ทันใดนั้นมู่จิ่วซีกรู้สึกว่าสิ่งสกปรกตามรูขุมขนทั่วร่างได้ถูกขับออก ทั้งเปียกและเหนียว จนทั่วทั้งร่างของนางพริบราวกับได้ปลอดโปร่งขึ้นมาความรู้สึกที่แปลงประหลาดอย่างมากนั้น มู่จิ่วซีไม่อาจจะอธิบายได้ เหมือนกับตัวเองจะบิดขึ้นมาได้อย่างใดอย่างนั้นขนาดสมองของนางล้วนราวกับตื่นตัวขึ้นมาอย่างมากที่แท้นี่ก็คือความรู้สึกของการเปิดผนึกเส้นลมปราณทั้งสองที่แท้ก็รู้สึกดีเหนือความคาดหมาย พริบตาก็รู้สึกตัวเองขึ้นแกร่งขึ้นมาก กำลังภายในมากขึ้นยิ่งกว่าทวีคูน ทำให้นางมีความรู้สึกอยากจะหาใครมาประลองด้วย"คุณหนู!" ลู่เอ๋อร์ตะโกนเรียกดังมาจากข้างนอก"ลู่เอ๋อร์ ข้าต้องการอาบน้ำ" มู่จิ่วซีเห็นรอยเปื้อนดำเป็นชั้นบนผิวของนาง นางถึงกับรู้สึกขยะแขยงจนรีบเรียกเสียงดังลู่เอ๋อร์ไปเตรียมน้ำอุ่น มู่จิ่วซีลุกขึ้นมาจากเตียง พริบตานางก็วิดพื้นบนพื้น 100 ครั้ง จากนั้นนางก็ยืดเส้นยืดสายไปมาถึงจะหยุดลงได้รู้สึกราวกับใช้พละกำลังไม่หมดหลังจากอาบน้ำเสร็จ มู่จิ่วซีก็เปลี่ยนเป็นชุดจิ้นจวงม่วงอมแดง ผมมัดเป็นมวยหางม้า แต่ปักปิ่นสีม่วงอมแดงไว้ ถึงอย่างไรก็เป็นการประลองของสองอาณาจักร ยังไงก็ต้องใส่ใจเรื่องมารยาทและรูป
มู่จิ่วซีกลั้นขำและพยักหน้า ใบหน้าหล่อเหลาของเย่อู๋เหิงจนดวงตาเบิกกว้างอ้าปากค้าง"เดิมทีวางแผนว่าจะปลดผนึกช้ากว่านี้ แต่วันนี้ไม่ใช่ว่าต้องประลองหรอกเหรอ ดังนั้นเมื่อวานก็ปลดผนึกไปแล้ว แต่ไม่คาดคิดว่าหลังจากปลดผนึกลมปราณสองสายแล้วจะเปลี่ยนแปลงมากขนาดนี้ ลู่เอ๋อร์ยังพูดเลยว่าข้าเปลี่ยนไปงามมากขึ้น"เย่อู๋เหิงได้สติกลับมา เขาอยากทั้งหัวเราะและร้องไห้นางปลดผนึกเส้นลมปราณสองสายง่ายเหมือนกับทานข้าวเนี่ยนะ?แค่คืนเดียวก็ปลดผนึกได้แล้ว? นี่คนหรือเปล่าเนี่ย?เขาจำได้เมื่อห้าปีก่อนตอนที่เขาปลดผนึก ใช้เวลาตั้งเจ็ดวันเจ็ดคืน นี่ถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์แล้วนี่นางแค่คืนเดียวจะเรียกว่าอะไร?เรียกนางว่ามีพรสวรรค์ก็ไม่ได้แล้วปะ นี่มันเรียกว่าปีศาจแล้ว"การปลดผนึกเส้นลมปราณทั้งสองคือการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน พิษและสสารที่แฝงในร่างค่อยๆ ถูกกำจัดออกมา ยิ่งความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้น การถ่ายเทก็จะยิ่งละเอียดมากขึ้น ดังนั้นผิวพรรณจึงมีการเปลี่ยนแปลง" เย่อู๋เหิงกล่าวอธิบาย"เมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่แปลกเลยเจ้าถึงได้เหล่อเหลาขนาดนี้ บรรยากาศออร่าก็ดีมาก" มู่จิ่วซีรีบชมเย่อู่เหิงจากนั้นก็นึกถึงโม่
ความแข็งแกร่งของนางเองตอนนี้คงจะสามารถทัดเทียบกับอาจื่อได้ หรืออาจจะสูงกว่านิดหน่อยก็ได้?นางไม่ต้องกลัวคนที่มีฝีมือสูงส่งแข็งแกร่งอีกแล้วมู่จิ่วซีสูดหายใจเข้าลึก ความแข็งแกร่งของนางทำให้รู้สึกปลอดภัยเต็มที่ นี่คือความมั่นใจ"ยินดีกับเจ้าด้วย ตอนนี้ท่านผู้สำเร็จราชการแทนคงทำอะไรเจ้าไม่ได้แล้ว" เย่อู่เหิงยิ้มหัวเราะมู่จิ่วซีทันใดนั้นก็หัวเราะกล่าวออกมา : "นั่นก็จริง แต่ว่า ความสามารถที่แท้จริงของชายคนนั้นสูงส่งแค่ไหน ข้าก็ยังไม่กระจ่างชัด""คราวที่แล้วไม่ใช่ว่าเขาถูกหกคนรุมทำร้ายไม่ใช่หรอ? เจ้าเอายังช่วยเขาไว้ได้ บ่งบอกว่าเจ้าไม่ได้อ่อนแอน้อยกว่าเขา" เย่อู่เหิงอันที่จริงก็ไม่รู้ความสามารถที่แท้จริงของโม่จุน"ไม่ อู่เหิง เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เขาทำให้ข้ารู้สึกว่าเขาแข็งแกร่งกว่าข้า เรื่องคราวก่อนที่ถูกหกคนรุมทำร้าย เกิดขึ้นเพราะเขาคงประมาทศัตรู หรืออาจมีเหตุผลอื่น"มู่จิ่วซีจู่ๆ ก็จริงจังขึ้นมา เพราะประโยคของเย่อู่เหิงทำให้นางเคลือบแคลงบางอย่างชายชุดดำหกคนล้วนเป็นผู้พิทักษ์เงาของแคว้นเป่ยจิ้น งั้นภายใต้สถานการณ์ที่โม่จุนไม่ได้บาดเจ็บ แทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะหนีไม่พ้น อีกอย่างยังถ
มู่จิ่วซีหันไปมองไป๋ชินเตี่ยน จากนั้นก็หรี่ตาลงและกล่าวขึ้นมา : "ไอผู้ชายชาติหมาคนนั้นพูดแบบนี้จริงเหรอ?""แค่กๆๆ คุณหนูใหญ่มู่ ท่านผู้สำเร็จราชการแทนเข้าใจคุณหนูขอรับ" อัครมหาเสนาบดีไป๋สะดุ้งกับคำว่าผู้ชายชาติหมาสามคำนี้ความกล้าของผู้หญิงคนนี้ไม่มีคนธรรมดาคนไหนเทียบได้เลยจริงๆปัญหาคือขนาดโม่จุนยังทำอะไรนางไม่ได้เลย นี่คือจุดที่สุดยอดของมู่จิ่วซีเป็นครั้งแรกของเย่อู่เหิงที่ได้ยินมู่จิ่วซีด่าโม่จุนว่าผู้ชายชาติหมา เขาเองก็มีสีหน้าตกใจ แต่จากนั้นก็คิดว่าน่าขำขันไม่รู้ว่าโม่จุนพอได้ยินสามคำนี้เข้าจะรู้สึกอย่างไรเย่อู่เหิงไม่รู้ว่าโม่จุนโมโหตั้งนานแล้ว อีกทั้งเมื่อเห็นแบบนี้แล้ว พวกเขาสองคนคงเป็นศัตรูคู่รักคู่แค้นจริงๆ ดูเหมือนเรื่องการถอนหมั้นคงทำให้ในใจของมู่จิ่วซีแยแสเป็นอย่างมากแต่ว่าถอนหมั้นก็ดีแล้ว ไม่งั้นมู่จิ่วซีคงกลายเป็นชายาของท่านผู้สำเร็จราชการแทนที่ต้องถูกขังไว้แน่ เขาเองก็คงไม่มีโอกาสได้พบเจอคนน่าสนใจแบบนี้ความสุขบนความทุกข์ของเย่อู่เหิงไม่มีใครได้รู้ เพียงแต่ในใจของเขารู้สึกมีความสุขนิดหน่อยเท่านั้น ใบหน้าแต่เดิมที่สง่างามและเรียบเฉยของเขาก็ปรากฎรอยยิ้มจางๆ ขึ
มู่จิ่วซีรู้สึกว่าองค์หญิงสือท่านนี้งดงามมากจริงๆ รอยยิ้มอรชรนุ่มนวลงดงาม ดั่งนวลจันทร์ในใจของชายหลายคนที่ชื่นชอบเมื่อนึดถึงนวลจันทร์ นางก็นึกถึงเซียวหลิงเย่ว์ขึ้นมาได้ นางกล่าวทักทายเสร็จก็หันหน้าไปมองและก็เห็นเซียวหลิงเย่ว์นั่งอยู่ในกลุ่มองคมนตรีผู้สูงศักดิ์อย่างที่คาดไว้ข้างกายนางก็ได้พาสาวใช้มาด้วยคนหนึ่ง สาวใช้คนนั้นมู่จิ่วซีรู้จัก ก็คือคนที่คอยตามรอยนางก่อนหน้านี้ ในตอนท้ายก็ได้เข้าไปในเครื่องประดับฮัวคายชี่ไหลคนนั้นในใจของมู่จิ่วซีก็คือว่าก่อนหน้านี้เซียวหลิงเย่ว์มักล้วนจะไม่พอสาวใช้ไปด้วย ทำไมคราวนี้ถึงพามาด้วยล่ะ?ทันใดนั้นในสนามก็มีลูกบอลสีแดงลูกหนึ่งปรากฎขึ้นมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงขององคมนตรีทางด้านนั้นตะโกน"อาหยวน รนหาที่ตายรึไง ทำไมถึงได้เตะซี้ซั้วแบบนั้น"ทุกคนก็เห็นคุณหญิงฉีได้พาลูกชายตัวน้อยของนางมาชมการแข่งด้วย ขณะที่ตะโกนก็มีเสียงเขกดังขึ้นมาด้วย เด็กคนนั้นร้องไห้ขึ้นมาทันที"อย่าร้อง ถ้าร้องก็กลับไปเลย!" คุณหญิงฉีกล่าวดุเขามู่จิ่วซีก็เลิกคิ้วก่อนเป็นอย่างแรก อาการบาดเจ็บของคุณหญิงฉีท่านนี้หายดีแล้วลูกชายของนางอายุราว 12 ปีก็ยังซุกซนมาก เขาไม่ทันระวังเผ
มู่จิ่วซีในที่สุดหลังจากเดินวนไปรอบก็หาที่นั่งลงได้ นั่งนั่งตำแหน่งข้างพระวรกายของพระพันปีหลวง อีกด้านของพระพันปีหลวงคือท่านผู้สำเร็จราชการแทนโม่จุน ซึ่งนางนั่งชิดกับพระพันปีหลวงมากกว่านั่นยิ่งทำให้คนของแคว้นซีเย่ว์มั่นใจได้ว่าพระพันปีหลวงทรงรักเอ็นดูคุณหนูใหญ่มู่พระพันปีหลวงหันไปยิ้มกับการทักทายของมู่จิ่วซี อีกทั้งยังให้มู่จิ่วซีทานของหวานตรงหน้าของนางสตรีผู้สูงศักดิ์ขององคมนตรีต่างล้วนอิจฉาตาร้อน ทำไมพวกนางตอนนั้นไม่ได้มีโอกาสช่วยชีวิตของพระพันปีหลวงสายพระเนตรของฝ่าบาทที่ทรงหันมองมู่จิ่วซีเต็มไปด้วยความนับถือ เขาทรงตรัสให้มู่จิ่วซีสอนเรื่องอื่นๆ ให้กับเขา แต่ทว่ากลับถูกสายตาของพระพันปีหลวงห้ามปรามเอาไว้ใต้เท้าเฟิงเลขาธิการกระทรวงพิธีการของแคว้นเกาอวิ๋นจะเป็นผู้ดำเนินรายการการประลองทุกปี รอยยิ้มอันสว่างไสวของเขาได้กล่าวถึงมิตรภาพระหว่างสองแคว้น วาทกรรมของเขาทำให้มู่จิ่วซีถึงกับต้องหยุดมองอย่างน่าทึ่งบอกได้เลยว่ามีครึ่งหนึ่งที่มู่จิ่วซีฟังไม่เข้าใจ วาทกรรมนั้นช่างลึกซึ้งเกินไป มู่จิ่วซีในใจก็คิดว่าถ้าต้องแข่งวาทกรรมนี้ นางได้แพ้แน่นอนเสียงปรมมือของพิธีเปิดดังขึ้น หลังจากพ
คุณหญิงมู่กล่าวอย่างตกใจ : "ใต้เท้าอัครมหาเสนาบดีทำไมถึงได้มองซีเอ๋อร์ดีขนาดนี้""คุณหญิงมู่ ลูกสาวของเจ้าโดเด่นมาก คนแก่อย่างข้าอิจฉาจริงๆ" ไป๋ชินเตี่ยนรีบกล่าวขึ้นมา"ข้าทำไมถึงได้รู้สึกว่าซีเอ๋อร์คือลูกของเจ้าอย่างใดอย่างนั้น ถึงได้เชื่อใจนางขนาดนี้" มู่เทียนซิงล้วนรู้สึกว่ายากที่จะเชื่อ อัครมหาเสนาบดีไป๋เชื่อว่ามู่จิ่วซีจะชนะอย่างไม่มีเหตุผลนี่มันคือความเชื่ออะไร?"รอบแรก พวกเราจะประลองเย็บปัก! พวกเราให้องค์หญิงสือและคุณหนูใหญ่มู่แข่งกันเป็นไง?" องค์ชายสามทางด้านนั้นกล่าวเสียงดังขึ้นมา"ให้าตายเถอะ!" ทันใดนั้นทุกคนก็ระเบิดคำสบถออกมา"แข่งเย็บปัก! ล้อกันเล่นหรือเปล่า คุณหนูใหญ่มู่จะไปเย็บปักเป็นได้อย่างไร!""ก็ใช่น่ะสิ ประลองกระบี่กระบองยังพอจะลองสู้ดูได้""แคว้นซีเย่ว์ชั่วร้ายจริงๆ นึกไม่ถึงว่าจะแข่งอันนี้!""แบบนี้ต้องพูดว่า พวกมันสืบเรื่องคุณหนูใหญ่มู่มาแล้วแน่""จะแข่งงานเย็บปักไม่ได้ ขายหน้าเกินไปแล้ว""ก็ใข่น่ะสิ คุณหนูใหญ่มู่จะต้องแพ้แน่..." ผู้คนในสนามราวกับหม้อที่ระเบิดมุมปากของมู่จิ่วซีกระตุก สีหน้าของนางมืดหม่น ทุกคนต่างคิดว่านางกำลังโกรธมู่เทียนซิงและคุณห
มู่จิ่วซีก็หัวเราะออกมาอย่างมีความหมายลึกซึ้ง จากนั้นนางก็ฉีกผ้าผืนที่สองนั้นออกและพูดขึ้นมา : "องค์หญิงสือ เจ้าลองเทียบดูที ว่าผ้าสองผืนนี้ขาดได้ใกล้เคียงกันหรือไม่"ใบหน้างดงามของเฟิงสือหย่าแดงขึ้นมา ราวกับว่าถูกจับได้ว่าแอบมองเย่อู่เหิงนางรีบรับผ้ามาดูและกล่าวขึ้นมา : "ใกล้เคียงกันแล้ว""เจ้ามั่นใจที่พวกเราจะแข่งเย็บผ้าสองผืนนี้?" มู่จิ่วซียืนยันอีกครั้ง "นี่ไม่ใช่เป็นงานเย็บปักถักร้อยลวดลายนะ"เฟิงสือหย่ายิ้มขึ้นมาอย่างมีเลศนัย : "อันที่จริงจะเย็บปักลวดลายหรือเย็บซ่อมปะแก้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ขอเพียงเป็นงานเย็บปัก ก็ล้วนเหมือนกันทั้งนั้น แค่งานเย็บปักลวดลายยากกว่าเท่านั้น"ส่วนคนอื่นๆ กำลังพูดคุยซุบซิบ"แค่เย็บปะก็ง่ายมากแล้ว เหมาะกับคุณหนูใหญ่มู่แล้วล่ะ""แต่การจะเย็บให้ดีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย รอยเย็บต้องละเอียด ถ้าจะให้ดีต้องเย็บให้มองไม่เห็นรอย โดยเฉพาะผ้าลายดอกแบบนี้ ยิ่งยากเข้าไปอีก""คงจะลำบากคุณหนูใหญ่มู่แล้ว เย็บปักถักร้อยไม่เป็น แค่เย็บผ้าขาดๆ เป็นก็นับว่าไม่แล้ว""พวกเราเดิมพันกันมั๊ยล่ะ" มีคนพูดขึ้นมา"ไม่เดิมพัน ไม่เดิมพัน คราวที่แล้วแพ้จนเงินหายหมดบ้าน" บางคนก็