มาเฟียจ้าวชีวิต
Writer : Aile'N
ตอนที่ 1
"เอ้า ข้าวเย็นหมดแล้วขวัญ มัวแต่เหม่อ เป็นอะไรหื้ม? "
เสียงหนึ่งทักขึ้น ดึงสติคนเหม่อที่กำลังนั่งถือช้อนส้อมค้างอยู่กลางอากาศนานหลายนาที ดวงตากลมสวยเหม่อลอยเศร้าสร้อยแปลกๆ จน 'พราว' อดเดินเข้ามาทักไม่ได้เพราะ 'ของขวัญ' เป็นลูกค้าประจำของร้านอาหารตามสั่งของเธอ ด้วยวัยไม่ห่างกันมากและได้พูดคุยกันทุกครั้งที่มาก็เลยทำให้ทั้งคู่สนิทสนมกันไปโดยปริยาย เธอเองก็เอ็นดูเด็กคนนี้เหมือนน้องเหมือนนุ่งเพราะหน้าตาน่ารักและท่าทางซื่อๆ ไม่ทันคนของเจ้าตัว
"เอ่อ...เปล่าค่ะพี่พราว พอดี...คิดอะไรนิดหน่อย" คนตัวเล็กหันมายิ้มฝืดๆ และตอบคำถามด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ใบหน้าขาวที่เคยเปล่งปลั่งสดใสมาวันนี้กลับซีดเซียวไร้ชีวิตชีวาอย่างเห็นได้ชัด
"ไม่นิดแล้วมั้งพี่ว่า...หน้าตาดูไม่สู้ดีเลย เป็นอะไรหรือเปล่า มีเรื่องอะไรระบายให้พี่ฟังได้นะ" พราวไม่สามารถปล่อยผ่านได้เลยนั่งลงฝั่งตรงข้ามกันแล้วเอ่ยถามด้วยความห่วงใย เห็นกันมาตั้งแต่ชุดนักเรียนมอปลายจนตอนนี้เข้ามหาวิทยาลัยแล้วพอของขวัญมาเป็นแบบนี้ก็อดห่วงไม่ได้ ยิ่งรู้ว่าอยู่กับแม่แค่สองคนเพราะพ่อเสียไปนานแล้วและไม่มีญาติที่ไหนความห่วงก็ยิ่งทวีคูณ ถ้าเจ้าตัวมีปัญหาอะไรจริงๆ ก็อยากจะมีส่วนได้ช่วยเหลือกัน
"เฮ้ย...ร้องทำไม! ? ตกลงเกิดอะไรขึ้น บอกพี่ได้นะ" จู่ๆ พราวก็ร้องเสียงหลงด้วยความตกใจเมื่อสิ้นคำถามของขวัญก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าเธอด้วยแววตาสั่นๆ ก่อนที่น้ำตาจะเอ่อคลอและรินไหล แต่ก็ถูกมือเล็กรีบเช็ดออกไปอย่างรวดเร็ว
"ใจเย็นๆ ค่อยๆ เล่า เก็บไว้คนเดียวมันหนักอก ถึงจะเป็นเรื่องที่พี่ช่วยอะไรไม่ได้ แต่พี่ช่วยรับฟังได้นะ" พราวเอื้อมมือไปลูบศีรษะเล็กเบาๆ น้ำเสียงที่พูดปลอบอ่อนโยนและห่วงใยจนคนตัวเล็กยิ่งร้องไห้หนัก เหมือนพยายามกลั้นเอาไว้อย่างสุดกำลังแล้วแต่ไม่ไหว..
"ฮึ่ก..มะ...แม่ขวัญป่วยเป็นมะเร็งสมอง" เมื่อร้องจนพอจะพูดอะไรได้ เสียงเบาคลอสะอื้นก็เอ่ยเรื่องที่กำลังเป็นทุกข์ออกมาให้อีกฝ่ายฟัง
"เฮ้ย จริงหรอ! ? " คนฟังเสียงหลงอีกครั้ง ได้แต่นั่งตัวแข็งและจ้องมองหน้าคนพูดอย่างอึ้งๆ
"ระยะสุดท้ายแล้วค่ะ...ขวัญไม่เคยรู้เลยจนอาการแม่ทรุดหนัก ต้องออกจากงานไปอยู่ที่โรงพยาบาล ขวัญต้องหยุดเรียนเพื่อหางานทำ เพราะเงินเก็บที่มีเอามารักษาแม่จนหมด...ขวัญจะทำยังไงดีอ่ะพี่พราว ฮึ่ก...งานที่ทำต่อให้มีสามสี่ร่างมันก็ได้เงินไม่พอมารักษาแม่ ขวัญหมดจนปัญญาแล้วจริงๆ อึก" พอได้พูดของขวัญก็พรั่งพรูทุกอย่างออกมาหมดพร้อมกับหยาดน้ำตา จนเสียงสะอื้นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ทำลูกค้าโต๊ะอื่นหันมาสนใจ เจ้าของร้านจึงพาเธอเข้าไปในร้านตรงพื้นที่ส่วนตัว และปล่อยให้ระบายความทุกข์ออกมาจนพอใจ...พราวรู้สึกเห็นใจน้องเป็นอย่างมาก เธอไม่เคยรู้เลยว่าน้องสาวต่างสายเลือดที่ทั้งรักและเอ็นดูจะต้องมาเจออะไรแบบนี้เพียงลำพัง นี่ถ้าไม่ถามก็คงไม่เล่าให้ฟังแน่
"โธ่ ขวัญ..." พราวรำพึงรำพันด้วยความเห็นใจ พอมารู้เรื่องแบบนี้แล้วเธอเองก็พลอยทุกข์ใจและเครียดตามไปด้วยเพราะรู้จักสองแม่ลูกดีกว่าใคร และตอนนี้ก็เท่ากับว่าน้องกำลังเผชิญเรื่องราวทั้งหมดด้วยตัวคนเดียว เด็กอายุแค่นี้จะรับไหวได้ยังไง..
"ฮะ ฮึ่ก ขวัญเหลือแม่อยู่คนเดียวนะพี่พราว ฮื่อๆ ถ้าแม่ไม่อยู่กับขวัญ ฮึ่ก ขวัญก็ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมเหมือนกัน ฮื่อออ" ถ้อยคำที่เหมือนจะตัดพ้อโชคชะตากับเสียงสะอึกสะอื้นปานจะขาดใจทำคนฟังเจ็บปวดไม่แพ้กัน เพราะชีวิตของเธอกว่าจะมาถึงวันนี้มันก็ไม่ได้สวยหรูอย่างที่ใครๆ เห็น...
"ไม่เอาของขวัญ อย่าคิดแบบนั้น การเกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ในเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่เราก็ต้องสู้นะลูก อย่าเพิ่งท้อ" พราวปลอบและเตือนสติไปพร้อมๆ กัน เห็นของขวัญพูดแบบนี้แล้วก็ใจไม่ดี กลัวน้องจะคิดสั้น...
"ฮึ่ก...ไม่ ขวัญไม่อยากอยู่คนเดียว ไม่เอา..." ยิ่งปลอบคนตัวเล็กก็ยิ่งเตลิด เพราะมะเร็งระยะสุดท้ายนั้นความหวังที่จะเห็นแม่หายมันริบหรี่เหลือเกิน ยิ่งถ้าไม่มีเงินรักษาด้วยแล้วแม่ก็จะยิ่งจากไปไวขึ้นแน่ๆ แล้วเธอจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อใครกันล่ะ
"เฮ้อ...พี่ก็อยากช่วยเรานะ แต่พี่ภาระเยอะ ผ่อนทั้งบ้านทั้งรถ" พราวเอ่ยหน้าเศร้า คนฟังพยักหน้าเข้าใจทั้งน้ำตา เธอไม่ได้หวังให้อีกฝ่ายช่วยหรอก แค่อยากระบายให้ใครสักคนฟังก็เท่านั้น
"จริงๆ มันก็...มีงานที่ทำแล้วได้เงินเร็วและได้เยอะอยู่นะ แต่พี่ไม่แน่ใจว่าขวัญจะกล้าทำหรือเปล่า" คนอายุมากกว่าเอ่ยบอกอย่างระมัดระวัง
"งะ...งานอะไรหรอคะ? " ของขวัญหูผึ่งตาโตขึ้นมาในทันทีที่ได้ยินพราวพูดแบบนั้น แต่อีกฝ่ายกลับมีสีหน้าลังเลและลำบากใจที่จะตอบ
"ขายบริการ" เป็นไปตามคาดว่าคนฟังจะต้องตกใจและนิ่งอึ้ง พราวไม่ได้อยากจะชักชวนหรืออยากให้ของขวัญมาทำอาชีพนี้เลยสักนิด แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้ว...
"เฮ้อ เราไม่เหมาะกับงานแบบนี้หรอกพี่รู้ แต่ถ้ามันจำเป็นจริงๆ พี่ก็อยากให้เราลองพิจารณาดู ความจริงแล้วนอกจากเปิดร้านข้าวพี่ก็ทำงานกลางคืนด้วย...พี่เป็นแม่เล้าหาเด็กให้ลูกค้าที่ผับแห่งหนึ่ง พี่ไม่ได้อยากทำนักหรอกแต่ความจนมันน่ากลัว และบางทีชีวิตคนเรามันก็ไม่มีทางเลือกมากนัก" อาชีพหลักของพราวเป็นความลับที่ไม่มีใครรู้แม้แต่พ่อกับแม่ที่อยู่ต่างจังหวัด แน่นอนว่าคนตรงหน้านี้ก็ด้วย เธอไม่อยากจะบอกน้องเลยจริงๆ ว่าทำงานแบบนี้ เธอกลัวของขวัญจะผิดหวังในตัวเธอ แต่ก็อย่างที่บอกว่ามันไม่มีทางเลือกแล้วจริงๆ
"เอาเก็บไปคิดดูนะ ถ้าจะทำให้มาบอกพี่ น่ารักแบบนี้ลูกค้าติดตรึมแน่ๆ " พราวบอกอีกพร้อมกับฝืนยิ้มให้เล็กๆ เธอเอาแต่พูดอยู่ฝ่ายเดียวมาหลายประโยคแล้วเพราะคนฟังมัวแต่นิ่งอึ้ง
"ไว้...ขวัญจะลองคิดดูนะคะ" ของขวัญบอกกลับทั้งที่ยังคงอึ้งไม่หาย ครั้นพอยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาก็พบว่าได้เวลาไปหาแม่แล้วเลยล้วงเงินค่าข้าวออกมาให้สาวรุ่นพี่
"ไม่ต้องหรอก พี่เลี้ยง ถ้าไม่มีเงินกินข้าวก็มากินร้านพี่ได้ตลอดนะ" พราวส่ายหน้าปฏิเสธ ก่อนบอกแล้วยิ้มให้อย่างใจดี
"ขอบคุณมากนะคะพี่พราว" คนตัวเล็กยกมือไหว้ขอบคุณอีกฝ่ายด้วยความตื้นตันใจ ความห่วงหาอาทรที่อีกฝ่ายมีให้ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยๆ เธอก็ไม่ได้โดดเดี่ยวไปเสียทีเดียว ยังคงมีคนเป็นห่วงเธออยู่ตั้งหนึ่งคน...
โรงพยาบาล...
ของขวัญมาเยี่ยมแม่ที่โรงพยาบาลทุกวัน ถ้าเป็นวันธรรมดาที่ต้องทำงานเธอจะมาแค่ครู่เดียวหลังเลิกงาน เพราะจากนั้นต้องไปทำงานที่อื่นต่อ แต่วันนี้วันอาทิตย์เป็นวันหยุดของเธอก็เลยมาเยี่ยมแม่เร็วกว่าทุกวัน...
กลางวันทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ตกกลางคืนก็ยังยึดตำแหน่งเดิมเพียงแต่เปลี่ยนจากเสิร์ฟอาหารมาเป็นเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในผับ วนเวียนอยู่แบบนี้มาได้เกือบสองเดือนแล้ว ในขณะที่แม่เข้าโรงพยาบาลได้สามเดือนกว่าๆ ไม่น่าเชื่อว่าระยะเวลาเพียงเท่านี้กับโรคที่เป็นจะผลาญเงินเก็บของเธอและแม่จนหมด สองงานที่ทำอยู่ก็ทำเงินได้ไม่เพียงพอกับค่ารักษาพยาบาล นั่นทำให้เธอทุกข์ใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้จะไปหาเงินเยอะๆ จากไหนมารักษาแม่ ญาติที่ไหนก็ไม่มี..
เธอเคยถามแม่นะว่าทำไมครอบครัวเราถึงไม่มีญาติพี่น้องเหมือนคนอื่นๆ เขา...แม่บอกกับเธอว่าเพราะตากับยายไม่ชอบพ่อและไม่อยากให้ทั้งคู่รักกันจึงกีดกันทุกวิถีทาง จนพ่อทนไม่ไหวตัดสินใจพาแม่หนีมาอยู่ที่กรุงเทพฯ ตัดขาดจากญาติพี่น้องทั้งหมดด้วยเหตุผลเดียวก็คือพ่อรักแม่มาก
ครอบครัวเธออยู่กันอย่างพอเพียงและมีความสุขมาโดยตลอดจนเมื่อเธออายุได้แค่สิบขวบพ่อก็จากไปด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทิ้งให้เธอกับแม่ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กันต่อไป แม่ต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงดูเธอ ทั้งส่งให้เรียนในโรงเรียนดีๆ และพยายามมอบความรักความอบอุ่นให้ ไม่น้อยไปกว่าครอบครัวอื่นที่เขามีทั้งพ่อและแม่
แต่วันนี้...ผู้หญิงแกร่งคนนั้นต้องหยุดทำงานและนอนติดเตียงอยู่ที่โรงพยาบาลด้วยโรคร้ายที่ใครๆ ก็บอกว่าไม่มีวันรักษาหาย วินาทีแรกที่รู้เธอช็อกไปนานหลายวันพอๆ กับตอนที่รู้ว่าพ่อเสีย แต่ตอนนี้มันย่ำแย่กว่านั้นมากเพราะเธอต้องเผชิญทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว...
ทุกวันของการรักษาคุณหมอจะให้ยาแม่สารพัดอย่าง ทุกอาทิตย์จะต้องทำคีโมและผ่าตัดสมองเผื่อระบายน้ำออก แม่ต้องแบกรับการรักษาที่ทรมานอย่างหนักแต่กลับไม่ได้ช่วยให้ดีขึ้น แค่ประคองอาการให้พ้นวันต่อวันไปเท่านั้น...เธอไม่อยากห่างไปไหนเลยสักวินาที แต่ก็ต้องทำงานเพื่อหาเงินมาจ่ายค่ารักษา
"แม่...ขวัญมาแล้วนะ วันนี้แม่เป็นยังไงบ้าง" ร่างบางทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เตียงแม่ก่อนคว้ามือนุ่มที่มีริ้วรอยของวัยมากุมไว้ คนบนเตียงลืมตาขึ้นมามองหน้ากันและทำเพียงระบายยิ้มบางๆ ให้
"แม่สู้นะ แม่จะต้องหาย" น้ำเสียงที่เอ่ยออกไปสั่นเครือจนปิดบังไม่ได้ว่าคนพูดกำลังจะร้องไห้ หัวใจคนเป็นแม่เจ็บปวดไม่ต่างกันที่เห็นลูกเป็นแบบนี้ แต่ไม่มีใครฝืนโชคชะตาได้ มันคงใกล้จะถึงเวลาของเธอแล้ว...
"ขะ...ขวัญ...สัญญากับแม่ได้ไหม...ว่าหนูจะดูแลตัวเองดีๆ " คนบนเตียงรวบรวมพละกำลังที่มีอยู่เพื่อพยายามพูดกับลูกยาวๆ แต่ยังไม่ทันจบทุกสิ่งที่อยากบอกอีกฝ่ายก็ขัดขึ้นมาเสียงดัง
"ไม่เอา! แม่อย่าพูดแบบนี้! อย่าพูดเหมือนจะไม่อยู่กับขวัญ แม่จะต้องอยู่ ฮึ่ก..."
พอเห็นน้ำตาลูกคนเป็นแม่ก็พูดไม่ออก เธอเองก็ยังไม่อยากจากลูกไปในเร็ววันนี้เหมือนกัน เพราะถึงจะอายุยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วแต่ของขวัญยังเด็กอยู่มาก เป็นความผิดของเธอเองที่เลี้ยงลูกเหมือนไข่ในหิน ไม่เคยให้ต้องลำบากหรือต้องห่างไปไหน ก็เลยไม่มั่นใจว่าถ้าวันหนึ่งเธอต่อสู้กับโรคร้ายนี้ไม่ไหว ลูกจะอยู่ต่อไปคนเดียวได้ยังไง...
ของขวัญอยู่เฝ้าแม่ทั้งวันจนเย็นก็ลาแม่กลับเพื่อไปทำงานเสิร์ฟที่ผับต่อ จากที่เรียนอย่างเดียวไม่เคยต้องทำงานแต่พอได้ทำก็ควบทั้งสองงานทำให้เธอเหนื่อยหนักเป็นสองเท่า แต่ก็พยายามอดทนอย่างสุดกำลังเพราะแม่เหนื่อยมามากแล้ว ถึงเวลาที่เธอต้องเหนื่อยเพื่อแม่บ้าง...
ตั้งแต่วันแรกที่เข้าไปทำงานร่างบางก็ถูกมองว่าเป็นคนรักสันโดษ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร มาทำงานตรงเวลาทำเสร็จก็กลับเลยไม่ไปเอ้อระเหยที่ไหน ซึ่งเธอก็เป็นแบบนั้นจริงๆ ทั้งโดดเดี่ยวและก็เหงาจับใจเมื่อกลับบ้านมาพบแต่ความว่างเปล่ามาหลายเดือน
จังหวะที่กำลังจะเดินผ่านร้านขายอาหารตามสั่งของพราวที่เปิดอยู่ในตึกทาวเฮ้าส์ขนาดสองชั้น ของขวัญก็เห็นเจ้าของร้านที่ในเวลานี้แต่งตัวสวยจัดจ้านกว่าตอนกลางวันเดินมาขึ้นรถยนต์คันหรูที่จอดอยู่หน้าร้านก่อนจะขับออกไป พลันทำให้นึกถึงสิ่งที่พราวบอกไว้เมื่อตอนกลางวัน...
แน่นอนว่างานแบบนั้นเป็นงานที่เธอไม่เคยคิดจะทำมาก่อนและไม่คิดด้วยว่าจะได้ทำ แต่ตอนนี้ยอมรับว่ารู้สึกลังเลนิดๆ เพราะไม่มีทางเลือก เธออยากให้แม่อยู่กับเธอนานๆ และยังไงก็ต้องอยู่เพราะเธอไม่เหลือใครอีกแล้ว
เมื่อกลับมาถึงบ้านร่างบางก็รีบไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนจะเดินมานั่งลงหน้ากระจก จ้องมองหน้าตัวเองอย่างพิจารณา คนทำงานขายเรือนร่างอย่างน้อยๆ ก็ต้องสวยต้องเก่ง แต่เธอทั้งขี้อายและไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ไม่พอยังต้องไปนอนกับใครที่ไหนก็ไม่รู้ เธอไม่คิดว่าจะทำใจได้เลยสักนิด...
วันต่อมา...
ได้นอนเพียงไม่กี่ชั่วโมงของขวัญก็ต้องตื่นเพื่อไปทำงานที่ร้านอาหารต่อ แต่วันนี้ตื่นสายกว่าทุกวันเลยไม่ได้กินอะไรก่อนไปทำงาน ไม่พอพนักงานก็ขาดเธอจึงต้องทำในส่วนของคนอื่นเพิ่มแถมลูกค้ายังเข้าร้านเยอะจนผิดปกติอีกก็เลยต้องทำยาวจนไม่มีเวลาพักกินข้าวเที่ยง ได้นมกล่องเดียวรองท้อง กว่าจะเลิกงานก็ห้าโมงเย็น...ร่างบางๆ เดินโซเซเข้าซอยบ้านมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยกว่าวันไหนๆ และเพราะฝืนร่างกายมากจนเกินไปก็เลยเป็นลมล้มพับไปตรงนั้น โชคดีที่อยู่ไม่ไกลจากร้านของพราวมาก พอดีกับที่ใช้เด็กในร้านไปซื้อของขากลับก็เลยมาเห็นเข้าจึงรีบวิ่งมาบอกเจ้านาย พราวเลยให้คนไปช่วยอุ้มพามานอนพักให้ร้าน ดูจากสีหน้าท่าทางอิดโรยแล้วคงแค่เป็นลมไปเฉยๆ ก็เลยให้นอนพักไปก่อน
"พี่พราว..." หลับไปหลายชั่วโมงคนตัวเล็กก็รู้สึกตัวตื่น ดวงตากลมโตกะพริบปริบมองไปรอบๆ ด้วยความสงสัย ก่อนจะเห็นพราวเดินเข้ามาพอดีเลยแน่ใจว่าอยู่ที่ไหน
"ไง ตื่นแล้วหรอ...จริงๆ เลย ทำไมถึงฝืนตัวเองขนาดนี้ ดีนะไม่ไปล้มพับที่อื่น พี่ล่ะตกอกตกใจหมด" ความเป็นห่วงทำอีกฝ่ายอดบ่นออกมาไม่ได้
"กี่โมงแล้วคะ หนูต้องไปทำงานต่อ" แทนที่จะสนใจคนตรงหน้าร่างบางกลับทำหน้าตาตื่นขึ้นมาและหุนหันจะลุกออกไป
"หยุดเลย! วันนี้ไม่ต้องไปมันแล้ว แรงเดินแทบจะไม่มียังจะห่วงงานมากกว่าตัวเองอีก" มือเรียวของพราวดันไหล่เล็กให้กลับไปนั่งลงที่เดิม ก่อนดุออกมาหน้ายุ่งๆ
"แต่..."
"กินข้าวก่อนค่อยว่ากัน" เสียงเข้มตัดบทก่อนจะเปิดประตูโผล่หน้าออกไปตะโกนสั่งเด็กในร้านทำอาหารมาให้...ใช้เวลาไม่นานข้าวผัดหมูร้อนๆ ก็ถูกยื่นมาตรงหน้า ของขวัญจำต้องรับไปกินอย่างเงียบๆ ห่วงงานก็ห่วงแต่พราวก็ไม่ยอมปล่อยให้ไปไหนง่ายๆ
"เฮ้อ พี่พูดจริงๆ นะขวัญ ไปทำงานกับพี่เถอะ" พราวถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อเเห็นคนตัวเล็กกินข้าวน้อยนิด หน้าตาก็ซีดเซียวจนดูไม่ได้ คงเพราะโหมทำงานหนักเพื่อหาเงินมารักษาแม่แน่ๆ
"พี่เข้าใจว่าคนไม่เคยก็ต้องกลัวเป็นธรรมดา แต่ถ้าอยากได้เงินมารักษาแม่ก็ต้องฝืนทำ พอแม่หายจะเลิกทำก็ได้ ไม่มีใครว่า" พราวพยายามโน้มน้าวใจคนฟังอีกเมื่อเห็นนั่งทำหน้าคิดหนัก เธอไม่อยากให้น้องสาวที่เธอรักและเอ็นดูทำนักหรอก แต่ถ้ายังทนทำงานเดิมๆ ต่อไปคนที่จะแย่ไม่ใช่แค่แม่ ร่างบางก็จะแย่ไม่ต่างกัน
"เอางี้! พี่จะพยายามช่วยไม่ให้เราเจอพวกคนไม่ดีเอง ทุกๆ วันศุกร์จะมีลูกค้าคนหนึ่งมาใช้บริการเด็กของพี่ เขาน่าจะเป็นนักธุรกิจกระเป๋าหนัก เขาหล่อมากเลยนะและก็ดูโอเคที่สุดในบรรดาลูกค้าที่มา ไว้พี่จะตะล่อมให้เขาเอ็นดูขวัญ ถ้าโชคดีขวัญอาจจะไม่ต้องรับลูกค้าคนอื่นอีก เผลอๆ ถ้าเขารู้เรื่องแม่เขาอาจจะให้เงินมารักษาฟรีๆ เลยก็ได้นะ" พราวตะล่อมน้องก่อนใคร ทั้งที่ความจริงแล้วไม่รู้ว่าสิ่งที่บอกไปจะทำสำเร็จหรือไม่ เพราะใครคนนั้นที่พูดถึงเหมือนจะไม่ใช่แค่นักธุรกิจธรรมดาทั่วไป รอบตัวเขามีบอดี้การ์ดคุมเข้มแถมยังแผ่รังสีอันตรายจนบรรดาเด็กเสิร์ฟที่ร้านแทบจะไม่อยากเข้าใกล้ แต่ยังไงก็ต้องลองเสี่ยงดูก่อนเผื่อเขาจะเอ็นดูเด็กน่ารักๆ อย่างของขวัญ
"งั้น...ขวัญขอเริ่มคนเดียวก่อนนะคะ ขวัญไม่รู้ว่าจะทำใจได้มั้ย ขอลองดูก่อน" เมื่อมันไม่มีทางเลือกร่างบางก็ยอมทิ้งศักดิ์ศรีทุกอย่างมาทำงานนี้ แม้จะยังมองไม่เห็นความกล้าในตัวเองแต่ก็พยายามจะนึกถึงหน้าแม่อยู่ตลอด เพราะแม่คือแรงผลักดันเดียวที่ทำให้เธอต้องกล้าที่จะเดินต่อ ถึงจะไม่ใช่ทางที่ดีนักก็เถอะ...
"ได้สิ ไม่มีปัญหา ค่อยเป็นค่อยไปแล้วกัน...เริ่มศุกร์นี้เลยนะ พี่มีเวลาให้ทำใจก่อน อย่าลืมเตรียมไปลางานที่ทำไว้ล่ะ ครั้งแรกมันก็อาจจะเจ็บหน่อย" พอพราวบอกมาแบบนั้น คนฟังก็ยิ่งทำหน้าไม่สู้ดี ทั้งกลัวและกังวลอย่างเห็นได้ชัด
"จำไว้ว่าเราทำเพื่อแม่ มันจำเป็น" คนเป็นพี่เอื้อมมือมาลูบศีรษะปลอบด้วยท่าทางไม่สู้ดีเช่นกัน ยิ่งเห็นท่าทางหวาดกลัวของอีกฝ่ายก็ยิ่งสะท้อนภาพให้เห็นตัวเองในวันวาน เธอยังจำความรู้สึกนั้นได้ดีจึงเข้าใจร่างบางมากกว่าใคร แต่ในเมื่อมันไม่มีทางเลือกก็ต้องทำ!
..
..
..
..
มาเฟียจ้าวชีวิตWriter : Aile'Nตอนที่ 2วันต่อมาของขวัญก็ยังไปทำงานตามปกติ เธอยังไม่ได้ลาออกเพราะยังเหลืออีกตั้งสี่วันกว่าจะถึงวันศุกร์เลยตัดสินใจทำงานต่อด้วยความเสียดายค่าแรงวันที่เหลือ แต่ก็ได้เกริ่นๆ บอกผู้จัดการไว้แล้วว่าจะขอลาออกวันพฤหัสฯ นี้ อีกฝ่ายตกอกตกใจเสียยกใหญ่เพราะรู้สึกเสียดายคนขยันทำงานอย่างเธอจึงไม่อยากให้ออก ซึ่งของขวัญก็ทำได้แค่ขอโทษและให้เหตุผลที่ลาออกว่าต้องการออกไปดูแลแม่ที่ป่วยเท่านั้น ผู้จัดการเลยเลิกเซ้าซี้..แต่ถึงจะตั้งใจอย่างแน่วแน่ไว้แล้วแต่เวลาที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่วันก็ทำให้เธอเครียดจนนอนไม่ค่อยหลับ เวลาทำงานก็ไม่ค่อยมีสติ ไปเยี่ยมแม่ก็เอาแต่จะร้องไห้ จนบางทีก็แอบตัดพ้อชะตาชีวิตที่พรากพ่อไปจากเธอแล้วยังจะพรากแม่ไปจากเธออีก...ใจร้ายจริงๆวันเวลาในแต่ละวันช่างเดินเร็วนัก เผลอแป๊บเดียววันศุกร์ก็มาถึง...ร่างบางมาหาพราวที่ร้านด้วยท่าทางเศร้าซึม ใบหน้าที่เคยขาวใสหมองคล้ำและซีดเซียวจนโดนดุไปยกใหญ่ว่าไม่ดูแลตัวเองให้ดี พอบ่นเสร็จก็ถูกจับแปลงโฉม เปลี่ยนจากเธอคนเดิมให้กลายเป็นอีกคนที่ไม่รู้จัก...เวลาประมาณหนึ่งทุ่มกว่าๆ พราวก็พาของขวัญไปยังผับที่เธอทำงานลับๆ อยู
มาเฟียจ้าวชีวิตWriter : Aile'Nตอนที่ 3ของขวัญถูกพามาส่งถึงหน้าบ้านตามคำสั่งของใครคนนั้น สิ่งแรกที่ทำหลังจากเข้าบ้านมาก็คือเปิดประเป๋าดูเงินสิบล้านด้วยความกระอักกระอ่วนระคนดีใจ เพราะมันเยอะมากจริงๆ แถมได้มาโดยที่ไม่ได้ทำอะไรตอบแทนคนให้เลยสักอย่าง เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากๆ เธอได้แต่นิ่งอึ้งผสมปนเปกับความตื้นตันใจ นอกจากจะไม่ได้ทำอะไรตอบแทนแล้วเธอยังไม่ทันได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนามของผู้ชายคนนั้นเลยด้วยซ้ำ เขาเองก็ไม่ได้รู้ประวัติความเป็นมาของเธอ ได้ฟังแต่คำบอกเล่าเรื่องแม่ผ่านลมปาก แต่ก็ยังใจดียื่นมือเข้ามาช่วยโดยไม่คิดจะเอาอะไรตอบแทน แม้จะดูเหมือนช่วยแบบตัดความรำคาญก็เถอะ..มือบางปิดกระเป๋าลงก่อนนั่งเหม่อ เสื้อที่อีกฝ่ายคลุมให้ก็ลืมคืนไปกับลูกน้องของเขา เลยลุกขึ้นถอดเอาไปแขวนไว้หน้าตู้เสื้อผ้าแล้วนั่งมองอย่างหลงใหล กลิ่นของผู้ชายเป็นแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าไม่รู้ แต่กลิ่นของเขาเธอไม่เคยได้กลิ่นจากที่ไหน กลิ่นของความดุดันอันตรายหากแต่เจือจางความอบอุ่นเล็กๆ ให้ความรู้สึกลึกลับแปลกๆ แต่เธอกลับรู้สึกชอบมาก..นั่งเพ้อถึงใครคนนั้นอยู่พักใหญ่ ของขวัญก็สลัดความคิดทุกอย่างทิ้งชั่วคราวแล้วลุกไ
มาเฟียจ้าวชีวิตWriter : Aile'Nตอนที่ 4ร่างบางถูกพามาที่ตึกสูงแห่งหนึ่ง.. มองเผินๆ ก็เหมือนกับบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วไป ต่างกันตรงที่มันตั้งอยู่ในซอยลึก พื้นที่โดยรอบเงียบสงบแม้แต่หมาแมวสักตัวก็ยังไม่ผ่านมาให้เห็นบางบริษัทอาจจะมีป้อมยามรักษาการเฝ้าอยู่ข้างหน้าคอยตรวจคนเข้าออก แต่ที่นี่ไม่มี.. ด้านนอกไม่มีใครเลยแต่พอเข้าไปข้างในกลับมีคนยืนเรียงแถวกันเต็มไปหมด ทุกคนใส่ชุดดำล้วนและยืนทำหน้าทะมึนทึงเหมือนลูกสมุนของพวกเจ้าพ่อที่เคยเห็นในหนังอย่างกับเลียนแบบกันมาร่างสูงใหญ่ผู้เป็นนายเหนือหัวอุ้มคนตัวเล็กที่น้ำหนักเบาหวิวเหมือนปุยนุ่นเดินผ่านคนพวกนั้นที่กำลังยืนก้มหัวให้ไปที่ลิฟต์อย่างเงียบๆ คนสนิทที่ตามมาด้วยสองคนรับหน้าที่กดลิฟต์ขึ้นชั้นบนสุด ก่อนจะผละออกมายืนสงบนิ่งประกบผู้เป็นนายคนละฝั่งในท่าทางสง่าผ่าเผยไม่แพ้กันสภาพแวดล้อมกับผู้คนที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทำของขวัญเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมานิดๆ ได้แต่นอนห่อตัวอยู่ในอ้อมแขนของคนตัวใหญ่ ก้มหน้าก้มตาไม่มองใคร.. กลิ่นกายของเขาที่เธอชอบอบอวลอยู่รอบตัว ให้ความรู้สึกไม่โดดเดี่ยวเหมือนหลายวันที่ผ่านมาจนเผลอซุกเข้าหามากขึ้น นึกอยากจะให้เส้นทาง
มาเฟียจ้าวชีวิตWriter : Aile'Nตอนที่ 5กว่าห้าวันแล้วที่ของขวัญมาอยู่ที่ตึกสูงแห่งนี้.. ชีวิตในแต่ละวันของเธอดำเนินไปแบบวนลูป ตื่นเช้า อาบน้ำแต่งตัว ทานข้าวและของบำรุงสารพัดอย่างที่องศาจัดมาให้ จากนั้นก็ว่าง.. ไม่มีอะไรให้ทำ ได้แต่นั่งๆ นอนๆ หายใจทิ้งไปวันๆ ดีหน่อยที่องศาหอบหนังสือจากห้องสมุดชั้นล่างมาให้เธออ่านแก้เบื่อบ้าง.. หรืออาจจะทำให้เบื่อหนักกว่าเดิม เพราะส่วนใหญ่มีแต่หนังสือวิชาการ ศาสตร์ต่างๆ กับพวกปรัชญาชีวิต มีนวนิยายบ้างแต่ก็ล้วนเป็นภาษาต่างประเทศทั้งสิ้นเที่ยงตรง.. ได้เวลายัดอาหารลงท้องอีกครั้ง พอเริ่มย่อยหนังตาก็เริ่มหย่อน ช่วงบ่ายเลยกลายมาเป็นเวลานอนกลางวัน เมื่อตื่นก็มานั่งโง่ๆ มองวิวทิวทัศน์ตรงโซฟาริมกำแพงกระจกที่มันเคยสวยมากในครั้งแรกที่เห็น แต่พอมองบ่อยๆ ความสวยงามของมันก็ค่อยๆ ลดลงไป.. จากนั้นก็ได้เวลาทานมื้อเย็น อาบน้ำและเข้านอน วนอยู่แค่นี้ตลอดห้าวันที่ผ่านมา นี่มันไม่ได้ต่างจากการถูกพามาขังเลยสักนิด..หลังจากวันแรกที่เจ้าของตึกแห่งนี้พาของขวัญเข้ามา เธอก็ไม่ได้เจอเขาอีกเลย องศาบอกว่าโทโมยะมีงานมากมายที่ต้องสะสาง เธอก็เลยยังไม่รู้ว่าบทสรุปของอนาคตตัวเองจะเป็นย
มาเฟียจ้าวชีวิตWriter : Aile'Nตอนที่ 6"เป็นอะไร อาหารไม่อร่อย? " บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเช้านี้ไม่สดใสเท่าที่ควร เพราะใครบางคนที่แกล้งให้ร่างบางรอเก้อเมื่อคืนดันโผล่มานั่งร่วมโต๊ะทานข้าวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น"เปล่าค่ะ.." เสียงเบาตอบออกไปโดยไม่มองหน้า และไม่รู้ตัวเลยว่าหัวคิ้วกำลังขมวดเข้าหากันซึ่งเป็นกิริยาที่ขัดกับคำพูดอย่างสิ้นเชิง"หรืออารมณ์เสียเรื่องเมื่อคืน? " ร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบ แต่หากดวงตาเปล่งประกายอะไรบางอย่างที่ทำคนมองรู้สึกไม่ชอบใจ"เปล่านี่คะ ดีใจซะอีก" คนพูดลอยหน้าเหมือนไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้น จริงๆ ถึงเธอจะโกรธที่ถูกแกล้งให้รอเก้อ แต่มันก็ยังมีแง่ดีเพราะยังไม่เสียความบริสุทธิ์ให้ใคร"หึ..." โทโมยะเค้นเสียงในลำคอเหมือนมีอะไรน่าขบขัน ทำคนฟังได้แต่เก็บงำความไม่พอใจเอาไว้เพราะเธอเกลียดเสียงในลำคอแบบนั้นของเขา ปกติของขวัญเป็นเด็กขี้อายและมีมารยาทมากกว่านี้แต่คนตรงหน้ามักทำให้เธอปั่นป่วนและหลุดการควบคุมอยู่หลายครั้ง"เธอยังเรียนไม่จบใช่มั้ย.. อยากกลับไปเรียนหรือเปล่า" เงียบไปสักพักร่างสูงก็ถามขึ้นมาอย่างจริงจัง เขาไม่เคยมีความคิดที่จะรับของขวัญมาอยู่ด้วยแต่แรก มันเกิดจากการต
มาเฟียจ้าวชีวิตWriter : Aile'Nตอนที่ 7"คิดอะไรอยู่หรอครับ คิ้วขมวดเชียว" องศาถามขึ้นในตอนที่ยกของว่างมาให้ของขวัญ แล้วเห็นว่าร่างนั้นเอาแต่นั่งทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนกำลังคิดอะไรที่มันสำคัญอยู่"ขวัญ.. ถ้าขวัญอยากทำงานให้คุณโทโมยะเหมือนพี่ พอจะมีโอกาสเป็นไปได้มั้ยคะ" คนถูกทักเงยหน้าขึ้นมองร่างสูงอย่างชั่งใจ อึกอักเล็กน้อยก่อนจะยอมพูดในสิ่งที่คิดออกมา นี่ยังไม่เลิกคิดเรื่องที่อยากจะทำงานให้นายเขาอยู่อีกหรอเนี่ย.."อย่าเลยครับ นอกจากนายจะไม่ให้ทำแล้ว น้องขวัญยังไม่เหมาะที่จะทำอะไรแบบนี้ด้วย" องศาตอบย้ำว่าไม่มีทางที่ของขวัญจะมายืนอยู่ในจุดเดียวกับเขาได้ ต่อให้อยากทำแค่ไหนนายใหญ่คงไม่อนุญาตเพราะผู้หญิงจะเป็น 'จุดอ่อน' ของแก๊ง ไม่ว่าฝีมือจะเก่งกาจสักแค่ไหน แต่จิตใจก็ยังอ่อนไหวง่ายกว่าผู้ชายอยู่ดี"แล้วขวัญพอจะทำอะไรได้บ้างคะ ขวัญไม่อยากนั่งๆ นอนๆ อยู่แต่ในห้องนะ" ร่างบางเริ่มเครียดจริงจัง เธอนั่งคิดมาร่วมสองชั่วโมงแล้วว่าเธอพอจะทำอะไรเพื่อโทโมยะได้บ้าง ที่คิดว่าทำได้ก็เสนอไปหมดแล้วแต่เขาก็ไม่ต้องการ"พี่ว่าน้องขวัญน่าจะกลับไปเรียนนะ ถ้าเรียนจบนายอาจจะให้มาช่วยเรื่องบัญชีหรือเอกสารก็ได้
มาเฟียจ้าวชีวิตWriter : Aile'N- INTRO -ตึก...ตึก...ตึก...ในวันที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดภายในบ้านแม้เจ้าของบ้านจะไม่ได้ออกไปไหน พลันมีเสียงรองเท้าหนังราคาแพงเหยียบลงบนพื้นกระเบื้อง ก้าวเดินเป็นจังหวะ และเสียงนั้นก็กำลังตรงมายังห้องนอนที่ประตูปิดสนิทอยู่..แกรก"ดูไม่จืดเลยนะ" น้ำเสียงทุ้มนุ่มของคนที่เปิดประตูเข้ามาเอ่ยราบเรียบในขณะที่สายตาจับจ้องร่างผอมบางบนเตียงนิ่งๆ"ค...คุณ..." ดวงตาที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำตาของใครคนนั้นค่อยๆ เปิดขึ้นมองร่างสูงตรงหน้าอย่างอ่อนแรง เมื่อรู้ว่าเป็นใครแววตาที่เคยเฉื่อยชาก็เริ่มสั่นระริกก่อนเอ่อคลอน้ำตาและปล่อยให้มันหยดลงเปียกที่นอนอีกครั้ง ร้องเท่าไรก็ไม่เคยพอ..ร่างสูงไม่ได้พูดอะไร ไม่ได้บอกด้วยว่ารู้จักบ้านเธอได้ยังไง สองเท้าที่ถูกโอบหุ้มด้วยรองเท้าหนังมันปลาบก้าวเดินอย่างสุขุมไปรูดผ้าม่านเปิดออก เพื่อให้แสงสว่างสาดส่องเข้ามาขับไล่ความมืดมิดและบรรยากาศสีเทาๆ ออกไป ถึงได้เห็นเต็มตาว่าไม่ใช่แค่คนที่ทรุดโทรมย่ำแย่ สภาพแวดล้อมภายในห้องก็ไม่ได้รับการดูแลเช่นกันร่างบางนอนหลับตาแน่น...เพราะไม่ได้เจอแสงสว่างมาเป็นเวลานาน ดวงตาจึงไม่สามารถปรับโฟกัสได้ในทั