มู่จิ่วซีเข้าใจอารมร์ของโม่จุน กรมพระราชวังนครบาลเป็นองค์กรที่สำคัญแห่งหนึ่ง กลับมีไส้ศึกเป็นบุคคลระดับสูงถึงสองคน แน่นอนว่าโจวเหยาซึ่งเป็นอธิบดีก็ยากจะหลีกเลี่ยงความผิด"แต่ว่า ใต้เท้าโจวไม่ใช่ว่ากำลังตรวจสอบท่าเรืออยู่หรอกเหรอ พอจับปรมาจารย์ไช่ของโกดังตระกูลฉีได้ ก็พบว่าปรมาจารย์ไช่เป็นไส้ศึก อีกทั้งยังจับได้ทั้งเป็น ที่น่าบังเอิญกว่ามากคือปรมาจารย์ไช่และปรมาจารย์เซี่ยเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันมู่จิ่วซีตกใจอ้าปากค้างพร้อมกับกล่าวออกมา : "มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรอ งั้นโกดังตระกูลฉีที่แท้ก็เป็นฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของแคว้นเป่ยจิ้นน่ะสิ""ใช่ขอรับ ปรมาจารย์ไช่ทนการถูกเฆี่ยนทรมานไม่ไหวก็เลยคายชื่อคุณชายหม่าออกมา อีกทั้งยังบอกว่าคุณชายหม่าซ่อนอยู่ในบริเวณรอบๆ ท่าเรือขอรับ" ชิงเฟิงกล่าว"คุณชายหม่า!" ดวงตาของมู่จิ่วซีทอประกายขึ้นมาในทันที "ชายน่าสะดุดตาคนนั้นที่ท่าเรือ? ไม่สิ เป็นชายหนุ่มรูปงามคนนั้นที่ท่าเรือน่ะเหรอ?""ใช่ขอรับ คุณหนูใหญ่สังเกตุคนๆ นี้ไว้ตั้งนานแล้วเหรอขอรับ?" ชิงเฟิงคราวก่อนไม่ได้ไป แน่นอนว่าไม่รู้เรื่องนี้ชัดดี"แค่ท่าเรือแห่งเดียว กับหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่ปรากฎตัว เดิมที
มู่จิ่วซีรีบลงมาจากม้า นางตะโกนเรียกเย่ฮานและโยนบังเหียนม้าออกไปชิงเฟิงก็เอาบังเหียนม้าโยนให้กับเย่ฮานและรีบตามมู่จิ่วซีคนขับเกวียนม้าฝ่ายตรงหน้าสวมหมวกผ้าสีน้ำตาลใบหนึ่ง เลยมองไม่เห็นหน้า ตอนนี้สองมือกุมบังเหียนม้าเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ม้าที่ตกใจเตลิดวิ่งมั่วซั่วประตูรถม้าที่ตะแคงกับพื้นก็ได้เปิดออก ด้านในมีอยู่ 2 คน มู่จิ่วซีเห็นคนที่คล้ายกับบ่าวรับใช้คลานออกมาก่อน จากนั้นก็ถามอย่างกระวนกระวายเข้าไปข้างใน : "นายท่าน ท่านต้องไปโรงแพทย์ไหม?""ตื่นตระหนกอะไร!" มู่จิ่วซีรู้สึกคุ้นหูกับเสียงของผู้ชายด้านใน นางเอียงศีรษะหันมองเข้าไปในทันที "ท่านอ๋องสี่!"มู่จิ่วซีส่งเสียนอุทานขึ้นมา ไม่คาดคิดว่าภายในรถม้าจะเป็นท่านอ๋องสี่โม่อี้ซิวทำไมท่านอ๋องสี่มาโผล่ที่ท่าเรือซิงหลงในเวลาแบบนี้?นี่มันน่าสนใจจริงๆ"คุณหนูใหญ่มู่ เจ้ามาเอาชีวิตข้าตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้เลยหรือไง?" ในที่สุดท่านอ๋องสี่ก็คลานออกมา หลังมือเต็มไปด้วยเลือดใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาเล็กน้อย แต่ทว่ามุมปากกลับยังเผยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ เขาเห็นมู่จิ่วซีและเสียวสันหลังวาบอย่างไม่มีเหตุผล"มู่จิ่วซีถวายบังคมท่านอ๋องสี่เพคะ! ไอ้
"หรอ? อาหารทะเลเน่าเสียและปฏิเสธตีกลับเหรอเพคะ? เรื่องแบบนี้ต้องให้ท่านอ๋องสี่ทรงต้องลงมาจัดการด้วยตัวเองเลยเหรอเนี่ย งั้นท่านจ่ายเงินแพงๆ จ้างคนตั้งมากมายไว้ทำอะไรเหรอเพคะ? ตัวเองต้องมาเหนื่อยขนาดนี้ ข้าเองปวดใจแทนท่านอ๋องสี่จริงๆ" มู่จิ่วซีตีหน้าใสซื่อพูดออกมา"มูลค่าอาหารทะเล 32,000 ตำลึง มันไม่ใช่มูลค่าน้อยๆ รวมกับค่าตีเรือกลับกับค่าชดเชยความเสียหาย แคว้นตงเฉินทางด้านนั้นต้องชดเชยให้ข้า 50,000 ตำลึง หากข้าไม่ประทับลายนิ้วมือ พวกเขาจะยืนยันบัญชีได้ยังไง มู่จิ่วซี เจ้าอย่ามาหาเรื่องข้าดีกว่า ข้ายังมีธุระต้องไปทำ"ความอดทนของโม่อี้ซิวเริ่มหมดลง"ดูจากที่ท่านอ๋องพูด ซีเอ๋อร์ก็ใช่ว่าจะไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี พูดให้ชัดก็จบเรื่องไปแล้วไม่ใช่หรือไงเพคะ หม่อมฉันเองก็กลัวว่าพอกลับไปแล้วโม่จุนถามขึ้นมา หม่อมฉันกลับไม่รู้อะไรเลยเนี่ยน่ะสิ" มู่จิ่วซียิ้มกล่าว "งั้นขอให้ท่านอ๋องสี่เดินทางโดยสวัสดิภาพเพคะ""เจ้าไม่ใช่ว่าควรชดใช้ค่ารถม้าของข้าหรือไง?" โม่อี้ซิวกล่าวอย่างโมโห"หา? ท่านอ๋องสี่ นี่มันเหตุผลอะไรเพคะ ซีเอ๋อร์ไม่ได้แตะต้องรถม้าของท่านเลย ท่านอ๋องสี่ งั้นหม่อมฉันขอทูลลาเพคะ" มู่จิ่วซี
เถ้าแก่เฉินพอเห็นสีหน้าของมู่จิ่วซีก็รู้สึกไม่ค่อยดี"เถ้าแก่เฉิน เจ้าคงจะหลอกเด็กได้ แต่คงหลอกคุณหนูใหญ่อย่างข้าไม่ได้หรอก พวกเจ้าสองตระกูลเป็นอริกัน เจ้าจะไม่สนใจว่าพวกเขาคบค้าสมาคมกับใครเลยหรือไง? ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากจะพูดมากกว่า?" สายตาของมู่จิ่วซีกวาดมองไปยังโกดังของเขาแล้วยิ้มเยาะขึ้นมา "ข้าว่าคงต้องปิดโกดังของเจ้าด้วยมั้ง ถึงจะยอมพูด"เถ้าแก่เฉินคุกเข่าลงต่อหน้าของมู่จิ่วซีในทันทีพร้อมกับเผยสีหน้าอันขมขื่น : "คุณหนูใหญ่มู่ ข้าเองก็เป็นแค่พ่อค้า ไม่ได้อยากไปเกลือกกลั้วน้ำเน่าพวกนี้เลย เกิดเรื่องกับจวนฉีตั้งนานแล้ว ใครบ้างที่อยากจะไปเกี่ยวข้องกับพวกเขา แบบนี้มันรนหาที่ตายไม่ใช่หรือไง?""ไม่รู้จริงๆ งั้นหรอ?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้ว"แต่ก่อนเคยเห็นว่าเถ้าแก่หลิวของร้านเฟิงเหอกับปรมาจารย์ไช่สนิทกันไม่เลว แต่เถ้าแก่หลิวไม่ใช่ว่าถูกจับไปก่อนหรือไง? ธุรกิจของพวกเขาก็เริ่มตกต่ำ ต่อมาก็จับผู้คนได้ไม่น้อยจนวุ่นวาย พวกเราไม่กล้าจะไปคบหาสมาคมกับคนของตระกูลฉีหรอก" เถ้าแก่เฉินรีบกล่าวขึ้นมา "คุณหนูใหญ่ เจ้าช่วยเข้าใจหน่อยสิ""เอาล่ะ ลุกขึ้นเถอะ ข้าแค่ขู่ให้เจ้าตกใจเท่านั้น อย่าตื่นตระหนกไป" มู่
แต่ปรมาจารย์ไช่กลับยืนกรานว่าก่อนที่เขาถูกจับได้ไม่นาน เขาได้เห็นคุณชายหม่าอยู่ที่ท่าเรือ ไม่มีทางที่เขาจะออกมาจากพื้นที่ท่าเรือโดยไม่มีคนเห็น เขาจะต้องอยู่ในท่าเรือแน่นอนเพียงแต่โรงน้ำชา โกดังและเรือที่คุณชายหม่ามักจะไปก็ได้ตรวจสอบทั้งหมดแล้ว แต่ก็หาไม่เจอหลังจากโม่จุนเฝ้าไปหนึ่งวันหนึ่งคืนก็รู้สึกได้ว่าคุณชายหม่าได้หนีไปแล้วเพียงแต่เขาคิดไม่ตก พวกเขาดำเนินการอย่างรวดเร็วขนาดนั้น ปูพรมค้นหาอย่างกับตาข่าย คุณชายหม่าไม่มีทางจะเดินออกไปนอกการปิดล้อมนี้ได้โดยไม่มีแม้แต่ซุ่มเสียงพอรอจนมู่จิ่วซีมาถึงกรมพระราชวังนครบาล ก็เห็นถุงใต้ต้าอันดำคล้ำของโม่จุน ใบหน้าเย็นชายิ่งกว่าภูเขาน้ำแข็งใต้เท้าโจวเหยาและคนอื่นๆ ต่างแอบถอยออกไปไกล ขนาดจี๋เฟิงยังไม่กล้าเข้าไปยุ่ง มีแค่อานเย่ที่คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเขาด้วยความกลัวมู่จิ่วซีพอมาถึง ทุกคนก็เหมือนกับได้เห็นดวงดาวแห่งการช่วยเหลือ"คุณหนูใหญ่ เขาแทบไม่ทานอะไรเลย" จี๋เฟิงยกอาหารมาถาดหนึ่งมู่จิ่วซีก็ขมวดคิ้วถาม : "จับไม่ได้ก็จับไม่ได้สิ ถ้าจับได้ง่ายขนาดนั้น พวกเราก่อนหน้านี้คงไม่ต้องมาเป็นฝ่ายถูกกระทำแบบนี้หรอก"ขณะพูดนางก็รับถาดอาหารนั
มู่จิ่วซีทันใดนั้นก็อยากจะหยอกล้อผู้ชายคนนี้อย่างมาก นางยิ้มแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ขึ้นมาพร้อมกับกล่าว: "หากข้าบอกว่าไม่มีเรื่องผิดพลาดอะไร แค่อยากจะหลอกให้เจ้าทานอะไรสักหน่อยแค่นั้น เจ้าคงจะไม่บีบคอข้าให้ตายใช่ไหม?"โม่จุนทันใดนั้นก็นิ่งไป จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาก็เริ่มอึมครึมขึ้นมา จากนั้นก็แยกเขี้ยวยิงฟันกล่าวออกมา : "แล้วเจ้าว่าไงล่ะ?" พูดแบบนี้เหมือนกับกำลังจะบอก ว่าหากนางกล้าหลอกเขาอีก เขาจะต้องเอื้อมมือมาบีบขอนางแน่"ล้อเล่นหน่า ล้อเล่น มีเรื่องจะพูดจริงๆ" มู่จิ่วซียิ้มร่า "เจ้าไม่น่ารักเลย""เหอะ! เจ้าต่างหากที่ไม่น่ารัก จะพูดก็พูด อย่าลีลาเยอะ!" โม่จุนถลึงจ้องนางพร้อมกับกล่าวมู่จิ่วซีเบ้ปากพร้อมกับพูด : "คุณชายหม่าคงจะออกจากท่าเรือไปแล้ว ตอนที่ข้าไปหา"โม่จุนขมวดคิ้วกล่าว : "เมื่อวานตอนเช้า?""อืม เจ้ารู้ไหมตอนข้าไปหาได้เจอเข้ากับใคร?" ทันใดนั้นมู่จิ่วซีก็เอาเรื่องที่ได้ชนเข้ากับรถม้าของท่านอ๋องสี่เล่าให้ฟัง"ข้าตอนนี้พอนึกย้อนกลับไป คนขับเกวียนม้าคนนั้นน่าสงสัยมาก" มู่จิ่วซีขมวดคิ้ว ใบหน้าอันงดงามเปลี่ยนไปจริงจังและตึงเครียดขึ้นมาใบหน้าเคร่งขรึมของโม่จุนก็มองนางและกล่า
"พูดถูก เป็นพวกเขาที่ทำให้บรรพบุรุษเสียใจ ส่วนเจ้าก็ถูกบังคับให้ต้องมาปกป้อง ดังนั้นเจ้าก็อย่าโทษตัวเองไปเลย" มู่จิ่วซีรู้ว่าเขาพูดเหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจกลับขมขื่นและกดดันอย่างมากโม่จุนกำหมัดแน่น แต่พอเห็นสายตาเป็นห่วงของมู่จิ่วซี มือก็ค่อยๆ คลายออกมา"อานเย่" เขารีบตะโกนเรียกอานเย่ก็รีบเดินเข้ามาหา โม่จุนก็กล่าว : "ไปเรียกฝนทมิฬมา""ฝนทมิฬ?" แน่นอนว่ามู่จิ่วซีรู้จักลม ฝน สายฟ้าและไฟฟ้าของทหารมังกรดำ"ให้ฝนทมิฬไปจับตาดูท่านอ๋องสี่เอาไว้" โม่จุนกล่าวคำพูดประโยคนี้ มู่จิ่วซีรู้ว่าโม่จุนเชื่อนาง ไม่งั้นเขาคงไม่ทำถึงขั้นนี้ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีหลักฐาน"ถ้าหากถูกท่านอ๋องสี่พบเข้าล่ะ?" มู่จิ่วซีขมวดคิ้ว"ถ้าถูกพบเข้าก็จะเป็นจังหวะดีได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงๆของเขาไม่ใช่หรอ?" แววตาของโม่จุนทอประกายคมกริบมู่จิ่วซีเห็นท่าทางอันแข็งแกร่งเย็นเยือกของเขาพร้อมกับพยักหน้าเล็กน้อย ในใจก็คิดว่าเขาตอนนี้คงจะต้องเจ็บปวดและเสียใจมากแน่ ทันใดนั้นนางก็รู้สึกปวดใจแทนเขาชายคนนี้แบกรับเรื่องเอาไว้มากเกินไป"ไปเถอะ ตอนนี้คงไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะพาเจ้าออกไปเดินข้างนอก" มู่จิ่วซีจู่ๆ ก็พูดขึ้นมาโม่จุน
พระมเหสีเลี่ยวหลังจากดื่มชาผ่อนคลายอารมณ์แล้ว นางก็เริ่มร้องไห้พร้อมกับมองโม่จุนและมู่จิ่วซีด้วยแววตาอ้อนวอน"เรื่องนี้มีแค่ข้ากับแม่นมเฝิงเท่านั้นที่รู้ วันนี้ตอนข้าตื่นขึ้นมาก็เห็นกระดาษข้อความแผ่นหนึ่งวางเพิ่มขึ้นมาบนโต๊ะ เลยได้รู้ว่าหยวนชิงไม่อยู่แล้ว"จากนั้นท่านก็เลยมาหาโม่จุนทันทีเลยหรือเพคะ?" มู่จิ่วซีถาม"ใช่ เดิมทีข้าอยากจะไปที่หาแม่ทัพใหญ่มู่เพื่อพบคุณหนูใหญ่มู่ แต่พอนึกได้ว่าหยวนชิงเป็นมกุฎราชกุมาร หากเกิดอะไรขึ้นคงจะไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ดังนั้นก็เลยมาหาท่านผู้สำเร็จราชการแทน ข้าไปที่จวนของท่านผู้สำเร็จราชการแทนมาแล้ว ที่นั่นบอกว่าท่านอยู่นี่ ข้าก็เลยรีบมาที่กรมพระราชวังนครบาล""ดังนั้นตอนนี้ไม่รู้ว่าท่านอ๋องหกหายไปเมื่อคืนหรือว่าวันนี้กันแน่สินะ ไม่มีใครคนอื่นเห็นเขาเลยเหรอ?""องครักษ์ในเรือนของหยวนชิงไม่มีใครรู้ตัวเลยสักคน ข้าเองก็ไม่กล้าจะขึ้นเสียงก็เลยรีบออกมา""สามารถลักพาตัวน้องหกออกไปได้ อีกทั้งองครักษ์ยังไม่รู้ตัวด้วย แสดงว่าวรยุทธจะต้องแข็งแกร่ง" โม่จุนหรี่ตาลง จากนั้นก้หันมองมู่จิ่วซี"เจ้าคิดว่าเป็น..." มู่จิ่วซีอยากจะบอกว่าเป็นเซวียนหยวนเชา แต่ว่าไม่อาจพูดได