เมิ่งจิ่วซือยังคงรู้สึกว่านางและบุตรสาวมาอยู่ที่เจียงหนานได้เพียงไม่นานจริง ๆ แต่วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วนับจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้ก็กลับเข้าสู่เหมันต์ฤดูอีกครั้งอีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว หวาหวาที่ในตอนนั้นเพียงสองขวบปีมาถึงตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่สามขวบ เขาถึงว่ากันว่าความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอเมิ่งจิ่วซือลองคิด ๆ ดูแล้วว่านางควรจะกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นอีกสักรอบหนึ่ง เพื่อบอกลาทุกคนที่นั่นและรับตัวคนของนางมาอยู่เจียงหนานเป็นการถาวร อย่างไรก็ตามเรื่องที่นางจะต้องปกป้องดูแลรั่วหวาไปจนกว่าเด็กน้อยจะเติบใหญ่ก็ยังเป็นภารกิจที่หนักหนาจะมามัวแต่เขินอายมิได้ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของนางและเป่ยติ้งหรงอ๋องแม้จะรู้ว่าเขาคิดเช่นไรกับตนเองก็ตาม แต่เพราะนางไม่ต้องการหลอกลวงเขาจึงได้เว้นระยะห่างในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนให้อยู่ในฐานะของคนรู้จักที่ไม่เคยเปลี่ยนเป็นคนรู้ใจได้อีก นางไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหากการที่นางดำเนินความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเขาต่อไปหญิงสาวเองก็รู้สึกไม่สบายใจ มันไม่เหมือนกับความรักของแม่ลูกที่ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น หากวันหนึ่งเขาได้ค้นพบว่านางนั้นไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหา
เมิ่งจิ่วซือพาบุตรสาวเดินทางกลับมายังหมู่บ้านตระกูลเสิ่น ยามที่เดินทางมาถึงไห่หมัวมัวและเกาหมัวมัวต่างก็ดีอกดีใจ ก่อนจะรับตู๋กูรั่วหวาที่โตขึ้นมากไปดูแลทันที จากไปหลายเดือนแต่ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ในยามที่รถม้าจอดเทียบหน้าเรือนไม่นานก็มีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนหากแต่มิใช่ใครที่ไหนแต่ก็เป็นป้ากัวคนเดิม"นายหญิงเมิ่งกลับมาแล้วหรือ?" กัวอวิ๋นเอ่ยถามองครักษ์จางที่ทำหน้าที่ยกข้าวของเข้าเรือน"กลับมาแล้วขอรับ" จางเซียงอวี้ที่พอรู้จักกับกัวอวิ๋นจึงตอบนางไป ก่อนที่อาฉือที่เดินมาพอดีพบเข้า"อ้าว แม่นางอาฉือ สบายดีหรือ?""สบายดีเจ้าค่ะ ท่านป้ามีธุระอันใดงั้นหรือ?""เปล่า ๆ ไม่มีอันใดเพียงแต่เห็นว่านายหญิงเมิ่งไม่อยู่เสียนานเลยอยากจะแวะมาทักทาย""เช่นนั้นเชิญท่านเข้าเรือนก่อนเถิด" อาฉือเอ่ยชักชวนอีกฝ่ายเข้าเรือน เพราะยามที่เดินทางกลับมาที่นี่เมิ่งจิ่วซือย้ำให้พวกนางเป็นมิตรกับคนในหมู่บ้านเสียหน่อย อาฉือจึงได้มีท่าทีอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนอยู่หลายส่วนกัวอวิ๋นที่เห็นว่าตนเองได้รับการต้อนรับก็รู้สึกยินดีตามประสาหญิงวัยกลางคนที่อยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงา เดิมทีสามีของนางนั้นเป็นทหารเพียงแต่เสียช
เมิ่งจิ่วซือที่เพิ่งกลับมาได้เพียงสองวันก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย วันนี้เป็นวันที่นางจะต้องไปร่วมงานแต่งงานของแม่นางชุยฟางบ้านท่านผู้เฒ่า แต่ในขณะที่กำลังจะออกจากเรือนอยู่ ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาก่อนจะจอดเทียบบริเวณหน้าเรือนของนาง เมิ่งจิ่วซือขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถม้าชายผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมหางโจวเนื้อดีราคาแพง ส่งผลให้รูปร่างที่สูงโปร่งของเขายิ่งขับเน้นให้ดูดียิ่งขึ้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาทำให้เป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก หากแต่อีกฝ่ายยิ้มแย้มราวกับว่ารู้จักกับนางมาก่อน ชายหนุ่มเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยทักทายนาง"ท่านคงจะเป็นแม่นางเมิ่งใช่หรือไม่?" เมิ่งจิ่วซือเลิกคิ้วก่อนจะแก้ไขคำพูดของอีกฝ่ายให้ถูกต้อง"รบกวนเรียกข้าว่าฮูหยินเมิ่งเถิดเจ้าค่ะ ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วไม่เหมาะสมหากว่าท่านจะเรียกขานเช่นนั้น" หญิงสาวกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาเล็กน้อย"อ้อ ข้าต้องขออภัย""ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ แล้วมาที่นี่มีธุระอันใด" เมิ่งจิ่วซือไม่อยากอ้อมค้อม"ข้าลืมแนะนำตัว ข้ามีนามว่าเสิ่นชิงหลวน""เสิ่นชิงหลวน คุณชายใหญ่เสิ่นน่ะหรือ
ตู๋กูรั่วหวาตื่นนอนกลางวันขึ้นมาอย่างงัวเงีย เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งบนเตียงดวงตาของนางยังคงหนักอึ้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งทำเอาเกาหมัวมัวที่เห็นท่าทางขี้เซาของคุณหนูน้อยของนางถึงกับขบขันอย่างเอ็นดู"คนดีของบ่าวตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อมารออยู่นานแล้วนะเจ้าคะ" เกาหมัวมัวเอ่ยกับเด็กน้อย แต่เมื่อรั่วหวาที่ได้ยินว่าบิดาเดินทางมาถึงหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้วก็ถึงกับแปลกใจ ก่อนจะคิดว่านี่พึ่งผ่านไปเพียงแค่สองวันเองไม่ใช่หรือ? เหตุใดบิดาของนางจึงได้มาเร็วนัก เด็กน้อยเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะแสร้งเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น"ท่านพ่อมาแล้วงั้นหรือ?""เจ้าค่ะ" หญิงชราพยักหน้าอาเป่ายกอ่างน้ำเข้ามาพอดีก่อนที่เกาหมัวมัวจะใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำพร้อมกำลังตั้งท่าที่จะเช็ดใบหน้าและเนื้อตัวให้กับเด็กน้อยแต่รั่วหวาปฏิเสธ ก่อนจะหยิบผ้าผืนนั้นมาเช็ดใบหน้าของตนเองด้วยท่าทางราวกับไม่ใช่เด็กน้อยอายุสามขวบปี แล้วส่งคืนผ้าผืนนั้นให้กับเกาหมัวมัว จากนั้นปีนลงจากเตียงด้วยตนเอง"คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?" อาเป่าเอ่ยถามคุณหนูน้อยของนางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินออกจากห้อง"ไปหาท่านพ่อน่ะ" กล่าวจบเด็กน้อยก็เดิน
"อย่าขยับ! ถ้าพวกแกไม่อยากถูกยิง ค่อย ๆ เอามือพาดที่ท้ายทอยแล้วก้มหัวลงเดินมาทางนี้!"หว่านหว่านคือหญิงสาวอายุยี่สิบเก้าเป็นลูกครึ่งไทยจีนที่ถูกมารดาทิ้งเอาไว้ในโรงพยาบาลที่เมืองจีน ก่อนที่หญิงสาวจะถูกรับเลี้ยงโดยสถานสงเคราะห์เด็กกำพร้าในมณฑลเทียนจิน เธอเติบโตขึ้นมาอย่างดีด้วยเพราะเรียนเก่งจึงสามารถคว้าทุนการศึกษามาได้มากมายจนกระทั่งเรียนจบด้วยเกรดเฉลี่ยที่ดูดีและได้เข้าทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่ เวลาผ่านไปอย่างช้า ๆ จนกระทั่งหญิงสาวอายุยี่สิบเก้า ในช่วงเวลาที่นับว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดในชีวิต เธอพึ่งได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของสาขาย่อยแห่งหนึ่งและกำลังจะย้ายเข้ารับตำแหน่งในอีกหนึ่งถึงสองวัน เป็นเพราะว่าต้องการทำความคุ้นเคยกับสถานที่จึงได้เดินทางมาก่อนล่วงหน้าหลายวัน ในขณะที่เธอกำลังเดินเลือกซื้อของอยู่ในห้างสรรพสินค้ากลางใจเมือง อยู่ ๆ ก็เกิดเหตุร้ายขึ้น อาชญากรกว่ายี่สิบคนจับลูกค้าภายในห้างแห่งนี้เป็นตัวประกันและหนึ่งในนั้นก็คือเธอเวลาผ่านไปหลายชั่วโมงแต่ดูเหมือนว่าอาชญากรเหล่านั้นจะพูดคุยกับตำรวจไม่เข้าใจ พวกมันจึงไม่คิดจะปล่อยตัวประกันไป ตัวประกันถูกลากออกมาสังหารทีล
ในขณะที่เมิ่งจิ่วซือกำลังจะหมดลมหายใจนางได้ซ่อนของสิ่งหนึ่งเอาไว้ในอกเสื้อของบุตรสาว ความลับของตระกูลเมิ่งจำเป็นต้องถูกส่งต่อให้ตู๋กูรั่วหวาแล้ว เพราะนางคงไม่สามารถอยู่ดูแลบุตรสาวได้อีกต่อไปจิ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ เสียงร้องของนกน้อยหลายตัวที่เกาะอยู่ริมหน้าต่างทำให้หญิงสาวรู้สึกรำคาญใจก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้า ๆ แสงสว่างภายนอกทำให้ร่างบางรู้สึกแสบตาจนต้องขยี้ตาเบา ๆ หว่านหว่านรู้สึกแปลกใจที่เธอยังไม่ตายแต่เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็ยิ่งทำให้หญิงสาวประหลาดใจมากยิ่งขึ้น เมื่อบรรยากาศโดยรอบนั้นช่างไม่คุ้นตา ที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลหากแต่ว่าเป็นเรือนหลังเล็ก ๆ หลังหนึ่ง สภาพเรือนที่กลางเก่ากลางใหม่ที่ดูเหมือนถูกดูแลอย่างดีจนสะอาด ต่อมาเมื่อก้มลงมองดูที่ร่างของตนเองก็ต้องตื่นตกใจหนักขึ้นเมื่ออยู่ ๆ เสื้อผ้าที่เธอสวมใส่กลับไม่ใช่เสื้อผ้าของคนยุคปัจจุบันแต่เป็นเสื้อผ้าของคนยุคโบราณ"นะ นี่! มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่" หว่านหว่านรู้สึกเวียนหัวขึ้นมาก่อนที่อยู่ ๆ ประตูจะถูกเปิดออก หญิงวัยกลางคนที่แต่งกายคล้ายกับสาวใช้อาวุโสในละครย้อนยุคก้าวเข้ามาพร้อมกับอ่างน้ำอุ่น ที่นางรู้ว่ามันอุ่นเพราะในอ่างยังมีละอองควันพว
"เรียนนายหญิง มีคนมาขอพบท่านเจ้าค่ะ""พบข้า ผู้ใดกัน?" หว่านหว่านแสดงสีหน้าให้เห็นอย่างชัดเจนว่านางไม่อาจไว้ใจผู้ใด นางพึ่งย้ายมาอยู่ที่นี่ไม่ถึงชั่วยาม ข้าวของกลับถูกเตรียมพร้อมเอาไว้จนเสร็จสรรพ แล้วในตอนนี้ยังมีคนมาหานางได้ถึงที่นี่อีก"เป็นคนของนายท่านเจ้าค่ะ นายหญิงฝากคุณหนูไว้กับบ่าวก่อนเถิดเจ้าค่ะ""ไม่เป็นไรหวาหวาไม่ใช่เด็กงอแง ข้าจะพานางไปด้วย" หว่านหว่านเอ่ยออกมาตามสัญชาตญาณความเป็นแม่ทำให้นางหวาดระแวงและไม่กล้าฝากบุตรสาวไว้กับผู้ใด"เจ้าค่ะ เชิญนายหญิงด้านนี้เจ้าค่ะ"หว่านหว่านเดินเข้ามาในห้องรับรองเล็ก ที่มีเก้าอี้วางเอาไว้สองฝั่งอย่างเป็นระเบียบ ก่อนจะพบกับชายชราที่ดูท่าทางใจดีผู้หนึ่ง เมื่อเขามองเห็นหญิงสาวก็รีบลุกขึ้นทำความเคารพนางในทันที"คารวะนายหญิง ข้าน้อยมีนามว่าไห่ลู่ เป็นพ่อบ้านในจวนของนายท่านเสิ่นขอรับ นายท่านกลัวว่านายหญิงจะหวาดระแวงจนกระทั่งไม่กล้าไว้ใจและอาจจะหนีไปแล้วได้รับอันตราย จึงได้ส่งข้าน้อยมาชี้แจงเรื่องต่าง ๆ ให้ชัดเจนขอรับ""เชิญท่านพ่อบ้านนั่งลงก่อนเถิด""ขอบคุณนายหญิง""แท้จริงแล้วนายท่านของพวกเจ้าคือใครกันแน่ หากว่าวันนี้ตัวข้าไม่ได้รับความกระจ่าง
"นะ นี่มัน!" ความยิ่งใหญ่อลังการเกินจะกล่าวของสิ่งที่กองอยู่ตรงหน้าทำเอาหว่านหว่านเข่าแทบทรุด ก่อนจะกะพริบตาปริบ ๆ"นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ"สิ่งที่ปรากฏให้นางเห็นตรงหน้าก็คือห้องโถงขนาดใหญ่ ที่มีเงินทองกองอยู่เป็นภูเขา มากมายขนาดนี้ต่อให้ใช้ก่อตั้งราชวงศ์ก็คงจะร่ำรวยไปอีกหลายร้อยปี หว่านหว่านลองหยิบก้อนทองร้อยตำลึงขึ้นมา ก่อนที่นางจะใช้ฟันหน้าของนางลองกัดดูเพื่อพิสูจน์ในขณะที่ก้อนทองคำถูกหยิบออกจากหีบมาอยู่ในมือของนาง ทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่ หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้างก่อนจะลองพิสูจน์ด้วยการหยิบทองขึ้นมาสองก้อนเพียงไม่นานทองก้อนใหม่ก็ปรากฏขึ้นแทนที่! ดวงตาของนางเบิกกว้างแล้วคิดในใจว่า นี่มันสุดยอดเกินไปแล้วจริง ๆ"ให้ตายเถอะ! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อให้ใช้ไปอีกสิบชาติก็คงไม่มีทางหมดแน่"ระหว่างนั้นก็ปรากฏภูตตัวน้อย ขนาดเท่ากับฝ่ามือของนางโผล่ออกมา ภูตน้อยมีปีกคล้ายผีเสื้อทั้งยังบินได้"เจ้าเป็นใครน่ะ!" หว่านหว่านถึงกับสะดุ้งก่อนจะเอ่ยถามไปด้วยความกล้า ๆ กลัว ๆ"ข้าคือภูตผู้ดูแลความลับของตระกูลเมิ่ง เจ้าคือเมิ่งจิ่วซือ ไม่ใช่สิ! ร่างคือเมิ่งจิ่วซือแต่วิญญาณนั้นไม่ใช่""เจ้ารู้!""ข้า
ตู๋กูรั่วหวาตื่นนอนกลางวันขึ้นมาอย่างงัวเงีย เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งบนเตียงดวงตาของนางยังคงหนักอึ้ง ก่อนจะล้มตัวลงนอนอีกครั้งทำเอาเกาหมัวมัวที่เห็นท่าทางขี้เซาของคุณหนูน้อยของนางถึงกับขบขันอย่างเอ็นดู"คนดีของบ่าวตื่นได้แล้วเจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพ่อมารออยู่นานแล้วนะเจ้าคะ" เกาหมัวมัวเอ่ยกับเด็กน้อย แต่เมื่อรั่วหวาที่ได้ยินว่าบิดาเดินทางมาถึงหมู่บ้านตระกูลเสิ่นแล้วก็ถึงกับแปลกใจ ก่อนจะคิดว่านี่พึ่งผ่านไปเพียงแค่สองวันเองไม่ใช่หรือ? เหตุใดบิดาของนางจึงได้มาเร็วนัก เด็กน้อยเก็บความสงสัยไว้ในใจก่อนจะแสร้งเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น"ท่านพ่อมาแล้วงั้นหรือ?""เจ้าค่ะ" หญิงชราพยักหน้าอาเป่ายกอ่างน้ำเข้ามาพอดีก่อนที่เกาหมัวมัวจะใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำพร้อมกำลังตั้งท่าที่จะเช็ดใบหน้าและเนื้อตัวให้กับเด็กน้อยแต่รั่วหวาปฏิเสธ ก่อนจะหยิบผ้าผืนนั้นมาเช็ดใบหน้าของตนเองด้วยท่าทางราวกับไม่ใช่เด็กน้อยอายุสามขวบปี แล้วส่งคืนผ้าผืนนั้นให้กับเกาหมัวมัว จากนั้นปีนลงจากเตียงด้วยตนเอง"คุณหนูจะไปที่ใดหรือเจ้าคะ?" อาเป่าเอ่ยถามคุณหนูน้อยของนางเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายกำลังจะเดินออกจากห้อง"ไปหาท่านพ่อน่ะ" กล่าวจบเด็กน้อยก็เดิน
เมิ่งจิ่วซือที่เพิ่งกลับมาได้เพียงสองวันก็ดูเหมือนว่าจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย วันนี้เป็นวันที่นางจะต้องไปร่วมงานแต่งงานของแม่นางชุยฟางบ้านท่านผู้เฒ่า แต่ในขณะที่กำลังจะออกจากเรือนอยู่ ๆ ก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งมาก่อนจะจอดเทียบบริเวณหน้าเรือนของนาง เมิ่งจิ่วซือขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่ามีชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินลงมาจากรถม้าชายผู้นั้นสวมชุดผ้าไหมหางโจวเนื้อดีราคาแพง ส่งผลให้รูปร่างที่สูงโปร่งของเขายิ่งขับเน้นให้ดูดียิ่งขึ้น ใบหน้าเกลี้ยงเกลาหล่อเหลาทำให้เป็นที่สะดุดตาเป็นอย่างมาก หากแต่อีกฝ่ายยิ้มแย้มราวกับว่ารู้จักกับนางมาก่อน ชายหนุ่มเดินเข้ามาก่อนจะเอ่ยทักทายนาง"ท่านคงจะเป็นแม่นางเมิ่งใช่หรือไม่?" เมิ่งจิ่วซือเลิกคิ้วก่อนจะแก้ไขคำพูดของอีกฝ่ายให้ถูกต้อง"รบกวนเรียกข้าว่าฮูหยินเมิ่งเถิดเจ้าค่ะ ข้าเป็นสตรีที่ออกเรือนแล้วไม่เหมาะสมหากว่าท่านจะเรียกขานเช่นนั้น" หญิงสาวกล่าวตอบออกไปด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาเล็กน้อย"อ้อ ข้าต้องขออภัย""ไม่ทราบว่าท่านเป็นใครหรือเจ้าคะ แล้วมาที่นี่มีธุระอันใด" เมิ่งจิ่วซือไม่อยากอ้อมค้อม"ข้าลืมแนะนำตัว ข้ามีนามว่าเสิ่นชิงหลวน""เสิ่นชิงหลวน คุณชายใหญ่เสิ่นน่ะหรือ
เมิ่งจิ่วซือพาบุตรสาวเดินทางกลับมายังหมู่บ้านตระกูลเสิ่น ยามที่เดินทางมาถึงไห่หมัวมัวและเกาหมัวมัวต่างก็ดีอกดีใจ ก่อนจะรับตู๋กูรั่วหวาที่โตขึ้นมากไปดูแลทันที จากไปหลายเดือนแต่ที่นี่ไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย ในยามที่รถม้าจอดเทียบหน้าเรือนไม่นานก็มีผู้คนผ่านมาเยี่ยมเยือนหากแต่มิใช่ใครที่ไหนแต่ก็เป็นป้ากัวคนเดิม"นายหญิงเมิ่งกลับมาแล้วหรือ?" กัวอวิ๋นเอ่ยถามองครักษ์จางที่ทำหน้าที่ยกข้าวของเข้าเรือน"กลับมาแล้วขอรับ" จางเซียงอวี้ที่พอรู้จักกับกัวอวิ๋นจึงตอบนางไป ก่อนที่อาฉือที่เดินมาพอดีพบเข้า"อ้าว แม่นางอาฉือ สบายดีหรือ?""สบายดีเจ้าค่ะ ท่านป้ามีธุระอันใดงั้นหรือ?""เปล่า ๆ ไม่มีอันใดเพียงแต่เห็นว่านายหญิงเมิ่งไม่อยู่เสียนานเลยอยากจะแวะมาทักทาย""เช่นนั้นเชิญท่านเข้าเรือนก่อนเถิด" อาฉือเอ่ยชักชวนอีกฝ่ายเข้าเรือน เพราะยามที่เดินทางกลับมาที่นี่เมิ่งจิ่วซือย้ำให้พวกนางเป็นมิตรกับคนในหมู่บ้านเสียหน่อย อาฉือจึงได้มีท่าทีอ่อนลงกว่าเมื่อก่อนอยู่หลายส่วนกัวอวิ๋นที่เห็นว่าตนเองได้รับการต้อนรับก็รู้สึกยินดีตามประสาหญิงวัยกลางคนที่อยู่คนเดียวอย่างเงียบเหงา เดิมทีสามีของนางนั้นเป็นทหารเพียงแต่เสียช
เมิ่งจิ่วซือยังคงรู้สึกว่านางและบุตรสาวมาอยู่ที่เจียงหนานได้เพียงไม่นานจริง ๆ แต่วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วนับจากตอนนั้นมาถึงตอนนี้ก็กลับเข้าสู่เหมันต์ฤดูอีกครั้งอีกไม่นานก็จะปีใหม่แล้ว หวาหวาที่ในตอนนั้นเพียงสองขวบปีมาถึงตอนนี้ก็ก้าวเข้าสู่สามขวบ เขาถึงว่ากันว่าความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอเมิ่งจิ่วซือลองคิด ๆ ดูแล้วว่านางควรจะกลับไปยังหมู่บ้านตระกูลเสิ่นอีกสักรอบหนึ่ง เพื่อบอกลาทุกคนที่นั่นและรับตัวคนของนางมาอยู่เจียงหนานเป็นการถาวร อย่างไรก็ตามเรื่องที่นางจะต้องปกป้องดูแลรั่วหวาไปจนกว่าเด็กน้อยจะเติบใหญ่ก็ยังเป็นภารกิจที่หนักหนาจะมามัวแต่เขินอายมิได้ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ของนางและเป่ยติ้งหรงอ๋องแม้จะรู้ว่าเขาคิดเช่นไรกับตนเองก็ตาม แต่เพราะนางไม่ต้องการหลอกลวงเขาจึงได้เว้นระยะห่างในความสัมพันธ์ของทั้งสองคนให้อยู่ในฐานะของคนรู้จักที่ไม่เคยเปลี่ยนเป็นคนรู้ใจได้อีก นางไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหากการที่นางดำเนินความสัมพันธ์ส่วนตัวกับเขาต่อไปหญิงสาวเองก็รู้สึกไม่สบายใจ มันไม่เหมือนกับความรักของแม่ลูกที่ไม่มีข้อแม้ใด ๆ ทั้งสิ้น หากวันหนึ่งเขาได้ค้นพบว่านางนั้นไม่ใช่เมิ่งจิ่วซือตัวจริงหา
"นายหญิงจะไปที่เรือนนั้นจริง ๆ หรือเจ้าคะ" อาฉือเอ่ยถามนายสาวด้วยความไม่แน่ใจ แม้จะรู้ดีว่าอนุเผิงหาได้ติดโรคระบาดไม่ หากแต่สภาพของนางในตอนนี้ก็ช่างไม่น่าพิสมัยยิ่ง ตุ่มหนองขึ้นเต็มทั่วร่างกายแม้ยามนอนก็ได้แต่ร้องโอดโอยด้วยความทุกข์ทรมาน"เจ้ากลัวหรือ" เมิ่งจิ่วซือหันไปถามสาวใช้ของนาง"ไม่กลัวเจ้าค่ะ เพียงแค่รังเกียจเท่านั้น ที่นั่นไม่สะอาดเลยสักนิดบ่าวว่านายหญิงอย่าไปเลยเจ้าค่ะ""ข้าอยากจะเห็นนางสักครั้ง อยากจะรู้ว่าชีวิตที่เอาแต่ทำร้ายคนอื่นมาตลอดเช่นนาง ยามที่ตกอยู่ในสภาพที่อยู่ไม่สู้ตายแล้วนางจะมีความรู้สึกเช่นไร" เมิ่งจิ่วซือเอ่ยพร้อมกับประกายดวงตาที่วาวโรจน์ ชีวิตที่สร้างศัตรูเอาไว้มากมายเช่นนั้น สุดท้ายจุดจบก็คงไม่ต่างจากที่เป็นอยู่นางควรได้รับบทเรียนอย่างสาสม"ไปกันเถอะ""เจ้าค่ะ"เมิ่งจิ่วซือเดินตรงไปยังเรือนของเผิงอี้หรู หน้าเรือนและรอบ ๆ เรือนมีคนคุ้มกันอย่างแน่นหนาแม้แต่มดสักตัวก็ไม่อาจเล็ดลอดสายตาไปได้"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ข้ามาเยี่ยมอนุเผิง" ทหารยามที่เฝ้าอยู่หน้าเรือนหันมามองหน้ากันเล็กน้อยก่อนจะรีบเปิดประตูให้หญิงสาว พร้อมกับบังอาจเอ่ยเตือนนางเล็กน้อย"พระชายาได้โป
คืนเดียวกันนั้นเผิงอี้หรูได้รับรายงานจากสาวใช้ของนางว่าแผนการส่งอาหารเข้าไปยังเรือนของพระชายานั้นสำเร็จแล้ว หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ยิ้มระรื่นอย่างยินดี ก่อนจะเฝ้ารอฟังข่าวดีจนแทบทนไม่ไหว"คืนนี้ข้าจะแช่ตัวนานเสียหน่อย เจ้าอย่าลืมหยดน้ำอบกลิ่นใหม่ที่ข้าพึ่งได้มาลงไปในน้ำเสียด้วย""เจ้าค่ะ บ่าวจะไปจัดการเดี๋ยวนี้"หลังจากที่สาวใช้เตรียมน้ำอุ่นให้นางเสร็จ เผิงอี้หรูก็ออกปากไล่นางออกไปคืนนี้หญิงสาวอยากจะใช้เวลาอยู่กับตนเองให้มากหน่อย ทั้งยังคิดเผื่อในวันรุ่งขึ้นมาว่าตนเองควรจะทำสีหน้าเศร้าเสียใจอย่างไรดีจึงจะยังคงความงดงามเอาไว้ได้"พรุ่งนี้ข้าควรสวมเสื้อผ้าสีใดดีนะ? ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นเช่นนี้จวนแห่งนี้ก็เหลือเพียงแค่ข้าแล้ว จะจัดการเช่นไรก็ขึ้นอยู่กับข้าเพียงผู้เดียว"เผิงอี้หรูรู้สึกมีความสุขยิ่ง เมื่อนึกภาพในวันรุ่งขึ้นที่สองแม่ลูกนั้นหมดลมหายใจไปพร้อม ๆ กัน"ใครใช้ให้เจ้าตายยากตายเย็นนักเล่า จะกล่าวโทษข้าไม่ได้จริง ๆ"เผิงอี้หรูแช่อยู่ในน้ำนานกว่าปกติก่อนที่หญิงสาวจะรู้สึกว่าน้ำในถังเริ่มเย็นจึงได้ลุกขึ้นแล้วก้าวออกจากถังแล้วสวมเสื้อผ้าตัวบางพร้อมนอน เสียงเอะอะโวยวายก็ดังขึ้น จาก
เสี่ยวชุนเป็นสาวใช้คนสนิทของเผิงอี้หรูเด็กสาวเติบโตมาในตระกูลเผิงสายรอง มารดาของนางเป็นแม่นมของเซิ่งฮูหยินผู้เป็นมารดาของเผิงอี้หรู หากแต่ถึงแม้ว่าจะเติบโตมาพร้อมกับคุณหนูก็ตามแต่ดูเหมือนว่าเผิงอี้หรูจะไม่ให้ความสำคัญกับนางมากนัก เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมานางมักจะกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของอีกฝ่ายมาโดยตลอด"จะ เจ้าเป็นใครกัน?""เจ้าไม่ต้องรู้หรอก เพียงแต่รู้เอาไว้อย่างเดียวก็พอว่าข้าเป็นคนของท่านผู้นั้นที่นายของเจ้าจะต้องฟังคำสั่ง" สตรีผู้นั้นเอ่ยขึ้นทำให้เสี่ยวชุนรู้สึกตื่นกลัวก่อนจะแสร้งทำเป็นนิ่งเงียบ นางเคยได้ยินคุณหนูกล่าวถึงท่านผู้นั้นแต่ก็ไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นแท้จริงแล้วคือผู้ใดกันแน่"ขะ ข้าไม่รู้อันใดทั้งนั้น เจ้าหลีกไปเดี๋ยวนี้นะ""หึ หากเจ้าไม่เป็นห่วงคุณหนูของเจ้าก็คงต้องรู้สึกเป็นห่วงมารดาและน้องชายของเจ้าบ้างกระมัง" เสี่ยวชุนที่กำลังจะเดินจากไปได้ยินเช่นนั้นขาทั้งสองข้างของนางก็หยุดชะงักทันที ก่อนจะหันกลับมาหาสตรีผู้นั้นอีกครั้ง"เจ้าจะทำอันใดท่านแม่ของข้า?""ย่อมไม่ทำ หากว่าเจ้ายอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี""ความร่วมมืออันใด?""นำของสิ่งนี้ไปมอบให้คุณหนูของเจ้า แล้วบอกว่าให้รีบลง
เมิ่งจิ่วซือค่อย ๆ ฝังเข็มลงบนร่างกายของชายหนุ่มทีละเล่ม สีหน้าของเขาบ่งบอกถึงความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ชีพจรของชายหนุ่มไม่คงที่ทั้งยังดูเหมือนสับสนและเคลื่อนย้ายไปมาได้ ทำให้เมิ่งจิ่วซือถึงกับขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยปากถามถึงอาการของชายหนุ่มก่อนหน้านี้กับองครักษ์ของเขา"ท่านอ๋องป่วยมานานเพียงใดแล้วงั้นหรือ?""ตั้งแต่วันที่มาถึงเจียงหนานพ่ะย่ะค่ะ ท่านอ๋องกำชับว่าไม่ให้บอกเรื่องนี้กับพระชายาเด็ดขาด แต่ข้าน้อยคิดว่าหากในวันนี้ท่านอ๋องยังไม่ฟื้นขึ้นมาข้าน้อยจะส่งคนไปแจ้งข่าวกับพระชายาพ่ะย่ะค่ะ"เมิ่งจิ่วซือถอนหายใจ จะกล่าวว่าเป็นความผิดขององครักษ์ก็มิได้เสียทีเดียวเพราะนางและสามีก็หาได้มีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทั้งยังดูเหมือนเป็นปรปักษ์กันอยู่เนือง ๆ หากพวกเขาจะคิดเอาเองว่านางอาจจะไม่ยินดีรักษาให้อีกฝ่ายก็ย่อมไม่แปลก แต่เดิมความสามารถในการรักษาของเมิ่งจิ่วซือนั้นก็เป็นความลับมาโดยตลอดนางเองก็ไม่เคยยินยอมรักษาให้ผู้ใด เป็นเพราะไม่ต้องการให้เกิดเรื่องราวยุ่งยากมากไปกว่านี้ เพียงแค่ชื่อเสียงของตระกูลเมิ่งเดิมทีเหล่าเชื้อพระวงศ์ก็หวาดระแวงมากพออยู่แล้ว หากนางมีชื่อเสียงทางด้านการรักษาอีกชีวิตนี้ก็ค
รถม้าของเมิ่งจิ่วซือเคลื่อนตัวเข้าสู่ประตูเมืองเจียงหนาน นี่นับเป็นครั้งแรกที่นางได้มีโอกาสได้เห็นเมืองเจียงหนานแบบดั้งเดิม นับว่าหาได้ยากนัก ก่อนจะเคลื่อนผ่านใจกลางเมืองไปทางด้านทิศเหนือแล้วหยุดลงบริเวณหน้าจวนแห่งหนึ่ง หญิงสาวเลิกม่านดูก่อนจะพบว่าเหนือประตูจวนเขียนด้วยอักษรสีทองงดงามว่าจวนเป่ยติ้งหรงอ๋อง ก่อนที่ร่างบางจะค่อย ๆ ขยับตัวลงจากรถม้าโดยมีบุตรสาวอยู่ในอ้อมแขนดวงตาของตู๋กูรั่วหวามองที่ประตูจวนด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งแววตาของนางลุ่มลึกอย่างไม่อาจคาดเดา เด็กน้อยสูดลมหายใจเข้าราวกับต้องการเรียกหากำลังใจก่อนจะกลบเกลื่อนด้วยใบหน้าใสซื่อตามเดิม"ท่านแม่ หวาจะไปหาท่านพ่อ""เด็กดี เดี๋ยวก็ได้เจอท่านพ่อแล้ว"หวั่นอี้ที่ได้รับรายงานว่าพระชายาเดินทางมาถึงแล้วก็รีบออกมาต้อนรับที่หน้าประตูด้วยท่าทางร้อนรนอย่างเก็บไม่อยู่ หญิงสาวที่เห็นท่าทางของอีกฝ่ายแปลกประหลาดนักจึงเลิกคิ้ว"คารวะพระชายาพ่ะย่ะค่ะ""ไม่ต้องมากพิธี อย่างไรก็ต้องรบกวนพวกท่านแล้วข้าเดินทางมาโดยไม่ได้บอกกล่าว ท่านอ๋องจะว่ากล่าวอันใดหรือไม่" หญิงสาวเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจ ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้สนิทกับสามีถึงขนาดที่จะทำส