"ซีเอ๋อร์ พิษได้ตรวจสอบเจอแล้ว แต่หลายคนก็ล้วนมีพิษกระเรียนแดง คงตรวจสอบยาก" มู่เทียนซิงขมวดคิ้วกล่าว"ไม่เป็นไร พวกเรายังมีเบาะแสอีกชิ้นหนึ่ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็ใช้กลอุบายเล่นงานลูก นี่พอฆ่าลูกไม่ตายก็เลยเล่นงานธุรกิจลูกให้ทำเงินไม่ได้" มู่จิ่วซีดูถูกพวกศัตรู"ซีเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าใครเป็นคนทำแบบนี้?""เดิมทีเป็นไปได้มากว่าเป็นคนในวงการอาชีพเดียวกัน แต่ตอนนี้น่ะเหรอ ลูกคิดว่าเป็นไส้ศึกแคว้นเป่ยจิ้นกำลังเล่นสกปรกอยู่" มู่จิ่วซีบอกเรื่องกระดาษข้อความให้ฟังมู่เทียนซิงหลังจากฟังก็พูดขึ้นมา : "เจ้าพูดถึงกระดาษแผ่นนั้นของป้าสะใภ้รองสินะ มันเป็นกระดาษที่พ่อไปซื้อมาจากร้านฝูลู่เทียนฉายเมื่อตอนนั้น ป้าสะใภ้รองของเจ้าชอบใช้กระดาษประเภทนี้มาก""กระดาษข้อความที่เด็กคนนั้นให้กับสวีซานเหอก็คือกระดาษชนิดนี้ ท่านว่าเป็นเรื่องบังเอิญรึเปล่า?" มู่จิ่วซีถามมู่เทียนซิงพยักหน้าและก็กล่าว : "ข้าจำได้ว่าป้าสะใภ้รองของเจ้าได้เคยเอากระดาษพวกนี้ให้กับคนๆ หนึ่ง"มู่จิ่วซีทันใดนั้นก็เลิกคิ้วขึ้นมาและกล่าว : "ใคร?""เซี่ยเฟิง" มู่เทียนซิงตอบ"เซี่ยเฟิง? ปรมาจารย์เซี่ยเฟิงแห่งกรมพระราชวังนครบาลคนนั้นน่ะเหรอ
มู่จิ่วซีชะงักนิ่งไป ทันใดนั้นก็กล่าวขึ้นมาอย่างดีใจ : "ป่าวเอ๋อร์ เจ้ารู้จริงๆ เหรอว่าพ่อของเจ้าอยู่ไหน?"เซี่ยป่าวเอ๋อร์พยักหน้า ดวงตากลมโตกระพริบอยู่สองสามครั้ง เหมือนกับรอให้มู่จิ่วซีสัญญากับนาง"อืม หากป่าวเอ๋อร์รู้ที่อยู่ของพ่อเจ้าจริงๆ ข้าจะให้เจ้ากับแม่ของเจ้าได้อยู่ที่นี่เหมือนเดิม" มู่จิ่วซีรีบกล่าวขึ้นมาเซี่ยป่าวเอ๋อร์ดีใจในทันทีและบอกกับนาง : "พี่สาว งั้นก็ตามข้ามาได้เลย"ขณะเซี่ยป่าวเอ๋อร์พูดก็วิ่งออกไปตรงประตูเรือนมู่จิ่วซีก็โบกมือเรียกพาเย่ฮานและคนของกรมพระราชวังนครบาลกลุ่มหนึ่งตามเซี่ยป่าวเอ๋อร์ไปมู่จิ่วซีเดินมาหาข้างๆ เซี่ยป่าวเอ๋อร์และกล่าว : "ป่าวเอ๋อร์ เจ้าจะพาพี่สาวไปไหนงั้นหรอ?""เดี๋ยวก็ถึงแล้ว ป่าวเอ๋อร์เห็นท่านพ่อแอบวิ่งออกมาข้างนอกตอนกลางดึกหลายครั้ง เขาไปแต่ที่นั่น" เซี่ยป่าวเอ๋อร์รีบวิ่งพร้อมกับกล่าวอย่างเหนื่อยหอบในใจของมู่จิ่วซีกลับมีความสุข ดูเหมือนต่อให้เซี่ยเฟิงคิดเป็นพันเป็นหมื่นครั้งก็คงจะคาดไม่ถึงว่าลูกสาวของเขาเองจะเป็นห่วงเขาที่กบดานของเซี่ยเฟิงอันที่จริงห่างจากกรมพระราชวังนครบาลไม่ไกลมาก เหมือนกับชุมชนภายในเมือง ด้านในมีบ้านเรือนมากม
"เซี่ยเฟิง ไม่คาดคิดว่าจะเป็นเจ้าจริงๆ!" มู่จิ่วซียิ้มเยาะ พร้อมกับโขกศีรษะกระแทกกับเซี่ยเฟิง เพราะนางรู้สึกว่าเซี่ยเฟิงจะต้องกัดพิษปลิดชีพตัวเองแน่นอนเสียง "ปึก!" ดังขึ้น เซี่ยเฟิงคร่ำครวญออกมา หัวของเขาถูกศีรษะของมู่จิ่วซีกระแทกใส่จนมึนงง มู่จิ่วซีอาศัยจังหวะใช้มืออีกข้างหนึ่งต่อยไปที่แก้มขวาตรงหน้าของเขาเซี่ยเฟิงร้องอย่างเวทนา ฟันหลายซี่ของเขาถูกต่อยจนลอยออกมานอกปากมู่จิ่วซีใช้เท้าทีบไปอย่างแรงตรงท้องของเขา ทั้งตัวของเซี่ยเฟิงล้มลงไปกองกับพื้นกระบี่ยาวของเย่ฮานจ่อไปตรงลำคอของเขา"มู่จิ่วซี เจ้ามันตามหลอกหลอนไม่เลิกจริงๆ!" เซี่ยเฟิงพูดออกมาไม่ชัดเจน"ขอบคุณที่ชม!" มู่จิ่วซียิ้มเยาะพร้อมกับกล่าว "แต่ว่าเจ้าคงคาดไม่ถึงว่าข้าจะมาเจอเจ้าที่นี่สินะ!"เซี่ยเฟิงก็กล่าวอย่างกลุ้มใจ : "เจ้าหาที่นี่เจอได้อย่างไร? ทำไมถึงเร็วขนาดนี้!""นั่นต้องขอบคุณลูกสาวสุดที่รักของเจ้าแล้วล่ะ นางเพียงเพื่อจะช่วยท่านแม่ของนาง ก็เลยยอมบอกสถานที่นี้ให้กับข้า" มู่จิ่วซีเห็นเซี่ยเฟิงทำหน้านิ่วขมวดไม่อยากจะเชื่อ ความเย็นเยือกตรงมุมปากก็ยิ่งถลำลึก"เย่ฮาน มัดเขาเอาไว้และพากลับไปสอบปากคำ!" มู่จิ่วซีกล่า
มู่เทียนซิงตั้งใจพยายามนึก แต่ว่าพอนึกไปนึกมาแล้วก็นึกไม่ออก เขาทำหน้ากลุ้มอกกลุ้มใจ เห็นแล้วน่าตลกมาก"ท่านพ่อ เอาล่ะ ไม่ต้องนึกแล้ว ถ้าท่านนึกออกก็คงจะไม่มานึกถึงเซี่ยเฟิงได้เอาวันนี้ ตอนนี้ดึกแล้ว ท่านรีบไปนอนเถอะ" มู่จิ่วซีพอเห็นหน้านิ่วขมวดที่เอาแต่นึกของตนเองก็ยิ้มหัวเราะออกมา"เจ้ามันนางตัวแสบ กล้าดูถูกพ่อเจ้าเรอะ!" มู่เทียนซิงเกาตรงขมับและกล่าวอย่างอารมณ์เสีย "งั้นเจ้าจะบอกว่าพิษในร้านชานมของเจ้าในวันนี้เป็นฝีมือของเซี่ยเฟิงงั้นหรือไง?""เขาเป็นคนวางยาพิษหรือไม่มันไม่สำคัญแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องเกี่ยวข้องกับเขา ตอนนี้ยืนยันได้แล้วว่าเขากับป้าสะใภ้รองมีความสัมพันธ์กัน ซึ่งก็คือไส้ศึกแคว้นเป่ยจิ้น ก็คือไส้ศึกแคว้นเป่ยจิ้นที่ต้องการทำร้ายลูกสาวสุดที่รักของท่าน" มู่จิ่วซียักใหล่กล่าว"ทำร้ายเจ้าก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง? เพียงแค่คราวก่อนแอบรอบยิงธนูสังหารเจ้า แต่คราวนี้ทำไมถึงลงมือกับร้านชานมของเจ้าแทน? ไม่ใช่ว่าควรต้องฆ่าเจ้าหรือไง? ลงมือกับร้านชานมจะไปมีความหมายอะไร? หรือว่าพอฆ่าเจ้าไม่ได้แล้วก็จนปัญญา?" มู่เทียนซิงรู้สึกแปลกเล็กน้อย"ปัญหาน่าคิด ลูกเองก็คิดไม่ตก ให้ลูกเอาเ
มู่จิ่วซีเข้าใจอารมร์ของโม่จุน กรมพระราชวังนครบาลเป็นองค์กรที่สำคัญแห่งหนึ่ง กลับมีไส้ศึกเป็นบุคคลระดับสูงถึงสองคน แน่นอนว่าโจวเหยาซึ่งเป็นอธิบดีก็ยากจะหลีกเลี่ยงความผิด"แต่ว่า ใต้เท้าโจวไม่ใช่ว่ากำลังตรวจสอบท่าเรืออยู่หรอกเหรอ พอจับปรมาจารย์ไช่ของโกดังตระกูลฉีได้ ก็พบว่าปรมาจารย์ไช่เป็นไส้ศึก อีกทั้งยังจับได้ทั้งเป็น ที่น่าบังเอิญกว่ามากคือปรมาจารย์ไช่และปรมาจารย์เซี่ยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันมู่จิ่วซีตกใจอ้าปากค้างพร้อมกับกล่าวออกมา : "มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ งั้นโกดังตระกูลฉีที่แท้ก็เป็นฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของแคว้นเป่ยจิ้นน่ะสิ""ใช่ขอรับ ปรมาจารย์ไช่ทนการถูกเฆี่ยนทรมานไม่ไหวก็เลยคายชื่อคุณชายหม่าออกมา อีกทั้งยังบอกว่าคุณชายหม่าซ่อนอยู่ในบริเวณรอบๆ ท่าเรือขอรับ" ชิงเฟิงกล่าว"คุณชายหม่า!" ดวงตาของมู่จิ่วซีทอประกายขึ้นมาในทันที "ชายน่าสะดุดตาคนนั้นที่ท่าเรือ? ไม่สิ เป็นชายหนุ่มรูปงามคนนั้นที่ท่าเรือน่ะเหรอ?""ใช่ขอรับ คุณหนูใหญ่สังเกตุคนๆ นี้ไว้ตั้งนานแล้วเหรอขอรับ?" ชิงเฟิงคราวก่อนไม่ได้ไป แน่นอนว่าไม่รู้เรื่องนี้ชัดดี"แค่ท่าเรือแห่งเดียว กับหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่ปรากฎตัว เดิมที
มู่จิ่วซีรีบลงมาจากม้า นางตะโกนเรียกเย่ฮานและโยนบังเหียนม้าออกไปชิงเฟิงก็เอาบังเหียนม้าโยนให้กับเย่ฮานและรีบตามมู่จิ่วซีคนขับเกวียนม้าฝ่ายตรงหน้าสวมหมวกผ้าสีน้ำตาลใบหนึ่ง เลยมองไม่เห็นหน้า ตอนนี้สองมือกุมบังเหียนม้าเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ม้าที่ตกใจเตลิดวิ่งมั่วซั่วประตูรถม้าที่ตะแคงกับพื้นก็ได้เปิดออก ด้านในมีอยู่ 2 คน มู่จิ่วซีเห็นคนที่คล้ายกับบ่าวรับใช้คลานออกมาก่อน จากนั้นก็ถามอย่างกระวนกระวายเข้าไปข้างใน : "นายท่าน ท่านต้องไปโรงแพทย์ไหม?""ตื่นตระหนกอะไร!" มู่จิ่วซีรู้สึกคุ้นหูกับเสียงของผู้ชายด้านใน นางเอียงศีรษะหันมองเข้าไปในทันที "ท่านอ๋องสี่!"มู่จิ่วซีส่งเสียนอุทานขึ้นมา ไม่คาดคิดว่าภายในรถม้าจะเป็นท่านอ๋องสี่โม่อี้ซิวทำไมท่านอ๋องสี่มาโผล่ที่ท่าเรือซิงหลงในเวลาแบบนี้?นี่มันน่าสนใจจริงๆ"คุณหนูใหญ่มู่ เจ้ามาเอาชีวิตข้าตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เลยหรือไง?" ในที่สุดท่านอ๋องสี่ก็คลานออกมา หลังมือเต็มไปด้วยเลือดใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเล็กน้อย แต่ทว่ามุมปากกลับยังเผยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ เขาเห็นมู่จิ่วซีและเสียวสันหลังวาบอย่างไม่มีเหตุผล"มู่จิ่วซีถวายบังคมท่านอ๋องสี่เพคะ! ไอ้
"หรอ? อาหารทะเลเน่าเสียและปฏิเสธตีกลับเหรอเพคะ? เรื่องแบบนี้ต้องให้ท่านอ๋องสี่ทรงต้องลงมาจัดการด้วยตัวเองเลยเหรอเนี่ย งั้นท่านจ่ายเงินแพงๆ จ้างคนตั้งมากมายไว้ทำอะไรเหรอเพคะ? ตัวเองต้องมาเหนื่อยขนาดนี้ ข้าเองปวดใจแทนท่านอ๋องสี่จริงๆ" มู่จิ่วซีตีหน้าใสซื่อพูดออกมา"มูลค่าอาหารทะเล 32,000 ตำลึง มันไม่ใช่มูลค่าน้อยๆ รวมกับค่าตีเรือกลับกับค่าชดเชยความเสียหาย แคว้นตงเฉินทางด้านนั้นต้องชดเชยให้ข้า 50,000 ตำลึง หากข้าไม่ประทับลายนิ้วมือ พวกเขาจะยืนยันบัญชีได้ยังไง มู่จิ่วซี เจ้าอย่ามาหาเรื่องข้าดีกว่า ข้ายังมีธุระต้องไปทำ"ความอดทนของโม่อี้ซิวเริ่มหมดลง"ดูจากที่ท่านอ๋องพูด ซีเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี พูดให้ชัดก็จบเรื่องไปแล้วไม่ใช่หรือไงเพคะ หม่อมฉันเองก็กลัวว่าพอกลับไปแล้วโม่จุนถามขึ้นมา หม่อมฉันกลับไม่รู้อะไรเลยเนี่ยน่ะสิ" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว "งั้นขอให้ท่านอ๋องสี่เดินทางโดยสวัสดิภาพเพคะ""เจ้าไม่ใช่ว่าควรชดใช้ค่ารถม้าของข้าหรือไง?" โม่อี้ซิวกล่าวอย่างโมโห"หา? ท่านอ๋องสี่ นี่มันเหตุผลอะไรเพคะ ซีเอ๋อร์ไม่ได้แตะต้องรถม้าของท่านเลย ท่านอ๋องสี่ งั้นหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ" มู่จิ่วซี
เถ้าแก่เฉินพอเห็นสีหน้าของมู่จิ่วซีก็รู้สึกไม่ค่อยดี"เถ้าแก่เฉิน เจ้าคงจะหลอกเด็กได้ แต่คงหลอกคุณหนูใหญ่อย่างข้าไม่ได้หรอก พวกเจ้าสองตระกูลเป็นอริกัน เจ้าจะไม่สนใจว่าพวกเขาคบค้าสมาคมกับใครเลยหรือไง? ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากจะพูดมากกว่า?" สายตาของมู่จิ่วซีกวาดมองไปยังโกดังของเขาแล้วยิ้มเยาะขึ้นมา "ข้าว่าคงต้องปิดโกดังของเจ้าด้วยมั้ง ถึงจะยอมพูด"เถ้าแก่เฉินคุกเข่าลงต่อหน้าของมู่จิ่วซีในทันทีพร้อมกับเผยสีหน้าอันขมขื่น : "คุณหนูใหญ่มู่ ข้าเองก็เป็นแค่พ่อค้า ไม่ได้อยากไปเกลือกกลั้วน้ำเน่าพวกนี้เลย เกิดเรื่องกับจวนฉีตั้งนานแล้ว ใครบ้างที่อยากจะไปเกี่ยวข้องกับพวกเขา แบบนี้มันรนหาที่ตายไม่ใช่หรือไง?""ไม่รู้จริงๆ งั้นหรอ?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้ว"แต่ก่อนเคยเห็นว่าเถ้าแก่หลิวของร้านเฟิงเหอกับปรมาจารย์ไช่สนิทกันไม่เลว แต่เถ้าแก่หลิวไม่ใช่ว่าถูกจับไปก่อนหรือไง? ธุรกิจของพวกเขาก็เริ่มตกต่ำ ต่อมาก็จับผู้คนได้ไม่น้อยจนวุ่นวาย พวกเราไม่กล้าจะไปคบหาสมาคมกับคนของตระกูลฉีหรอก" เถ้าแก่เฉินรีบกล่าวขึ้นมา "คุณหนูใหญ่ เจ้าช่วยเข้าใจหน่อยสิ""เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ ข้าแค่ขู่ให้เจ้าตกใจเท่านั้น อย่าตื่นตระหนกไป" มู่