มู่จิ่วซีก้กล่าวขึ้นมาอย่างตื่นเต้น: "ขอบคุณลุงไป๋ งั้นขอก็ไม่ขอปฏิเสธความหวังดีของท่านล่ะกัน" จากนั้นนางก็หันมองโม่จุนอย่างอวดดี"เจ้าเองก็รู้จักกริชเล่มนี้สินะ ความคมของมันเหลือจะเชื่อเลยจริงๆ"โม่จุนก็หันมองกริชชิงหลงเล่มนั้นและกล่าว : "กริชเล่มนี้ ตอนที่เสด็จปู่ของข้าได้รับมา ได้ยินว่ามาจากแค้วนอู มีตำนานท่อนหนึ่งได้กล่าวเอาไว้ หลังจากนี้หากพบคนของแค้วนอู จงระวังที่จะใช้มันให้ดี"อัครมหาเสนาบดีไป๋ตกตะลึงในสายตาและกล่าวออกมา : "ข้าน้อยเองไม่ทราบเรื่องเลย ท่านผู้สำเร็จราชการแทนพอจะเล่าได้หรือไม่"มู่จิ่วซีเองก็สงสัยในทันทีและพยักหน้ากล่าว : "ตำนานอะไร เจ้ารีบพูดมาให้ฟังเร็วๆ" นางขณะพูดก็เล่นกริชในมือไปด้วยพอดูไปดูมา นางก็กลับพบว่าตรงหัวมังกรชิงหลงชิงหลงด้านหลังมีร่องอยู่ร่องหนึ่ง เพียงแต่ร่องนี้ เนื่องจากสาเหตุเพราะเป็นทองแดง เลยยากจะมองออกได้ เลยทำให้ไม่มีคนใส่ใจนายเลยค่อยๆ ใช้แรงขยับ แต่ว่าก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไรโม่จุนคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นมา : "ทุกคนต่างรู้ว่าภายในบรรดาทั้ง 6 แคว้น แค้วนอูขนาดเล็กที่สุด แต่ก็เป็นแคว้นที่ลึกลับมากสุดเช่นกัน ตั้งอยู่ในหุบเขาของตะวันตกเฉียง
ใบหน้าหล่อเหล่าของโม่จุนก็เปลี่ยนเป็นอึมครึมในทันที พร้อมกับยิ้มกล่าวอย่างเย็นเยือก : "แม่ทัพใหญ่มู่ ข้าสามารถบอกกับเจ้าให้ชัดเจนได้อย่าง เย่อู่เหิงไร้อนาคตที่ดี""ทำไมถึงไร้อนาคตที่ดี? เขาตอนนี้เป็นขุนนางผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ ทำงานได้อย่างโดดเด่น ข้าเองก็อยากจะสนับสนุนเขา ท่านผู้สำเร็จราชการแทน เขาเป็นคนมีความสามารถ ท่านคงไม่กีดขวางเส้นทางสายงานอาชีพเขาเพราะความแค้นส่วนตัวหรอกใช่ไหม?" มู่เทียนซิงกล่าวอย่างหงุดหงิดๅ"พวกท่านพูดอะไรกัน? อู่เหิงชอบข้าอะไร? เล่นมุขตลกอะไรกัน?" มู่จิ่วซีกล่าวอย่างไม่เข้าใจ นางรู้สึกว่าท่านพ่อของนางเองและโม่จุน ทำไมจู่ๆ ถึงได้ไม่ชอบหน้ากันขึ้นมาล่ะ?มู่เทียนซิงก็ดีใจในทันทีพร้อมกับเอาคำพูดของเย่อู่เหิงตอนหลังจากนางดื่มจนเมาและกลับไปเมื่อคืนบอกให้ฟังอีกครั้ง มู่จิ่วซีพอได้ฟังก็กล่าวออกมา : "ท่านพ่อ นี่ท่านเชื่อหรอ นี่คือข้ออ้างเข้าใจไหม? อู่เหิงไม่อยากสู่ขอแต่งงานกับองค์หญิงสือ ดังนั้นเลยบอกชอบข้าเพื่อเอามาเป็นข้ออ้าง"มู่จิ่วซีทำสีหน้ารังเกียจพ่อของตัวเองที่ไม่มีสมอง"จะเป็นไปได้ยังไง พ่อเองเห็นว่าเขาจริงใจ ยังบอกอีกว่าถ้าจะเจ้ายังไม่ได้แต่งงาน เขาก็จะ
ดวงตาสีนิลทั้งสองข้างของโม่จุนก็หันมองมู่จิ่วซี มู่จิ่วซีก็เลิกคิ้วแล้วหันมองเขา"เรื่องมันซับซ้อนมากว่าที่พวกเราคิด" โม่จุนถอนหายใจและกล่าวออกมา"เจ้าหมายถึงเรื่องไหนกัน?" มู่จิ่วซีฟังไม่เข้าใจ"เรื่องที่ถูกลอบทำร้ายในวันนั้น ชายชุดดำทั้ง 6 คน หนึ่งในนั้นข้าสงสัยว่าเป็นเซวียนหยวนเชามกุฎราชกุมารแห่งแคว้นเป่ยจิ้น" แววตาอันคมกริบของโม่จุนทำให้มู่จิ่วซีสั่นเหมือนลูกนกมู่จิ่วซีตกใจกลัวจนเอ่ยออกมา : "อะไรนะ? เป็นไปได้ยังไง?""ข้าไม่มั่นใจมาโดยตลอด ดังนั้นเลยไม่อาจพูดออกมา เจ้าจำได้ไหมตอนที่ข้าถามเจ้าว่าเป็นไส้ศึกผู้พิทักษ์เงาของแคว้นเป่ยจิ้นหรือไม่ เจ้าบอกว่าก็ไม่แน่ใจ ข้าก็เลยไม่พูดอะไรอีก"มู่จิ่วซีพยักหน้า ตอนนั้นนางตอบว่าไม่แน่ใจ จนกระทั่งเรื่องของหวางชิว ลู่เวยหย่า จ้วงชิงเหมย ร้านเฟิงเหอเปิดเผยออกมา เหตุการณ์ต่างๆ ของแคว้นเป่ยจิ้นที่เกิดขึ้นนี้ นางเลยถึงกล้ามั่นใจว่าองค์กรไส้ศึกของแคว้นเป่ยจิ้นได้แฝงตัวเข้ามาแล้ว"งั้นเจ้าตอนนี้ก็มั่นใจแล้วงั้นเหรอ?" มู่จิ่วซีถามโม่จุนก็พยักหน้าตอบ : "ใช่ งั้นเจ้ายังจำหัวธนูนั้นได้ไหม ข้าให้คนไปสืบแล้ว มันเป็นหัวธนูเงี่ยงย้อนซึ่งมีเฉพาะแค่ใน
มู่จิ่วซีกล่าวออกมาอย่างไม่รู้จะร้องไห้ดีหรือขำดี : "คนของแค้วนอูสวยงามหล่อเหลาขนาดนี้เลยหรอ? ไม่ใช่ต้องตัวดำเมี่ยมจนดูไม่ได้หรอกเหรอ?"ถึงอย่างไรทางตพวันตกเฉียงใต้ด้านนั้นก็ร้อนชื้นมาก แดดแรงเกือบจะแทบตลอดทั้งปี"เจ้าไปรู้อะไรมาของเจ้า ลือกันว่าหญิงงามของแค้วนอูเป็นอันดับต้นๆ ของทั้ง แคว้น ผู้ชายจะไปขี้เหล่ได้ยังไง?" โม่จุนไม่รู้ว่ามู่จิ่วซีคิดอะไรของนาง"จริงหรอ? หญิงงามของแค้วนอูสวยมากขนาดนั้นเลยหรอ? เจ้าเคยเห็นหรือไง?""ไม่เคย!" โม่จุนหมดคำจะพูด ตอนนี้มันใช่เวลาพูดเรื่องนี้ไหมมู่จิ่วซีก็มุ่ยปากและพูดออกมา : "เอาล่ะ เรื่องนี้ข้าได้ทราบแล้ว เจ้ายังมีเรื่องอื่นจะพูดอีกไหม?"โม่จุนคิดอยู่สักพักก็พูดออกมา : "เจ้าออกไปไหนก็ต้องระวังด้วย ตอนนี้แคว้นซีเย่ว์และแคว้นเป่ยจิ้นเกรงว่าคงเห็นเจ้าเป็นหนอมยอดอกแล้ว แม้ว่าเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่เจ้าควรเห็นแก่คำเตือนของข้า ระวังไว้สักหน่อยก็ย่อมดีกว่า""เจ้าวางใจเถอะ ข้ารักชีวิตมากยิ่งกว่าเจ้า ข้าตอนนี้ทั้งสวย รวยและมีความสามารถ ชีวิตอันรุ่งโรขน์เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น จะให้มาตายได้ยังไง" มู่จิ่วซียิ้มกล่าวโม่จุนมองนางอย่างดูถูก จากนั้นก็กล่าวออกมา
มู่จิ่วซีและไป๋ชิงได้เดินเข้าไป บ่าวรับใช้หลายคนกำลังจัดเก็บโต๊ะอาหาร บนโต๊ะอาหารนั้นเละเทะไปหมด มีทั้งอาหารและของหวาน แต่ทว่ากลับทุกกินไปจนเรียบตอนนี้สภาพไป๋เฟิ่งหว่านทรงผมกระเซอะกระเซิงพร้อมกับกำลังดื่มซุปอยู่ ตรงปากก็ได้มีซู๊ดน้ำซุปดังออกมามู่จิ่วซีตกใจมาก นี่เพิ่งผ่านไปได้ม่นาน ไป๋เฟิ่งหว่านกลับอ้วนกลมขึ้นมาจริงๆ ดูอวบอิ่มอย่างเห็นได้ชัด"น้องรอง" ไป๋ชิงพอเห็นสภาพของนางก็รีบวิ่งเข้าไปและกล่าว "เจ้าเลิกกินได้แล้ว เดี๋ยวก็ท้องแตกหรอก"ไป๋เฟิ่งหว่านเงยหน้าขึ้นมามองไป๋ชิง จากนั้นก็เหวี่ยงสะบัดไป๋ชิงและพูด : "เจ้ามาทำอะไร ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้าที่ทำร้ายท่านแม่ของข้า สังหารฉี่เฟิงจนตาย"มู่จิ่วซียื่นมือออกไปช่วยพยุงไป๋ชิง ไม่งั้นไป๋ชิงคงล้มกระเด็นไปกองกับะื้น"มู่จิ่วซี!" ไป๋เฟิ่งหว่านพอเห็นว่าเป็นมู่จิ่วซี ทันใดนั้นแววตาที่หรี่เล็กสองข้างก็เบิกโพลงกว้างขึ้นมา จากนั้นก็พุ่งเข้ามาหา"มู่จิ่วซี เจ้าไปตายซะ!"เพียงแต่มู่จิ่วซีใช้แค่เท้าข้างเดียวก็ทีบไป๋เฟิ่งหว่านกระเด็นออกไปได้แล้วไป๋เฟิ่งหว่านส่งเสียงร้องอย่างเวทนา นางคลานบนพื้น จากนั้นก็สำรอกอาหารออกมาจากปาก
ไป๋เฟิ่งหว่านหลังจากตกใจก็กล่าวออกมา: "เจ้า เจ้าพูดอะไร? ท่านผู้สำเร็จราชการแทนนัดข้าไปทานข้าวหรอ?""ไม่งั้นเจ้าคิดว่าข้าจะมาหาหรอ?" มู่จิ่วซีกรอกตาใส่"โม่จุนเชิญข้าไปร่วมทานอาหาร?" ไป๋เฟิ่งหว่านแทบไม่อยากจะเชื่อ ทันใดนั้นสีหน้าก็ยินดีขึ้นมา และเอาแต่พูดประโยคนั้นซ้ำไปมา"โม่จุนนัดเจ้าไปทานอาหารที่หอชมจันทร์อีก 3 วันข้างหน้า เจ้าจะไปหรือไม่ไป? ถ้าจะไป เจ้าก็จัดการตัวเองให้ดีภายใน 3 วันนี้ ใครบ้างที่ไม่มีเรื่องลำบากใจ พ่อเจ้าเองก็แก่ขนาดนั้น เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เจ้าไม่แม้แต่จะปลอบพ่อของเจ้า นี่ยังสมควรจะเป็นลูกสาวของเขาอีกหรอ? เสียแรงที่เขารักเอ็นดูเจ้า"มู่จิ่วซีกล่าวสั่งสอนต่อ "คนตายไปแล้วไม่อาจฟื้นกลับมาได้ แต่คนเป็นยังไงก็ต้องมีชีวิตต่อไป ตอนนี้จวนอัครมหาเสนาบดีเหลือเพียงแค่เจ้า ไป๋ชิงและพ่อของพวกเจ้าต้องพึ่งพาอาศัยกัน ข้าเห็นว่าพ่อเจ้าดูแก่ขึ้นเป็น 10 ปี เจ้าทำใจได้จริงหรอ? ไป๋ชิงถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวตั้งหลายปี นางก็ยังรู้ถึงความขมขื่นของพ่อนาง เจ้าถูกพ่อเจ้าประตบประหงมมาหลายปี เจ้าจะมีน้ำใจให้กับพ่อเจ้าไม่ได้เลยหรือไง?"ไป๋เฟิ่งหว่านพอฟังคำพูดของมู่จิ่วซี ทันใดนั้นก็ร้องไห้อ
มู่จิ่วซีหัวเราะยิ้มกล่าว : "พวกเราจับนางไม่ได้จริงๆ แต่ยอมรับเลยว่านางหลบซ่อนได้ลึกแนบเนียนจริงๆ แทบพลิกหาทั้งพระนครแล้ว แต่ก็กลับหานางไม่พบ ข้าเลยอยากมาถามว่าเจ้ารู้ไหม?""มู่จิ่วซี เจ้าโง่หรือเปล่า? เจ้าคิดว่าข้าจะบอกเจ้าหรอ?" จ้วงชิงเหมยยิ้มกล่าว"ก็ใช่ การเป็นไส้ศึกจะต้องระวังปากไว้เล็กให้เท่าขวด ข้าก็ไม่ได้หวังว่าเจ้าจะพูด แต่พรุ่งนี้เจ้าจะถูกส่งไปยังกรมพระราชวังนครบาล ทางนั้นไม่ได้ทำดีกับเจ้าอย่างใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีหรอกนะ" มู่จิ่วซีเผยรอยยิ้มเวทนาสงสารออกมาจ้วงชิงเหมยก็ส่งเสียงไม่พอใจออกมา ทำท่าเหมือนไม่อยากจะพูด"ว่ากันว่าเสือร้ายไม่ยอมกินลูกตัวเอง เจ้ากล้าฆ่าลูกของตัวเองได้อย่างไร? ขนาดไป๋เฟิ่งหว่านยังเป็นบ้าไปแล้ว เจ้ามีความสุขดีใจมากหรือไง?" มู่จิ่วซีwย่อตัวลงตรงหน้านางและถาม (เสือร้ายไม่ยอมกินลูกตัวเอง หมายถึง โหดร้ายเพียงใดก็ไม่ทำร้ายเลือดเนื้อเชื้อไขตัวเอง)จ้วงชิงเหมยสีหน้าก็เปลี่ยนไป จากนั้นก็พูดขึ้นมา : "ข้ารู้ส่าข้าทำไม่ถูกกับพวกเขา แต่เรื่องบางเรื่องก็จำเป็นต้องทำ ไว้รอชาติหน้าข้าค่อยชดใช้ให้พวกเขาแล้วกัน""จิตใจเลวทรามจริงๆ คารวะเลย" มู่จิ่วซียอมรับแม่คนหนึ
"ฟังเข้าสิ คำพูดเจ้าเห็นแก่ตัวแค่ไหน ยังไม่พูดถึงไป๋ชิง มาพูดถึงพ่อเจ้าก่อน หากไม่มีพ่อ ต่อให้แม่ของเจ้ารักเอ็นดูเจ้ามาก จนเจ้าได้มีชีวิตที่ดี แต่ถึงกระนั้นแม่ของเจ้าเดิมทีก็ไม่ได้รักเอ็นดูเจ้าจริงๆ ก็แค่เลี้ยงดูเจ้าและน้องชายเจ้าให้อ้วนพลีแล้วค่อยเชือด" ประโยคนี้ของมู่จิ่วซีได้แทงใจดำของไป๋เฟิ่งหว่าน"จิ่วซี..." ไป๋ชิงรีบดึงมู่จิ่วซีและหวังว่านางจะไม่ทำให้ไป๋เฟิ่งหว่านกระทบกระเทือน"นางน่ะ สมองไม่เคยคิดให้กระจ่าง ข้าก็แค่อยากให้นางคิดให้ชัดเจนว่าใครคือคนที่เป็นห่วงนางมากที่สุด แต่ก็ยังดีที่นางได้สติ ไปเถอะ พวกเราทานไปคุยไปดีกว่า ข้าหิวแล้ว"ขณะพูด นางก็คว้าแขนของไป๋เฟิ่งหว่านเอาไว้ไป๋เฟิ่งหว่านหันมองมู่จิ่วซี ราวกับมู่จิ่วซีไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีสักวันที่ทำดีกับนาง"ประหลาดใจเหรอ?" มู่จิ่วซีเลิกคิ้วไป๋เฟิ่งหว่านทันใดนั้นก็กลอกตาและพูดกล่าว : "ใครจะไปรู้ว่าเจ้าคิดอะไร""ข้าจะบอกเจ้าให้ ถ้าไม่ใช่เพราะลุงไป๋ข้อร้องข้าอย่างน่าสงสาร เจ้าคิดเหรอว่าข้าจะสนใจความเป็นตายของเจ้า อัครมหาเสนาบดีไป๋เป็นองคมนตรีสำคัญในแคว้นเกาอวิ๋น ข้าไม่อาจใจดำกับเขาได้หรอก เจ้าเองเป็นลูกสาวก็ยิ่งไม่ควร เข