู่จิ่วซีถลึงตาเบิกกว้างและกล่าวอย่างตกใจ : "ข้า ข้าทำอะไร? ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยต่างหาก?" นางหันไปมองแม่นมเฝิงและรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม"ไม่ได้ทำอะไรงั้นเหรอ แล้วทำไมท่านอ๋องหกถึงอยากสู่ขอเจ้าเป็นพระชายา? ถ้าไม่ใช่เพราะพระมเหสีเลี่ยวถูกขังอยู่ในจวน เกรงว่าก๋คงจะมาสู่สู่ขอแต่งงานกับพ่อของเจ้าแล้ว" พระพันปีหลวงทรงตบโต๊ะอย่างแรงด้วยความโกรธพระมเหสีเลี่ยวคือเสด็จแม่ของท่านอ๋องหกโม่หยวนชิง"อะไรนะ?" มู่จิ่วซีตกตะลึงในสายตา นางจำได้ว่าเจ้าของร่างเดิมได้อยู่ที่โรงสุราและดื่มเยอะเกินไป ซึ่งตอนนั้นท่านอ๋องหกก็อยู่ติดกับโรงเหล้าแห่งนั้นท่านอ๋องหกมีอายุน้อยกว่าโม่จุนแค่ 4 ปี ปีนี้อายุเพียง 19 ใบหน้าของเขาหล่อเหลาโดดเด่น นิสัยร่าเริงดั่งชายหนุ่มที่แฝงไปด้วยแสงตะวันมู่จิ่วซีตอนนั้นดื่มเยอะและก้ได้เข้าไปหยอกล้อท่านอ๋องหก อีกทั้งยังไปนั่งบนตัวของท่านอ๋องหก นางยังชิ้วจับคางเชิดหน้าของเขาขึ้นและบอกกับเขาว่าเขานั้นหล่อมาก จนในตอนท้ายท่านอ๋องหกก็เขินอย่างมากจนลุกหนีไปทำไมกับแค่เหตุการณ์นั้นเพียงครู่เดียว ท่านอ๋องหกถึงได้มาสู่ขอนางเสียได้?นี่คือเขาสมองกลับหรืออะไร?แม้แต่ท่านอ๋องผ
ภายในพระราชอุทยาน ไป๋ชิงก็กล่าวขึ้นมาอย่างร้อนรน : "จิ่วซี คุณหนูสามของตระกูลฉีนั้นวาดรูปเก่งมากนะ""ไม่ต้องกังวลเรื่องของข้า ข้าบอกแล้วว่าชนะได้ก็ต้องชนะได้ วันมะรืนเจ้าก็มาด้วยล่ะ มาเป็นกำลังใจให้ข้าด้วย" มู่จิ่วซีกุมไปที่มือของนางพร้อมกับยิ้มกล่าวสำหรับการที่ได้เป็นเพื่อนกับไป๋ชิง มู่จิ่วซีเองก็รู้สึกดีใจมาก ถึงแม้อาจไม่ถึงขั้นเปิดอกจริงใจพูดคุยกันได้ขนาดนั้น แต่มู่จิ่วซีก็ยอมที่จะให้โอกาสกับไป๋ชิง และก็เป็นการให้โอกาสตนเองเหมือนกัน ถึงอย่างไรสถานที่แบบนี้ นางเองก็ไม่มีเพื่อนแท้เลยสักคนจริงๆไป๋ชิงก็ดีใจขึ้นมาทันทีและก็กล่าว : "ได้ ถึงอย่างไรถ้าแพ้ขึ้นมาก็แค่เสียหน้า"มู่จิ่วซีรู้สึกเฉยชากับเรื่องที่คนอื่นรู้สึกว่านางจะต้องแข่งแพ้ แต่คราวนี้นางจะต้องกู้หน้าให้กับเจ้าของร่างเดิมให้ได้จริงๆ เพื่อระบายความโกรธแค้นของท่านพ่อด้วยแม้ว่านางจะไม่ได้สนใจชื่อเสียงจอมปลอมพวกนี้ แต่ในเมื่อท่านพ่อและพระพันปีหลวงล้วนชื่นชอบ งั้นนางก็จะยอมฝืนแสดงฝีมือที่แท้จริงสักตั้งเพื่อหลีกเลี่ยงไอพวกที่ชอบเอาแต่ชอบหาเรื่องมานาน จะได้เลิกคิดจริงๆ สักทีว่าตัวเองเป็นนางฟ้าที่สามารถดึงดูดใจผู้คนได้มู่จิ
พอโม่จุนพูดประโยคนี้ออกมา เขาก็อยากจะตีปากของตัวเอง ทำไมเขาถึงได้ปากร้ายเหมือนกับมู่จิ่วซีไปได้พอคนอยู่ด้วยกันไปนานๆ สนิทกัน ก็จะหลอมรวมเข้าหากันเองจริงๆ งั้นเหรอเหมือนกับสามีภรรยา?โม่จุนตะลึงตกใจ เขาไม่อยากจะเชื่อตัวเองเลยว่าในหัวจะกล้าคิดคำว่าสามีภรรยาสองคำนี้ขึ้นมาได้ อีกทั้งยังเป็นตอนที่อยู่ด้วยกันกับมู่จิ่วซีอีกในหัวของเขาพักนี้มีแต่มู่จิ่วซีเต็มหัวไปหมด เขาแทบจะเกือบถูกนางทำให้หลงจนโงหัวแทบไม่ขึ้นแล้ว"ทำผิดก็ยอมรับ ฮิฮิ แต่ว่านะโม่จุน วันนี้เจ้าหล่าเหลาดูดีมากจริงๆ" มู่จิ่วซียิ้มพร้อมกับยักไหล่ จนความเขินอายได้คลายลงในใจของโม่จุนถึงกับเต้นกระตุก เขาแหงนหน้าหันไปมองนาง แต่ก็กลับเห็นเพียงแค่ความจริงใจในสายตาของนาง ไม่เหมือนกับคนโกหก ในใจของเขาก็แอบมีความรู้สึกภูมิใจขึ้นมาเล็กๆ จากนั้นริมฝีปากของเขาก็อดที่จะปากร้ายขึ้นมาไม่ได้"เทียบกับฮั้วอวิ๋นเทียนล่ะ?" โม่จุนพอพูดจบก็อยากจะตบปากของตัวเองอีกครั้งมู่จิ่วซีก็ตะลึงค้างไป จากนั้นก็หัวเราะร่าขึ้นมาอย่างไพเราะจนทำให้โม่จุนถึงโกรธจนเลือดขึ้นหน้าและหูแดงไปหมด"เจ้ากับฮั้วอวิ๋นเทียนก็ล้วนดูดีทั้งคู่ ใบหน้าสมส่วน แต่พวกเจ้าท
โม่จุนก็เดินมาหาทางด้านของรองหัวหน้าทหารรักษาพระองค์พร้อมกับพูดคุย แต่ว่าดวงตาของเขายังคงเหลือบมองรถม้าที่อยู่ตรงประตูอยู่่เป็นครั้งคราวราวกับว่าในรถม้ามีของสำคัฯของเขา ราวกับว่าไม่อยากให้รถม้านั้นคลาดสายตาเขาไปหลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม มู่จิ่วซีก็ยังไม่ตื่น เย่ฮานอดทนต่อไปไม่ไหวเลยเดินเข้าไปและพูดเสียงเบา : "คุณหนู คุณหนูใหญ่"คราวนี้มู่จิ่วซีรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาและก็นั่งจนหลังตรง"ถึงแล้วหรอ?" สามคำที่มู่จิ่วซีพูดออกมาทำให้มุมปากของเย่ฮานถึงกับยิ้มกระตุก"คุณหนูใหญ่พวกเรามาถึงได้หนึ่งชั่วยามแล้วขอรับ"มู่จิ่วซีก็รีบเปิดประตูลงมาจากรถม้าละกล่าว : "ถึงตั้งนานแล้วเหรอ? แล้วทำไมไม่เรียกข้า?""ท่านผู้สำเร็จราชการแทนให้ท่านนอนอีกสักหน่อยขอรับ" เย่ฮานมองมู่จิ่วซีด้วยสายตาแปลกๆมู่จิ่วซีเลิกคิ้วขึ้นมาทันใด เพียงนางหันไปก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของโม่จุนซึ่งอยู่ใต้ชายคาตอนนี้แววตาอันลึกล้ำทั้งสองข้างของโม่จุนก็ได้มองนางอย่างลึกซึ้งเหล่าทหารรักษาพระองค์ก็รีบถวายความเคารพมู่จิ่วซี ในใจของแต่ละคนก็รู้สึกสงสัยคุณหนูใหญ่มู่คนนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งถูกท่านผู้สำเร็จราชการแทนถอนหมั้นไปหรอกเหรอ? ท
มู่จิ่วซีก็แอบพูดในใจ ผู้หญิงคนนี้เป็นยอดฝีมือด้านการแสดงเลยนะเนี่ย"ยินดีที่ได้พบเช่นกันสนมเอกสาม" มู่จิ่วซีย่อตัวลงมาเซียวหลิงเย่ว์ก็รีบหันไปมองโม่จุนและยิ้มกล่าว : "ท่านผู้สำเร็จราชการแทนวันนี้มาหาด้วยธุระเรื่อง?"โม่จุนก็สลายบรรยากาศเย็นชารอบตัว : "พี่สะใภ้ท่านอ๋องสาม ข้ามาเพื่ออยากพบเสด็จพี่สาม"เซียวหลิงเย่ว์ตกตะลึง จากนั้นก็พยักหน้าและกล่าวขึ้นมาทันที : "ท่านอ๋องนั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ ทั้งสองท่านเชิญด้านนี้" ขณะกล่าวนางก็ทำท่าผายมือเชิญ"นั่งสมาธิ?" มู่จิ่วซีอีกนิดก็เกือบจะหลุดขำออกมา นี่คือกำลังสำนึกผิดอยู่อย่างงั้นเหรอ?"คงทำให้คุณหนูใหญ่มู่ต้องขบขันหัวเราะเลยสินะ ท่านอ๋องสามปกติแล้วไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องทำ จึงได้แต่นั่งสมาธิเป็นครั้งคราว เพื่อสำนึกผิดกับสิ่งที่ตนเองทำไปในตอนนั้น"ประโยคคำพูดนี้ของเซียวหลิงเย่ว์ยิ่งตอกย้ำควมคิดของมู่จิ่วซี นี่เรื่องจริงงั้นเหรอ?"เห้อ ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนนั้นก็ไม่ควรเลย" มู่จิ่วซีเองก็เห็นใจมากและก็หันไปมองโม่จุนครู่หนึ่งที่ซึ่งเขาพูดน้อยมากเซียวหลิงเย่ว์ก็กล่าวต่อพร้อมกับใบหน้าที่กระอักกระอ่วนอยู่เล็กน้อย : "คุณหนูใหญ่มู